ดาวน์โหลดแอป ฮิต
หน้าแรก / โรแมนติก / บุตรชายตัวน้อยของบัณฑิตจาง 5
บุตรชายตัวน้อยของบัณฑิตจาง 5

บุตรชายตัวน้อยของบัณฑิตจาง 5

5.0
22 บท
1.3K ชม
อ่านเลย

เกี่ยวกับ

สารบัญ

อานนท์ ชายหนุ่มโสดอายุ 25 ปี หน้าตาดาษดื่น เติบโตมาจากบ้านเด็กกำพร้าอุ่นไอรัก อาชีพหลักคือการขายอาหารตามสั่งในฟู๊ดเซนเตอร์ห้างดัง อาชีพรองเป็นผู้ช่วยนักเขียนนิยาย รับจ้างหาข้อมูลต่าง ๆ ส่งให้กับนักเขียน งานไหนได้เงิน อานนท์ทำทั้งหมด ในวันหยุดยาว กลางวันนอกจากต้องไปยืนทำอาหารตามสั่ง กลางคืนยังต้องมานั่งหาข้อมูลส่งให้ผู้ว่าจ้างงานด่วนอีก ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ วิญญาณจึงบ๊ายบายจากโลกเก่า ไปเกิดใหม่ในร่างของจางอี้หมิง บุตรชายตัวน้อยอายุ 5 ขวบของบัณฑิตจาง ที่ถูกบ้านหลักมอบหนังสือแยกบ้าน พร้อมขับไล่ครอบครัวให้มาอยู่บ้านนอก อุตส่าห์ได้กลับมาเกิดใหม่ทั้งทีในครอบครัวที่อบอุ่น มีพ่อ แม่ และย่าตามที่อานนท์เคยฝันไว้ แต่ทำไมถึงแถมความยากจนมาให้เขาด้วย ชาติก่อนก็สู้ชีวิตจนตาย มาชาตินี้ชีวิตสู้กลับยิ่งกว่านิยายที่เขาเคยอ่านเสียอีก  นี่สินะ!!! ของฟรีไม่มีในโลก มันต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนกันอย่างสมน้ำสมเนื้อ

บทที่ 1 น้ำมันลูกหนาม

ในเช้าวันถัดมา ณ เรือนหลักของเถ้าแก่หลินไห่ ทุกคนต่างนั่งกินอาหารมื้อเช้าร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง

บรรยากาศช่างชื่นมื่น มีแต่รอยยิ้มและความสดใส อากาศก็ช่างเป็นใจ บนท้องฟ้าไร้ซึ่งร่องรอยของเมฆฝนมีเพียงเมฆสีขาวลอยละล่องไปบนท้องฟ้า สายลมเอื่อย ๆ พัดผ่านทำให้อากาศไม่ร้อนไม่หนาวกำลังดี

“หมิงหมิงน้อย หากกินข้าวเสร็จแล้วเจ้ามีเหตุอันใดให้ทำหรือไม่ในวันนี้” หลินไห่เอ่ยถามหลานชายตัวน้อยเมื่อเห็นว่าทุกคนกินข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังดื่มชาล้างปากกันอยู่

“ท่านปู่ ข้าว่าจะถามท่านปู่อยู่พอดีขอรับ ข้าว่าจะขอยืมตัวท่านลุงอู๋สักหนึ่งชั่วยามได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงถามกลับไปแทนคำตอบ

“หมิงเอ๋อร์ ลูกจะให้ท่านลุงอู๋ทำอันใดให้หรือ” จางอี้เทาเอ่ยถามบุตรชายด้วยความสงสัย

“ท่านพ่อ ข้าจะให้ท่านลุงอู๋ไปสอนการทำอาหารจากน้ำมันลูกหนามให้ชาวบ้านดูขอรับ แต่เพียงแค่วันนี้เท่านั้น วันต่อไปก็ให้พี่ชายหมินไปทำแทนได้ขอรับ อีกอย่างข้าอยากขอใช้เหลาซิ่งฝูเป็นสถานที่สอนการทำอาหารด้วยขอรับ เหตุเพราะว่าที่เหลาซิ่งฝูมีอุปกรณ์การทำครัวครบครัน อยู่ใจกลางเมืองไห่ถัง

ยิ่งในช่วงนี้มีชาวบ้าน คหบดี เศรษฐีจากทั้งในเมืองไห่ถังเองและเมืองรอบ ๆ มาเที่ยวชมเทศกาล ข้าหวังจะใช้โอกาสนี้ทำการประชาสัมพันธ์สินค้าของกลุ่มการค้าหลัวถงขอรับ”

“หมิงหมิงน้อย เจ้าช่างฉลาดหลักหลักแหลมเสียจริง เจ้าคงหวังให้ชาวบ้านรู้สึกว่าตนเองไม่ไร้ซึ่งฐานะใช่หรือไม่ คิดดูสิ ได้พ่อครัวที่ชนะการประกวดจนทำให้ได้เป็นเหลาอาหารอันดับหนึ่งของเมืองมาสอนการทำอาหารเช่นนี้ ใครจะมิอยากมาเรียน และที่สำคัญไม่มีการหวงวิชาด้วยนอกจากนี้เหลาซิ่งฝูจะได้มีชื่อเสียงจากความใจดีในครั้งนี้ กลุ่มการค้าหลัวถงก็จะเป็นที่รู้จักไปทั่วเมืองเนื่องจากความใจดีในการเปิดรับคู่ค้าด้วย ความคิดนี้ช่างล้ำลึก ล้ำลึกจริง ๆ”

เถ้าแก่หลินไห่ถึงกับกล่าวชมหลานชายตัวน้อยเสียใหญ่โต จางอี้

หมิงได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ เรื่องเพียงเท่านี้ใคร ๆ ก็คิดได้หรือไม่ แต่ช่างเถอะ หากท่านปู่มีความสุขเขาเองก็มีความสุขด้วยเช่นกัน

“ท่านปู่ ท่านพ่อ ในตอนกลางวันพวกเราทำการค้า ส่วนในตอนหัวค่ำ ข้าขอให้ท่านปู่ส่งพี่ชายอาคุนไปรับท่านพี่ซูลี่กับพี่ชายหมิงเย่ที่หมู่บ้านหลัวถงให้มาเที่ยวงานเทศกาลกับข้าได้หรือไม่ขอรับ ข้าคิดถึงพวกพี่ชายพี่สาวยิ่งนัก” จางอี้หมิงออดอ้อนจางอี้เทาและท่านปู่ เพราะตั้งแต่เตรียมตัวสำหรับทำอาหารเพื่อเข้าแข่งขัน เขาก็ไม่มีเวลาได้เที่ยวเล่นกับซูลี่และหมิงเย่เลย

ในตอนนี้ทุกอย่างลงตัวหมดแล้ว เขาก็อยากใช้ชีวิตเป็นเด็กน้อยที่ไม่ต้องรับผิดชอบอันใดให้ยุ่งยากมากมายในช่วงงานเทศกาลนี้บ้าง

“ปู่อนุญาต แต่ว่าบิดามารดาครอบครัวของเพื่อนเจ้าเขาจะอนุญาตหรือไม่เล่า” หลินไห่เอ่ยถาม

“เช่นนั้นข้าจะไปรับเด็กสองคนนั้นมาเอง พี่ชายเย่คงไม่ว่าอันใด เอ้อ! ท่านพ่อบุญธรรมขอรับ หากว่าท่านพี่เย่กับครอบครัวต้องการมาเที่ยวในตัวเมืองช่วงเทศกาลด้วย พวกเขาพอจะพักที่เรือนของท่านพ่อบุญธรรมได้หรือไม่ขอรับ ข้าเกรงว่าที่โรงเตี้ยมคงไม่มีห้องว่างเป็นแน่” จางอี้เทาเห็นว่าทางบ้านซุนก็ทำงานหนักมาตลอดทั้งปี เห็นสมควรได้มาเที่ยวพักผ่อนหย่อนกายด้วยจะเป็นการดี จึงได้เอ่ยถามขึ้นด้วยความเกรงใจ

“อาเทา เหตุใดจะไม่ได้เล่า เรือนของข้าก็มีห้องให้พักอีกตั้งมากมาย อีกอย่างพวกเขาก็ดีต่อพวกเจ้าถึงเพียงนี้ ถือเสียว่าข้าได้ตอบแทนบุญคุณบ้านซุนก็แล้วกัน”

หลินไห่เอ่ยอนุญาต เขารับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับบ้านซุนมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าบ้านจางจะตอบแทนบุญคุณไปแล้ว แต่ก็ดั่งคำที่พระท่านได้กล่าวไว้ บุญคุณตอบแทนทั้งชีวิตก็ไม่มีวันหมด คนกตัญญูถึงจะรุ่งเรือง

“ท่านพ่อ รถม้าของเหลาซิ่งฝูคันเดียวคงนั่งกันมาไม่หมดแน่ ไหนจะสัมภาระอีก เช่นนั้นก็ขอให้รถม้าจวนอ๋องไปด้วยอีกคันเถอะขอรับ ท่านพ่ออย่าลืมบอกท่านปู่ถงและท่านลุงเย่ว่าให้มาเที่ยวจนหมดเทศกาลเลยนะขอรับ หลังจากนี้พวกเราต้องทำงานหนักขึ้นมากเพราะข้าจะเปิดรับคู่ค้าเพิ่มมากขึ้นขอรับ ให้พวกเขามาเที่ยวพักผ่อนก่อนกลับไปทำงานใหญ่ก็เป็นความคิดที่ดียิ่ง”

อี้หมิงมิวายเอ่ยกำชับบิดาเรื่องรถม้าอีกคัน ซึ่งจางอี้เทาเห็นด้วยและเขาจะดำเนินการทันทีที่กินข้าวเสร็จ

“หมิงหมิงน้อย เช่นนั้นเจ้าก็ไปทำธุระกับท่านปู่เถิด แต่ขอให้กลับมาเรือนไวหน่อยได้หรือไม่ ย่าใหญ่มีชุดใหม่เตรียมไว้ให้เจ้าเพื่อสวมใส่ไปเดินเที่ยวชมงานในคืนนี้ หวังว่าเด็กน้อยเพื่อนเจ้าอีกสองคนคงมาเวลาเดียวกัน เดี๋ยวย่าใหญ่จะไปเตรียมชุดไว้ให้เด็กสองคนนั้นด้วย” ตู้จินเหมย

กล่าว นางเองก็ไม่ยอมน้อยหน้าสามี แต่นางเป็นเพียงสตรีคงทำได้เพียงเท่านี้

“หากกินอิ่มแล้ว พวกเราก็เตรียมตัวไปกันเถอะ วันนี้ปู่จะทำพิธีขึ้นป้ายเหลาอาหารอันดับหนึ่งด้วย เสร็จแล้วเราก็ค่อยเปิดสอนการทำอาหารจากน้ำมันลูกหนาม เช่นนี้ดีหรือไม่” หลินไห่ถามเด็กน้อยคนสำคัญของบ้าน

“ดีที่สุดขอรับท่านปู่”

“เช่นนั้นย่ากับแม่ของเจ้าจะไปช่วยท่านย่าใหญ่เตรียมชุดสวย ๆ ไว้สำหรับทุกคนในคืนนี้และเตรียมอาหารอร่อยๆ ไว้รอทุกคนดีหรือไม่” นางหูเสนอสิ่งที่ตนจะทำระหว่างวันขึ้นมาบ้าง

“ดียิ่งขอรับท่านย่า แต่ข้าขอเป็นชุดสีแดงนะขอรับ สีอื่นข้าไม่เอา” จางอี้หมิงต่อรองด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ส่งผลให้ผู้ใหญ่ทุกคนหัวเราะกับความน่ารักของเขา เพราะทุกคนต่างก็รู้ว่าเด็กน้อยตรงหน้าชื่นชอบสีแดงเป็นที่สุด

วันนี้หน้าเหลาอาหารซิ่งฝูคึกคักกว่าครั้งไหนๆ เถ้าแก่หลินไห่ อู๋เจ๋อ อู๋หมิน ซีฮัน พ่อครัวรวมถึงคนงานทั้งหมดกำลังขะมักเขม้นและยืนส่งเสียงบอกให้คนงานที่กำลังขึ้นป้าย

‘เหลาอาหารอันดับหนึ่งของเมืองไห่ถัง’

ที่ได้รับมาจากการแข่งขันการทำอาหารเมื่อวานนี้ด้วยความสนุกสนานและมีความสุข ในที่สุดแล้ว...ความฝันของพวกเขาก็เป็นจริงเสียทีหลังจากที่รอมาหลายขวบปี

“เจ้าบื้ออาเหิง ขยับไปทางซ้ายหน่อย”

“ไม่ ไม่ ข้าว่ามันต้องขยับขึ้นทางด้านขวานะ”

“พวกเจ้าตาเสียหรือเช่นไร ป้ายมันเอียงไปทางขวาต่างหากเล่า”

และอีกหลายคำบอก จนทำให้อาเหิงที่กำลังขึ้นป้ายอยู่นั้นเหงื่อตกกับคำของเหล่าเพื่อนร่วมงาน เขาไม่รู้จะทำตามผู้ใด เถ้าแก่หลินไห่เห็นว่าชักจะเลยเถิดไปแล้วจึงได้สั่งให้หยุดเล่นเสียที

“พอ ๆ พวกเจ้าก็เป็นเช่นนี้ ไปแกล้งอาเหิงทำไม อาเหิง...เจ้าก็รู้ว่าพวกเขาแกล้งเจ้า แล้วก็ยังจะไปทำตามอีก พวกเจ้าหาใช่เด็กน้อยไม่” เถ้าแก่หลินเอ่ยเตือนเสียงเข้ม แต่ใคร ๆ ก็รู้ว่าเถ้าแก่หลินแกล้งทำเสียงดุไปเช่นนั้นเอง เพราะใบหน้าของชายชราเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“มิเป็นไรขอรับเถ้าแก่ หากพวกเขาแกล้งข้าแล้วมีความสุขก็ไม่เป็นไร ทำเช่นไรได้ พวกเรากำลังมีความสุข ลำบากขึ้นมาอีกนิดหน่อยก็หาได้เป็นอันใดไม่ขอรับ ข้ารู้ว่าพวกเขาแค่หยอกเย้าข้าเล่นเพียงเท่านั้น”

อาเหิงตอบเถ้าแก่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม น้ำเสียงสดใส หาได้มีความขุ่นเคืองในการกระทำของเพื่อนร่วมงานไม่

“หึ เจ้าก็เป็นเสียเช่นนี้ พวกนั้นถึงได้ใจ”

“โธ่ เถ้าแก่ขอรับ พวกเราแค่เย้าอาเหิงเล่นเพียงเท่านั้นเองขอรับ พวกเราออกจะรักอาเหิงถึงเพียงนี้ จริงหรือไม่อาเหิง” คนงานเหลาอาหารซิ่งฝูเอ่ยบอกเถ้าแก่หลินและหันไปถามอาเหิงอย่างหยอกเย้า

“อือ”

“เอ้ เถ้าแก่ขอรับ เหตุใดเหลาเฟิงฟู่ถึงได้เงียบเช่นนั้นเล่าขอรับ ช่วงเทศกาลเช่นนี้เหตุใดถึงปิดเหลาเล่าขอรับ” อู๋หมินเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย หลังจากที่ขึ้นป้ายเหลาอาหารอันดับหนึ่งเสร็จสิ้นแล้ว เขาถึงได้สังเกตเหลาอาหารตรงข้ามที่เงียบสนิท

“หึ สมควรปิดเหลาไปเสียได้ก็ดีแล้วอาหมิน ข้าสังเกตเห็นมาตั้งแต่เช้าแล้วจึงไปสืบมา ได้ความว่าเหล่าคนในตระกูลเการู้สึกอับอายขายหน้ากับการกระทำของเถ้าแก่เกา จนเขาถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้นำตระกูลและถูกขับไล่ออกจากตระกูลด้วย เห็นว่าผลการตัดสินจะเป็นเช่นไร เถ้าแก่เกาก็มิเกี่ยวข้องกับตระกูลเกาแล้ว”

ซีฮันเอ่ยด้วยน้ำเสียงแค้นเคือง เขายังจำคำดูถูกเหยียดหยามที่ตนเองได้รับมาตลอดหลายปีมานี้ได้ดี

“เฮ้อ เหตุใดถึงใจร้ายต่อกันเช่นนี้ มิใช่ว่าเพราะเถ้าแก่เกาหรอกหรือ

คนในตระกูลเกาจึงได้อยู่อย่างสุขสบายมาจนถึงทุกวันนี้ ทำผิดเพียงครั้งถึงกับทอดทิ้งตัดขาดขับไล่ออกจากตระกูล เหตุใดมิคิดถึงช่วงที่ทำความดีความชอบแต่เก่าก่อนบ้าง”

เถ้าแก่หลินได้แต่เอ่ยออกมาเสียงแผ่วเบา เขาเองรู้สึกสงสารเถ้าแก่เกาไม่น้อย ทั้งสองขับเคี่ยวแข่งขันกันมาทั้งชีวิต อยู่ดี ๆ อีกฝ่ายพลาดพลั้งเดินทางผิดจึงตกใจไม่น้อย ยิ่งเมื่อได้มารับฟังจุดจบของคนที่เคยแข่งขันกันมา เขาก็ยิ่งรู้สึกเสียใจ แต่คงช่วยอันใดมิได้เพราะคดีฆ่าคนตายเป็นโทษหนักนัก

ทว่าเถ้าแก่หลินยังมิทันหายจากอาการเสียใจ เขาก็ได้ยินเสียงเล็ก ๆ เรียกชื่อตนเองมาแต่ไกล

“ท่านปู่ ท่านปู่ขอรับ ข้ามาแล้ว”

เป็นจางอี้หมิงที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหา หลังจากที่เด็กน้อยกระโดดลงจากรถม้าของร้านเถ้าแก่หวังและเอ่ยขอบคุณไปครั้งหนึ่งที่มาส่งเขาถึงเหลาอาหารซิ่งฝู

“หมิงหมิงน้อย อย่าวิ่ง ระวังหกล้ม” หลินไห่เอ่ยเตือนเด็กชายด้วยความร้อนรน

“โอ๊ะ อ้า” จางอี้หมิงแกล้งทำท่าทางจะล้มลงก่อนจะวิ่งอย่างมั่นคงมาหาปู่ของตนพร้อมรอยยิ้ม

“เห็นไหมขอรับ ข้าไม่ล้ม ข้าแค่วิ่งแก้เมื่อย นั่งรถม้ามามันช่างเหนื่อยยิ่งนัก”

“นี่แน่ะ แกล้งให้ปู่ตกใจเล่น เป็นสิ่งที่เจ้าสมควรทำเช่นนั้นหรือ” เถ้าแก่หลินดีดหน้าผากหลานชายไปเบา ๆ หนึ่งที

“โธ่ ท่านปู่ ท่านช่างไม่มีอารมณ์สุนทรีเอาเสียเลย”

“พอ ๆ พอได้แล้ว ไปพบเถ้าแก่หวังแล้วเป็นอย่างไรบ้าง” เถ้าแก่หลินเอ่ยถามหลานชายหลังจากที่ทั้งคู่และคนงานกำลังเดินกลับเข้าไปในเหลาอาหารซิ่งฝู

“ไม่มีปัญหาขอรับ เถ้าแก่หวังเข้าใจดี ช่วงยามบ่ายพวกเราก็เปิดเหลาสอนทำอาหารได้เลยขอรับ” จางอี้หมิงตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง เขาชอบความรู้สึกตอนนี้เสียจริง อะไรก็เริ่มลงตัว เด็กน้อยหวังว่าจะมีช่วงเวลาเช่นนี้ไปนาน ๆ

เมื่อถึงเวลาตามที่ตกลงกันไว้ อู๋เจ๋อและอู๋หมิน รวมทั้งพ่อครัวทุกคนที่เข้าร่วมการแข่งขันก็มาตั้งโต๊ะอยู่หน้าเหลาอาหารซิ่งฝูเพื่อเปิดสอนการทำอาหารจากน้ำมันลูกหนาม ชาวบ้านที่มาเที่ยวงานและที่อาศัยอยู่ในเมืองไห่ถังต่างก็ให้ความสนใจ พวกเขามาร่วมชมการสาธิตการทำอาหารด้วยรายการอาหารง่าย ๆ ที่แม้แต่คนที่ว่ายากจนที่สุดก็ทำได้ ขอเพียงมีไข่เท่านั้น

นอกจากจะได้เรียนการทำอาหารแล้ว ชาวบ้านยังได้น้ำมันลูกหนามไปคนละไห จางอี้หมิงเป็นคนออกความคิดนี้ โดยมีเถ้าแก่หวังเป็นคนขนไหน้ำมันลูกหนามมาส่งให้ที่เหลาอาหารตามที่อี้หมิงได้ไปคุยไว้ในตอนเช้าวันนี้นั่นเอง

จางอี้หมิงเอาหลักการประชาสัมพันธ์สินค้ามาจากโลกยุคปัจจุบัน เขาเห็นบรรดาเคาท์เตอร์ชิมอาหารตามห้างต่าง ๆ ที่สอนการทำอาหารและมอบวัตถุดิบไปให้ทดลองมามากมาย เขาจึงอาศัยชื่อเสียงเหลาอาหารอันดับหนึ่ง พ่อครัวอันดับหนึ่ง และวิธีการทำอาหารที่แปลกใหม่ ทำง่าย ทั้งยังประหยัดเวลาและเงินมาร่วมด้วย เช่นนี้แล้วเหตุใดชาวบ้านจะมิชอบใจเล่า

นอกจากนี้จางอี้หมิงยังเปิดให้ผู้ที่ต้องการซื้อสินค้าเพื่อขายออกไปทั้งในเมืองไห่ถังเองและต่างเมืองได้มาลงชื่อเพื่อร่วมเป็นคู่ค้าในอนาคต ซึ่งจะทำการพูดคุยกันหลังจบงานเทศกาลไปแล้ว

จางอี้หมิงยืนดูอู๋เจ๋อที่ต้องตอบคำถามชาวบ้านคนแล้วคนเล่าจนต้องเรียกหาน้ำดื่มแล้วก็ได้แต่ยืนขำท่าทางของท่านลุงอู๋อยู่คนเดียว

แต่สงสัยกรรมจะตามสนองเขาเร็วทันตาไปเสียหน่อย บรรดาพ่อค้าเมื่อเห็นว่าเด็กชายยืนอยู่คนเดียวก็เข้ามารุมถามคำถามจากเขามิต่างกันกับท่านลุงอู๋ ส่งผลให้อู๋เจ๋อที่อธิบายอยู่คนเดียวมานานถึงกับระเบิดหัวเราะขึ้นมาอย่างมีความสุข

จางอี้หมิงได้แต่ยิ้มแห้งแล้วตอบคำถามไปเรื่อยๆ แม้จะเป็นเพียงเด็กน้อยแต่ก็เป็นผู้คิดค้นการทำอาหารแบบใหม่นี้ขึ้นมาจึงทำให้มีผู้คนมากหน้าหลายตาเข้ามารุมเขามากกว่าท่านลุงอู๋เจ๋อเสียอีก

แค่ยืนขำท่านลุงอู๋เพียงเดี๋ยวเดียว ทำไมถึงมีคนมารุมเขามากกว่าได้เสียล่ะ นี่สินะที่เขาว่าหัวเราะทีหลังดังกว่า เพราะเสียงหัวเราะของท่านลุงหัวหน้าพ่อครัวดังไกลไปสามบ้านแปดบ้านจริงๆ

โธ่...แกล้งใครทีไร ผลกรรมย้อนกลับมาไวทุกที จางอี้หมิงหัวจะปวด

อ่านต่อ
img ไปดูความคิดเห็นเพิ่มเติมที่แอป
ดาวน์โหลดแอป
icon APP STORE
icon GOOGLE PLAY