เพื่อนของผมดันหาเด็กสาวมาเป็นติวเตอร์ให้ แถมเธอก็กำลังแตกเนื้อสาวซะด้วย ( ความใสซื่อของเธอทำให้ผมสับสนเรื่องตามไปง้อเมียที่เมืองนอกแล้วทำไงดี )
• ACTION •
หลายครั้งที่คาร่าชวนผมไปเริ่มต้นชีวิตด้วยกันที่แอลเอกับพ่อแม่ของเธอ เพื่อใช้ชีวิตครอบครัวด้วยกันอย่างสามีภรรยา แต่ผมก็ยกเรื่องงานขึ้นมาอ้างบวกกับเรื่องที่ผมไม่ได้ภาษา เพราะการใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นโดยไม่มีเพื่อนไม่ได้อยู่ในสังคมเก่าๆ แถมยังไม่รู้ภาษามันคงเป็นชีวิตที่ยากลำบากมากๆ สำหรับผม
ซึ่งเธอก็ยอมให้ผมมาตลอดไม่ว่าจะเรื่องอะไร เธอยอมทิ้งพ่อแม่ที่แอลเอ ทิ้งเพื่อนสมัยเรียน ทิ้งสังคมที่มีมาอยู่กับผมที่บ้านหลังนี้ และหวังว่าผมจะสร้างครอบครัวร่วมกันกับเธอในสักวัน เธอยังคงเฝ้ารองานแต่งงานของเราให้เกิดขึ้น เฝ้ารอที่จะมีลูกน้อยด้วยกันตามแบบแผนครอบครัวสุขสันต์ที่เธอวาดไว้
แต่ช่วงที่ผ่านมาผมทั้งติดเพื่อน ติดดื่ม และติดเที่ยว จนทำให้คาร่าแฟนของผม เธอมักจะน้อยใจและงอนอยู่บ่อยๆ กับพฤติกรรมของผมที่เป็นอยู่ ซึ่งทุกครั้งที่เราทะเลาะกัน เธอก็มักจะพูดว่าจะหนีผมกลับไปอยู่กับพ่อและแม่ของเธอที่แอลเอ ทว่าผมได้ยินเธอพูดคำนี้มาประมานเกือบร้อยครั้งได้ ตลอดเวลาที่เราคบกันมาเกือบเจ็ดปี และก็ไม่คิดว่าเธอจะกล้าทำแบบนั้นจริงๆ จนวันนั้นที่ผมกลับมาบ้านแล้วไม่เจอเธออยู่ที่นี่เหมือนเคย...
เธอเก็บข้าวของทุกอย่างที่พอจะเอาไปได้ พาสปอร์ตและเอกสารสำคัญของเธอทั้งหมด ซึ่งนั่นทำให้ผมแน่ใจว่าเธอคงบินกลับไปหาพ่อกับแม่ของเธอที่แอลเอตามที่เคยพูดขู่ไว้ว่าจะทำ และตอนนี้ก็ผ่านมาสามวันแล้วที่ผมไม่สามารถติดต่อเธอได้...
ผับสุดหรูย่านอโศก...
ผับแห่งนี้เป็นหนึ่งในธุรกิจของกรณ์ ซึ่งเขามักจะมาขลุกตัวอยู่ที่นี่บ่อยๆ เพราะนอกจากจะได้ดื่มด่ำความสนุกกับเพื่อนๆ แล้ว ยังมีสาวๆ สวยๆ ให้มองเป็นอาหารตา ทั้งดาราชื่อดัง ไปจนถึงเซเลบ ต่างก็เลือกใช้บริการที่นี่ ส่วนหนึ่งก็อาจจะเพราะเจ้าของร้านอย่างกรณ์ ที่เป็นไฮโซชื่อดังในวงการบันเทิง และใครๆ ก็เรียกเขาว่า ‘ไฮโซกรณ์’
“สรุปเมียมึงกลับมาหรือยัง?”
“ยัง แต่เดี๋ยวก็น่าจะกลับ” กรณ์พูดตอบ ‘โปรด’ เพื่อนของเขาไปด้วยความมั่นอกมั่นใจเต็มร้อย
“เป็นกูคงไม่กลับมาแล้วล่ะ มีผัวเหี้ยๆ แบบนี้”
“ปากเหรอน่ะ ไอ้เวร...”
“กูพูดเรื่องจริงเว้ย แล้วถ้าสมมุติว่าคาร่าไม่กลับมาจริงๆ มึงจะทำยังไง?”
“ก็คง...ตามไปง้อมั้ง” แน่นอนว่าถ้าสิ่งที่ผมคิดมันผิดพลาด หากเธอไม่กลับมาจริงๆ ภายในอาทิตย์หรือสองอาทิตย์ ผมคงต้องทำอะไรสักอย่าง ซึ่งการตามไปง้อเธอที่แอลเอก็คงเป็นสิ่งที่ผมเลือกจะทำ และคงต้องคิดเรื่องการสร้างครอบครัวกับเธออย่างจริงจังมากขึ้น ทั้งเรื่องงานแต่งและเรื่องชีวิตใหม่ของผมกับเธอที่แอลเอ แม้การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดจะเป็นเรื่องที่ยากสำหรับผม แต่ถ้าจะต้องเสียเธอไปจริงๆ ก็คงถึงเวลาที่ผมต้องปรับตัวกับเรื่องนั้น
“แค่กูพูดเรื่องแต่งงาน คาร่าก็ใจอ่อนให้กูแล้ว…มึงคอยดู”
“เออกูจะคอยดู มึงทำให้ได้แล้วกัน จะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง...” โปรดพูดเตือนเพื่อนสนิทของเขาด้วยความหวังดี เพราะรู้นิสัยว่าเพื่อนของเขาเป็นคนกะล่อนแค่ไหน และหากว่ากรณ์เสียคาร่าไปจริงๆ เขารู้ดีว่าคนอย่างกรณ์ไม่มีทางเข้มแข็งได้แน่ อาจจะเป็นการเสียหลักครั้งใหญ่อีกครั้งในชีวิตของเขาเลยก็ได้
“กูรู้แล้ว สอนเป็นลูกเลยไอ้เวร” กรณ์นิ่งคิดตามคำที่โปรดพูดบอก และเริ่มหวั่นใจกลัวว่าคาร่าจะไม่กลับมาหาเขาจริงๆ ก่อนจะเอะใจกับบางเรื่องที่เขาควรให้ความสำคัญไม่ต่างกัน
“งั้นมึงช่วยหาติวเตอร์ให้กูหน่อยดิ เตรียมตัวไว้หน่อยก็ดี เผื่อว่ากูต้องไปอยู่ที่แอลเอจริงๆ ...”
“เออ เดี๋ยวกูถามพี่สาวให้ หลานกูเรียนภาษาอยู่...”
“อือ”
บ้านกรณ์เวลาตีสอง...
เมื่อกลับมาถึงบ้าน และมองไปรอบบริเวร บ้านที่ดูเงียบเหงานี้ทำให้เขารู้สึกว่าบ้านกว้างใหญ่กว่าปกติ ทั้งที่ก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว
“เฮ้อ~”
ชายร่างสูงทิ้งตัวนอนลงที่โซฟาหรูสีขาวครีมกลางบ้าน อาการเมากรึ่มๆ ของเขายิ่งทำให้ความเหงามีมากขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะเหมือนว่าเขาจะเพิ่งเห็นค่าบางอย่าง ที่เขาเคยละเลยไป คนที่เคยพูดบ่นเมื่อตอนที่เขากลับบ้านดึกหรือปาร์ตี้จนเช้า วันนี้ไม่มีเสียงของเธอพูดบ่นเขากับเรื่องเดิมๆ นั้นอีกแล้ว
“ไม่เปิดอ่านไลน์ด้วยซ้ำ เฮ้อ…” ภาพแชทที่ไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ ยิ่งทำให้เขาใจหวิว
“เธอจะทิ้งฉันไปจริงๆ เหรอคาร่า...”
ช่วงเย็นของวันรุ่งขึ้น...
ติ๊ง! (ไลน์ติวเตอร์ มึงทักไปคุยเองแล้วกัน)
ข้อความที่โปรดส่งมาให้ เป็นไลน์ของติวเตอร์ที่กรณ์ขอให้ติดต่อให้ ซึ่งเมื่อกรณ์เปิดอ่านข้อความนั้น ก็รีบติดต่อติวเตอร์ไปในทันที เพราะจำนวนวันที่ขาดการติดต่อกับคาร่ามันมากขึ้นทุกนาที
“คุณกรณ์คะ”
“ครับป้า”
“ป้าว่าจะขอลากลับต่างจังหวัดน่ะค่ะ พอดีพ่อของป้าเสีย...”
“ได้สิครับ... ผมเสียใจด้วยนะครับ” ผู้เป็นนายจ้างไม่ลืมที่จะแสดงความเสียใจกับเรื่องที่ได้ยิน เมื่อป้าแม่บ้านที่ทำงานให้เขามานานหลายปีสูญเสียคนในครอบครัวไป
“ป้าว่าจะขอลาสองอาทิตย์น่ะค่ะ คุณกรณ์อนุญาตไหมคะ”
“ได้ครับ ขาดเหลืออะไรบอกผมได้เลยนะครับ”
ติ๊ง! (ขอโทษด้วยนะคะ พอดีปิดรับสอนแล้วค่ะ) ข้อความตอบกลับของติวเตอร์ ทำให้กรณ์หันกับมาสนใจเรื่องเรียนภาษาที่ตั้งใจว่าจะเรียนเพื่อไปง้อเมีย ทว่าติวเตอร์ผู้สอนกับปฏิเสธที่จะรับสอนเขา
ตึก! (ผมให้ค่าจ้างเพิ่มเป็นสองเท่า ช่วยเปิดสอนให้ผมเป็นกรณีพิเศษหน่อยนะครับ)
แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดจะถอดใจเพียงแค่เจอปัญหาเล็กๆ เช่นนั้น เพราะคิดว่าทุกอย่างจัดการได้หากว่ามีเงินเข้ามาเป็นตัวช่วย ซึ่งก็ได้ผลจริงๆ
ติ๊ง! (ตกลงค่ะ)
สองวันต่อมา หน้าบ้านกรณ์...
“ว่าจะไม่รับแล้วเชียว...” เสียงของ ‘ผักกาด’ เด็กสาวในชุดมอปลายพูดขึ้นถึงเรื่องที่บีบให้เธอต้องรับงานนี้ในช่วงที่ต้องเตรียมตัวสอบจบมอปลายและเตรียมหามหาลัยเข้าเรียนต่อ
แต่เพราะเงินที่มากขึ้นเป็นสองเท่านั้น เธอจึงไม่กล้าปฏิเสธโอกาสดีๆ แบบนี้ที่ไม่ได้มีเข้ามาบ่อยๆ แม้จะต้องปรับเวลาใช้ชีวิตใหม่ทั้งหมด หรืออาจจะต้องกลับบ้านช้ากว่าปกติ
ติ๊งต่อง!
“บ้านหลังใหญ่จัง” เด็กสาวผมเปียใช้เวลาที่ยืนรอคนมาเปิดประตูให้เธอ ไปกับการโฟกัสภายนอกบ้านหลังใหญ่นี้ที่เธอกำลังจะต้องเข้าไป
แก๊ก!
“สวัสดีค่ะ” เธอยกมือขึ้นไหว้เจ้าของบ้านอย่างสุภาพ
“มาหาใครเหรอหนู?”
“ที่นี่บ้านของคุณกรณ์ใช่ไหมคะ?”
“ใช่ บ้านฉันเองมีอะไร” เวลานี้เขาตั้งคำถามในหัวเต็มไปหมดว่าเธอคือใคร และคิดไปถึงขั้นว่าเธออาจจะเป็นลูกที่เขาไปไข่ทิ้งไว้ที่ไหน
“หนูเป็นติวเตอร์ของคุณค่ะ วันนี้เรามีนัดกัน จำได้ไหมคะ…”
“ติวเตอร์!” เขาพูดออกมาด้วยความแปลกใจและวาดตามองเธอหัวจรดเท้า เพราะไม่คิดว่าติวเตอร์ของเขาจะมาติวภาษาให้เขาในลุคเด็กสาวมอปลายเช่นนี้
“ใช่ค่ะ”
“เด็กมอปลายงั้นเหรอ…”
--------------------------------------------------------------------------
[ติดตามตอนต่อไป] - [Follow the next episode]
[-กดใจ -เพิ่มเข้าชั้น -คอมเมนท์ให้กำลังใจ และฝากกดติดตามไรท์ด้วยนะครับ🙏]
S2(ต่อจากเรื่อง ไอมาเฟียนั่นเมียกู) เรื่องราวความรักของคู่ยูมิ และโจอิ น้องชายตัวแสบของโจดิน
U7 - ฉันเพิ่งมารู้ว่าเด็กที่ฉันถูกว่าจ้างให้อุ้มบุญ เป็นลูกของแฟนเก่าที่เลิกกันไปเมื่อสองปีก่อน… (ผู้ชายที่เขาไม่เคยรักฉัน)
คู่หมั้นของ ‘โจดิน’ มาเฟียผู้ยิ่งใหญ่ ดันเป็น ’ยูมิ’ แฟนสาวผู้อ่อนแอของ ’นิเณอ’ หญิงแกร่งใจกล้า และบุคลิกของเธอมันก็ดันเข้าตาเขาเต็มๆ จนอยากได้เธอมาเป็นเมียแทน…
S2.2 ถ้าเธอไม่หยุด ฉันจะจับเธอทำเมียอีกคน ถือว่าฉันเตือนเธอแล้วนะแสนดี!...
เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"
"เราหย่ากันเถอะ"หนึ่งประโยคนี้ ทำให้ชีวิตการแต่งงานสี่ปีของฉินซูเหนียนกลายเป็นเรื่องตลก ในขณะนี้ ฉินซูเหนียนถึงตระหนักว่าสามีของเธอไม่เคยมีใจให้เธอ น้ำเสียงของเขาเย็นชา: "ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันมีเพียงหว่านหว่านอยู่ในใจ และคุณเป็นเพียงแผนชั่วคราวในการจัดการกับการแต่งงานในครอบครัวที่กำหนด" ด้วยความสิ้นหวัง ฉินซูเหนียนลงนามในใบหย่าอย่างไม่ลังเล ถอดผ้ากันเปื้อนของภรรยาที่ดีออก สวมมงกุฎของราชินีขึ้นมา และกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ กลับมาอีกครั้ง เธอไม่ใช่คุณนายลี่ที่สวยแต่เปลือกอีกต่อไป แต่เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งที่น่าทึ่งใจ เธอแสดงความสามารถต่อหน้าคนอื่นๆ และอดีตสามีที่หยิ่งก็ถามเธอว่า: "ฉินซูเหนียน นี่เป็นเคล็ดลับใหม่ของเธอในการดึงดูดฉันงั้นเหรอ" ก่อนที่เธอจะพูดอะไร ประธานลึกลับก็ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนของเขาและประกาศไปว่า "ดูให้ชัดเจน นี่คือคุณนายฟู่ คนอื่นห้ามเข้าใกล้เธอ" ฉินซูเหนียนถึงกับพูดไม่ออก อดีตสามีก็ตกตะลึงไปด้วย
หลินตงหยาง อายุ 27 ปี เติบโตมากับแม่เพียงสองคน ในวัยเด็กหลินตงหยางเคยมีพ่อผู้ให้กำเนิดแต่หลังจากที่พ่อได้งานใหม่ในเมืองหลวงพ่อที่เคยมีก็ไม่มีอีกแล้ว พ่อกลับมาหย่าขาดกับแม่ทันทีที่ไปทำงานในเมืองหลวงได้เพียง 2 เดือน ด้วยให้เหตุผลในการหย่าว่า แม่กับและเขาคือตัวถ่วงความเจริญในชีวิตพ่อ สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากแค่พ่อหน้าตาหล่อเหลาและเป็นที่ถูกใจของลูกสาวหัวหน้างาน เพื่อตำแหน่งงานและความเป็นอยู่ที่สบายขึ้น พ่อเลือกที่จะทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกัน หย่าขาดกับภรรยาเพื่อไปแต่งงานใหม่ มีชีวิตใหม่ในเมืองหลวง โดยทิ้งคนข้างหลัง ทิ้งภรรยาที่เคยสาบานว่าจะอยู่ครองคู่กันตลอดไป ในปีที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย แม่ก็ล้มป่วยและจากเขาไปในที่สุด สาเหตุที่หลินตงหยางเสียชีวิต เพราะทำงานหนัก อาชีพโปรแกรมเมอร์ตัวเล็กๆ อย่างเขา ต้องพยายามทำงานให้ได้ตามที่หัวหน้าสั่งมา ในที่สุดเขาก็พัฒนาเกมกำลังภายในของบริษัทได้สำเร็จ หลินตงหยางนอนหลับไปด้วยความสบายใจ แต่ทว่าพอเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที นี่ไม่ใช่คอนโดหรูย่านใจกลางเมืองปักกิ่ง หลังคามุงหญ้านี่คืออะไร มันควรจะเป็นเพดานสีขาวสิ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องนี่คืออะไร นี่มันไม่ใช่ผนังที่ทำมาจากคอนกรีต มันคือดินเหนียว หลินตงหยางคิดว่าตัวเองฝันไป เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม มารดามันเถอะ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไมไ่ด้ฝัน ตอนนั้นเองเขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง และในหัวของเขามีภาพเหตุการณ์ของเด็กชายที่ชื่อเดียวกับเขา หลินตงหยาง อายุ 10 ขวบ เรื่องราวชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไปของเด็กชาย ทำเอาหลินตงหยางกำมือแน่น ก่อนจะสบถออกมา “พ่อสารเลว เฉินซื่อเหม่ยชัดๆ” และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของน้องสาว สาเหตุที่เด็กชายหลินตงหยางเสียชีวิต เพราะถูกผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นย่าแย่งผักป่าและทุบตี ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นได้ตัดขาดพับพวกเขาสามแม่ลูกแล้ว แต่ยังมิวายข่มเหงรังแก
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
ตลอดระยะเวลาสามปีของการแต่งงาน เธอรู้สึกสิ้นหวัง ที่ถูกบังคับให้เซ็นใบหย่า ทั้งๆที่เธอกำลังท้อง เธอใจสลายกับความไร้มนุษยธรรมของเขา กระทั่งเธอออกไปจากชีวิตของเขา เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเธอคือรักแท้ของเขา ไม่มีวิธีใดที่จะเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของเธอให้หายขาดได้ เขาจึงมอบความรักทั้งหมดของเขาให้แก่เธอเพื่อชดเชย
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น