กู้เฟยหลง หัวหน้าหน่วยอวี้หลิน ขุนนางผู้ซึ่งทำงานขึ้นตรงต่อองค์ฮ่องเต้ เสียชีวิตจากการตามสืบราชการลับ ทั้งที่ได้ให้สัญญาไว้กับฮูหยินของตนเองว่าจะรีบกลับมาฉลองเทศกาลหยวนเซียวด้วยกัน หยางลี่อิน หญิงสาวที่เข้มแข็ง มีความรู้ทางด้านการแพทย์ ต้องสูญเสียสามีไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ แต่ด้วยความสามารถพิเศษ ทำให้นางรู้ว่าสามีของนางยังไม่จากไปไหน แต่จะทำเช่นไร เมื่อสามีกลับจำนางไม่ได้ เพราะรักจึงท้าทายสวรรค์ ฝืนหวนกลับคืนมายังโลกเบื้องหลัง แต่สวรรค์ใช่ว่าใครก็สามารถท้าทายได้ ราคาที่ต้องจ่าย มักแพงกว่าเสมอ…
เสียงผีผากังวาน กระจ่างใสดุจสายธาร
เสียงเอ้อร์หูกรีดร้อง เปล่งปลั่งราวบุปผา
เสียงหลัวกู่คำราม ก้องสะเทือนถึงแผ่นฟ้า
สามประสานประหนึ่งผ่าลงกลางเมืองหลวง
ยามสนธยา สายลมวสันต์ฤดูพัดเอื่อย กลีบดอกหลีฮวาขาวโพลนส่งกลิ่นหอมฟุ้งกำจายทั่วเมือง ย้อมนครหลวงฉางอันให้กลายเป็นสีขาวราวกับถูกปกคลุมด้วยหิมะจากลมหนาว
รัชสมัยเกาจงที่ 18 เดือน 1 ตามจันทรคติ
ใจกลางเมืองหลวง นกกระเรียนกระดาษโบยบินและตกลงบนหลังคาร้านค้ามากมายที่ประดับประดาด้วยโคมหลากสีสัน ผู้คนจำนวนมากต่างถือโคมไฟกระดาษเดินไปมาอย่างขวักไขว่ ความคึกคักของเมืองหลวงฉางอันเกิดจากเทศกาลงานโคมไฟประจำปี
ทางทิศเหนือของเมืองหลวง ณ คฤหาสน์แห่งหนึ่ง หน้าประตูปักด้วยตัวอักษรสีทองว่า ‘หยาง’ อย่างหรูหรา แสดงถึงความยิ่งใหญ่โอ่อ่าดั่งผืนมหาสมุทร
ภายในคฤหาสแห่งนี้ ปรากฏเรือนพักรูปร่างโดดเด่น พื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง ดอกเหลียนฮวากลางสระที่ติดกับศาลาริมบึงส่งกลิ่นหอมจางๆ กลางสวนหย่อมประดับด้วยแท่นหินใหญ่ ตรงกลางมีน้ำตกจำลองสายเล็ก ๆ ให้ความชุ่มชื่นและร่มเย็น
ทว่าเรือนพักที่ใหญ่โตและหรูหราเช่นนี้กลับไม่มีบ่าวรับใช้เลยแม้แต่คนเดียว เหมือนว่าข้าวของภายในเรือนทั้งหมดจะถูกจัดเตรียมโดยหยางลี่อิน ฮูหยินเพียงหนึ่งเดียวของจวน หญิงสาวมีอายุยี่สิบหกปี นางสวมใส่ชุดฮั่นฝูสีขาวอ่อน เผยเนินอกสีขาวอมชมพู กระโปรงสีครามยาวถึงข้อเท้าจรดพื้น หว่างเอวผูกด้วยเชือกสีฟ้าอ่อน มวยผมเกล้าขึ้นหลวม ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ
ปิ่นปักผมสีเขียวทำจากหยกเนื้อดี บนร่างกายผุดผาดมีเพียงเครื่องประดับเรียบง่ายแสดงถึงรสนิยมที่มากแต่น้อย ผิวพรรณขาวนวล ดวงตากลมโตสุกใส ใบหน้าผัดแป้งและเขียนคิ้วเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วแสดงให้เห็นถึงความงดงามอ่อนโยนไม่แพ้ผู้ใด นางใช้หลังมือเช็ดไปที่เม็ดเหงื่อบนหน้าผาก สองมือบอบบางกำลังปูพรมแดงที่หน้าประตู
ทันใดนั้นเอง ดรุณีน้อยอายุราว ๆ สิบห้าปี ใบหน้าเรียวเล็ก สวมใส่อาภรณ์สีเขียว วิ่งเข้ามาด้วยความเร็ว นางดึงพรมแดงมาจากอีกฝ่ายและทำการปูด้วยตัวเอง
“ฮูหยิน เรื่องพวกนี้ให้บ่าวทำเองเถิดเจ้าค่ะ”
หลังจากปูพรมแดงเสร็จ สาวใช้คนสนิทของหยางลี่อินจึงกึ่งผลักกึ่งประคองพานางไปนั่งบนเตียง หญิงสาวพยายามลุกขึ้นแต่ก็ถูกอีกฝ่ายขวางไว้
“ฮูหยิน ตรงนี้ให้บ่าวจัดการเองเถิดนะเจ้าคะ”
“เสี่ยวจู ข้าบอกแล้วว่าข้าอยากจัดเตรียมทุกอย่างด้วยตัวเอง”
“หากฮูหยินมาเสียแรงกับเรื่องพวกนี้ เมื่อนายท่านมาถึงแล้วฮูหยินเกิดเหนื่อยล้าและหลับไป จะไม่เสียดายแย่หรือเจ้าคะ”
เสี่ยวจู สาวใช้ข้างกายลี่อินที่รับใช้นางมาตั้งแต่อายุได้ 12 ปีเอ่ยขึ้นอย่างห่วงใย นางเป็นเด็กใจกล้าและมีความฉลาดเฉลียว อีกทั้งยังสนิทสนมกับลี่อินมาก จึงรู้ดีว่าต้องใช้คำพูดอย่างไรถึงจะหยุดคุณหนูของนางไว้ได้
วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติของปีก่อน เป็นวันมงคลสมรสระหว่างหยางลี่อินและกู้เฟยหลง แต่ด้วยเหตุที่กู้เฟยหลงเป็นถึงหัวหน้าหน่วย ‘อวี้หลิน’ ควบคุมกองทหารม้า มีงานทั้งในและงานนอกล้นมือ เวลาที่ทั้งสองคนได้ใช้ร่วมกันจึงน้อยกว่าคู่สามีภรรยาทั่ว ๆ ไป
กู้เฟยหลงเป็นขุนนางตงฉิน ทำแต่ความชอบไม่หวังลาภยศ บำเหน็จที่ขุนนางกู้กราบทูลขอต่อฝ่าบาทคือการได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับภรรยาในงานเทศกาลหยวนเซียว
หลังจากที่ลี่อินได้รับข่าว นางดีใจเป็นอย่างมาก และเป็นเสี่ยวจู ดรุณีน้อยผู้มีความคิดเกินวัยเป็นตัวการวางแผนแจกจ่ายเงินให้คนรับใช้ในจวนออกไปสนุกสนานกับงานเทศกาลเพื่อให้เจ้านายทั้งสองได้มีเวลาเป็นส่วนตัวให้มากที่สุด
ถึงแม้ลี่อินจะเข้าใจในความจำเป็นและหน้าที่ของสามี แต่บางครั้งนางเองก็รู้สึกเหงา ทว่าเพราะสามีทำงานเพื่อบ้านเมือง ภรรยาย่อมต้องสนับสนุน นางจึงไม่เคยปริปากออกมาแม้เพียงครึ่งคำ
เมื่อผู้เป็นนายไม่สบายใจ บ่าวรับใช้คนสนิทอย่างเสี่ยวจูเองก็กลัดกลุ้มตามไปด้วย นางจึงแนะนำฮูหยินของจวนไปตามตรงถึงเรื่องการมีทายาท
“หากฮูหยินมีบุตรชายหรือบุตรสาวตัวน้อย ๆ คงจะดีไม่น้อยนะเจ้าคะ เพราะเวลาที่นายท่านไม่อยู่ ฮูหยินเองก็จะได้ไม่เหงา”
หยางลี่อินเองก็เห็นดีเห็นงามด้วยกับความคิดนั้น นางคิดว่าเมื่อสามีกลับมาถึงบ้านก็จะพูดถึงเรื่องการมีทายาทออกไป
หลังจากที่เสี่ยวจูตกแต่งและประดับสถานที่ด้วยโคมไฟระย้าจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ภายในเรือนก็อบอวลด้วยกลิ่นกำยาน สร้างบรรยากาศที่หวานชื่นให้แก่คู่นกยวนยาง และเมื่อเสี่ยวจูหันมาเห็นว่าคุณหนูของตัวเองหลับไป จึงออกจากห้องไปเงียบ ๆ
เรื่องราวนี้ได้เริ่มจากการที่ “ที่รัก” สาวสวยพนักงานใหม่ ตกลงยินยอมแกล้งเป็นแฟนปลอม ๆ ให้ “กันต์ธี” ประธานบริษัทหนุ่มสุดหล่อมาดนิ่ง เจ้าของธุรกิจมากมายรวมทั้งบริษัทที่เธอได้ทำงานอยู่ แต่จากแค่แกล้งเป็นแฟนปลอม ๆ หลายสิ่งหลายอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อทั้งคู่เริ่ม “แอบมีใจให้กัน” เพราะตอนที่ใช้เวลาร่วมกันนั้นได้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย ทั้งวายป่วงน่าปวดหัว สนุก มีความสุข และอบอุ่นหัวใจ แต่ด้วยเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ในตอนต้น ด้วยสถานะทางสังคมที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง พวกเขาจะกล้าก้าวข้ามเส้นความแตกต่างนั้นหรือไม่? ความรักของทั้งสองจะก่อเกิดขึ้นมาได้จริงหรือ?
สวี่กงเหมย บุตรสาวบุญธรรมของปรมาจารย์หมื่นพิษ ต้องคอยเป็นผู้ดูแลและปรุงยาให้กับเขา ท่านแม่ทัพแห่งแดนเหนือ ตั้งแต่อยู่บนหุบเขาหมื่นพิษ แล้วยังต้องตามไปดูแลถึงชายแดนเหนือและในเมืองหลวงจนกว่าจะครบหนึ่งปี เซวียนจางหย่ง แม่ทัพแห่งชายแดนเหนือ ผู้ที่มีศักดิ์และฐานะอันสูงส่ง ในชีวิตนี้ คุณหนูนางใด หญิงสาวคนไหน ที่ว่ามีความเพียบพร้อมในทุกด้าน ตัวเขากลับมิเคยชายตาแล แต่คงใช้ไม่ได้กับสาวน้อยบ้านป่าคนนี้ เจอกันครั้งแรกนางก็หมายยิงเขาด้วยธนูเสียเเล้ว จากนั้นตัวเขาและนางก็กลายเป็นเหมือนน้ำมันกับไฟ ถึงแม้นางจะกลั่นแกล้งเขาไว้มากน้อยเพียงไหนในตอนที่อยู่ในหุบเขาหมื่นพิษ เขากลับมิเคยโกรธ และไม่รู้ว่านานเพียงใด ที่ไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น สายตาของเขาก็มีไว้เพียงมองนางเท่านั้น
สูงศักดิ์ดั่งจักรพรรดิ หรือสามัญชนเช่นบัณฑิต ล้วนถูกพิชิตด้วยภรรยาตัวน้อย สามีจวนอื่นข้านั้นไม่รู้ แต่สองอาหลานราชวงศ์จิ่งล้วนถูกภรรยากลั่นแกล้ง ชุนเสี่ยวป๋าย จะให้ทำอย่างไรได้เล่า บัณฑิตเฒ่าผู้นั้นมิเคยมีท่าทีพึงใจในสตรีนางใด หากชุนเสี่ยวป้ายเฝ้ารอให้เขาเข้ามาทำความรู้จักนางเองแล้วนั้นคงไม่มีวันได้ครองรักกันแน่ ดังนั้นนางจึงต้องบอกกล่าวด้วยตัวเองเสียเลย บัณฑิตเฒ่าผู้แสนหล่อเหลาเจ้าคะ ข้าจะไปเกี้ยวท่านเอง... อู่ซุนต้าเอ้อร์ นางถูกเขาจับพลิกแพลงตะแคงคว่ำอยู่นาน เขาก็ยังมิยอมสงบ พายุรักโหมกระหน่ำดูดแรงกายของอู่ซุนต้าเอ่อร์จนแทบหมดสิ้น ทนแทบมิไหว พลั่ก!! โครม!! รู้ตัวอีกทีทั้งห้องก็เงียบสงัดไร้เสียงหอบกระเส่าและครวญครางเหมือนเมื่อครู่ ร่างเปลือยเปล่าล่อนจ้อนของจักรพรรดิน้อยลงไปกองอยู่ข้างตั่งเตียงโดยมีปลายเท้าของนางยื่นออกไป เหลียนไช่ บัณฑิตเหลียนไช่ซุกไซร้ลำคอขาวของภรรยา เขาสูดดมและขบเม้ม ไล้มือไปทั่วกายนุ่มของนางอย่างหลงใหล มิไหวแล้ว... เขามิอาจทนความน่ารักของชุนเสี่ยวป๋ายได้อีกแล้ว.... “ข้าพลาดแล้วจริงๆ ที่สัญญาว่าจะอ่อนโยนกับเจ้า” จิ่งซานหวง “มิใช่ว่าหม่อมฉันต้องปรนนิบัติพระองค์เหมือนสามีภรรยาหรอกหรือเพคะองค์จักรพรรดิ” “ก็มิใช่ว่าข้าให้เจ้าปรนนิบัติอยู่หรอกหรือ” เขาว่าพลางหลับตาลงไม่อยากมองหน้าสนมโจว นางจึงต้องจำใจอ่านตำราให้เขาฟังอย่างเสียมิได้ คิดมิถึงว่าจักรพรรดิน้อยจะหาทางหลบเลี่ยงการร่วมเตียงกับนางจนได้ ล่วงรู้ไปถึงไหนอับอายไปถึงนั่น ท่ามกลางความซ่านเสียวอู่ซุนต้าเอ่อร์ก็อดถอนใจให้กับตนเองมิได้ คราแรกคิดว่าคืนนี้นางจะได้นอนสบายมิต้องโดนเขาเคี่ยวกรำอยู่แล้วแท้ ๆ แล้วเหตุใดนางจึงยังถูกเขาจับกินได้อีกเล่า!!
สูงศักดิ์ดั่งจักรพรรดิ หรือสามัญชนเช่นบัณฑิต ล้วนถูกพิชิตด้วยภรรยาตัวน้อย สามีจวนอื่นข้านั้นไม่รู้ แต่สองอาหลานราชวงศ์จิ่งล้วนถูกภรรยากลั่นแกล้ง ชุนเสี่ยวป๋าย จะให้ทำอย่างไรได้เล่า บัณฑิตเฒ่าผู้นั้นมิเคยมีท่าทีพึงใจในสตรีนางใด หากชุนเสี่ยวป้ายเฝ้ารอให้เขาเข้ามาทำความรู้จักนางเองแล้วนั้นคงไม่มีวันได้ครองรักกันแน่ ดังนั้นนางจึงต้องบอกกล่าวด้วยตัวเองเสียเลย บัณฑิตเฒ่าผู้แสนหล่อเหลาเจ้าคะ ข้าจะไปเกี้ยวท่านเอง... อู่ซุนต้าเอ้อร์ นางถูกเขาจับพลิกแพลงตะแคงคว่ำอยู่นาน เขาก็ยังมิยอมสงบ พายุรักโหมกระหน่ำดูดแรงกายของอู่ซุนต้าเอ่อร์จนแทบหมดสิ้น ทนแทบมิไหว พลั่ก!! โครม!! รู้ตัวอีกทีทั้งห้องก็เงียบสงัดไร้เสียงหอบกระเส่าและครวญครางเหมือนเมื่อครู่ ร่างเปลือยเปล่าล่อนจ้อนของจักรพรรดิน้อยลงไปกองอยู่ข้างตั่งเตียงโดยมีปลายเท้าของนางยื่นออกไป เหลียนไช่ บัณฑิตเหลียนไช่ซุกไซร้ลำคอขาวของภรรยา เขาสูดดมและขบเม้ม ไล้มือไปทั่วกายนุ่มของนางอย่างหลงใหล มิไหวแล้ว... เขามิอาจทนความน่ารักของชุนเสี่ยวป๋ายได้อีกแล้ว.... “ข้าพลาดแล้วจริงๆ ที่สัญญาว่าจะอ่อนโยนกับเจ้า” จิ่งซานหวง “มิใช่ว่าหม่อมฉันต้องปรนนิบัติพระองค์เหมือนสามีภรรยาหรอกหรือเพคะองค์จักรพรรดิ” “ก็มิใช่ว่าข้าให้เจ้าปรนนิบัติอยู่หรอกหรือ” เขาว่าพลางหลับตาลงไม่อยากมองหน้าสนมโจว นางจึงต้องจำใจอ่านตำราให้เขาฟังอย่างเสียมิได้ คิดมิถึงว่าจักรพรรดิน้อยจะหาทางหลบเลี่ยงการร่วมเตียงกับนางจนได้ ล่วงรู้ไปถึงไหนอับอายไปถึงนั่น ท่ามกลางความซ่านเสียวอู่ซุนต้าเอ่อร์ก็อดถอนใจให้กับตนเองมิได้ คราแรกคิดว่าคืนนี้นางจะได้นอนสบายมิต้องโดนเขาเคี่ยวกรำอยู่แล้วแท้ ๆ แล้วเหตุใดนางจึงยังถูกเขาจับกินได้อีกเล่า!!
อานนท์ ชายหนุ่มโสดอายุ 25 ปี หน้าตาดาษดื่น เติบโตมาจากบ้านเด็กกำพร้าอุ่นไอรัก อาชีพหลักคือการขายอาหารตามสั่งในฟู๊ดเซนเตอร์ห้างดัง อาชีพรองเป็นผู้ช่วยนักเขียนนิยาย รับจ้างหาข้อมูลต่าง ๆ ส่งให้กับนักเขียน งานไหนได้เงิน อานนท์ทำทั้งหมด ในวันหยุดยาว กลางวันนอกจากต้องไปยืนทำอาหารตามสั่ง กลางคืนยังต้องมานั่งหาข้อมูลส่งให้ผู้ว่าจ้างงานด่วนอีก ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ วิญญาณจึงบ๊ายบายจากโลกเก่า ไปเกิดใหม่ในร่างของจางอี้หมิง บุตรชายตัวน้อยอายุ 5 ขวบของบัณฑิตจาง ที่ถูกบ้านหลักมอบหนังสือแยกบ้าน พร้อมขับไล่ครอบครัวให้มาอยู่บ้านนอก อุตส่าห์ได้กลับมาเกิดใหม่ทั้งทีในครอบครัวที่อบอุ่น มีพ่อ แม่ และย่าตามที่อานนท์เคยฝันไว้ แต่ทำไมถึงแถมความยากจนมาให้เขาด้วย ชาติก่อนก็สู้ชีวิตจนตาย มาชาตินี้ชีวิตสู้กลับยิ่งกว่านิยายที่เขาเคยอ่านเสียอีก นี่สินะ!!! ของฟรีไม่มีในโลก มันต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนกันอย่างสมน้ำสมเนื้อ
อานนท์ ชายหนุ่มโสดอายุ 25 ปี หน้าตาดาษดื่น เติบโตมาจากบ้านเด็กกำพร้าอุ่นไอรัก อาชีพหลักคือการขายอาหารตามสั่งในฟู๊ดเซนเตอร์ห้างดัง อาชีพรองเป็นผู้ช่วยนักเขียนนิยาย รับจ้างหาข้อมูลต่าง ๆ ส่งให้กับนักเขียน งานไหนได้เงิน อานนท์ทำทั้งหมด ในวันหยุดยาว กลางวันนอกจากต้องไปยืนทำอาหารตามสั่ง กลางคืนยังต้องมานั่งหาข้อมูลส่งให้ผู้ว่าจ้างงานด่วนอีก ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ วิญญาณจึงบ๊ายบายจากโลกเก่า ไปเกิดใหม่ในร่างของจางอี้หมิง บุตรชายตัวน้อยอายุ 5 ขวบของบัณฑิตจาง ที่ถูกบ้านหลักมอบหนังสือแยกบ้าน พร้อมขับไล่ครอบครัวให้มาอยู่บ้านนอก อุตส่าห์ได้กลับมาเกิดใหม่ทั้งทีในครอบครัวที่อบอุ่น มีพ่อ แม่ และย่าตามที่อานนท์เคยฝันไว้ แต่ทำไมถึงแถมความยากจนมาให้เขาด้วย ชาติก่อนก็สู้ชีวิตจนตาย มาชาตินี้ชีวิตสู้กลับยิ่งกว่านิยายที่เขาเคยอ่านเสียอีก นี่สินะ!!! ของฟรีไม่มีในโลก มันต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนกันอย่างสมน้ำสมเนื้อ
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
อวิ๋นเจินอาศัยอยู่ในตระกูลอวิ๋นมาเป็นเวลา 20 ปี กลับพบว่าเธอเป็นลูกสาวปลอม พ่อแม่บุญธรรมของเธอวางยาเธอเพื่ออยากจะได้เงินมาลงทุน หลังจากที่อวิ๋นเจินรู้เรื่องนี้ เธอก็ถูกไล่กลับไปที่ชนบท จากนั้นเธอก็ค้นพบว่าตัวเองคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลเฉียวและมีชีวิตที่หรูหราสุด ๆ หลังจากกลับมา เธอได้รับความรักจากครอบครัวและมีชื่อเสียงโด่งดัง น้องสาวจอมปลอมใส่ร้ายอวิ๋นเจิน แต่เธอไม่คาดคิดว่าอวิ๋นเจินจะมีความสามารถต่างๆ เมื่อต้องเผชิญกับการยั่วยุ เธอได้แสดงความสามารถและทักษะต่างๆ มากมายเพื่อจัดการผู้รังแก มีข่าวลือกันว่าอวิ๋นเจินยังคงโสด และชายหนุ่มชื่อดังแห่งเมืองงก็ผลักเธอไปเข้ากำแพง "คุณนายกู้ ถึงตามราเปิดเผยตัวตนได้แล้วนะ"
“หยุดทำบ้าๆ นะพี่สิงห์...อ๊อย...” น้ำผึ้งขนลุกซู่ เขาจูบไซ้ซอกคอของหล่อน ขณะหญิงสาวกำลังยืนส่องกระจกอยู่หน้าอ่างล้างหน้า “พี่ขออีกนิด แค่ภายนอกเท่านั้นนะจ๊ะ ไม่เสียหายอะไรนี่นา...นะครับ” พี่เขยปะเหลาะปะแหละอย่างคนเอาแต่ได้ เสียงออดอ้อนอ่อนหวานเริ่มทำให้น้องเมียใจอ่อนหวามไหว ปล่อยให้มือของเขาเคล้นคลึงสะโพกของหล่อนอย่างนึกมันเขี้ยว สอดท่อนแขนเข้ามาระหว่างง่ามก้น หงายฝ่ามือลูบไล้เข้ามาถึงหนอกเนื้ออุ่นจัดอีกครั้ง ตะล่อมล้วงเข้ามาโอบเนินนูนเหมือนหลังเต่า บีบขยำเบาๆ เหมือนจะประมาณความอวบใหญ่ล้นอุ้งมือ “ของผึ้งใหญ่จัง” มือสัมผัสกลีบเนื้อเป็นพูแน่น โหนกนูนและใหญ่กว่าของเจนนี่มากมาย “อ๊าย...” น้ำผึ้งเสียว กระดกก้นขึ้นโดยอัตโนมัติ สิงหาบีบขยำความเป็นผู้หญิงของหล่อนเป็นจังหวะ หัวใจเต้นแรงกับความอวบใหญ่ที่อัดแน่นอยู่ในอุ้งมือของตน “อย่า...พี่สิงห์...หยุดเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวพี่เจนนี่มาเห็นผึ้งซวยแน่ๆ” น้องเมียร้องห้ามอย่างสับสนใจ ส่ายก้นทำท่าว่าจะดิ้นหนี แต่ช้ากว่ามือใหญ่ของสิงหาอีกข้างที่กดลงบนแผ่นหลังของหล่อนเหมือนจะล็อกกายไม่ให้ขยับหนี
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
เมื่อเซิ่งหนิงเตรียมจะบอกฮั่วหลิ่นเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของเธอ ทว่ากลับพบเขาช่วยพยุงผู้หญิงอีกคนลงจากรถอย่างเอาใจใส่... เคยคิดว่าตนเองอยู่เคียงข้างฮั่วหลิ่นคอยดูแลเขามาสามปี สักวันหนึ่งเขาจะมาสามารถสร้างความประทับใจให้กับเขา แต่สุดท้ายเป็นตนเองที่คิดเองเออเองไปฝ่ายเดียว เซิ่งหนิงตายใจแล้วจากไป สามปีต่อมา ข้างกายของเธมีผู้ชายอีกคนหนึ่ง และฮั่วหลิ่นเสียใจมาก เจาพูดด้วยความโศกเศร้า "เซิ่งหนิง เรามาแต่งงานกันเถอะ" เซิ่งหนิงยิ้มอย่างเฉยเมย "ขออภัยนะคุณฮั่ว ฉันมีคู่หมั้นแล้ว"
หลัวเจิง ผู้ตกจากที่สูงกลายเป็นทาสที่ต่ำต้อย มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาพบวิธีฝึกในตัวเองให้กลายเป็นอาวุธโดยบังเอิญ สงครามการต่อสู้เริ่มขึ้นทันที และพึ่งพาความเชื่ออันแรงกล้าในการไม่ยอมจำนน เขาพยายามแก้แค้นและไล่ตามความฝันอันยิ่งใหญ่ นักรบจากชาติพันธุ์ต่าง ๆ ต่อสู้เพื่อความเป็นเจ้าโลกและโลกก็ปั่นป่วน อาศัยร่างกายที่เปรียบได้กับอาวุธวิเศษ หลัวเจิงเอาชนะศัตรูจำนวนมากบนเส้นทางสู่ความเป็นอมตะ ในที่สุดเขาจะทำสำเร็จหรือไม่?