คำว่ารัก...ไม่ควรจำกัดไว้แค่คำว่าเพศ เพราะโลกใบนี้ไม่มีใครเลือกเกิดได้ แต่ทุกคนเลือกที่จะเป็นได้ เหมือนกับเขาสองคน ที่คิดว่า ความรักคือสิ่งที่สวยงามยิ่งกว่าสิ่งใด
คำว่ารัก...ไม่ควรจำกัดไว้แค่คำว่าเพศ เพราะโลกใบนี้ไม่มีใครเลือกเกิดได้ แต่ทุกคนเลือกที่จะเป็นได้ เหมือนกับเขาสองคน ที่คิดว่า ความรักคือสิ่งที่สวยงามยิ่งกว่าสิ่งใด
"กรี๊ด..... พี่แบมสู้ๆ พี่แบมสู้ๆ"
เสียงเชียร์ดังขึ้นมาไม่ขาดสายจากรอบๆสนามบาสเกตบอลของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง วันนี้มีการแข่งขันกีฬาบาสเกตบอลระดับเขต แน่นอนว่าทีมของโรงเรียนมัธยมปลายแห่งนี้ต้องเจอกับคู่แข่งจากต่างโรงเรียน
เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นมาไม่ใช่เพราะว่ากีฬามันน่าสนุก หรือน่าสนใจ แต่เป็นตัวนักกีฬาต่างหากที่น่าสนใจ ร่างสูงโปร่งที่มีผิวขาวราวกับน้ำนมกำลังวิ่งเลี้ยงลูกไปใกล้ห่วง
จากนั้นเขาก็กระโดดสูงชู๊ตลูกบาสเข้าไปในห่วงได้อย่างแม่นยำ เสียงกรี๊ดพร้อมกับเสียงปรบมือดังขึ้นเพราะลูกนี้คือลูกตัดสินของการแข่งขันในวันนี้แล้ว
"แบม มึงนี่เก่งว่ะ"
เพื่อนในทีมเดินมาจะตบบ่าหนา แต่ทว่าชายหนุ่มหน้าหล่อกลับเบี่ยงกายหนี ใครๆก็รู้ว่านักบาสหน้าหล่อแถมฝีมือดีคนนี้ไม่ชอบให้ใครมาสัมผัสร่างกาย โดยเฉพาะพวกผู้ชายด้วยกัน
แบม ภูวดลเป็นนักกีฬาและนักเรียนดีเด่นของโรงเรียน สาวๆต่างชื่นชอบและชื่นชม หรือแม้แต่พวกผู้ชายเหมือนกันแบม หรือภูวดล ปรีชารักษ์ก็สามารถทำให้หวั่นไหวไปกับเขาได้
"อืม...มึงก็เก่ง"
ชายหนุ่มเอ่ยออกมาก่อนที่จะเดินไปที่ข้างสนามที่มีเพื่อนสนิทคนสวยรออยู่ ใครๆก็บอกว่าเขาและเธอเป็นแฟนกันแต่ความจริงมันไม่ใช่แบบนั้นเลย
"เหนื่อยไหม"
มือบางยื่นผ้ามาเช็ดหน้าให้เพื่อนสนิท แบม ภูวดลไม่หลบเหมือนกับตอนที่เพื่อนนักบาสในทีมมาตบบ่า เธอเป็นคนเดียวที่สามารถสัมผัสร่างกายเขาได้
เสียงกรี๊ดดังขึ้นเมื่อจีน่า เจนจิราใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อที่บนใบหน้าหล่อเหลาของนักบาสหนุ่มที่สาวๆยกให้เป็นหนุ่มฮอตของรุ่นมัธยมศึกษาปีที่หก
"ฮอตตลอด"
ตั้ม อนุพงษ์ เพื่อนที่สนิทกับแบมอีกคนเอ่ยแซวขึ้น
"ฮอตขนาดนี้อย่าแย่งจีน่าของกูไปจริงๆก็พอ กูแค่ให้ยืมควง"
"อยากโดนตบให้ปากฉีกหรือไง ใครเป็นของนาย ฉันมีแบมคนเดียวก็พอแล้วย่ะ"
จีน่า สาวสวยลูกครึ่งเยอรมันเอ่ยขึ้นก่อนที่จะจูงมือแบม ภูวดลเดินออกจากสนามไปท่ามกลางสายตาอิจฉาจากสาวๆ หนุ่มๆเองก็อิจฉาหนุ่มฮอตของโรงเรียนไม่น้อย
ถ้าแบม ภูวดลเป็นหนุ่มฮอตของโรงเรียน เช่นนั้นฝ่ายหญิงก็คงไม่พ้นจีน่า เจนจิรา ริกเตอร์คนนี้ ตั้ม อนุพงษ์หัวเราะออกมาก่อนที่จะวิ่งตามเพื่อนทั้งสองไป
หนุ่มหล่อต่างโรงเรียนที่มาดูการแข่งขันในวันนี้ด้วยมองตามนักกีฬาที่ทำผลงานได้โดดเด่นในเกมวันนี้ไปอย่างสนใจ ดูๆแล้วเขากับนายหน้าหล่อคนนั้นคงจะได้พบกันในไม่ช้า
สายตาคมมองตามสองหนุ่มกับหนึ่งสาวไปอย่างสนใจ แต่ทว่าคนที่เขาให้ความสนใจและรู้สึกสนใจจริงๆคือไอ้หนุ่มนักกีฬาหน้าหล่อนั่นต่างหากหาใช่สาวสวยที่ดูเหมือนจะเป็นแฟนของนายคนนั้นเหมือนที่เพื่อนเขาเข้าใจ
"ชอบคนนั้นหรอวะ ไม่ต้องหวังหรอก เพราะคนที่เธอเช็ดหน้าให้น่ะ เป็นแฟนของเธอ โรงเรียนนี้ดีว่ะ มีเทวดากับนางฟ้าบนดินเรียนอยู่ด้วย พอกลับไปดูโรงเรียนเรามีแต่มึงนี่แหละมั้งที่หน้าตาดีอยู่คนเดียวหึๆ"
บอส ภาณุเอ่ยออกมาทันทีที่เห็นสายตาของเพื่อนกำลังมองตามสาวสวยที่เพิ่งเดินจับมือกับนักกีฬาตัวเต็งของทีมที่เพิ่งแข่งขันจบไป
แต่บอสหารู้ไม่ว่าคนในสายตาของเพื่อนสนิทคือนักกีฬาที่ชอบทำหน้าเย็นชาคนนั้นต่างหาก เขาอยากได้คนนั้นเป็นเพื่อนและเขาจะต้องได้เป็น
สองหนุ่มสาวเดินจูงมือกันมาจนถึงรถรับส่งของที่บ้าน วันนี้ครอบครัวปรีชารักษ์ส่งคนขับรถมารอรับบุตรชายคนเล็กกลับบ้านและแน่นอนว่าครอบครัวริกเตอร์ที่เป็นทั้งเพื่อนบ้านและเพื่อนสนิทก็ให้บุตรสาวคนโตกลับไปพร้อมกัน
แบม ภูวดลทำหน้าที่เป็นสุภาพบุรุษกับเพื่อนสนิทเสมอ ทั้งสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ต่างคนต่างรู้ความชอบและตัวตนของกันและกัน
“ร้อนไหมครับคุณหนู”
คนขับรถเอ่ยถามเจ้านายน้อยของบ้าน
ครอบครัวของปรีชารักษ์มีทายาททั้งหมดสามคนคือ บอม ภูวนาถ บี๋ พิชสินีย์ และคนสุดท้ายคือ แบม ภูวดล พี่คนโตเรียนจบปริญญาโทเมื่อปีก่อนจะมีก็แต่พี่คนกลาง และน้องคนเล็กที่ยังเรียนอยู่
“เย็นแล้วครับลุงโชติ”
เด็กหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ
ถึงลุงโชติจะเป็นเพียงคนขับรถ แบม ภูวดลหรือแม้แต่คนในบ้านก็ไม่เคยมีใครดูถูกแก ทุกอาชีพมีเกียรติและศักดิ์ศรี ตราบใดที่งานนั้นเป็นงานที่ทำอย่างสุจริต
“ลุงโชติขา.... พาจีน่าแวะร้านไอติมหน่อยได้ไหมคะ จีน่าร้อนข้างใน”
ความต้องการของคุณหนูใหญ่ของครอบครัวริกเตอร์ลุงโชติย่อมไม่ขัด ชายวัยกลางคนฉีกยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าคุณหนูเล็กก็ไม่ขัดใจหญิงสาวข้างๆเช่นกัน
รถตู้คันหรูขับเคลื่อนมาจอดที่หน้าร้านไอศกรีมที่ตกแต่งได้อย่างน่ารัก มือบางกุมมือหนาให้ลงไปจากรถด้วยกัน แบม ภูวดลไม่อิดออด เขาตามเพื่อนสนิทไปแต่โดยดี และเขาก็รู้ดีว่าทำไมเธอถึงอยากมาร้านนี้ เพราะนอกจากไอศกรีมแล้วคงจะมีเจ้าของร้านนี่แหละที่ดึงดูดให้จีน่าติดอกติดใจ
“สวัสดีค่ะ ไอซ์สวีท ยินดีต้อนรับค่ะ”
เสียงห้าวหวานเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่ส่งมาให้สองหนุ่มสาวซึ่งนับได้ว่าเป็นลูกค้าประจำของร้านไอศกรีมร้านนี้เลยก็ว่าได้
“พี่ไอซ์...มีอะไรแนะนำเราสองคนไหมคะ”
เสียงหวานเอ่ยถามพร้อมส่งสายตาวิบวับไปให้รุ่นพี่สาวที่พอเรียนจบก็หันมาเปิดร้านไอศกรีมและขนมหวานตามความชอบส่วนตัว
“พี่ว่าเราสองคนมาบ่อยเกิน พี่คิดเมนูไม่ทันแล้วค่ะ”
แบม ภูวดลถึงกับหัวเราะออกมากับคำพูดของรุ่นพี่
ก็มันคือเรื่องจริง จีน่าเพื่อนของเขานั้นแวะมาร้านนี้ทุกวันหลังเลิกเรียน ไม่ว่าจะอากาศร้อน หนาว หรือฝนตก จีน่าก็มาอุดหนุนจนชิมขนม ไอศกรีม หรือแม้แต่เมนูน้ำไปหมดทุกเมนูแล้ว
“หัวเราะอะไร”
เสียงหวานดังขึ้นพร้อมสายตาดุๆส่งมา ชายหนุ่มถึงกับกลั้นขำเอาไว้เพราะกลัวเพื่อนโกรธ
“เอาเหมือนเมื่อวานก็ได้ค่ะ”
ก่อนที่จะหันไปสั่งเมนูที่ต้องการด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างจากถามเพื่อนสนิท แบม ภูวดลถึงกับมองบน
ระหว่างที่สองหนุ่มสาวกำลังนั่งรอเมนูที่สั่งไปก็มีนักเรียนรุ่นน้องโรงเรียนเดียวกันเข้ามาภายในร้าน สาวๆที่เพิ่งเข้ามาแทบจะกรีดร้องออกมาเมื่อพบว่าใครกำลังนั่งอยู่
สาวๆเดินเข้าทักทายรุ่นพี่ก่อนที่จะขอถ่ายภาพด้วยโดยให้พี่สาวคนสวยเป็นผู้ถ่ายให้ แบม ภูวดลอยากจะปฏิเสธเพราะเขาไม่อยากเป็นคนเด่นหรือคนดังอะไร แต่ทว่าสายตาของเพื่อนสนิทที่มองมาทำให้เขายอมถ่ายรูปกับพวกน้องๆแต่โดยดี
‘หล่อเวอร์ แกดูดิ หน้านี่อย่างขาว’
‘กลิ่นเหงื่อไม่มีเลย ขนาดเพิ่งแข่งบาสมานะเนี่ย’
‘หน้าใสกว่าก้นเด็กอีก พี่แบมใช้ครีมอะไรวะ’
‘ใดๆคืออิจฉาพี่จีน่าเวอร์ เมื่อกี้ฉันโดนตัวพี่เค้า โอ้โห...โคตรแน่น’
และคำพูดเหล่านี้ก็หลุดออกมาจากปากสาวๆรุ่นน้อง แบม ภูวดลเป็นหนุ่มฮอตของโรงเรียน แน่นอนว่าเขาย่อมเป็นที่สนใจของบรรดาสาวๆ
แม้แต่พวกผู้ชายด้วยกันก็ยังอยากจะสัมผัสร่างกายของแบม ภูวดลสักครั้ง เขาไม่ใช่ผู้ชายที่หล่อแบบใสๆ แต่เขาดูหล่อแบบน่าค้นหา
“ฮอตจริงๆเลยเนี่ย ขนาดมากินไอติมร้านไกลโรงเรียนขนาดนี้ยังมีรุ่นน้องมาเจอได้อีก”
จีน่าเอ่ยแซวเพื่อนสนิทที่กำลังจะตักไอศกรีมใส่ปาก
“หึๆ คิดว่าฉันอยากจะฮอตหรือไง มันเป็นไปตามธรรมชาติต่างหาก ว่าแต่ฉัน เธอเองก็เหมือนกันแหละจีน่า แม่สาวฮอตของโรงเรียน”
คนที่เพิ่งตักไอศกรีมเข้าปากตอบกลับเพื่อนสนิท เขาก็พยายามที่จะทำตัวไม่ให้เด่นแล้ว แต่มันก็เป็นไปตามธรรมชาติ
“หนุ่มฮอตสาวฮอต เหมาะสมกันดีนะคะ”
เจ้าของร้านที่นำขนมมาเสิร์ฟถึงกับเอ่ยแซว สองหนุ่มสาวยิ้มแหยๆออกมา จะเหมาะสมกันได้อย่างไรก็ในเมื่อเขาและเธอไม่ได้ชอบกันเอง
ร่างสูงโปร่งสาวเท้าเดินเข้าไปในบ้านหลังโต ครอบครัวปรีชารักษ์นั้นมีอาชีพเป็นหมอและเจ้าของบริษัทยา โดยบิดาเป็นประธานบริษัท พีมาร์ฟามาซีซูติคอล จำกัด และมารดาเป็นศัลยแพทย์ทรวงอกอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังในกรุงเทพฯ
พี่ชายกำลังเข้ารับช่วงต่อแทนบิดาตอนนี้อยู่ในขั้นตอนเรียนรู้และฝึกงาน ส่วนพี่สาวคนกลางเรียนอยู่คณะนิเทศศาสตร์ปีสองที่มหาวิทยาลัยชื่อดังอีกทั้งกำลังกลายเป็นนักแสดงหน้าใหม่ของวงการบันเทิงเพราะมีความสวยและความสามารถที่โดดเด่น ส่วนตัวเขาก็กำลังจะเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในอีกหนึ่งภาคเรียนข้างหน้า
“พี่บี๋... ไม่ไปเรียนหรือครับ”
เด็กหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้าไปภายในบ้านเจอพี่สาวนั่งอ่านบางสิ่งบางอย่างอยู่ภายในห้องนั่งเล่น
“ไปมาแล้ว กำลังอ่านบทละครอยู่”
บี๋ หรือพิชสินีย์ ปรีชารักษ์ พี่สาวคนกลางตอบผู้เป็นน้องชายคนเล็กของบ้าน
“ได้แสดงแล้วหรอ”
เสียงทุ้มเอ่ยถามออกมาอย่างตื่นเต้น
“อืม... อย่าลืมพาน้องๆที่โรงเรียนมาเป็นแฟนคลับให้พี่ด้วย”
ว่าที่นักแสดงสาวฉีกยิ้ม ก่อนที่จะบอกน้องชาย
“หึ! ได้สิ ว่าแต่เล่นบทอะไร” เขาเดินไปนั่งลงข้างๆ
“ทำไม... สนใจหรอ แต่พี่ว่า... ว่าที่คุณหมออย่างนายไม่น่าจะสนใจเส้นทางสายบันเทิงนะ”
ใช่สิ... เขามีความสนใจที่จะเรียนแพทย์ และต้องเป็นศัลยแพทย์หัวใจเท่านั้น สมัยเด็กๆเขามีปมเกี่ยวกับเด็กน้อยคนหนึ่งอายุน่าจะอ่อนกว่าเขาไปถึงสองปี ตอนนั้นเขาเพิ่งจะอายุเจ็ดขวบและได้ติดตามมารดาไปทำงานที่โรงพยาบาล
เขาได้รู้จักเด็กคนนั้นเพราะเป็นคนไข้ของโรงพยาบาล เด็กน้อยมารักษาโรคลิ้นหัวใจรั่ว และเสียชีวิตหลังจากที่เขารู้จักได้เพียงสามวัน เขารู้สึกสงสารคนที่ป่วยเกี่ยวกับโรคหัวใจ
เพราะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ในประเทศมีน้อย เขาจึงอยากเป็นอีกหนึ่งกำลังที่จะช่วยดูแลรักษาชีวิตของคนที่กำลังสิ้นหวังด้วยโรคเกี่ยวกับหัวใจในอนาคต
“พี่ก็รู้คำตอบของผมอยู่...แล้วจะถามผมทำไม ขอตัวขึ้นห้องก่อน เหนียวตัว วันนี้แข่งบาสมา”
แบม ภูวดลบอกก่อนที่จะเดินจากไป บี๋ พิชสินีย์เข้าใจดีว่าถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนใจน้องชายของเธอให้เลือกเดินบนเส้นทางอื่นได้ เพราะความเป็นหมอมันอยู่ในสายเลือด
ในเมื่อทั้งเธอและพี่ชายไม่มีใครได้มารดา ก็คงจะมีน้องชายนี่แหละที่รับช่วงต่อ เธอเลิกสนใจน้องชายแล้วหันมาสนใจบทละครที่เพิ่งได้รับมา เธอเพิ่งจะเข้าวงการจึงต้องพยายามให้มากกว่าใคร
เพราะความเมตตาจากสวรรค์ ทำให้นางผู้ซึ่งสิ้นอายุขัยในวันที่คลอดลูก ได้กลับมาเกิดใหม่ ในร่างของคุณหนูสามผู้โง่เขลา บุตรีของท่านเจ้าสำนักศึกษาตระกูลหลี่
นางแบบสาวไทยที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาโดยตลอด...จนวันหนึ่งได้พบกับเขา เขาที่เป็นพี่ชายสามีของน้องนางแบบที่เคยทำงานด้วยกัน ชีวิตของเธอก็ได้เปลี่ยนไป เพราะนอกจากถูกเขากวนใจแล้ว..เธอยังถูกเขากวนตัวอีกด้วย
เพราะความเข้าใจผิด ทำให้ต่างคนต่างก็แสดงท่าทีเย็นชาใส่กัน ทำให้ต่างคนต่างก็พลาดช่วงเวลาแห่งความสุขไป กว่าจะรู้ตัวว่าอีกฝ่ายมีความสำคัญในชีวิตของตนมากแค่ไหน อีกฝ่ายก็ได้จากไปตลอดกาลเสียแล้ว...
คงเป็นเพราะสวรรค์เมตตา ให้นางที่ตายไปแล้วด้วยน้ำมือคนที่รัก ได้ย้อนอดีตกลับมาเมื่อห้าปีก่อน ก่อนที่นางจะกลายเป็นสตรีที่โง่งมให้เขาหลอกลวงจนมีจุดจบที่น่าเวทนา มีหรือครานี้นางจะยอมเจ็บปวดเพราะเขาอีก...
ในชาติภพก่อนนางคือวีรสตรีของแผ่นดินสยาม ปกป้องบ้านเมืองจากข้าศึกศัตรูจนตัวตาย เกิดชาติภพใหม่ในยุคจีนโบราณ นางนั้นเติบโตขึ้นเป็นสตรีที่งดงามแต่ทว่าภายใต้ใบหน้าที่งดงามนั้นกลับมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่
ฉินเซี่ยหรู คุณหนูใหญ่แห่งสกุลฉิน นางสิ้นอายุขัยจากการถูกสามีอย่าง หวงจิงอวี่ทำร้ายจิตใจด้วยการรับอนุเข้ามาอยู่ในจวนมากมาย เขามิเคยร่วมเตียงกับนางเลยสักครั้งจนอนุที่รับมานั้นตั้งครรภ์ อำนาจในการดูแลเรือนของนางจึงดูไร้ค่า เพราะแม่ของสามีก็ดูถูกที่นางมิสามารถมีทายาทสืบสกุลได้ นางจะมีได้เช่นไรกัน ในเมื่อสามีที่แต่งนางมานั้นมิเคยร่วมเตียงกับนางเลยสักครา จนนางตรอมใจและดับสูญไปในที่สุด ผู้ใดจะรู้เรื่องราวหลังจากนั้น ฉินเซี่ยหรูได้กลับชาติไปเกิดในร่างของหลานสาวขี้โรคของนาง แต่ทว่าการได้เกิดใหม่ในครั้งนี้ทำให้ร่างกายของหลานสาวนั้นกลับมาแข็งแรงราวปาฏิหารย์ สตรีที่เคยมีอายุยี่สิบสามปี แต่บัดนี้กลับกลายมาอยู่ในร่างของเด็กหญิงอายุเจ็ดขวบ นางตั้งมั่นเอาไว้แล้วว่าในอนาคต นางจะมิยอมแต่งงานอีกต่างหาก แต่เมื่อได้พบเจอกับเขา นักปราชญ์หนุ่มที่เพิ่งย้ายมา นางจึงเปิดใจและอยากแต่งงาน นั่นเป็นเพราะเขาทำให้นางได้รู้จักความรักที่แท้จริง... ความรักที่ไม่เคยได้รับรักตอบจากชาติภพก่อน
นางเจ็บปวดปางตายเมื่อเขาโยนร่างบอบช้ำทิ้งไว้หลังจวนโดยไม่แยแส เมิ่งลี่เฟยน้ำตาไหลพรากทว่ากลับไม่ทำให้คนที่เพิ่งเหยียบย่ำร่างกายเล็กเห็นใจแต่ประการใด"เฝ้านางเอาไว้ให้ดีอย่าให้ออกมาทำเรื่องชั่วอีก"
พวกเขาไม่รู้ว่าฉันเป็นผู้หญิง พวกเขามองฉันและเห็นฉันเป็นเด็กผู้ชาย เป็นเจ้าชาย คนนหึ่ง พวกเขาซื้อมนุษย์อย่างฉันเพื่อตอบสนองความต้องการทางเพศ และเมื่อพวกเขาบุกเข้ามาในอาณาจักรของเราเพื่อซื้อพี่สาวของฉัน เพื่อปกป้องเธอ ฉันหมดหนทาง จึงต้องเข้าไปขอร้องให้พวกเขาพาฉันไปด้วย แผนของฉันคือหาโอกาส จะพาพี่สาวหนีไป แต่ฉันไม่คาดคิดว่าคุกของเราจะเป็นสถานที่ที่มีการป้องกันมากที่สุดในอาณาจักรของพวกเขา แต่เดิมฉันเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เป็นคนที่พวกเขาไม่ต้องการ พวกเขาไม่เคยคิดจะซื้อ เลย แต่แล้ว ราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่ไร้ความปรานี บุคคลที่มีอำนาจที่สุดในดินแดนป่าเถื่อนของพวกเขากลับสนใจใน "เจ้าชายน้อยผู้น่ารัก" เราจะเอาชีวิตรอดในอาณาจักรที่อันตรายนี้ได้อย่างไร และเผชิญหน้ากับผู้คนที่ไม่เป็นมิตรกับเรายังไง และคนที่มีความลับอย่างฉันจะกลายเป็นทาสแห่งความต้องการทางเพศได้อย่างไร . หมายเหตุของผู้เขียน นี่คือนิยายรักแนวดาร์ก เนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่ เรตติ้งสูง 18+ เตรียมพบกับเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์และเข้มข้นได้เลย หากคุณเป็นนักอ่านตัวยงของแนวนี้ที่กำลังมองหาอะไรที่แตกต่าง พร้อมที่จะอ่านแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวโดยไม่รู้ว่าจะเจออะไรใหม่ๆ บ้าง แต่ก็อยากรู้เพิ่มเติมอยู่ดีล่ะก็ รีบอ่านเลย! . จากผู้เขียนหนังสือขายดีระดับนานาชาติเรื่อง "ทาสผู้เกลียดชังของราชาอัลฟ่า"
เพลิงกัลป์ / Ryuu ริว ซาโต้อิชิบะ หัวหน้าแก๊งมาเฟียใหญ่ในคราบคุณหมอ หล่อ เลว เถื่อน ร้ายกับทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งกับ เธอ "กฎของการเป็นของเล่นคือห้ามรักเขา" ลูกพีช รินรดา สวย เซ็กซี่ สดใส ร่าเริง ปากร้าย กล้าได้กล้าเสีย สายอ่อยตัวแม่ "ของเล่นที่มีหัวใจของผู้ชายที่ไร้หัวใจ"
ลู่เจียหง นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในยุคปัจจุบัน จับผลัดจับพลูลงลิฟต์ก็โผล่ไปยังยุคโบราณ แถมยังอยู่ในชุดเจ้าสาวอีก ถ้าประหลาดแค่นั้นไม่พอคงไม่เป็นไร ถ้าไม่พบว่าตัวเองกำลังถูกตามล่าจากว่าทีสามีที่ยังไม่ทันเข้าหอ งานนี้นางถือคติไม่ยุ่งเกี่ยวต่างคนต่างอยู่ แต่ท่านอ๋องผู้นั้นก็เอาแต่วนเวียนอยู่ข้างตัวนางไม่หยุด แบบนี้นางจะหย่าสำเร็จได้ตอนไหนกัน!!
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
© 2018-now MeghaBook
บนสุด