“พี่ภีมโกรธวาเรื่องอะไรคะ” “หยุด! ต่อไปนี้เธอไม่ต้องเรียกฉันว่า ‘พี่’ ฉันมียายพลอยเป็นน้องสาวเพียงคนเดียวเท่านั้น” น้ำเสียงดุกร้าวไม่แพ้แววตา “นี่มันอะไรกันคะวางงไปหมดแล้ว พี่ภีมช่วยอธิบายให้วาเข้าใจหน่อยได้ไหมคะ” หญิงสาวร้องขอความกระจ่างจากเขา ยังคงสะอื้นไห้อยู่เช่นเดิม “อธิบายเหรอ... ยังจะต้องให้ฉันอธิบายอะไรอีก หรือต้องการให้ฉันประจานต่อหน้าป้าอิ่มและนวลว่าเธอมันเลวชาติ... หน้าด้าน หน้าทน ขนาดไหน” “คุณภีม! / พี่ภีม!” วาทิตา นางอิ่ม อุทนทานเรียกชื่อเขาพร้อมๆ กันเลยทีเดียว ด้วยคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดเหล่านี้ออกจากปากเขาได้ “อยากรู้ว่าตัวเองเลวยังไง ฉันว่าไอ้นี่คงจะอธิบายได้อย่างชัดเจนถึงความเลวของเธอนะวาทิตา” ภาคิน ปาก้อนกระดาษที่เขาขยำไว้ในมืออย่างโกรธแค้นจนกลายเป็นก้อนกลมๆ ใส่หน้าหญิงสาวอย่างแม่นยำ ทว่าหากเวลานี้ในมือเขาสามารถประจุไฟขึ้นมาได้กระดาษแผ่นนั้นคงไม่เป็นก้อนอยู่อย่างที่เห็น มันคงกลายเป็นเถ้ากระดาษไปนานแล้ว วาทิตารีบคลี่ก้อนกระดาษที่เขาปาใส่หน้าเธออย่างเต็มแรงจนแก้มขาวนวลข้างซ้ายขึ้นรอยแดงอย่างเห็นได้ชัดทันที นัยน์ตากลมโตค่อยๆ ไล่อ่านทุกตัวอักษรยิ่งอ่านสีหน้าก็ยิ่งถอดสี ศีรษะส่ายไปมาเล็กน้อย เหมือนต้องการส่งสัญญาณให้บุคคลที่กำลังจ้องมองอยู่ตรงหน้านั้นได้รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงตามข้อความในกระดาษนี้ สายตาชายหนุ่มที่กำลังจ้องมองประดุจเสือร้ายกำลังจ้องกวางน้อยและรอเวลาตะคลุบเหยื่อมาเป็นอาหารอันโอชะอยู่อย่างไม่ละสายตา ทำให้เขาเห็นทุกอากัปกิริยาของเธอ เขากระตุกยิ้มมุมปากนิดหนึ่งอย่างเหยียดๆ “ไม่จริง! นะคะพี่ภีม ไม่จริง”
โครม!
สรรพสิ่งทุกอย่างที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานขนาดย่อมจากที่เคยถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบก่อนหน้านี้โดยฝีมือภรรยาอันเป็นที่รักของเขา แต่บัดนี้ของเหล่านั้นมันกลับกระจัดจายอยู่บนพื้นห้องทำงานด้วยฝีมือเจ้าของห้องเอง ด้วยความโมโหจึงบันดาลโทสะเพิ่มกำลังของชายหนุ่มให้มีเรียวแรงมากพอที่จะกวาดเอาของทุกอย่างลงมาได้จนเกลี้ยงโต๊ะในคราเดียวได้เช่นนี้
เสียงดังสนั่นจากของที่กระทบพื้นห้องได้ไม่ถึงนาที เสียงร้องเอะอะมะเทิ่งพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ดูเหมือนกำลังวิ่งแข่งกันมานั้นดังมาแต่ไกล แต่เพียงครู่เดียวบุคคลทั้งหมดก็ปรากฏตัวภายในห้องทำงานซึ่งอยู่บริเวณชั้นล่างของคฤหาสน์หลังงาม ด้วยสีหน้าตื่นตระหนกตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ตายแล้ว! เกิดอะไรขึ้นคะคุณภีม ทำไมข้าวของถึงได้กระจายเต็มห้องแบบนี้คะ”
หญิงสูงวัยร่างท้วมซึ่งมาถึงเป็นคนแรกอุทานขึ้นพร้อมกับยกมือทาบอกอย่างตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า
ภาคิน ยังคงยื่นแน่นิ่งไม่ไหวติงแต่อย่างใด ในมือข้างหนึ่งกำกระดาษขนาดเกือบๆ เท่ากับกระดาษเอสี่เห็นจะได้ ทว่ามองดูดีๆ แล้วจะเห็นว่ากระดาษแผ่นนั้นจะอ่อนบางกว่า อีกทั้งมีเส้นขั้นบรรทัดไว้ ส่วนอีกมือเขากำไว้แน่นชนิดที่ว่าหากมีของมีคมอยู่ในมือข้างนั้นเลือดแดงสดคงจะไหลเป็นทางไปแล้ว
แววตาขี้เล่น เจ้าเล่ห์ ซ่อนไว้ซึ่งความอบอุ่น ของคาสโนว่าหนุ่มได้หายไปโดยสิ้นเชิง ทว่าเวลานี้มีเพียงแววตาที่ฉายความดุดัน โกรธแค้น อย่างที่ไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อน แม้แต่หญิงสูงวัย นามว่า นางอิ่ม ซึ่งเป็นผู้เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่อ้อนแต่ออกเองด้วย
“เกิดอะไรขึ้นคะ ป้าอิ่ม” เสียงหวานไพเราะคุ้นหูของทุกคนในบ้านดังขึ้นภายหลัง หลังจากเด็กในบ้านอีกคนวิ่งไปรายงานเธอว่ามีเสียงดังสนั่นในห้องทำงานของผู้เป็นสามี ทำให้เธอต้องละจากการจัดแจกันดอกไม้ที่บริเวณโซนนั่งเล่นนอกตัวคฤหาสน์ออกไปทันที
ทว่าเสียงหวานใสคุ้นหูนั้นกลับกลายเป็นฉนวนเพิ่มแรงพายุให้รวมตัวขึ้นอีกครั้ง และดูเหมือนจะหนักกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว
“ป้าก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะคุณวา ป้าขึ้นมาก็เจอสภาพนี้แล้ว”
นางอิ่มหันมารายงานหญิงสาวผู้เข้ามาใหม่ทันควัน น้ำเสียงยังคงไม่คลายความวิตกลงไป
“เกิดอะไรขึ้นคะพี่ภีม”
วาทิตาหันไปถามสามีแทน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ดีเท่ากับคนที่ยื่นนิ่งอยู่ หญิงสาวขยับเท้าหวังเดินตรงเข้าไปหาเขาอีกนิด ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกจากที่เดิมร่างเล็กต้องหยุดชะงักแทบจะทันที เมื่อเสียงแห่งอำนาจ แฝงด้วยความหมางเมินดังขึ้นอย่างชัดเจน
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ”
ไม่เพียงแต่น้ำเสียงเท่านั้นที่แสดงความหมางเมิน แววตาก็ไม่ต่างอะไรจากน้ำเสียงนั้นเลย เขามองเธอราวกับเธอเป็นคนแปลกหน้าเช่นนั้น
วาทิตายืนนิ่ง ความสับสน มึนงง แทรกเข้ามาทันที เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้เป็นสามี ทำไมสามีที่รักถึงไม่ให้เธอเข้าใกล้ แล้วยังสายตาที่มองเธอเหมือนคนแปลกหน้านั้นอีกเล่า มิหนำซ้ำเขายังแสดงท่าทีเหมือนขยะแขยงตัวเธออย่างเห็นได้ชัด ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะหยุดหรือห้ามเธอเข้าใกล้เหมือนครั้งนี้ มีแต่จะหาโอกาสใกล้ชิดเธอตลอดเวลา
‘มันเกิดอะไรขึ้นใครก็ได้ช่วยบอกที พี่ภีมของน้องวา เป็นอะไรไป’ วาทิตาได้แต่เพียงร่ำร้องหาคำตอบอยู่ในอกเท่านั้น
“พรีม ๆ หยุดก่อน” เขาร้องเรียกหญิงสาวเอาไว้ เสียงดังฟังชัดทำเอาเด็กน้อยถึงกับหันมามองคนเรียก “คุณลุง” น้องพอวาเห็นหน้าก็จำได้ว่า เขาคือคนที่ได้เจอที่หน้าห้องน้ำเมื่อตอนมาถึงที่ร้าน พริมาภาตกใจไม่น้อยที่ได้ยินบุตรสาวร้องทักเขาขึ้น จริงอยู่ว่าหญิงสาวต้องการให้เขารับรู้ว่าเด็กที่เธอจับมือเอาไว้อยู่นี้คือเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา หากแต่ไม่ใช่ตอนนี้ “น้องพอวา” “คุณลุงจำชื่อน้องพอวาได้ด้วย” เด็กน้อยบอกเสียงแจ๋วด้วยดีใจที่มีคนจำชื่อตัวเองได้ “จำได้สิคะ” “น้องพอวา หนูรู้จักคุณ ... เอ่อ คุณลุงด้วยเหรอคะ” “คุณลุงช่วยน้องพอวากดสบู่ให้ตอนน้องพอวาล้างมือค่ะ” เด็กน้อยบอกเสียงใสเลยทีเดียว “พรีม เด็กคนนี้ ...” “น้องพอวาเป็นลูกสาวพรีมค่ะ” เธอไม่รีรอที่จะบอกออกไปเช่นนั้น เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปิดไม่ให้เขารู้ว่าเธอมีลูกแล้ว คำตอบนั้นทำให้ใบหน้าหล่อคมเข้มถึงกับร้อนวูบขึ้นมา พร้อม ๆ กับหลากหลายความรู้สึกที่วิ่งแทรกเข้ามา ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นความรู้สึกอะไรกันแน่
หากไม่ใช่เพราะพินัยกรรมฉบับนั้นเธอคงไม่ได้เป็นเจ้าสาวของเขาในวันนี้หรอก “ก็แค่สามปี” กัญญ์ณรัณพยายามปรับเสียงให้เป็นปกติที่สุด “ฉันคงไม่ปล่อยให้รตีต้องรอฉันจนถึงสามปีหรอก” “แต่ในพินัยกรรมบอกว่าเราต้องใช้ชีวิตแบบสามีภรรยากันสามปีนะคะ” “เธอก็เป็นเมียฉันไปตามพินัยกรรมบ้าบออะไรนั่นไปสิ ส่วนฉันก็จะเป็นผัวในแบบของฉัน และจำไว้ว่ารตีคือคนที่ฉันรัก และจะเป็นเมียฉันคนเดียวเท่านั้น”
นิยายรัก แบบฉบับครอบครัว นางเอกแยกทางกับพระเอกโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองท้อง แล้วกลับมาเจอกันอีกครั้ง ตอนลูกสาวโตอายุได้ปรมาณ 4 ขวบ
“นี่คุณ ปล่อยฉันนะไม่อย่างนั้นฉันจะตะโกนเรียกคุณป๋า ท่านจะได้รู้ว่าคุณมันไว้ใจไม่ได้” น้ำเสียงเธอตกใจอยู่ไม่น้อยที่จู่ ๆ ก็โดนอีกฝ่ายจู่โจมถึงตัวเอาแบบนี้ “คุณไม่รู้หรอกหรือว่าคุณป๋าคุณเปิดทางให้ผมแค่ไหน” เขากระซิบข้างหูคนตัวเล็กอย่างจงใจ “ปล่อยฉันนะ คุณอย่ามารุ่มร่ามกับฉันแบบนี้นะ” “รุ่มร่ามที่ไหนกันก็แค่กอดเมีย” คนกวนพยายามจะหอมแก้มขาวนวล ทว่าอีกฝ่ายหลบได้ทันเสียก่อน “นี่คุณ” ไม่ได้ห้ามอย่างเดียว ทว่ากำปั่นเล็กทุบเข้าที่หน้าอกเขาเต็มแรง แต่ดูเหมือนคนทุบจะเจ็บมือเองเสียเปล่า ๆ เพราะมันไม่ได้สะทกสะท้านหรือระคายเคืองอะไรกับแผงอกหนาเอาเสียเลย “ถ้ายอมให้หอมก็จะปล่อย” “มันจะมากไปแล้วนะ” เสียงที่ดังลอดไรฟันค่อนข้างเอาเรื่อง “แค่หอมมากไปทีไหนกัน ... โอ๊ย! นี่คุณชาติก่อนเป็นหมาหรือไง” ศิวัฒน์ยังไม่ทันได้กวนโทสะอีกฝ่ายจนสุด ก็ต้องร้องเสียงหลงออกมาเมื่อคนในวงแขนแข็งแรงหันไปกัดเอาที่ต้นแขนนั้นจมเขี้ยว ทำเอาคนที่กำลังคิดว่าตัวมีชัยอยู่ถึงกับต้องปล่อยแขนออกจากเอวบางทันที
นางเจ็บปวดปางตายเมื่อเขาโยนร่างบอบช้ำทิ้งไว้หลังจวนโดยไม่แยแส เมิ่งลี่เฟยน้ำตาไหลพรากทว่ากลับไม่ทำให้คนที่เพิ่งเหยียบย่ำร่างกายเล็กเห็นใจแต่ประการใด"เฝ้านางเอาไว้ให้ดีอย่าให้ออกมาทำเรื่องชั่วอีก"
“หยุดทำบ้าๆ นะพี่สิงห์...อ๊อย...” น้ำผึ้งขนลุกซู่ เขาจูบไซ้ซอกคอของหล่อน ขณะหญิงสาวกำลังยืนส่องกระจกอยู่หน้าอ่างล้างหน้า “พี่ขออีกนิด แค่ภายนอกเท่านั้นนะจ๊ะ ไม่เสียหายอะไรนี่นา...นะครับ” พี่เขยปะเหลาะปะแหละอย่างคนเอาแต่ได้ เสียงออดอ้อนอ่อนหวานเริ่มทำให้น้องเมียใจอ่อนหวามไหว ปล่อยให้มือของเขาเคล้นคลึงสะโพกของหล่อนอย่างนึกมันเขี้ยว สอดท่อนแขนเข้ามาระหว่างง่ามก้น หงายฝ่ามือลูบไล้เข้ามาถึงหนอกเนื้ออุ่นจัดอีกครั้ง ตะล่อมล้วงเข้ามาโอบเนินนูนเหมือนหลังเต่า บีบขยำเบาๆ เหมือนจะประมาณความอวบใหญ่ล้นอุ้งมือ “ของผึ้งใหญ่จัง” มือสัมผัสกลีบเนื้อเป็นพูแน่น โหนกนูนและใหญ่กว่าของเจนนี่มากมาย “อ๊าย...” น้ำผึ้งเสียว กระดกก้นขึ้นโดยอัตโนมัติ สิงหาบีบขยำความเป็นผู้หญิงของหล่อนเป็นจังหวะ หัวใจเต้นแรงกับความอวบใหญ่ที่อัดแน่นอยู่ในอุ้งมือของตน “อย่า...พี่สิงห์...หยุดเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวพี่เจนนี่มาเห็นผึ้งซวยแน่ๆ” น้องเมียร้องห้ามอย่างสับสนใจ ส่ายก้นทำท่าว่าจะดิ้นหนี แต่ช้ากว่ามือใหญ่ของสิงหาอีกข้างที่กดลงบนแผ่นหลังของหล่อนเหมือนจะล็อกกายไม่ให้ขยับหนี
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
เฉียวลู่ นักแสดงแถวหน้าของจีนมีข่าวฉาวออกมาทำให้ทางต้นสังกัดของเธอสั่งให้เธองดออกสื่อชั่วคราว จึงเป็นโอกาสที่หาได้ยากสำหรับคนงานยุ่งตลอดทั้งปีของเธอที่จะได้พักผ่อน เฉียวลู่เดินทางกลับบ้านเกิดของเธอและการกลับไปครั้งนี้ทำให้ชีวิตของเฉียวลู่เปลี่ยนไปตลอดการ ฉีหมิงเยี่ยน อนุชาองค์เล็กของฮ่องเต้แห่งแคว้นฉี ถูกลอบปลงพระชนม์ระหว่างที่เดินทางมาทำหน้าที่เจรจาสงบศึกกับเเเคว้นเซียว เพราะได้รับบาดเจ็บสาหัสทำให้ชินอ๋องความจำเสื่อมและได้รับการช่วยเหลือจากพ่อลูกตระกูลเฉียว เซียวยิ่น ฮ่องเต้แคว้นเซียวมีพระสนมมากมายเเต่กลับไม่สามารถให้กำเนิดพระโอรสได้โหรหลวงได้ทำนายเอาไว้ว่า ในอนาคตองค์รัชทายาทที่แท้จริงจะกลับมาเซียวยิ่นจึงมีรับสั่งให้ทหารออกตามหาพระโอรสและอดีตฮองเฮาของตนอย่างลับๆ ฉินอี้เหยา ได้รับบาดเจ็บสาหัสร่างลอยตามแม่น้ำมาพร้อมกับเด็กทารกในอ้อมแขนเมื่อฟื้นขึ้นมานางจึงแสร้งจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้ เพื่อให้นางและบุตรชายมีชีวิตรอดต่อไป
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
ผมต้องทำงานนอกเวลาทุกวันเพื่อหารายได้ประคองชีวิตและจ่ายค่าเรียนมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง เนื่องจากฐานะครอบครัวยากจนและไม่สามารถส่งเสียผมเข้ามหาวิทยาลัยได้ และตอนเรียนที่มหาวิทยาลัย ผมก็ได้พบกับเธอ-สาวแสนสวยที่หนุ่มๆ ทุกคนในชั้นเรียนต่างก็ใฝ่ฝันถึง ไม่เว้นแม้แต่ผมเอง แต่ผมก็รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเธอ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผมก็รวบรวมความกล้าสารภาพกับเธอจนได้ สุดท้ายผมนึกไม่ถึงว่าเธอจะยอมตกลงเป็นแฟนกับผม เธอบอกกับผมว่าอยากได้ของขวัญเป็นไอโฟนรุ่นล่าสุด ผมก็ไปรับงานซักเสื้อผ้าให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนเพื่อพยายามเก็บเงินซื้อให้เธอจนได้ และในที่สุดหนึ่งเดือนต่อมา ผมก็ซื้อมาได้จริง ๆ แต่ขณะที่ผมกำลังห่อของขวัญเพื่อนำไปมอบให้เธอ ก็พบว่าเธอกำลังมีอะไรกับหัวหน้าทีมฟุตบอลในห้องล็อกเกอร์ เธอเหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งผมไม่เคยรู้จักเลย เธอหัวเราะเยาะความโง่เขลาของผม เหยียดหยามศักดิ์ศรีของผม ปล่อยให้เขาซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นแฟนใหม่ของเธอไปแล้ว ทุบตีผม ผมนอนเจ็บอยู่บนพื้นอย่างสิ้นหวัง ต่อมา จู่ ๆ ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพ่อ ตั้งแต่วันนั้น ชีวิตของผมก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างกับหนัามือเป็นหลังมือ ใครจะไปรู้ว่า ผมเป็นลูกชายของมหาเศรษฐี