เขาแอบรักเธอตั้งแต่เขายังเรียนมัธยมต้นแต่ไม่กล้าบอกเพราะเธอเป็นน้องสาวของเพื่อนสนิทจนผ่านมาถึง10ปีเขาได้เจอกับเธออีกครั้งและตั้งใจจะบอกกับเธอ แต่เขาก็ต้องมีคู่แข่งอีกหลายคนดังนั้นจึงต้องมีการวางแผนเพื่อทำให้เธอรักเขาให้ได้
เขาแอบรักเธอตั้งแต่เขายังเรียนมัธยมต้นแต่ไม่กล้าบอกเพราะเธอเป็นน้องสาวของเพื่อนสนิทจนผ่านมาถึง10ปีเขาได้เจอกับเธออีกครั้งและตั้งใจจะบอกกับเธอ แต่เขาก็ต้องมีคู่แข่งอีกหลายคนดังนั้นจึงต้องมีการวางแผนเพื่อทำให้เธอรักเขาให้ได้
"ไอ้ฝ่าง..มึงจะบอกว่า...มึงไม่เคยมาที่ไร่นี่เลยตั้งแต่แม่มึงย้ายมาอ่ะนะ"
"เออ!..ก็หลังจากที่พ่อตาย แล้วแม่ทำใจไม่ได้ ฝ้ายก็เลยลาออกจากครูมาดูแลไร่แทน แล้วให้กูไปเรียนต่อกับมึงที่อเมริกา...หลังจากนั้นก็ขายที่เพราะแม่เศร้าไม่หาย จากนั้นก็มาซื้อที่ๆนี่แทน กูก็กลับมาพร้อมมึงแล้วจะถามทำไมวะ ไอ้ดิน"ฝ่างพูด
"แล้วนี่มึงจะไปถูกเหรอวะ"ดินพูด เขาเป็นคนขับรถมาให้
"กูโทรบอกแม่แล้ว แม่บอกให้ไปคอยที่แยกปากแซง เดี๋ยวยายฝ้ายจะออกมารับ"ฝ่างบอก
ฝ่างกับดินเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กๆเพราะบ้านอยู่ติดกัน ฝ่างมีน้องสาวหนึ่งคนชื่อฝ้าย ดินเป็นลูกคนเดียวจึงมักจะมาเล่นที่บ้านของฝ่างเสมอ ดินแอบชอบฝ้ายมาตั้งแต่ตอนที่ดินเรียนม.ต้นแล้ว แต่ดินไม่กล้าบอก เพราะกลัวว่าฝ้ายจะไม่ชอบและจะเปลี่ยนไป จนกระทั่งฝ้ายสอบติดไปเรียนที่เชียงใหม่ ดินก็ไม่ได้เจอฝ้ายอีกเลยเพราะพอฝ้ายเรียนจบกลับมาบ้านดินกับฝ่างก็ได้ทุนไปเรียนปริญญาโทที่อเมริกา ดินกับฝ่างเรียนจนกลับมาตั้งแต่3ปีที่แล้วแต่ต้องทำงานใช้ทุนอีก3ปี ฝ่างจึงเพิ่งได้กลับมาบ้านและดินก็ขอตามมาเที่ยวด้วย
"ฝ้ายคงเปลี่ยนไปมากแล้วมั้ง...กูไม่ได้เจอมาตั้ง10ปีแล้ว"ดินพูด
"มึงยังชอบยายฝ้ายอยู่อีกเหรอ"ฝ่างถาม
เขารู้ว่าดินชอบฝ้ายเพราะดินบอกกับเขาเอง
"กูก็ไม่แน่ใจ..กูถึงต้องตามมึงมานี่ไง"ดินพูด
"แล้วมึงจะแน่ใจได้ยังไงวะ"ฝ่างถาม
"ก็ถ้ากูเห็นฝ้ายแล้ว ความรู้สึกกูเหมือนเดิม กูก็คงจะยังชอบอยู่แต่ถ้าไม่...กูก็คงไม่ได้รู้สึกอะไรกับน้องมึงแล้ว"ดินพูด
"อย่าบอกนะที่มึงไม่ยอมคบกับใครตอนที่เรียนเพราะมึงคิดว่ามึงยังชอบฝ้ายอยู่อ่ะ"ฝ่างถาม
"คงงั้นมั้ง...แต่เดี๋ยวก็รู้"ดินพูด
สักพักใหญ่ดินก็ขับรถมาจอดที่แยกปากแซงตามที่แม่ของฝ่างบอก
"เฮ้ย!ไอ้ฝ่าง มึงดูคนที่ขี่บิ๊กไบค์คันนั้นสิวะ หุ่นอย่างกับผู้หญิง ตัวเล็กแค่นั้นถ้ารถล้มจะยกไหวเหรอวะ"ดินพูด
เขาชี้มือไปที่คนขี่รถบิ๊กไบค์ ที่ขี่เข้ามาจอดข้างหน้ารถของดินกับฝ่างไม่ไกลนัก
"เออ!ว่ะ"ฝ่างพูด
ครืด ครืดเสียงมือถือของฝ่างดังขึ้น เขามองดูเบอร์แล้วไม่คุ้นเลย
"สวัสดีคับ".
"พี่ฝ่างนี่ฝ้ายเองค่ะ..พี่ฝ่างถึงไหนแล้วคะ"
"อ้าว!ฝ้ายเหรอ พี่จอดรถอยู่ที่แยกปากแซงแล้ว เราน่ะอยู่ไหน"
"พี่ฝ่างมารถอะไรคะ"
"พี่มารถเก๋งของไอ้ดินมันน่ะ"
"ใช่รถเก๋งสีดำมั้ยคะ"
"ใช่..เราเห็นแล้วเหรอ"
"ค่ะ..ก็ฝ้ายอยู่ข้างหน้าพี่ฝ่างนี่แหละค่ะ ลงมาสิคะ"
ตู๊ด ตู๊ด ฝ้ายวางสายไปแล้ว
"ฝ้ายว่าไงบ้างวะ"ดินถาม
"ฝ้ายบอกว่าเห็นเราแล้วและอยู่ข้างหน้าเรา...ไหนวะกูเห็นแต่คนขี่บิ๊กไบค์...เฮ้ย!นั่นมัน"ฝ่างอุทานเสียงดัง
เขาชี้มือไปที่คนขี่บิ๊กไบค์ที่ตอนนี้ถอดหมวกกันน็อคออกแล้ว
"อะไรวะ...โอ้โห้!สวยว่ะ มึงจะตกใจทำไมวะ"ดินบอก เขาหันไปตามที่ฝ่างชี้มือ
"ก็นั่นมัน..ยายฝ้ายน้องกู"ฝ่างบอก เขาเปิดประตูรถออกไปทันที
ดินถึงกับอึ้ง นี่เขาไม่ได้เห็นฝ้ายมา10ปี เธอเปลี่ยนไปจนเขาจำไม่ได้เลย ครั้งสุดท้ายที่เห็นเธอตัวผอมๆ หน้ามีสิวเต็มไปหมด หน้าก็ออกสีน้ำตาลไม่ได้ขาวเนียนแบบนี้ ที่สำคัญคือเธอกลัวรถมอเตอร์ไซค์ที่สุด
แต่นี่ฝ้ายขี่บิ๊กไบค์ เธอสวมกางเกงยีนต์ขายาว สวมเสื้อยืดข้างใน แล้วสวมแจ็คเก็ตยีนต์ทับข้างนอก สวมรองเท้าบูทหุ้มส้นสูงเกือบถึงเข่า ผมตรงยาวถึงกลางหลังสีดำสนิท ตาคมปากนิด จมูกหน่อยแต่ที่เขาชอบที่สุดคือเธอมีลักยิ้มทั้งสองข้าง เวลาเธอยิ้มจึงน่ารักมากๆ
ดินหัวใจเต้นแรงมาก..นี่ขนาดยังไม่ได้ลงไปเจอจริงๆเขายังใจเต้นขนาดนี้ นี่ก็แสดงว่าเขายังชอบเธออยู่สินะ
"ยายฝ้าย"ฝ่างเรียก เขาเปิดประตูรถลงไปแล้ว
"พี่ฝ่าง"ฝ้ายเรียก
เธอวางหมวกกันน็อคลงที่เบาะรถแล้วยิ้มก่อนจะวิ่งเข้าไปกอดฝ่างทันที
"ฝ้ายคิดถึงพี่ฝ่างที่สุดเลยค่ะ"
"พี่ก็คิดถึงเรากับแม่มาก...พี่ขอโทษที่ปล่อยให้เรากับแม่ต้องลำบาก"
"ไม่เป็นไรค่ะ..พี่ฝ่างต้องไปเรียนนี่คะ ฝ้ายกับแม่ไม่ลำบากหรอกค่ะ
"เออ!นี่ไอ้ดินเพื่อนพี่ เรายังจำได้มั้ย"ฝ่างบอก
ดินเปิดประตูรถลงมายืนข้างๆแล้ว
"สวัสดีค่ะพี่ดิน จำได้สิคะ"ฝ้ายยิ้ม
เธอมองผู้ชายตรงหน้า เขาเปลี่ยนไปมากทีเดียว เขาสูงขึ้น ขาวมากขึ้น ตาคม จมูกโด่ง ปากหยักได้รูป ผมหยักศกสีดำ แต่ไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนเธอก็ไม่มีวันลืมเขาได้หรอก ก็เขาเป็นผู้ชายคนแรกที่เธอแอบชอบและยังคงชอบมาถึงทุกวันนี้ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ก็ตาม
"สวัสดีคับน้องฝ้าย"ดินพูด
"เรียกฝ้ายเฉยๆเหมือนแต่ก่อนก็ได้ค่ะ"ฝ้ายยิ้ม
"ใช่มึง..ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นหรอก"ฝ่างว่า
"แหม!ก็ฝ้ายสวยมากขึ้นและเป็นสาวแล้วด้วย ก็ต้องเรียกดีๆหน่อยสิ"ดินยิ้ม
"ฝ้ายก็ยังเป็นฝ้ายคนเดิมแหละค่ะ...ไม่ว่าจะนานแค่ไหน"ฝ้ายบอก
"แล้วทำไมเราแต่งตัวแบบนี้ แล้วทำไมไม่เอารถยนต์มา ขี่คันนี้มาถ้าล้มแล้วจะยกไหวเหรอ"ฝ่างว่า
"ไม่ล้มหรอกค่ะ...มาคันนี้สะดวกกว่า งั้น!พี่ๆก็ขับรถตามฝ้ายมาก็แล้วกันนะคะ เดี๋ยวค่อยไปคุยต่อที่บ้านค่ะ"ฝ้ายบอกยิ้มๆ
"ให้พี่ขี่ไปให้มั้ย..แล้วเรานั่งรถไปกับไอ้ดิน"ฝ่างบอก
"ไม่ต้องหรอกค่ะ..ฝ้ายมีใบขับขี่แต่พี่ฝ่างไม่มีนะคะ ไปค่ะ"ฝ้ายยิ้ม
เธอเดินกลับไปที่รถสวมหมวกกันน็อคแล้วติดเครื่อง
ฝ่างกับดินเดินกลับขึ้นไปบนรถ ดินติดเครื่องรถ เขารอจนฝ้ายขี่รถออกไปก่อนแล้วก็ขับตามไป
เขาตกหลุมรักเพื่อนสนิทของน้องสาวตั้งแต่เห็นครั้งแรกแต่เพราะเธอมีนิสัยที่ไม่เหมือนใครทำให้เขาไม่กล้าแสดงตัวว่าชอบได้แต่พยายามตีสนิทโดยมีน้องสาวตัวแสบคอยช่วยเหลือคงต้องมาช่วยกันลุ้นว่าเขาจะจีบเธอมาเป็นแฟนได้มั้ย
เมื่อเขาต้องเลือกเจ้าสาวจากลูกสาวของเพื่อนสนิทของพ่อที่มีอยู่2คน คนพี่สวยเซ็กซี่หยิ่งทนง คนน้องสวยน่ารักใสซื่อไม่ถือตัว เขาควรจะเลือกใครดี
เขาเป็นลูกชายของมาเฟียที่ผันตัวเองมาทำธุรกิจ เขาควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าไม่จริงจังกับใครแต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้ช่วยชีวิตเธอไว้โดยบังเอิญแล้วนั่นก็เป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อเขาตกหลุมรักเธอโดยยังไม่รู้แม้แต่ชื่อ แต่เขาก็ไม่คิดจะปล่อยเธอไป
เขาหลงรักเธอตั้งแต่ในความฝันแล้วพยายามตามหาเธอในความจริงจนกระทั่งพรหมลิขิตก็ทำให้เขาได้เจอกับเธอ
เขาแอบชอบเธอตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแต่เธอกลับกลัวและพยายามอยู่ให้ห่างจากเขาแล้วเขาจะทำอย่างไรที่จะตามจีบเธอดีในเมื่อเธอเป็นน้องรหัสของเขา
เธอแอบชอบรุ่นพี่มาตั้งแต่เข้ามหาลัยปี 1 แต่ไม่กล้าบอกจนผ่านมาได้ 1 ปีเธอถึงได้กล้าไปบอกเขาและขอตามฉี่เป็นเวลา 3 เดือนเขาปฏิเสธ
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
ในระยะเวลาสองปีที่แต่งงานกัน เนี่ยเหยียนเซินจู่ๆ ก็เสนอขอหย่า เขาพูดว่า "เธอกลับมาแล้ว เราหย่ากันเถอะ คุณอยากได้อะไรบอกมาได้เลย" ชีวิตการแต่งงานสองปีสู้อีกคนที่หันหลังกลับมาไม่ได้ ตามอย่างที่คนเขาว่ากัน "คนรักเก่าแค่ร้องไห้สักหน่อย คนรักปัจจุบันก็ย่อมแพ้แน่นอน" เหยียนซีไม่ได้โวยวายอะไร เลือกที่จะตอบตกลงและเสนอเงื่อนไขว่า "ฉันต้องการรถซูเปอร์คาร์ที่แพงที่สุดของคุณ" "ได้" "วิลล่าสุดหรูชานเมือง" "ตกลง" "กำไรหลายพันล้านที่หามาในช่วงสองปีนี้ แบ่งคนละครึ่ง" "อะไรนะ"
ชูจี้ถูกเก็บไปอุปการะตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งถือเป็นความฝันของเด็กกำพร้าทั่วไปอย่างชูจี้ แต่ชีวิตหลังจากนั้นมันไม่ได้มีความสุขดั่งที่ชูจี้คิดฝันไว้เลย เธอต้องอดทนถูกเย้ยหยันและการทำทารุณจากแม่บุญธรรมของเธอ แต่ก็ยังโชคดีที่เธอได้รับความเมตตาจากคนใช้สูงวัยคนหนึ่งในบ้านหลังนั้น ชึ่งเป็นคนคอยดูแลและเอาใส่เธอเหมือนแม่แท้ ๆ ของเธอ จนกระทั่งคนใช้จากไปด้วยอาการป่วย ชูจี้ก็ถูกบังคับให้แต่งกับผู้ชายที่ไม่เอาการเอางานแทนลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อแม่บุญธรรมของเธอเพื่อชดใช้ค่ารักษาพยาบาลของคนใช้ เรื่องราวจะเป็นเช่นเดียวกับซินเดอเรลล่าหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยนั้นไม่เหมือนเจ้าชายเลยสักนิดนอกจากรูปร่างหน้าตาของเขาที่สามารถเทียบเท่ากับเจ้าชายได้เท่านั้นเอง ลู่เหยี่ยนเป็นลูกชายนอกสมรสของครอบเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง เขาใช้ชีวิตไปวันๆ (พอลอดไปด้วยค่ะ)มาโดยตลอด ที่เขาตกลงแต่งกับชูจี้ก็เพราะอยากจะทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของแม่ของเขาสมหวังเท่านั้น แต่ในคืนวันแต่งงาน เขากลับพบว่าเจ้าสาวคนนี้มีพฤติกรรมที่ผิดกับที่เคยได้ยินได้ฟังมา โชคชะตาจะบันดาลให้พวกเขาเป็นอย่างไร และลู่เหยี่ยนจะเป็นดั่งที่เราคิดหรือไม่ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือลู่เหยี่ยนมีหลายอย่างที่คล้ายๆ กับมหาเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้อย่างพิลึก สุดท้ายแล้ว ลู่เหยี่ยนจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าชูจี้ คือเจ้าสาวจำเป็นที่ต้องได้แต่งงานแทนพี่สาวของเธอ การแต่งงานของพวกเขาจะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวสุดโรแมนติกหรือวิบากกรรมของชีวิต โปรด ติดตามและค้นหาชีวิตและเรื่องราวของทั้งสองคนด้วยกันเถอะ
เรื่องย่อ วังวนร้อนรักจวนแม่ทัพใหญ่ แนว 4P ซุนหลีนถูกจับมาเป็นเชลยสงครามพร้อมพี่ชายบุญธรรมที่นางแอบมีใจให้เขาและมารดา แต่ด้วยความงามของนางจึงทำให้ฮูหยินใหญ่ที่ไร้ทายาทต้องการให้นางอุ้มท้องแทนตน เรียนท่านผู้อ่านทุกท่าน หนังสือนิยายเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวด นิยายรักสำหรับผู้ใหญ่ ซึ่งเหมาะกับสายแซ่บไม่พูดเยอะ เจ็บคอ จะมีฉาก NC นำเนื้อหาแทบทั้งเรื่อง และพล็อตเบาคลายเครียด แทบไม่มีพล็อตค่ะ ดังนั้นท่านผู้อ่านควรพิจารณาโหลดตัวอย่างก่อนตัดสินใจซื้อค่ะ ขอบคุณค่ะ
ในวันครบรอบแต่งงาน เหวินซือถูกเมียน้อยของสามีวางยาและไปมีอะไรกับคนแปลกหน้า เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไป แต่เมียน้อยคนนั้นกลับตั้งท้องลูกของสามี ภายใต้ความกดดันต่างๆ เหวินซื่อสูญรู้สึกสิ้นหวังและตัดสินใจหย่า แต่สามีของเธอกลับไม่แยแสโดยคิดว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อยู่ หลังจากการหย่ากัน เหวินซือกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ตามจีบเธอ อดีตสามีไม่ยอมและขอคืนดีไปถึงที่ จากนั้นก็ว่า เธออยู่ในอ้อมแขนของคนใหญคนโตคนหนึ่ง และชายคนนั้นก็พูดอย่างสงบว่า "ดูให้ดี นี่คือพี่สะใภ้ของนาย"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด