ก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าวันหนึ่งจะพบเจอกับเรื่องแปลก ๆ แต่เมื่ออยู่แล้วไร้ความหมายไม่มีคนที่รักและรักเรา เขาจึงเลือกที่จะแลกทั้งที่ไม่ได้มั่นใจเลยว่าจะได้พบกับคนที่รักจริงหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจเลือกไปแล้ว... “อาซวงเป็นของข้าใช่หรือไม่” ก็มิค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่และคิดว่ามิน่าจะมีอะไรมากมาย เก้าเทียนรุ่ยจึงพยักหน้ารับ “ขอรับ” “ถึงเราจะมิได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเช่นที่ท่านมีกับสหายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ นอนกลางดินกินกลางทรายมาด้วยกันมาอย่างชิงชวนหรือคนอื่น ๆ หากนับตั้งแต่ที่เราได้พบรวมถึงอยู่ด้วยกัน ข้าก็คิดว่าเราผ่านอะไรมามากมายพอที่จะทำให้ข้ารู้ถึงความรู้สึกที่ตนเองมีต่อท่าน” เก้าเทียนรุ่ยมองสบสายตาเสวียนลิ่วหลางที่มองเขาด้วยความงุนงง ในดวงตามีความสับสนระคนมิแน่ใจ คล้ายจะมีคำถามตามติดมาด้วย ทำให้เขาเผลอยิ้มหวานออกไป เสวียนลิ่วหลางได้แต่ยิ้มด้วยความเขินอาย “ข้าก็มิรู้ว่าจะวางตัวเช่นไรดี พึงพอใจอยากให้เจ้าอยู่ชิดใกล้...หากก็มิอยากบังคับหากเจ้ามิเต็มใจ” “แต่ก็มิอาจทำใจได้หากจะต้องปล่อยมือ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยอย่างเข้าใจ “เมื่อยังต้องรอให้อาซวงรู้สึกเช่นเดียวกัน นอกจากข้าจะทำให้ผู้อื่นรับรู้แล้วว่าคนนี้...” เสวียนลิ่วหลางจับมือเก้าเทียนรุ่ยมาจูบขณะมองสบเข้าไปในดวงตากลมใสก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มหากเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ข้าจอง” “ตะเกียบยังต้องอยู่เป็นคู่ถึงจะใช้กินอาหารได้ หยินก็ยังคู่หยางถึงจะสมดุล เมื่อข้าพบคนที่ใช่ เหตุใดถึงต้องปล่อยมือเล่า”
ผมลากไล้ปลายนิ้วบนขอบแก้วที่ภายในมีน้ำสีอำพันอยู่เกือบจะครึ่งด้วยสับสนระคนปวดร้าวใจ
กี่แก้วแล้วที่ผมดื่มเจ้าน้ำนี่เข้าไป...ก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะคืนนี้ผมแค่อยากจะดื่มให้เมา...จะได้ลืมความเจ็บปวด ดื่มเพื่อให้ลืมเรื่องที่มันยังคงดังก้องอยู่ในหู
ฮึ! ผมหัวเราะเยาะเย้ยตนเองที่มองคนไม่ออก ไม่น่าเชื่อว่าจะคบกับเธอคนนั้นมาได้ถึงเจ็ดปีด้วยกัน คบกันตั้งแต่เรียนมัธยมห้า จวบจนเรียนจบมหาวิทยาลัย เริ่มต้นทำงานเก็บเงินเพื่อจะได้สร้างครอบครัวกับเธอ แต่สุดท้ายแล้วเธอกลับมาบอกผมว่า...
“สอง...เราเลิกกันเถอะ”
เธอบอกเลิกผมในวันที่ผมจะขอเธอแต่งงาน...
“ทำไมละแพรว...ผมทำอะไรผิดเหรอ” ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ไหนเราสัญญากันไว้แล้วไง หลังเรียนจบ ทำงานเก็บเงินสักระยะ แล้วเราจะแต่งงานกันไง”
ความจริงผมก็พอจะรู้มาสักระยะ...อ๋อ ไม่ใช่สิ น่าจะรู้ระแคะระคายเรื่องที่แฟนสาวเริ่มมีทางทีที่เปลี่ยนไปตั้งแต่ขึ้นปีสามแล้วล่ะ ตอนนั้นผมยังพยายามคิดในแง่ดีอยู่ เป็นเพราะเราเรียนกันหนัก เลยไม่ค่อยมีเวลาได้พบกัน อีกทั้งเราทั้งคู่ต่างก็ต้องวางแผนเรื่องอนาคตที่มันจะต้องดีและเต็มไปด้วยความสุข ผมยังคงพยายามเชื่อแบบนั้นมาตลอด ทั้งที่เพื่อน ๆ ของผมต่างก็พยายามบอกให้รู้...
แพรวไปกับผู้ชายคนอื่นอยู่เสมอและผู้ชายคนนั้นก็มิใช่คนอื่นคนไกล เป็นคนที่ผมรู้จักดี เป็นคนที่ผมรู้และเชื่อว่า เขาพร้อมที่จะแทงข้างหลังผมได้เสมอ ทั้งที่เราเป็น...พี่น้องกัน!
รอยยิ้มของแพรวเต็มไปด้วยความหยามหยัน เหยียดหยาม ความหมายจากดวงตาที่มองมา...เหมือนกับว่าผมเป็นหมาวัดแต่หมายปองดอกฟ้า ไม่เจียมตัวเองเอาเสียเลย
“เพราะไม่ว่าทำยังไง สองจะไม่ได้เป็นที่หนึ่งไง สองไม่เคยกระตือรือร้นที่จะสร้างบริษัทของตัวเองอย่างที่เคยบอกกับแพรว เพราะสองต้องทำงานที่บริษัทของพ่ออย่างเดียว แล้วยังจะเป็นได้แค่พนักงานกระจอก ๆ ที่อย่าว่าแต่จะได้ขึ้นเงินเดือนเลย แค่โอกาสที่จะได้เป็นผู้จัดการอย่างคนอื่นที่เงินเดือนขึ้นแล้วขึ้นอีกก็ไม่มี”
ก็จะมีได้ยังไงล่ะ ในเมื่อทุกคนคอยแต่กดไม่ให้เขาโง่หัวนะ ให้ผมทำดีแค่ไหนก็แค่เสมอตัว แต่เมื่อไหร่ที่ทำได้ไม่ดี ทำผิดพลาดไป ก็จะมีคนพูดจาเหยียดหยามกระแทกแดกดันใส่ เป็นแค่คนโง่ที่ริอาจทำตัวว่าเก่ง หน้าตาก็ไม่ดีแล้วยังไม่มีสมองอีก
“แล้วอย่างนี้จะให้แพรวเชื่อได้ยังไงว่าสองสามารถเลี้ยงดูแพรวกับลูกให้อยู่สุขสบาย มีรถไว้ขับไปไหนมาไหนโดยไม่ต้องกังวลว่าถ้าดึกดื่นแล้วจะไม่มีรถกลับบ้าน มีเงินมีทองให้ใช้โดยไม่ต้องเดือนเนื้อร้อนใจ ไม่ต้องกังวลว่าต้นเดือนมีเงินแต่พอปลายเดือนต้องประหยัด เพราะเงินไม่พอจะซื้อของดี ๆ กิน”
ใครว่าเขาไม่เคยคิด แต่เพราะความสามารถผมไม่ถึงไง ผมถึงต้องทนให้พี่ชายโขกสับ ทำงานในตำแหน่งเล็ก ๆ ในบริษัทของพ่อ รับเงินเดือนที่พอจ่ายค่าอาหารกลางวันและค่ารถไปกลับก็แทบจะไม่เหลือแล้ว
“มันหมดยุคที่จะกัดก้อนเกลือกินแล้วล่ะสอง ถ้าไม่คิดทำอะไรให้ดีกว่านี้ เราก็เลิกกันเถอะ ถ้ายังรักกันอยู่ ก็ปล่อยแพรวไปเถอะ อย่าเป็นตัวถ่วงของแพรวเลยค่ะ”
“นั่นสินะ...” ผมพูดเสียงเบาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ขณะมองคนรักด้วยสายตาเจ็บปวดและผิดหวัง “สองจะไปสู้พี่...คุณเป็นหนึ่งได้ยังไงกันล่ะ ทั้งหน้าตาดี เป็นถึงลูกคุณหญิงที่แต่งงานกันอย่างสมเกียรติ ฐานะการงานก็ดีไปหมด ส่วนสองก็เป็นเพียงแค่ลูกเมียน้อยที่พ่อไม่ได้อยากจะให้เกิดมาสักหน่อยนี่เนอะ”
ที่ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจ ทำไมคุณเป็นหนึ่งถึงได้จองล้างจองผลาญผมไม่ยอมหยุดเสียที ทั้งที่เขาดีกว่าผมมากมาย เป็นลูกคุณหญิงที่ร่ำรวยมีหน้ามีตา มีทั้งพ่อและแม่ที่รักจนแทบจะทูนหัวทูลเกล้าให้ทุกอย่าง อยากได้อะไรก็ได้เสมอ ผิดกับผมที่เป็นเพียงแค่ลูกที่พ่อไม่ได้ต้องการจะให้เกิดมา แต่ไม่ใช่แม่ที่กว่าจะรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไรก็เมื่อมีผมอยู่ในท้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งที่รู้ว่าพ่อไม่ได้ต้องการทั้งผมและแม่ แต่แม่ก็ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายผม ไม่คิดทอดทิ้งและไม่ได้คิดจะให้ผมไปอยู่กับพ่อ เพียงแค่...อุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดมาพรากแม่ไปจากผม ทำให้ผมต้องมาอยู่เป็นคนในบ้านของพ่อ
เขารับว่าผมเป็นลูกนะ...ให้การศึกษา แต่ไม่ให้ความรักและไม่ยอมให้ใช้นามสกุล นอกจากเพื่อนที่สนิทจริง ๆ สองคนเท่านั้นที่รู้ว่าเขาเป็นพ่อผมและผมเป็นน้องชายคนละแม่กับคุณเป็นหนึ่ง ซึ่งแรก ๆ ผมก็ไม่เข้าใจอะไร แต่เมื่อโตขึ้น ก็เริ่มรับรู้ว่าอะไรเป็นอะไรและรับได้ในบางส่วน ยกเว้นเรื่องงานที่ความจริงแล้วผมอยากจะเรียนทำอาหาร อยากมีร้านอาหารเล็ก ๆ เป็นของตัวเองสักร้าน แต่พ่อบอกผมต้องเรียนการเงิน ต้องเรียนบัญชี เพื่อทำงานในบริษัท ซึ่งผมก็ขัดอะไรไม่ได้ ต้องทำตามที่เขาสั่ง ในขณะที่คุณเป็นหนึ่งอยากทำอะไรก็ได้ทำ คงเป็นอย่างที่ผมได้ยินมาเสมอจริง ๆ นั่นแหละ...
ลูกคนโตมักเป็นที่รักของพ่อแม่ ของปู่ย่าตายาย ไม่ว่าจะทำเหี้ยอะไร ก็ยังมีคนคิดว่าดี ยังคงมีแต่คนชื่นชมชื่นชอบเสมอ ไม่ว่าจะทำผิดแค่ไหน ไม่ต้องถูกทำโทษ ได้รับโอกาสให้แก้ตัว เพราะพี่คนโตต้องเสียสละคอยดูแลน้อง
ลูกคนสุดท้อง น้องน้อยที่จะต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่ ต้องเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอม ทำราวกับว่าถ้าไม่ยอมจับเอาไว้ให้ดี เผลอปล่อยมือไปแล้วจะล้มจนเจ็บกาย อยากได้อะไรก็ต้องได้!
“สองอย่ามาพูดดูถูกเราแบบนี้นะ เราไม่ได้คิดจะจับพี่เป็นหนึ่งเลย”
ผมหัวเราะอย่างขมขื่น “ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนะ แพรวร้อนตัวไปเองมากกว่า แต่เอาเถอะ จะเลิกก็เลิก สองก็ไม่อยากจะดึงรั้งคนที่หมดใจไว้เหมือนกัน หวังว่าแพรวจะจับคุณเป็นหนึ่งได้อยู่หมัดนะ ไม่ใช่ว่าพอบอกเลิกกับผมแล้ว ก็ถูกคุณเป็นหนึ่งทิ้งไปด้วยล่ะ” ผมเชื่อว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริง เพราะคุณเป็นหนึ่งเพียงแค่อยากจะเหยียบย่ำทำร้ายผม แย่งชิงทุกอย่างที่คิดว่านั่นคือของที่ผมรัก ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ผมอยู่อย่างไม่เป็นสุข คุณเป็นหนึ่งพร้อมที่จะทำ!
“สองจะเอาเรื่องที่แพรวเคยเป็นแฟนสองไปบอกกับพี่หนึ่งหรือไง คิดว่าพี่หนึ่งจะเชื่อสองหรือไง”
“ไม่จำเป็นหรอกแพรว ผมไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเลย เพราะอย่างคุณเป็นหนึ่งนะ ถ้าอยากรู้อะไร ก็สามารถรู้ได้เสมอแหละ เพียงแต่จะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น ในเมื่อเราสองคนเคยมีความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กัน ผมก็ขออวยพรให้แพรวได้ในสิ่งที่หวังละกัน”
ผมปล่อยมือจากแพรวและมองหญิงที่คิดว่าจะสร้างครอบครัวด้วยกันเดินจากไปด้วยความผิดหวังและเจ็บปวด แม้อยากจะไขว่คว้าให้เธอยังคงอยู่ข้างกาย แต่ผมก็รู้ เมื่อเขาหมดใจแล้ว ไม่ว่าจะรั้งยังไงสุดท้ายก็ต้องจากลากันอยู่ดี ถ้าผมยังไม่ยอมปล่อยวาง ก็เป็นตัวผมนั่นแหละที่จะเจ็บที่สุด
“ขอผมนั่งด้วยคนได้ไหมครับ”
ผมเหลือบมองคนที่มานั่งใกล้ ๆ อย่างไม่สนใจเพียงแค่แวบหนึ่ง ก่อนดวงตาจะจับจ้องมองแก้วที่มีน้ำสีอำพันอยู่ข้างใน
“ดูเหมือนว่าคุณคงจะเพิ่งอกหักมา ถึงได้มาดื่มคนเดียวแบบนี้ ให้ผมนั่งดื่มเป็นเพื่อนดีกว่านะครับ”
ก็แค่อยากดื่มคนเดียว เจอคนมากวนแบบนี้ ผมว่า...ผมกลับไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องไปเป็นเบ้ให้เขาใช้งานอีก! แต่ผมกลับถูกเขาจับมือเอาไว้
“เดี๋ยวสิครับ จะรีบไปไหนละ คุยกันก่อนไหม ผมกำลังคิดว่ามีข้อเสนอดี ๆ ที่คุณน่าจะสนใจอยู่นะ”
“ปล่อย”
“อยากได้ความรักแท้ไหม”
“รักแท้!” ผมอยากจะหัวเราะให้แผ่นดินพลิกกลับ สมัยนี้มันจะมีเหรอ รักแท้นะ หรือถ้ามี...คิดว่ามันจะหาพบกันได้ง่าย ๆ หรือยังไง
“ถึงคุณจะไม่เชื่อ แต่ทำไมไม่ลองฟังที่ผมจะบอกกับคุณก่อนละ”
น้ำเสียงเหมือนจะท้าทายว่าคนอย่างผมที่ไม่มีอะไรดีสักอย่าง คงจะทำไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่าง ทำให้ผมซึ่งอยู่ในอาการมึนเมาหันมาสนใจ ทั้งที่ความจริงแล้วผมก็ไม่ได้ลังเลที่จะตอบออกไปหรอกนะ
ไม่ต้องรักแท้หรอก แค่มีใครสักคนอยู่กับผมในวันที่ผมท้อแท้สิ้นหวัง แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่เรื่องหลอกลวงก็คงดีกว่าที่ผมจะกลับไปที่บ้านหลังนั้น...ที่ซึ่งผมเป็นเพียงแค่ส่วนเกินที่เขาไม่ต้องการ ที่ซึ่งไม่เคยมีความรักให้กับผมเลย
“ที่ไหน”
เมื่อเพื่อนถามถึงสถานะ... "พวกแก...เชี่ย! แล้วไหมล่ะ อย่าบอกกูนะไอ้ลูกเต่า ที่มึงพูดไปวันนั้นเป็นเรื่องจริง มึงด้วยไอ้ยอด...มีผัวเป็นตัวเป็นตนกับเขาด้วยใช่ไหม" "ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยชี้แจงเรื่องของมึงสองตัวกับพี่สองคนให้กูฟังหน่อย...เร็ว ๆ อย่าชักช้าร่ำไร" "คนที่นั่งข้าง ๆ กูชื่อพี่คาย...กูอาศัยอยู่กับพี่เขาแล้วก็คอยดูแลซีโร่ให้" ศรวัณบอกสั้น ๆ เพราะยังไม่ค่อยกล้าบอกสถานะของตัวเอง เขากลัวเพื่อนจะรับไม่ได้ "ช่วยบอกสถานะให้กูรู้ด้วย...แค่แฟนหรือเป็นผัวมึง!"
ความรักไม่ผิด...เรารักเขา เขาไม่รักเรา ก็ไม่ผิด แต่การรอคอยมันย่อมมีระยะเวลาสิ้นสุดลงเมื่อ...ใจเราไม่อาจรอรักจากเขาได้อีกแล้ว มันก็ถึงเวลา...สิ้นสุดยุติการรอคอที่เลื่อนลอยไร้จุดหมาย “นั่นสิคะ หนูดาวก็งงอยู่ ทำไมถึงหนีพี่เหนือไม่พ้นสักที ตั้งแต่หนูดาวตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป พี่เหนือทำให้หนูดาวแปลกใจจนงงและสับสนไปหมด” “หือ” “ปกติพี่เหนือจะผลักไสให้หนูดาวไปไกล ๆ ชอบใช้สายตาแบบว่า...ฉันรำคาญเธอนะ เห็นหน้าเธอแล้วมันหงุดหงิดใจมาก จะไปเองดี ๆ หรือจะให้ฉันเตะโด่งเธอไป...ประมาณนี้นะคะ แต่พอหนูดาวเอาแหวนหมั้นไปคืน กลับต้องเจอกับพี่เหนือทุกวัน...และยังอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดทั้งวันเลยด้วย ขนาดคิดหนีมาทำงานที่นี่ สุดท้ายยังหนีพี่เหนือไม่พ้นเลยด้วย” “เราคงเป็นคู่เวรคู่กรรมกันละมั้ง ทำยังไงก็หนีกันไม่พ้น เสร็จงานที่นี่ เห็นทีพี่คงจะต้องจับมัดเราให้หนักกว่าเดิม” พันดาวมองแดนเหนืออย่างตื่นตะลึง เรียวปากสีชมพูอ้าค้าง “นี่พี่เหนือ...”
เพื่อน้องสาว เขาจึงหลอกลวงนำตัวเธอมา “คุณโกรธอะไรใครก็ไปเอาคืนกับคนนั้นสิ มายุ่งกับฉันทำไม ปล่อยฉันนะไอ้วายร้าย!” “เผอิญว่าฉันดันอยากได้เธอด้วยผิง ก็เธอมันขาวอวบยั่วยวนราคะใช่ย่อยนิ แค่จับลูบไล้หน่อยเดียวก็พร้อมจะร้อนเป็นไฟแล้ว” ชายหนุ่มลูบไล้ฝ่ามืออุ่นร้อนบนลำตัวกลมกลึง สะกิดเอากระดุมหลุดออกจากรางทีละเม็ดจนหมด จูบอุ่นร้อนทาบทับซุกไซ้ซอกคอขาวผ่อง “ฉันขอร้องนะคุณใหญ่...ถ้าฉันผิดจริง ฉันยอมให้คุณลงโทษได้ทุกอย่าง คุณจะย่ำยีลงทัณฑ์ฉันยังไงก็ได้ ฉันจะไม่ร้องขอความปราณีแม้แต่นิดเดียว จะไม่หนีอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน จะไม่คิดไม่เคียดแค้นคุณเลย แต่ถ้าฉันไม่ผิด คุณปล่อยฉันไปนะ...ได้โปรด” “รู้อะไรไหมผิง...ไม่มีผู้ชายคนไหนโง่ยอมปล่อยให้ผู้หญิงสวย ๆ เซ็กซี่ แล้วก็ปลุกเร้าอารมณ์ได้อย่างกับน้ำมันราดลงไปกองไฟให้หลุดรอดมือไปหรอกนะ” แต่ใครจะรู้ล่ะ...ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น จะนำสิ่งใดมาสู่เขาบ้าง เรื่องหัวใจก็ยังต้องจัดการ เรื่องการงานก็ต้องตรวจสอบหาความจริง
กฎของหมู่บ้าน ทำให้สองศรีพี่น้องต้องเร่งหา...ผัว! ให้ได้ “ตัวสั่นเชียว กลัวหรือจ๊ะฟองจ๋า” “โถ...น่าสงสารจริง เมียของผัว” มือหนาลูบไล้ผิวเนื้อนวลนุ่มลื่นขณะเดียวกันก็เกี่ยวเอาชายเสื้อของหญิงสาวดึงมันออกไปจากกายสาวก่อนจะแนบฝ่ามือลงบนทรวงอกอวบใหญ่ เสียงหวานแหบพร่าดังออกมาจากกลีบปากเล็ก “ร้องได้เลยจ้ะฟองจ๋า ผัวอยากได้ยินเสียงหวาน ๆ ของฟองที่สุด” “โถ่...จะปิดทำไมละจ๊ะสร้อยจ๋า” แม่เจ้าโว้ย! ใหญ่ฉิบหายเลย ใหญ่จนเขาอยากเห็นใกล้ ๆ อยากได้ลิ้มลองรสชาติในตอนนี้เลย “เดี๋ยวเราสองคนจะไม่เพียงแค่ได้เห็นทุกซอก...ทุกมุมของสร้อยแล้ว เราสองคนจะทั้งจับ...ทั้งเลีย แล้วก็อัดกระแทกให้ร่องสวาทของสร้อยแทบพังไปเลยจ๊ะ” ตรวนสวาทนางไพร : ใครกันแน่ที่เป็นผู้ล่า ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ แน่ใจหรือว่าแพรพลอยคือเหยื่อให้ห้าหนุ่มอย่างพวกเขาเสพสวาทอย่างเร่าร้อน “ไม่เอาอย่างนี้นะโรม...อย่าทำแพรเลยนะ” แพรพลอยร้องห้ามเสียงสั่นพร่าเมื่อรู้ว่าโรมรันจะทำอะไร ไหนจะหนุ่ม ๆ ทั้งสี่ที่ไร้อาภรณ์ปกปิด ทำให้เธอได้เห็นอาวุธของแต่ละคนที่มันช่าง...ใหญ่! ไหนจะคำพูดที่บอกก่อนหน้านี้ที่บอกว่า...จะอัดกระแทกเธอให้ยับ! ทำเอาเธอถึงกับกับหวาดหวั่นไม่ใช่น้อย ยิ่งตอนนี้ทุกคนได้มายืนล้อมรอบเธอแล้วด้วย “พี่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหมจ๊ะ...ที่น้องแพรบอกว่าอย่าช้า ให้พวกเรารีบเอาน้องแพรเร็ว ๆ นะ”
เพียงแค่เห็นหน้า เขาก็ถูกใจแล้ว แม้เธอจะมีลูกติดมา เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อย ยังคงตามเอาใจลูกสาวตัวน้อยและจีบเธออย่างไม่ลดละ “เย้ เย้ แม่เอาอีกหนุก หนุก เอาอีก เอาอีก” โซดาเริ่มลุยน้ำลงไปกอบทรายที่เปียกน้ำใส่ศีรษะอันนิโต้เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด สิมิลันหัวเราะจนท้องแข็ง อันโตนิโอ้เอาคืนคนอารมณ์ดีด้วยการกอบทรายเปียกใส่ร่างบางบ้าง “ว้าย! เล่นอะไรนะคุณสกปรกจะตาย” “อ้าวที่คุณกับลูกทำผมล่ะ นี่แนะ” มือใหญ่ขยี้ผมบนศีรษะสิมิลัน โซดาเริ่มเอาอย่างสองมืออวบขยี้ผมบนศีรษะมารดาและศีรษะตัวเองจนยุ่งเหยิงและเปียกชื่น แล้วยืนหัวเราะเสียงใสแจ๋ว ดวงตาเป็นประกายสดใส ยิ้มจนเห็นฟันในปากแทบทุกซี่ “ไม่เลิกใช่ไหมคุณเอ โซดารุมพ่อเอเลยลูก” สองมือเล็กเรียวผลักร่างใหญ่ลงนอนบนพื้นทราย พร้อมกอบทรายเปียกชื้นละเลงบนกายแข็งแกร่ง สองแรงแข็งขันสองมือรุมกอบทรายละเลงบนกายหนาใหญ่จนเปียกชื้น ยังไม่พอสองนิ้วเล็กๆ จี้ไปเอวหนาจนชายหนุ่มหัวเราะท้องแข็ง โซดาเองก็เอาอย่างคนเป็นแม่ มือใหญ่ทั้งห้านิ้วจี้เอวแข็งแกร่ง อันโตนิโอ้ก็ไม่ยอมแพ้ มือใหญ่จี้เอวสองแม่ลูกกลับบ้าง เสียงหัวเราะของสองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กดังลั่นหาดทรายสีขาว
เพราะครอบครัวเกิดเรื่องไม่ดี เขมกรจึงตัดสินใจทำการแลกเปลี่ยนกับใครบางคน...จากนั้นเขาก็กลายมาเป็นคุณชายเกาหยุนเอ๋อร์ที่ไร้ความทรงจำ ที่...ก่อเรื่องราวไว้นั่นคือ การป่าวประกาศต่อหน้าผู้คนว่าจะเป็น “ฟูเหรินของซ่งหยวนเจ๋อ” อีกฝ่ายคงจะโกรธเขาอยู่นะ ถึงได้ตามติดไม่ยอมห่าง หรือว่าเขาเข้าใจอะไรผิดไป เพราะการตามติดของซ่งหยวนเจ๋อทำให้เขาเริ่มรู้สึกแปลก ๆ แต่คงเท่าอีกฝ่ายที่เดี๋ยวก็เลี้ยงอาหารเขา เดี๋ยวก็ให้เขาขี่หลัง นั่นก็มิหนักเท่ากับคอยป้อนอาหารเขานะสิ... หยุนเอ๋อร์...” ซ่งหยวนเจ๋อเอ่ยเรียกเสียงเข้มแต่นุ่มนวล ขณะทอดสายตาที่อบอุ่นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนสบกับดวงตาของเกาหยุนเหลียง “ไม่...ดื้อนะ” หากมิใช่ถูกซ่งหยวนเจ๋อกอดกระชับเอวเอาไว้...เกาหยุนเหลียงรู้เลยว่าเข่าตนเองจะต้องอ่อนยวบทรุดลงไปกองอยู่บนพื้นแน่นอน ไหนจะหัวใจที่มันเต้นราวกับจะทะลุออกมาจากอกอีกเล่า ทำให้เขาคิดว่า กลับถึงเรือนเมื่อไหร่ ควรให้ท่านแม่เชิญท่านหมอมาดูหน่อย เหตุใดถึงได้มีอาการประหลาดเช่นนี้มากนักเมื่ออยู่กับซ่งหยวนเจ๋อ ถ้าหากว่าเป็นอะไรร้ายแรงจะได้รีบทำการรักษาได้ทันท่วงที “ดีมาก...หยุนเอ๋อร์ที่ไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่เกเร ทำตัวเป็นอันธพาล...น่ารัก”
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
ผมต้องทำงานนอกเวลาทุกวันเพื่อหารายได้ประคองชีวิตและจ่ายค่าเรียนมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง เนื่องจากฐานะครอบครัวยากจนและไม่สามารถส่งเสียผมเข้ามหาวิทยาลัยได้ และตอนเรียนที่มหาวิทยาลัย ผมก็ได้พบกับเธอ-สาวแสนสวยที่หนุ่มๆ ทุกคนในชั้นเรียนต่างก็ใฝ่ฝันถึง ไม่เว้นแม้แต่ผมเอง แต่ผมก็รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเธอ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผมก็รวบรวมความกล้าสารภาพกับเธอจนได้ สุดท้ายผมนึกไม่ถึงว่าเธอจะยอมตกลงเป็นแฟนกับผม เธอบอกกับผมว่าอยากได้ของขวัญเป็นไอโฟนรุ่นล่าสุด ผมก็ไปรับงานซักเสื้อผ้าให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนเพื่อพยายามเก็บเงินซื้อให้เธอจนได้ และในที่สุดหนึ่งเดือนต่อมา ผมก็ซื้อมาได้จริง ๆ แต่ขณะที่ผมกำลังห่อของขวัญเพื่อนำไปมอบให้เธอ ก็พบว่าเธอกำลังมีอะไรกับหัวหน้าทีมฟุตบอลในห้องล็อกเกอร์ เธอเหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งผมไม่เคยรู้จักเลย เธอหัวเราะเยาะความโง่เขลาของผม เหยียดหยามศักดิ์ศรีของผม ปล่อยให้เขาซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นแฟนใหม่ของเธอไปแล้ว ทุบตีผม ผมนอนเจ็บอยู่บนพื้นอย่างสิ้นหวัง ต่อมา จู่ ๆ ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพ่อ ตั้งแต่วันนั้น ชีวิตของผมก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างกับหนัามือเป็นหลังมือ ใครจะไปรู้ว่า ผมเป็นลูกชายของมหาเศรษฐี
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
"นางเป็นบุตรีผู้สูงศักดิ์ของฮูหยินเอกของจวนเสนาบดี นางมีหน้าตาโดดเด่น ทั้งอ่อนโอนและมีน้ำใจไมตรีต่อผู้อื่น แต่... นางทำดีต่อป้าของนาง นางกลับฆ่าแม่ของนางตาย นางรักเอ็นดูน้องสาวของนาง แต่น้องสาวกลับแย่งสามีของนางไป นางคอยสนับสนุนและดูแลสามีของนางอย่างสุดหัวใจ แต่สามีกลับทำให้นางตายทั้งกลม...ตระกูลฝ่ายมารดาของนางก็ถูกประหารชีวิตทั้งตระกูลด้วย นางตายตาไม่หลับและสาบานว่าหากมีชาติหน้า นางจะไม่เมตาตาต่อใครอีก ใครก็ตาม กล้ามาทำร้ายข้า ข้าจะล้างแค้นด้วยชีวิตทั้งตระกูลของพวกเจ้า เมื่อเกิดใหม่อีกครั้ง นางอายุได้สิบสี่ปี นางสาบานว่าจะต้องเปลี่ยนชะตากรรมและแก้แค้นชาติก่อน ป้านางใจ้ร้าย นางจะใจร้ายกลับยิ่งกว่านาง นางคิดจะได้ครองตำแหน่งฮูหยินงั้นเหรอ บอกเลยไม่มีทาง! ส่วนน้องสาวชอบผู้ชายชั่ว ๆ นักไม่ใช่หรือ ได้!ข้าจะยกให้เลย ส่วนชายชั่วนั่น ข้าจะทำให้เจ้าไม่สามารถมีทายาทได้อีกตลอดทั้งชาติ!แต่ข้าจะแก้แค้น เหตุใดเจ้าต้องมาช่วยข้าด้วย?"
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"