S2(ต่อจากเรื่อง ไอมาเฟียนั่นเมียกู) เรื่องราวความรักของคู่ยูมิ และโจอิ น้องชายตัวแสบของโจดิน
S2(ต่อจากเรื่อง ไอมาเฟียนั่นเมียกู) เรื่องราวความรักของคู่ยูมิ และโจอิ น้องชายตัวแสบของโจดิน
• ACTION •
หลังจากที่ครอบครัวของเรามีข่าวดีเรื่องที่นิเฌอกำลังจะมีหลานให้ฉัน มันก็ทำให้ฉันสบายใจมากขึ้น หมดห่วงกับเรื่องครอบครัวของลูกชายคนโตไปหนึ่ง ส่วนโจไซก็ไม่น่าเป็นห่วงอะไร เพราะเขาเป็นผู้ชายที่น่ารักอ่อนโยนเดี๋ยวก็หาแฟนได้ไม่ยาก แต่คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คงเป็นเจ้าโจอิลูกชายคนเล็กของฉันนี่แหละ ที่นับวันยิ่งโตก็ยิ่งดื้อ และดูไม่มีทีท่าว่าจะหาเมียเลย เอาแต่ต่อยตีสร้างเรื่องไปวันๆ ทั้งที่ตอนนี้เขาก็อายุใกล้จะสามสิบแล้ว...
“จะออกไปไหนครับคุณฮารุ?” โจอิเอ่ยถามผู้เป็นแม่ ที่เดินถือกระเป๋าทำท่าจะขึ้นรถออกจากบ้านไปไหนสักที่
“แม่จะไปเยี่ยมยูมิที่บ้านน่ะ” หลังจากที่เจอหน้ายูมิครั้งล่าสุด เธอก็เก็บตัวเงียบอยู่ที่บ้านเช่นเดิมไม่ได้ออกไปไหน จนคุณฮารุอยากไปดูให้เห็นกับตาว่าตอนนี้เธอเบาความเศร้าใจเรื่องพ่อที่จากไปได้แล้วอย่างที่เธอเคยพูดบอกเมื่อครั้งที่เจอกันล่าสุด
“ผมไปด้วย” พอรู้ว่าแม่ของเขาจะไปไหน โจอิก็เกิดอยากตามไปด้วยเพื่อหาเรื่องสนุกๆ ทำแก้เบื่อ และคาดว่าที่บ้านของยูมิน่าจะมีอะไรให้เขาทำเพื่อผ่อนคลายความเบื่อหน่ายที่เป็นอยู่ลงไปได้บ้าง
“อยากไปก็ไปสิ...” แม้จะรู้สึกแปลกใจที่โจอิอยากตามไปด้วย เธอก็ไม่ได้ขัดอะไร
บ้านยูมิ...
เมื่อทั้งคู่เดินทางมาถึงที่บ้าน ก็มีเพียงแค่แม่บ้านที่ออกมาต้อนรับเท่านั้น “ยูมิล่ะ?”
“คุณหนูเธอไปมหาลัยยังไม่กลับเลยค่ะ...” แม่บ้านพูดตอบ
“งั้นเรากลับกันเลยดีไหมครับ”
“นั่นรถยูมิหรือเปล่า” คุณฮารุเอ่ยถามแม่บ้าน เมื่อเห็นว่ามีรถสปอร์ตคันหรูขับเข้ามา
ทว่ารถคันนั้นกลับคุ้นตาโจอิเป็นอย่างมาก ราวกับเคยเห็นมันมาก่อนที่ไหน และเมื่อประตูทั้งสองข้างเปิดออก ก็เห็นว่าคนที่ลงมาจากฝั่งคนขับคือโยชิ เพื่อนเก่าสุดแค้นของเขา ส่วนอีกคนที่ลงจากรถก็เป็นน้องสาวที่เขากับแม่เดินทางมาหา
“ขอบคุณนะคะพี่โยชิ” ยูมิเอ่ยขอบคุณโยชิที่ใจดีขับรถมาส่งเธอที่บ้าน
“ครับ^^” โยชิยิ้มรับคำขอบคุณของสาวสวย ก่อนจะหันมาทำความเคารพผู้ใหญ่ที่อยู่ตรงนั้น นั่นก็คือคุณฮารุแม่ของโจอิ “สวัสดีครับคุณป้า”
“...” โจอิกัดกรามคมด้วยความไม่ชอบใจกับภาพที่เห็น เพราะดูเหมือนว่าโยชิจะกำลังเข้าหายูมิน้องสาวของเขา ที่เป็นมากกว่าแค่น้องสาว
ดูเหมือนว่าผมกับไอโยชิ จะต้องมีคนใดคนหนึ่งตายกันไปข้างแล้วล่ะ...
“งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับคุณป้า...พี่กลับก่อนนะยูมิ” โยชิขอตัวลาคุณนายฮารุเสร็จ ก็หันมาบอกลาสาวสวยคนที่เขาขับรถมาส่ง
“คุณป้าจะมาทำไมไม่โทรหายูมิก่อนล่ะคะ ยูมิจะได้รีบกลับ...”
“แม่บอกให้เรียกว่าแม่ไง ตอนนี้ยูมิเป็นลูกสาวแม่แล้วนะ” คุณนายฮารุทักท้วงถึงสถานะของเธอและสาวสวยที่เวลานี้เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว
“ค่ะคุณแม่ ว่าแต่มาหายูมิมีอะไรเหรอคะ?”
“แม่อยากมาทานข้าวเย็นกับยูมิน่ะ ว่าจะทำของชอบให้ยูมิทานด้วย” เธอจำได้ว่ายูมิชอบทานอะไรจากคำบอกเล่าของพ่อเธอที่เพิ่งเสียไป
“คุณแม่จะเข้าครัวเองเหรอคะ”
“ใช่จ้ะ”
แม้จะรู้สึกไม่อยากรับแขกเท่าไหร่ แต่พอเห็นถึงความตั้งใจของคุณนายฮารุแล้ว ยูมิก็ไม่อาจปฏิเสธได้ “งั้นยูมิขอเป็นลูกมือช่วยในครัวนะคะ^^”
“งั้นคืนนี้เรานอนค้างที่นี่ดีไหมครับคุณฮารุ ทานข้าวเสร็จแล้วก็อยู่ค้างที่นี่เป็นเพื่อนน้องสักคืน เผื่อว่าน้องจะเหงา...”
“...”
“ต้องถามน้องก่อนสิอยู่ๆ จะมานอนเลยได้ยังไงล่ะ...” คุณนายฮารุพูดดุลูกชายไร้มารยาทของเธอที่คิดจะทำอะไรตามอำเภอใจ
“ก็เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วไม่ใช่เหรอครับ ทำไมจะนอนไม่ได้ล่ะ หรือว่ายูมิไม่อยากให้พี่กับแม่นอนที่นี่เหรอ?”
“คือ... เราเข้าครัวกันดีกว่านะคะคุณแม่” ยูมิเปลี่ยนเรื่องพูดเพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศ ก่อนจะเกี่ยวแขนคุณนายฮารุเดินเข้าบ้านด้วยใบหน้าปั้นยิ้มให้คุณแม่คนใจดีของเธอสบายใจ
ส่วนโจอินั้นก็มองตามหลังยูมิจนเธอเดินหายเข้าบ้านไปจนลับสายตา “เธอเป็นของฉันยูมิ ของฉันคนเดียว...”
โจอิพูดคำนั้นออกมา เพราะรู้สึกว่าเวลานี้ไม่ใช่แค่เขาที่สนใจตำแหน่งหัวหน้าแก๊งมาเฟียที่ว่างอยู่ของตระกูลยูมิ แต่เพื่อนชั่วคู่แค้นของเขาอย่างโยชิ ก็ดูจะอยากได้เธอด้วยเช่นกัน ซึ่งเขายอมไม่ได้หากว่าโยชิจะได้ยูมิรวมถึงครอบครองแก๊งมาเฟียของตระกูลเธอ
เพราะนี่เป็นโอกาสเดียวที่เขาจะได้ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าแก๊ง และเดินตามรอยโจดินพี่ชายคนโตของเขา ซึ่งเขาก็คิดว่าตนเองมีสิทธิ์ในตัวยูมิมากกว่าใคร เพราะเคยได้เธอมาเป็นของเขาแล้ว แม้ว่าจะเป็นการขืนใจก็ตาม...
ภายในห้องครัว...
หลังจากที่โจอิเดินสำรวจรอบบ้านอยู่สักพัก เขาก็เดินเข้ามาที่ครัวเพื่อจะมาวอแวน้องสาวของเขา ซึ่งเวลานี้เธอกำลังยืนล้างผักอยู่ที่ซิงค์ล้างจานคนเดียว โดยไร้เงาแม่ของเขาอยู่บริเวณนั้น
ฟอด~ แก้มใสของยูมิถูกฟัด โดยพี่ชายชั่วที่โผล่เข้ามาสวมกอดเธอจากทางด้านหลังในตอนที่คนตัวเล็กไม่ทันตั้งตัวรับ
“อี๋~ สกปรก!” คนหน้าหวานยกไหล่ขึ้นและใช้ไหล่สวยถูไถไปกับแก้มข้างที่เธอโดนโจอิใช้จมูกโด่งหอมฟัดเมื่อครู่ ด้วยท่าทางขยะแขยงคนพี่
“จูบก็เคยจูบแล้ว *ก็เคยแล้ว ยังจะมารังเกียจอยู่อีก” โจอิพูดพร้อมกับแสดงกิริยาท่าทางหยาบโลนใส่ยูมิ ที่กำลังยืนจ้องมองเขาด้วยสายตารังเกียจขยะแขยง
“ฉันจะฟ้องแม่”
“เอาสิฟ้องเลย บอกแม่ว่าเราเป็นพี่น้องกันไม่ได้เพราะว่ายูมิโดนพี่*ไปแล้ว จะบอกเรื่องที่พี่ขืนใจยูมิด้วยก็ได้นะ เดี๋ยวพี่จะรับผิดชอบยูมิเอง...” โจอิพูดด้วยหน้าตากวนๆ แถมยกยิ้มร้ายอย่างไม่รู้สึกผิดกับสิ่งที่เขาเคยทำไว้กับคนไม่มีทางสู้อย่างยูมิ
“ไอ้ชั่ว!”
เปรี๊ยะ!
คนตัวเล็กสะบัดฝ่ามือน้อยลงที่แก้มของคนพี่เต็มแรง ด้วยความโมโหในคำพูดหยาบโลนของเขาและกิริยาชั่วๆ ที่แสดงต่อเธอราวกับเกิดมาจากขุมนรก
“นี่!” โจอิง้างมือใส่คนตัวเล็ก ทว่าเขาต้องลดมือลงและระงับอารมณ์โกรธไว้ เพราะการใหญ่ที่คิดจะทำอยู่ ซึ่งมันไม่เป็นผลดีหากว่าเขาลงไม้ลงมือกับเธอตอนนี้
“รอเป็นเมียกูเต็มตัวก่อนเถอะมึง...”
หมับ!
“อ๊ะ!” คนตัวเล็กร้องออกมาด้วยความเจ็บที่ถูกมือหนาขนาดใหญ่ของคนพี่ บีบระบายความโกรธลงที่ข้อมือเล็ก
--------------------------------------------------------------------------
[ติดตามตอนต่อไป] • [Follow the next episode]
• เพิ่มเข้าชั้น • กดใจ • คอมเมนท์ และฝากกดติดตามไรท์ด้วยนะครับ~
U7 - ฉันเพิ่งมารู้ว่าเด็กที่ฉันถูกว่าจ้างให้อุ้มบุญ เป็นลูกของแฟนเก่าที่เลิกกันไปเมื่อสองปีก่อน… (ผู้ชายที่เขาไม่เคยรักฉัน)
เพื่อนของผมดันหาเด็กสาวมาเป็นติวเตอร์ให้ แถมเธอก็กำลังแตกเนื้อสาวซะด้วย ( ความใสซื่อของเธอทำให้ผมสับสนเรื่องตามไปง้อเมียที่เมืองนอกแล้วทำไงดี )
คู่หมั้นของ ‘โจดิน’ มาเฟียผู้ยิ่งใหญ่ ดันเป็น ’ยูมิ’ แฟนสาวผู้อ่อนแอของ ’นิเณอ’ หญิงแกร่งใจกล้า และบุคลิกของเธอมันก็ดันเข้าตาเขาเต็มๆ จนอยากได้เธอมาเป็นเมียแทน…
S2.2 ถ้าเธอไม่หยุด ฉันจะจับเธอทำเมียอีกคน ถือว่าฉันเตือนเธอแล้วนะแสนดี!...
+++++++++++++ “อือ... พริบีนา... จะ...เจ็บค่ะ” “ฉันชอบ... เวลาเธอเจ็บเพราะฉัน” สิ้นคำเขาก็ขบอีกครั้ง จนร่างของเธอเต็มไปด้วยรอยแดงๆ เหมือนกลีบกุหลาบช้ำๆ “คนบ้า!” “ฉันดูดเธอได้ทั้งคืน... ดูดแรงๆ ตลอดทั้งเนื้อทั้งตัว...” ‘รวิสรา’ ต้องตกใจจนแทบสิ้นสติ เมื่อจู่ๆ ‘พริบีนา เอล เชสตัค’ มกุฎราชกุมารผู้หล่อเหลาแห่งเอล มอร์เรเวีย ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า และบอกว่าเขาคือเจ้าของที่แท้จริงของเพนต์เฮาส์หรูใจกลางปารีส ที่แม่ของเธอทิ้งเอาไว้ให้ ก่อนจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หากเรื่องกลับวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม... เมื่อรู้ว่าน้องชายวัยขวบเศษของเธอ คือทายาทที่เกิดจากการขโมยสเปิร์มของเขา หญิงสาวจึงจำใจสุ่มเสี่ยงต่อความหวั่นไหว แล้วยอมใช้ชีวิตร่วมชายคาเดียวกัน กับเจ้าชายหนุ่มผู้เร่าร้อนตลอดหนึ่งสัปดาห์ เพื่อแย่งกรรมสิทธิ์ในตัวเด็กน้อย โดยไม่ให้สูญเสียพรหมจรรย์ของตัวเอง
[แนวลูกเด็กน่ารัก+สาวเก่ง+แก้แค้น]ฉวี่ชิงเกอแต่งงานกับฟู่หนานจิ่นมาเป็นเวลา 5 ปี เธอใช้ชีวิตเหมือนแม่บ้าน เธอคิดว่าตัวเองท้องแล้วจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาดีขึ้น แต่สุดท้ายสิ่งที่ได้มาคือ ข้อตกลงการหย่า เมื่อคลอดลูก ฉวี่ชิงเกอแทบจะไม่รอดเพราะมีคนทำร้าย เธอถึงรู้สํานึก ห้าปีต่อมา เธอกลายเป็น"ท่านประธานฉวี่"แล้วกลับมาแก้แค้น คนที่เคยรังแกเธอต่างก็ได้รับการสั่งสอนอย่างสะหัส และความจริงที่ถูกปิดบังไว้ก็ค่อย ๆ ถูกเปิดเผยออกมาก อดีตสามีคิดจะขอคืนดีกับเธอเหรอ คิดง่ายไปหน่อยไหม? ฟู่หนานจิ่นอ้อนวอน"ที่รัก ลูกต้องการหม่ามี๊ ขอแต่งงานใหม่ได้ไหม?"
หลินตงหยาง อายุ 27 ปี เติบโตมากับแม่เพียงสองคน ในวัยเด็กหลินตงหยางเคยมีพ่อผู้ให้กำเนิดแต่หลังจากที่พ่อได้งานใหม่ในเมืองหลวงพ่อที่เคยมีก็ไม่มีอีกแล้ว พ่อกลับมาหย่าขาดกับแม่ทันทีที่ไปทำงานในเมืองหลวงได้เพียง 2 เดือน ด้วยให้เหตุผลในการหย่าว่า แม่กับและเขาคือตัวถ่วงความเจริญในชีวิตพ่อ สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากแค่พ่อหน้าตาหล่อเหลาและเป็นที่ถูกใจของลูกสาวหัวหน้างาน เพื่อตำแหน่งงานและความเป็นอยู่ที่สบายขึ้น พ่อเลือกที่จะทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกัน หย่าขาดกับภรรยาเพื่อไปแต่งงานใหม่ มีชีวิตใหม่ในเมืองหลวง โดยทิ้งคนข้างหลัง ทิ้งภรรยาที่เคยสาบานว่าจะอยู่ครองคู่กันตลอดไป ในปีที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย แม่ก็ล้มป่วยและจากเขาไปในที่สุด สาเหตุที่หลินตงหยางเสียชีวิต เพราะทำงานหนัก อาชีพโปรแกรมเมอร์ตัวเล็กๆ อย่างเขา ต้องพยายามทำงานให้ได้ตามที่หัวหน้าสั่งมา ในที่สุดเขาก็พัฒนาเกมกำลังภายในของบริษัทได้สำเร็จ หลินตงหยางนอนหลับไปด้วยความสบายใจ แต่ทว่าพอเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที นี่ไม่ใช่คอนโดหรูย่านใจกลางเมืองปักกิ่ง หลังคามุงหญ้านี่คืออะไร มันควรจะเป็นเพดานสีขาวสิ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องนี่คืออะไร นี่มันไม่ใช่ผนังที่ทำมาจากคอนกรีต มันคือดินเหนียว หลินตงหยางคิดว่าตัวเองฝันไป เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม มารดามันเถอะ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไมไ่ด้ฝัน ตอนนั้นเองเขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง และในหัวของเขามีภาพเหตุการณ์ของเด็กชายที่ชื่อเดียวกับเขา หลินตงหยาง อายุ 10 ขวบ เรื่องราวชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไปของเด็กชาย ทำเอาหลินตงหยางกำมือแน่น ก่อนจะสบถออกมา “พ่อสารเลว เฉินซื่อเหม่ยชัดๆ” และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของน้องสาว สาเหตุที่เด็กชายหลินตงหยางเสียชีวิต เพราะถูกผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นย่าแย่งผักป่าและทุบตี ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นได้ตัดขาดพับพวกเขาสามแม่ลูกแล้ว แต่ยังมิวายข่มเหงรังแก
เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"
หนานอันพริตตี้สาวสู้ชีวิตอายุยี่สิบปีแอบชอบผู้ชายคนหนึ่งอย่างหนักและอยากได้เขามาเป็นแฟนใจจะขาด แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจเธอ หญิงสาวได้ไปดูดวงแม่หมอคนนั้นจึงบอกให้เธอมาขอพรที่ศาลเจ้าเล็ก ๆ ในอำเภอแห่งหนึ่งที่ห่างไกลเพื่อให้เธอสมหวังและต้องไปในวันที่ฟ้ามืดที่สุดของเดือนในอีกสองวันข้างหน้าถึงจะเห็นผล หนานอันเชื่อแม่หมอเพราะอยากได้ผัว เธอจึงไม่รอช้ารีบคว้ากระเป๋าเป้เดินทางมายังศาลเจ้าทันที เมื่อหนานอันเข้าไปภายในศาลเจ้าก็พบว่า มีสตรีสูงวัยคนหนึ่งอายุราวหกสิบกว่าปีกำลังกวาดศาลเจ้าอยู่ ...... "ได้ของสิ่งนี้ไปต้องสมหวังอย่างแน่นอน" คุณยายพูดพร้อมกับรอยยิ้ม น้ำเสียงนี้ฟังดูเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง หนานอันยิ้มให้คุณยายจู่ ๆ ขนแขนของเธอก็ตั้งชันขึ้นมา เธอกำลังจะลุกขึ้นในตอนนั้นก็เกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา หนานอันหวีดร้องด้วยความตกใจทว่าเมื่อหันไปมองคุณยายเธอไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว หนานอันประหลาดใจมากร้องเรียกคุณยายอยู่หลายคำ แต่ว่าในตอนนี้เธอก็ไม่มีเวลาให้คิดสิ่งใดแล้วเพราะเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นเมื่อฟ้าผ่าลงมาที่ศาลเจ้าเข้าอย่างจังหนานอันที่อยู่ด้านในจึงถูกฟ้าผ่าไปด้วยและสติดับวูบลงไปทันใด ไม่รู้ว่านานเท่าใดที่หนานอันตกอยู่ในความมืดมิด และเมื่อเธอตื่นขึ้นมาทุกอย่างรอบกายของเธอก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
© 2018-now MeghaBook
บนสุด