“อันตัวข้า มีนามว่าไป๋ฟางเซียน” ปกติคนอื่นข้ามเวลาคงได้รับมิติ พลังวิเศษ ความเทพทรูต่าง ๆ แล้วนางเล่า ไม่เห็นเป็นเหมือนในนิยายที่เคยอ่านบ้าง เท่านั้นยังไม่พอ! นางยังเข้ามาอยู่ในร่างสาวงามอันดับหนึ่ง มีสถานะเป็นถึงภรรยาของท่านแม่ทัพ ที่สามีหาได้รักใคร่ชมชอบไม่ ออกจะเกลียดแสนเกลียดเสียด้วยซ้ำไป หนำซ้ำสามีหน้าตายผู้นั้นดันมีคนที่ตนพึงใจอยู่แล้ว เช่นนี้นางจะเอาตัวรอดต่อไปในโลกที่ไม่รู้จักได้อย่างไร นอกจากจะต้องปรับตัวอย่างมากแล้ว นางต้องคิดหาวิธีรับมือกับบุรุษผู้เป็นสามีที่จ้องแต่จะกินหัวนางอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอีกด้วย! โอ สวรรค์ ท่านเกลียดชังอะไรข้านักหนา เหตุใดถึงให้ข้าเผชิญชะตากรรมเช่นนี้ ชีวิตสงบสุขที่ใฝ่ฝัน คงได้จบสิ้นกันแล้ว แต่ช่างเถอะ ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ต้องเจอ ไม่สามารถหลีกหนีได้ นาง! ไป๋ฟางเซียนผู้นี้! จะขอร่วมลงประชันสนามอารมณ์กับเขาเอง! ให้มันรู้กันไปเลยว่า ภรรยาอย่างนาง จะเอาชนะสามีอย่างเขา... ไม่ได้!
“ฟางเซียน! เจ้าตื่นขึ้นมาคุยกับข้าเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงทุ้มตวาดดังลั่นไปทั่วห้องนอน ปลุกให้คนที่กำลังหลับตาพริ้มตื่นขึ้น
“โอ๊ย! เรียกอะไรกันนักกันหนาเนี่ย คนจะหลับจะนอน” เสียงหวานดังออกมาจากตั่งเตียงด้วยความไม่พอใจ ก่อนที่เจ้าของร่างจะขยับกายลุกขึ้นนั่งบิดตัวไปมาด้วยท่าทีเกียจคร้าน
“น่ารังเกียจนัก!” ไม่พูดเปล่าสายตาคมประดุจเหยี่ยวจ้องมองไปยังคนถูกว่าด้วยสายตารังเกียจปะปนด้วยความโกรธ
ไป๋ฟางเซียน เจ้าของชื่อที่ถูกรบกวนเวลานอน ทั้งยังถูกต่อว่าและได้รับสายตาเช่นนั้นจากอีกฝ่าย ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีกลับไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด นางมองสบตาคนสูงกว่าอย่างเฉยเมย
“ฮึ่ม! ไปอาบน้ำ ข้ามีเรื่องต้องพูดคุยกับเจ้าให้รู้เรื่อง” พูดจบก็เดินออกไปด้วยอารมณ์ขึ้งโกรธ
ไป๋ฟางเซียนมองตามแผ่นหลังกว้างของผู้เป็นสามีพลางมุ่นคิ้วด้วยความสงสัย
‘มีเรื่องต้องคุยกับข้าเช่นนั้นหรือ จะเป็นเรื่องใดได้อีกถ้าไม่ใช่แม่ดอกบัวขาวหวานใจเจ้าผู้นั้น’ นางคิดด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะรีบพาตนเองไปอาบน้ำชำระกาย
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ไป๋ฟางเซียนก็เดินไปที่ศาลารับลมอันเป็นที่ประจำของนาง เมื่อไปถึงก็เห็นบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ข้างกันมีสตรีหน้าตางดงามในชุดจีนโบราณสีขาวนั่งอยู่ด้วย
สตรีผู้นั้นเอาอกเอาใจสามีของนางดียิ่ง ครั้นเมื่อเห็นว่านางมาถึง ใบหน้ายิ้มแย้มที่มีในคราแรกก็เปลี่ยนเป็นเศร้าหมองราวกับสั่งได้ หยดน้ำตาเม็ดเล็ก ๆ สีใสพลันไหลอาบแก้มนวล
มุมปากของไป๋ฟางเซียนฉีกยิ้มเตรียมดูบทละครตรงหน้า นับได้ว่าสตรีนางนี้มีความสามารถอย่างแท้จริง หากนี่เป็นยุคที่ตนจากมา นางก็คิดว่าอีกฝ่ายคงจะเป็นนักแสดงอันดับต้น ๆ ได้
เข้าใจไม่ผิด ไป๋ฟางเซียนไม่ใช่คนที่นี่ นางทะลุมิติมาจากอีกโลกแบบงง ๆ ไร้ซึ่งความช่วยเหลือเช่นนิยายที่เคยอ่าน คราแรกไป๋ฟางเซียนก็กลัวและกังวลอยู่มาก เนื่องจากนางไม่รู้จักใครที่นี่และยังไม่รู้ว่าตนเองกำลังอยู่ในยุคสมัยไหน
ความทรงจำด้านความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์จีนก็ไม่มี เพราะในโลกเดิมนั้น ไป๋ฟางเซียนเป็นเพียงนักศึกษาด้านศิลปะการแสดงที่เพิ่งจะขึ้นปีสองเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องการข้ามมาอยู่ที่โลกนี้เป็นไปได้เช่นไรนั้น ไป๋ฟางเซียนไม่รู้เลยจริง ๆ
ส่วนไป๋ฟางเซียนในโลกนี้ นางก็ไม่รู้เช่นกันว่าอีกฝ่ายตายได้เช่นไร ที่บอกว่าตายแล้วก็ด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้าเจ้าของร่างนี้ไม่ตายนางคงไม่สามารถเข้ามาอยู่ในร่างอันสวยงาม สมเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงได้หรอก
ไป๋ฟางเซียนในยุคนี้เป็นบุตรสาวบุญธรรมที่บิดามารดาของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีอุปการะเลี้ยงดู ส่วนพ่อแม่ของนางเสียชีวิตไปนานแล้ว วันแรกที่ไป๋ฟางเซียนเข้ามาในจวนแม่ทัพ บรรยากาศในจวนก็เป็นไปได้ด้วยดี บุตรชายของบิดามารดาบุญธรรมเอ็นดูนางไม่น้อย เพราะสงสารที่นางเป็นกำพร้า ไป๋ฟางเซียนมีความสุขมาก แล้วความสุขนั้นของนางก็หายไปเมื่อวันหนึ่งบิดามารดาบุญธรรมหมั้นหมายนางกับบุตรชายของตน
ในตอนแรกไป๋ฟางเซียนก็มีความสุข นานวันเข้าก็มีแต่ความทุกข์ บุรุษที่นางรักและเรียกขานเขาว่าท่านพี่ไม่สนใจไยดีกัน ทั้งยังตั้งแง่รังเกียจ ความอ่อนโยนที่เคยได้รับ กลับกลายเป็นเย็นชาแข็งกระด้างจนนางไม่กล้าเข้าใกล้
ความห่างเหินของบุรุษผู้นั้นทำให้ไป๋ฟางเซียนเปลี่ยนไป ความสดใสกลับกลายเป็นความด้านชา และมีนิสัยเอาแต่ใจตนเองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นางกลายเป็นสตรีร้ายกาจในสายตาเขา เป็นนางมารที่สมควรถูกกำจัด
บุรุษผู้นั้นรังเกียจนางยิ่งชีพ ถึงกับกล้าคิดร้ายต่อนางอยู่หลายครั้งเพียงเพราะไม่อยากเห็นหน้า หนำซ้ำยังทำตัวร้ายกาจด้วยคำพูดในทุกคราที่พบหน้า
ไป๋ฟางเซียนไม่มีความสุข ทว่าก็ยอมทนให้เขาต่อว่ามาโดยตลอด ไม่ปริปากบอกบิดามารดาบุญธรรมเพราะกลัวพวกท่านจะไม่สบายใจ ถึงนางจะมีนิสัยเอาแต่ใจ แต่นางก็รู้จักบุญคุณคนที่ชุบเลี้ยงตนมายิ่งกว่าสิ่งใด ดังนั้นอะไรที่จะทำให้พวกท่านไม่สบายใจ ไป๋ฟางเซียนจะไม่พูดหรือทำมันออกไปเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้พวกท่านจึงไม่ได้ทราบถึงการกระทำที่ไร้ความเป็นสุภาพบุรุษของบุตรชาย
ครั้งหนึ่งนางเคยถามเขาว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือไม่ ปฏิบัติกับนางเช่นเดิมเหมือนก่อนที่เขาและนางจะทราบถึงการหมั้นหมายได้หรือเปล่า คำตอบของอีกฝ่ายคือไม่มีทางเป็นไปได้ ไป๋ฟางเซียนเสียใจมากแต่นางไม่ยอมแพ้ พยายามปรับเปลี่ยนตนเอง ลดความเอาแต่ใจให้น้อยลง เพื่อที่จะกลับไปเป็นนางคนเดิมที่พบหน้ากันครั้งแรก
แต่แล้วการปรับเปลี่ยนตนเองของนางกลับไม่เป็นผล ซ้ำร้ายยังดูห่างเหินกันยิ่งกว่าเดิม ด้วยความที่ถูกท่านพี่ บุรุษที่ตนพึงใจหมางเมินมากเข้า นางจึงคิดใช้การแต่งงานมาผูกมัดเขาไว้ คราแรกก็ตั้งใจรอเวลาผ่านไปสักสองถึงสามปีแล้วค่อยแต่ง แต่กลับต้องเปลี่ยนใจเมื่อรู้ข่าวว่าเขามีคนรัก! และสตรีผู้นั้นก็ไม่ใช่ใครแต่เป็นเพื่อนของนางเอง! เพื่อนที่นางสนิทเล่าทุกอย่างให้ฟังอย่างไม่ปิดบัง!
ไป๋ฟางเซียนเสียใจมากและก็โกรธแค้นมากเช่นกัน นางตบตีทำร้ายสตรีคนดังกล่าว พร้อมทั้งออกปากขอบิดามารดาบุญธรรมจัดงานแต่งงานของนางและเขาทันที นั่นคือเหตุที่ทำให้งานแต่งงานสายฟ้าแลบถูกจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ แต่งานนั้นไร้ซึ่งรอยยิ้มของเจ้าบ่าว จึงเป็นที่โจษจันไปทั่วเมืองหลวง!
การกระทำของไป๋ฟางเซียนทำให้อีกฝ่ายโกรธและเกลียดนางยิ่งกว่าเดิม เกลียดจนไม่สนใจพิธีรีตอง ไม่สนแม้กระทั่งขนบธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาอย่างช้านาน คืนส่งตัวเข้าหอวันแรก เจ้าบ่าวกลับไม่อยู่ในห้องหอ เขาไปเมาสุราเคล้านารีที่หอนางโลม ทิ้งนางให้อมทุกข์ร้องไห้เสียใจที่ตั่งเตียงกับอาหารมงคลเพียงผู้เดียว
แม้จะเสียใจแต่ไป๋ฟางเซียนกลับไม่คิดยอมแพ้ นางพยายามปรนนิบัติดูแลสามีของตนอย่างเต็มที่ทุกครั้งเมื่อเขากลับจวน ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ต้องการก็ตาม ด้วยความรักที่มีให้บุรุษเพียงผู้เดียว ไป๋ฟางเซียนจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อเขา นางช่วยงานในจวน เรียนรู้การปฏิบัติตัวกับบ่าวไพร่ แต่ให้ทำดีแค่ไหนพยายามมากเท่าใด รอยยิ้มของเขานางกลับไม่เคยเห็น
สิ่งที่ทำให้ไป๋ฟางเซียนเสียใจและเจ็บใจมากที่สุดก็คือ ขณะที่นางพยายามทำทุกอย่างให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น บุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีกลับยิ้มระรื่นให้กับสตรีไร้ยางอาย ทั้งยังมาเย้ยหยันนางถึงในจวน นี่ทำให้ไป๋ฟางเซียนทนไม่ได้!
ความรักความหึงหวงทำให้ไป๋ฟางเซียนไร้ซึ่งสติ นางเข้าไปจัดการตบตีทำร้ายอีกฝ่ายอย่างรุนแรง ท่ามกลางสายตาตกใจของบุรุษที่นางรัก ก่อนที่เขาจะตั้งสติได้และแยกนางออกไปอย่างรวดเร็ว ทั้งยังต่อว่าต่อขานนางต่าง ๆ นานา
ภาพที่คนรักโอบประคองกอดปลอบสตรีอื่นฉายชัดในความทรงจำมันติดตาของนางไม่เสื่อมคลายจนต้องล้มหมอนนอนเสื่อ เดือดร้อนบิดามารดาบุญธรรมต้องตามท่านหมอมาดูแลรักษา ครั้นเมื่อหายดีพอที่จะใช้ชีวิตอย่างปรกติสุข ก็ต้องมาจมน้ำตาย จนนางไป๋ฟางเซียนในอีกยุคเข้ามาแทนที่
ที่ไป๋ฟางเซียนรู้เรื่องราวของเจ้าของร่างได้ตั้งแต่ต้น เป็นเพราะว่าเจ้าของร่างเดิมได้ทิ้งความทรงจำเอาไว้ นางทิ้งไว้ทุกอย่างแม้กระทั่งความรู้สึก และความรักโง่ ๆ ก็ยังทิ้งไว้ ทว่ามีสิ่งเดียวที่ไม่ว่าไป๋ฟางเซียนคนใหม่ขบคิดเท่าไรก็ไม่อาจหาคำตอบได้คือ
เจ้าของร่างเดิมตายได้อย่างไร?
ไป๋ฟางเซียนพยายามอนุมานหลาย ๆ เหตุผลและหลายเหตุการณ์แต่ก็ยังไม่มีความคิดไหนเข้าท่า เมื่อคิดและหาคำตอบไม่ได้นางจึงไม่ใส่ใจอีก และหันมาสนใจความเป็นอยู่ของตนเองให้ดีในที่สุดแทน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไป๋ฟางเซียนพยายามทำตัวไม่มีตัวตนในจวนเพื่อที่จะได้ปรับตัวเข้ากับยุคสมัยและใช้ชีวิตให้ดีต่อไปได้ ไป๋ฟางเซียนเคยโทษชะตาฟ้าลิขิตที่ทำให้นางมาที่นี่ นางตัดพ้อต่อว่าเวรกรรมที่ทำให้นางมาอยู่ในวิถีชีวิตและบรรยากาศที่ตนเองไม่รู้จัก แต่ไม่ว่าจะตัดพ้ออย่างไรก็ไม่เกิดอะไรขึ้น ไม่มีสิ่งใดมาพานางกลับไปยังที่ที่จากมาอยู่ดี
เมื่อเป็นเช่นนั้น ไป๋ฟางเซียนลูกเจ้าของค่ายมวยผู้นี้จึงได้ทำใจยอมรับ และใช้ชีวิตในร่างไป๋ฟางเซียนที่จบชีวิตไปในที่สุด
อันที่จริงการที่ได้มาอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้แย่นัก นางได้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่างเหมือนในซีรีส์จีนโบราณ ได้พบปะ เผชิญ และสัมผัสด้วยตนเอง ขณะเดียวกันก็ขอบคุณที่ชื่อนี้เป็นชื่อเดียวกันกับนาง และมีหน้าตาคล้ายคลึงกันถึงสามส่วน นี่ทำให้ไป๋ฟางเซียนใช้ชีวิตอย่างไม่ติดขัดและรู้สึกผิดนัก
ด้วยความรู้ความสามารถ และความทรงจำที่มีมาจากโลกเดิม ทำให้ไป๋ฟางเซียนคิดว่านางสามารถใช้ชีวิตและเอาตัวรอดได้ไม่ยาก หากข้ามมาแล้วมีชีวิตโสดหรืออยู่คนเดียวคงดี นางจะได้ออกไปเผชิญโลกภายนอกอย่างง่ายดาย ไม่ใช่มีสถานะเป็นฮูหยินแม่ทัพแบบนี้
เอาเถอะ! ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ นางจะยอมรับก็แล้วกัน ส่วนสามีผู้โง่เขลาคนนั้น นางจะจัดการเอง! ให้มันรู้กันไปสิว่า นางจะไม่สามารถสยบบุรุษผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีได้
หลังแก้ปัญหาไอมารจนผืนดินกลับมาเพาะปลูกได้อีกครั้ง ก็ถึงเวลาที่เว่ยซือหงต้องไปผจญภัยจริง ๆ เสียที สมบัติวิเศษ สมุนไพรล้ำค่า ทรัพยากรอื่น ๆ อีกมากมายที่อยู่ในดินแดนลับ นางจะกวาดให้เรียบ!
โปรย... ชะตาพลิกผันให้เจ๊ใหญ่หงทายาทมาเฟียยุค2000 ต้องไปเกิดใหม่ที่มิติใกล้ล่มสลาย ซึ่งทุกอย่างถูกวัดด้วยความแข็งแกร่ง ทั้งพลังปราณ พลังธาตุ ทั้งนางยังมีภารกิจสำคัญที่ต้องรับผิดชอบ ทว่าเมื่อลืมตาตื่นความทรงจำกลับเลือนราง นางกลายเป็นก้อนแป้งน้อยโดยสมบูรณ์! ผักก็ต้องปลูก มารก็ต้องกำจัด ความทรงจำยังเลือนรางอีก สวรรค์ท่านกลั่นแกล้งข้าหรือไร?
คนที่ไว้ใจสุดท้ายร้ายที่สุด... เมื่อเรื่องราวความรักของม่านไหมโรยไปด้วยกลีบกุหลาบที่ถูกก้องเกียรติสร้างขึ้นมา ชวนให้หลงมัวเมากับฉากหน้าอันแสนหวานยากจะถอนตัว กว่าจะรู้ตัวก็กลายเป็นว่าเธอถูกหนามแหลมคมของดอกกุหลาบที่ชื่นชอบคอยทิ่มแทงให้เธอเจ็บแล้ว ราวกับโลกทั้งโลกแหลกสลาย ความไว้ใจที่มีมาพังทลายลง! คนที่มั่นคงและซื่อสัตย์ในรักอย่างเธอต้องมานั่งเสียใจนอนร้องไห้ ต้องเจ็บปวดจากการกระทำของคนที่เธอรักและไว้ใจที่สุด เธอจะเลือกอะไรระหว่างอดทนยอมรับชะตากรรมความเจ็บปวดที่เธอไม่ได้เป็นคนก่อและให้อภัยเขาในที่สุด หรือ! เดินหน้าเริ่มต้นใหม่กับใครอีกคนที่หวังดีกับเธอตลอดมา เป็นกำลังใจให้ม่านไหมด้วยนะคะ ............................................... ตัวอย่างบางส่วนในนิยายค่ะ “ทำแบบนี้ทำไม” คำถามแผ่วเบาที่ออกจากปากของม่านไหม ทำให้ชายหนุ่มได้สติ ก้องเกียรติตวัดสายตาดุร้ายมองเธอ เขาไม่ตอบเลือกที่จะหันหลังเดินไปยังตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบมาแต่งตัว “ทำไมไม่ตอบ ทำแบบนี้ทำไม!” เสียงของม่านไหมดังขึ้น หญิงสาวไม่ปล่อยให้ชายหนุ่มหันหลังให้ เธอเดินเข้าไปแล้วกระชากให้เขามามองหน้าเธอทันที “ตอบสิ ทำแบบนี้ทำไม ม่านทำอะไรผิดเหรอ พี่ถึงได้ไปมีคนอื่นแบบนี้!” ม่านไหมโวยวาย สองมือของเธอทุบลงบนอกของเขา
เพราะว่ารักจึงยอม เพราะรักถึงรอ รอที่จะได้ยินคำว่ารัก รอวันที่เธอชัดเจน... .......... ตัวอย่าง “หยุดร้องก่อนได้ไหมฉาย” เสียงนุ่มทุ้มของชายหนุ่มพูดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด หลังจากที่เขานั่งทนฟังเสียงร้องไห้ของหญิงสาวมาร่วมชั่วโมงกว่าเกือบจะสองชั่วโมงได้ “ฉายไม่ได้อยากร้อง แต่ว่ามันหยุดไม่ได้ ฮึก! แล้วพี่สงจะให้ฉายทำยังไง” หญิงสาวตอบกลับพลางสะอื้นไห้ .......... “นานแล้วนะครับฉาย พี่ทรมาน” น้ำเสียงทุ้มฟังดูเซ็กซี่ดังขึ้นข้างหู “พี่สง!” “พี่รักฉายมากฉายก็รู้ แล้วตอนนี้มันก็นานมาก ๆ แล้วที่เราไม่ได้รักกัน ฉายไม่สงสารพี่เหรอครับ” เขายังคงหว่านล้อมเธอด้วยคำพูดจนจันทร์ฉายเริ่มลังเล ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากพร้อมพูดต่อ “รักของพี่มีให้ฉายแค่คนเดียว ทั้งหัวใจพี่ก็มีแค่ฉาย จะทำอะไรก็นึกถึงแต่ฉาย แบบนี้... พี่ควรได้รางวัลหรือยังครับ” พูดแล้วก็เป่าลมร้อนเข้าหูเธอจนคนตัวเล็กย่นคอหนี “ตะ แต่ว่าฉายท้องอยู่นะคะ” “เลยช่วงอันตรายมาแล้วครับ หมอก็อนุญาตฉายก็รู้ พี่สัญญาว่าจะระวัง” “แต่ว่า” “ให้พี่ทักทายลูก ต่อแขนต่อขาให้ลูกนะครับคนดี พี่สัญญาว่าจะทำเบา ๆ นะครับ นะ” สงกรานต์พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ก่อนจะระดมจูบไปตามซอกคอหอมกรุ่นของหญิงสาว “คะ ครั้งเดียวนะคะ” “ขอบคุณครับ” เมื่อได้รับคำอนุญาตสงกรานต์ก็ไม่คิดเกรงใจอีกเขาตะโบมจูบจันทร์ฉายด้วยความคิดถึงและความรักทั้งหมดที่มี ลิ้นหนาพัวพันกับลิ้นเล็กดึงดูดความหอมหวานของกันและกัน ก่อนจะประคองเธอนอนลงบนเตียงอย่างเบามือ สองมือปลดเปลื้องเสื้อผ้าเธอด้วยความชำนิชำนาญ
ถูกกล่าวหาว่าเป็นลูกนอกสมรสเธอไม่เคยปริปาก โดนกลั่นแกล้งสารพัดก็ไม่เคยพร่ำบ่น เห็นว่าเธอไม่มีปากเสียงแล้วจะเอาอะไรที่เป็นของเธอไปก็ได้เหรอ? ฝันไปเถอะ! ถึงเวลาที่เธอจะเรียกร้องสิทธิ์ของตัวเองแล้ว ระวังตัวไว้ให้ดีละ เตือนแล้วนะ... .......... ตัวอย่าง 1 “ดี! งั้นมาดูกัน ว่าระหว่างฉันกับเธอใครกันแน่ที่พูดความจริง แต่เธอคงไม่ถือใช่ไหมพริมา ถ้าต้องใช้ผู้ชายคนเดียวกันกับพี่สาวอย่างฉันน่ะ” กล่าวถามก่อนจะหัวเราะอย่างขบขัน เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าเรียบเฉยของน้องสาว อิงอรฉีกยิ้มเยาะเย้ยพลางมองพริมาด้วยสายตาเหยียดหยามดูแคลน มือบางคว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพายแล้วเดินกลับไปยังประตู ทว่าก่อนที่มือจะทันได้จับลูกบิด น้ำเสียงเย็น ๆ ของน้องสาวที่ดังขึ้นด้านหลังกลับหยุดเธอไว้ “ก็เอาสิคะ ถ้าพี่อิงมั่นใจว่าจะแย่งเขาไปจากฉันได้ก็ลองดู แต่บอกไว้ก่อนนะคะว่าฉันเป็นคนหวงของ ยิ่งรักมากก็หวงมาก และฉันคงไม่ยอมอยู่เฉย ๆ เหมือนที่แล้วมาแน่ อะไรที่เป็นของฉันใครหน้าไหนก็เอามันไปจากฉันไม่ได้ โดยเฉพาะคนหน้าด้านอย่างพี่อิง อย่าได้หวังเลยค่ะ แต่ถ้าพี่คิดว่าพี่แน่ ก็เชิญ แล้วจะได้รู้ ว่าฉันทำอะไรได้มากกว่าที่พี่คิด เตือนแล้วนะ” “เหอะ” อิงอรอารมณ์เสียเพราะคำพูดของพริมา แต่ไม่ใช่ในคำเตือน เธอหันกลับมามองหน้าน้องสาวแล้วส่งสายตาฟาดฟันกัน ก่อนจะสะบัดหน้าหนีเดินออกจากห้องไป .......... ตัวอย่าง 2 “เสียดายจัง ยังไม่ทันได้มองหุ่นเขาเลย พี่พีก็เอามือมาปิดตาพริมซะก่อน เสียดายจริงๆ” “เสียดายทำไม! อยากดูก็มาดูหุ่นพี่นี่ พี่หุ่นดีกว่ามันตั้งเยอะ” ชายหนุ่มพูดเสียงเขียว พริมายู่หน้าตอบ “มันไม่เหมือนกันนี่คะ ของพี่พีพริมได้ดูทุกวัน แต่ของคนอื่นพริมแค่อยากมองเฉย ๆ” เธอยังคงลอยหน้าลอยตาพูดต่อ ทั้งยังไม่วายเจื้อยแจ้วไปถึงบรรดาหุ่นไอดอลชายหรือศิลปินที่เธอชื่นชอบจนรพีพัฒน์ใบหน้าเขียวคล้ำเพราะความหึงหวง มองเธอด้วยสายตาคาดโทษ
เมื่อความสัมพันธ์มาถึงจุดเปลี่ยน... เปลี่ยนจาก ‘คนรัก’ กลายเป็น ‘คนอื่น’ จากคนอื่นเป็น ‘คนใจร้าย...’ กว่าจะรู้ตัวว่ารักมากแค่ไหน ก็เกือบสูญเสียคนสำคัญของหัวใจไปแล้ว ………. ตัวอย่าง “ขอโทษนะครับที่ทำร้ายเขมแบบนั้น พี่รู้ว่าพี่ผิด และเขมคงไม่ให้อภัยพี่ง่าย ๆ แต่พี่อยากบอกให้เขมรู้ ว่าพี่รู้สึกผิด และเสียใจกับสิ่งที่พี่ทำลงไป” “...” “พี่ขอโทษนะครับ คือพี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นกับเขมนะ พี่แค่โกรธและโมโหมากไปหน่อย” เขมิกายกยิ้มพลางหัวเราะหยันในลำคอ รู้สึกโกรธคนตรงหน้าจนไม่อยากมองหน้าต้องมองเขาด้วยหางตาแทน “ไม่ได้ตั้งใจ... นี่ขนาดไม่ได้ตั้งใจนะคะ ถ้าคุณตั้งใจขึ้นมามันจะขนาดไหน” “เขมคือพี่” “ช่างเถอะค่ะ เอาเป็นว่าหลังจากนี้ไปนอกจากเรื่องงาน ระหว่างฉันกับคุณไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก เข้าใจตรงกันนะคะ” นี่เขาทำอะไรลงไป... ถ้าเขาลดอคติลง ฟังเธอสักนิด วันนี้เขาคงไม่ต้องทำร้ายเธอจนทำให้เธอหวาดกลัวเขาแบบนั้น ไม่ต้องเห็นสายตาตัดพ้อต่อว่า ไม่ต้องเห็นสายตาว่างเปล่าของเธอ... หากว่าเขาขอโอกาสกับเธออีกสักครั้ง เธอจะยินยอมมอบมันให้เขาหรือเปล่า?..
ในชีวิตชาติที่แล้ว เพื่อช่วยรักแรกของตัวเอง คนชั่วสามคนได้ทำลายพลังการต่อสู้ของนาง ตัดแขนขาของนางออก ตัดเส้นเลือดของนางและปล่อยเลือดของนางไหลออกมาทั้งอย่างนั้น และทรมานนางจนตาย เมื่อเกิดใหม่ครั้งนี้ นางวางแผนอย่างรอบคอบ โดยสาบานว่าจะให้พวกเขาได้สัมผัสกับความทุกข์ทรมานที่นางเคยประสบมา! รักแรกที่ไร้เดียงสาอะไรกัน ที่จริงก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ตีสองหน้าเก่ง อยากจะไต่ขึ้นไปสูงเหรอ งั้นก็จะให้เจ้าปีนขึ้นไป ยิ่งปีนขึ้นสูงมากเท่าไร ตอนตกลงมาก็จะยิ่งเจ็บมากเท่านั้น! พวกสวะสมควรได้รับบาปกรรมของพวกสวะ พวกมันทำชั่วกับนางไปชั่วชีวิตหนึ่ง นางจะทำให้พวกมันไม่ตายดี พวกคนที่เจ้าเล่ห์ ตีสองหน้าเก่ง นางจะจัดการกับทุกคน! แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าในการแก้แค้นของนาง นางจะไปมีเรื่องกับเสด็จอาที่เป็นเจ้าแผนการเข้า ที่วัน ๆ ต้องการให้นางจูบและกอดเขาตลอดทั้งวัน ในขณะที่นางแก้แค้นคนชั่วนั้นยังสามารถสนิทสนมกับเสด็จอาด้วย ในความจริงแล้ว การที่เป็นผู้หญิงชั่วๆ ก็มีความสุขมาทีเดียวกว่าที่คิดเลย!
ปลายฟ้าอยากมีแฟนเแต่กลัวกระทบการเรียนเธอจึงเลือกที่จะมี ONS เพราะอยากรู้ว่าความสุขบนเตียงมันเป็นแบบไหน แต่คนที่เธอมีแต่คนที่เธอมีค่ำคืนพิเศษด้วยกับกลายเป็นกลายเป็นอาจารย์คนใหม่ที่เพิ่งย้ายมา
หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า “ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?” เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า “ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว...” ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา “เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?”
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
ชาติแล้วนางโง่เขลาเกินไป หลงรักคนผิดจนทำร้ายคนที่รักนาง ในเมื่อได้กลับมาพบกันอีกครา นางไม่เอาแล้วท่านอ๋อง นางจะต้องเกี้ยวรองแม่ทัพที่แสนดีเช่นท่านมาเป็นสามีให้จงได้
“ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ” “โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ” ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร “คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ” ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า “ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?” นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน