การปลอมตัวเป็นญาติผู้พี่ ทำให้เธอต้องตกกระไดพลอยโจน รับงานกับเงื่อนไขพิเศษที่ไม่รู้มาก่อน ความจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากเร่งด่วน เธอจึงไม่ปฏิเสธและขอเพิ่ม จากความสาวบริสุทธิ์ของตัวเอง แต่ความเผอเรอทำให้เธอตั้งครรภ์ ที่มารู้ภายหลังการถูกจ้างออกจากงาน โดยหญิงสาวที่แต่งงานเป็นภรรยาเขา เธอตั้งใจจะเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง แต่เขากลับตามมาจะพาเธอกลับไป เธอไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนมีภรรยาแล้ว จึงขู่จะฟ้องร้องโดยไม่รู้ว่าเขาเป็นอิสระ จากพันธะการแต่งงานครั้งนั้นแล้ว
“เฮ้ย!เอม แกจะลาออกจริงๆหรือ”
“แกจะลาออกทำไม”
“แกจะไปทำงานอะไร”
เพื่อนสนิทของเอมอุมาทั้งสามคนที่เติบโตมาตั้งแต่เรียนมัธยมต้นจนกระทั่งเรียนจบวิทยาลัยเลขานุการกระทั่งจะเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย ต่างอยากได้คำตอบจากเพื่อนสาว แม้จะรู้ว่าเอมอุมามีความจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากเป็นค่ารักษาญาติผู้พี่ที่ประสบอุบัติเหตุ แต่คาดไม่ถึงว่าเพื่อนจะตัดสินใจหยุดเรียนกลางคันอย่างนี้
“พี่อรต้องนอนโรงพยาบาลอีกนานหลายเดือน ค่าใช้จ่ายก็เยอะแยะ แค่ผ่าตัดครั้งแรกฉันแทบจะหมดตัวเลยนะ ที่สำคัญต้องหาเงินมารักษาพี่อรให้หาย และงานที่ฉันทำก็เป็นเหตุผลให้ฉันต้องออกจากการเรียน”
“งานอะไรที่แกจะเรียนหนังสือไปด้วยไม่ได้” มัทนายังงงจัดกับการตัดสินใจของเพื่อน
“นั่นสิ มาทำงานขายออนไลน์กับพวกเราไหมล่ะ” เขมนิจกับมาริสาทำงานขายของออนไลน์ประเภทเครื่องสำอางหลากหลายชนิด รายได้เดือนละหมื่นสองหมื่นพอช่วยลดภาระทางบ้าน
“ฉันต้องใช้เงินเป็นแสนเป็นล้านนะแก” เอมอุมาจาระไนเรื่องค่ารักษาพยาบาลให้เพื่อนๆฟัง ทุกคนฟังแล้วก็ถอนใจเฮือก เพราะมองไม่เห็นทางจะช่วยเหลือ
“แล้วแกจะทำยังไง งานที่ทำได้ตามวุฒิการศึกษาเลขานุการระดับต้นที่แกมีก็น่าจะได้เดือนละหมื่นสองหมื่นได้กระมัง” มัทนานึกไม่ออกว่าจะหาเงินได้มากกว่าวุฒิที่มีได้อย่างไร
“นังเอมมันสวยนะ สวยมากด้วย ไปแคสติ้งเป็นนางแบบนักแสดงดีไหม” มาริสาเสนอ เพราะมีเพื่อนๆที่สวยน้อยกว่าเอมอุมายังสามารถเป็นดารานางแบบได้
“ไม่ใช่ว่าแคสติ้งวันนี้แล้วจะได้งานทันทีเมื่อไรล่ะ ที่รู้ๆต้องผ่านด่านค่ายโฆษณาค่ายผู้จัดละครกับช่องทีวีต่างๆอีกคงเป็นปีกระมัง” เขมนิจพอจะรู้ว่าการเข้าวงการบันเทิงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
“ฉันเจออีเมล์พี่อรสมัครงานไว้ เขาให้เงินดี” เอมอุมาบอกเพื่อนๆ
“จริงเหรอ/เงินดีขนาดไหน/ที่ไหน” เพื่อนทั้งสามถามขึ้นพร้อมกัน
“นายจ้างทำงานอยู่กับบ้าน” เอมอุมาบอกเพื่อนๆก่อนเดินไปหยิบขวดน้ำในตู้เย็นมาส่งให้คนละขวดและขนมขบเคี้ยวที่เพื่อนๆชอบอีกสามสี่ถุงมาวางให้เลือกกินได้ตามใจชอบ
“เงินเดือนระดับพี่ออนก็ไม่น่าจะเกินสามสี่หมื่น แต่แกวุฒิไม่ถึงปริญญากับไม่มีประสบการณ์เขาจะให้เท่าพี่อรหรือ” มัทนาตั้งข้อสังเกตแล้วคว้าขนมที่ชอบมาเปิดกินตามเพื่อนอีกสองคน
“ทำงานเลขานุการกับแปลงานเขาให้เดือนละห้าถึงหกหมื่นบาท แต่...”
“แต่อะไร...” เพื่อนๆถามเป็นเสียงเดียวกัน
“เอ้อ...ไม่มีอะไร ถ้าเขารับฉันเข้าทำงานในนามพี่อรฉันจะขอเขาเพิ่มเป็นแปดหมื่นหรือหนึ่งแสน” คำพูดของเอมอุมาสร้างความประหลาดใจให้เพื่อนๆเกิดอาการปากอ้าตาค้าง
“เฮ้ย...หุบปาก เดี๋ยวยุงก็บินเข้าไปวางไข่หรอก” มาริสาตบปากเขมนิจที่อ้ากว้างกว่าใคร
“เขามีแต่แมลงวันบินย่ะ ยุงกับแมลงที่ไหนจะบินมาในนี้ บ้านติดมุ้งรวดยะ” เขมนิจค้อนใส่เพื่อน
“อาจจะหลงเข้ามาก็ได้” มาริสาไม่ยอมแพ้
“ถ้าแกสองคนจะคุยเรื่องยุงกับแมลงวันก็เชิญข้างนอก มีเยอะ” มัทนาตัดบทแล้วหันมาถามเอมอุมาต่อ
“ตัวเลขที่แกพูดนั่นมันเยอะนะ จะไปทำอะไรให้เขาถึงจะคุ้มเงินค่าจ้างแบบนั้น”
“นังเอมมันมีความสามารถด้านภาษามากกว่าพวกเรา งานแปลภาษานี่จุดขายได้ของมันเลยละ” เขมนิจที่อ่อนภาษามากกว่าเพื่อนๆเชื่อว่า ภาษาอังกฤษ ภาษา ภาษาจีน อิตาเลียน อาหรับ ที่เอมอุมาเลือกเรียนและเรียนได้คะแนะเป็นที่หนึ่งจะเป็นใบเบิกทางให้เพื่อนสาวได้งานและเงินเดือนตามที่ต้องการ
“เออ...ใช่...นังเอมมันเก่งภาษามากกว่าใคร ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่ามันขยันเรียนภาษาตั้งมากมายไว้เพื่ออะไร งานดี เงินเดือนดี ก็น่าจะได้จากเรื่องเก่งภาษาของมันนี่แหละ” มาริสาสนับสนุน
“เฮ้ย...” มันทนานึกขึ้นได้ “แต่แกสมัครในนามพี่อร แล้วใบรับรองการเรียนการทำงานหรือภาษาต่างๆทำไงล่ะ หรือจะปลอมเอกสาร” มองหน้าเพื่อนสาว
“ไม่หรอก พี่อรเรียนภาษาอังกฤษกับภาษาจีนอย่างที่พวกเราเรียนอยู่แล้ว วันสัมภาษณ์งานฉันจะบอกเขาว่าเรียนภาษาเพิ่มมาอีกเท่านั้น” เอมอุมาเตรียมเรื่องเอกสารใบรับรองการเรียนภาษาเพิ่มเอาไว้แล้ว โดยเปลี่ยนจากชื่อตัวเองเป็นชื่อพินทุอรที่อาจจะเข้าข่ายการปลอมแปลงเอกสาร แต่งานนี้เป็นงานพิเศษที่เจ้าของงานแจ้งว่า...ต้องการการปฏิบัติได้จริงมากกว่าเอกสาร...เอมอุมาจึงไม่กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้
“แต่ฉันยังสงสัยว่าแกจะทำอย่างไรให้เขาเชื่อว่า...แกเป็นพี่อร รูปร่างหน้าตาก็ต่างกันเยอะ” มาริสาสงสัย
“ฉันติดรูปตัวเองไปแทน” เอมอุมาบอกสิ่งที่ทำ
“หน้าอ่อนๆใสๆอย่างแกเนี่ยนะ เขาจะเชื่อหรือว่าแกอายุยี่สิบสี่ยี่สิบห้า เป็นฉันไม่เชื่อหรอก” มาริสาส่ายหน้ายืนยันคำพูด
“ฉันแต่งหน้าให้ดูมีอายุมากขึ้น” เอมอุมาสารภาพ
“เออ...ก็มันเพิ่งเรียนจบคลาสการแต่งหน้ามาก่อนพี่อรประสบอุบัติเดือนหนึ่งไง ทำไมจะทำไม่ได้ เสียดายที่ยังไม่ได้...แต่งหน้าเจ้าสาว...งานพิเศษที่มันวาดฝันไว้ ฉันยังจองคิวมันไว้เลยนะ” เขมนิจที่รู้ข่าวว่าเพื่อนสาวไปเรียนแต่งหน้าเจ้าสาวบอกจองไว้ตั้งแต่เอมอุมายังเรียนไม่จบคลาสเสียด้วยซ้ำ
“แกจองยังไง เจ้าบ่าวก็ยังหาไม่ได้” มาริสาว่า
“ฉันก็ให้นังเอมล็อกวันจากวันที่ฉันประกาศแต่งงานไว้ไงล่ะ ไม่เห็นจะยาก” เขมนิจหัวเราะชอบใจที่มาริสากับมัทนาส่งค้อนมาให้วงใหญ่
“เข้าใจละ แกจะใช้วิชาแต่งหน้าอำพรางตัว แต่แกทำงานอยู่กับเขาทุกวัน สักวันตัวจริงของแกก็ต้องโผล่ออกมา ถ้าเขาจับได้ว่าแกไม่ใช่พี่อร จะเป็นยังไง” มัทนาเริ่มไม่สบายใจ
“ฉันตั้งใจจะทำงานกับเขาแค่ช่วงเวลาที่พี่อรนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลเท่านั้นแหละ ไม่น่าจะเกินสามเดือน” เอมอุมาคำนวณเวลาไว้แล้ว
“เออๆ...ถ้าแกไม่ได้งานนี้ ฉันจะบอกพ่อให้ คนเก่งอย่างแกสตาร์ทเงินเดือนสองหมื่นตำแหน่งผู้ช่วยเลขาประธานบริษัทก็คงได้สบายๆ” มัทนาเสนองานที่บริษัทบิดาให้เอมอุมาไว้ก่อน
“ขอบใจ ฉันส่งงานแปลไปให้เขาดูแล้ว อีกไม่กี่วันก็ คงจะได้คำตอบ”
“ขอให้แกได้งานนี้นะ” เขมนิจอวยพร ตรงเข้ากอดเพื่อนรักที่เป็นเพื่อนกันมานานหลายปี
“แกต้องโทรบอกพวกเราด้วยนะ” มาริสาเข้ากอดเพื่อนอีกคน และตามด้วยมัทนาก่อนจะลาจากแยกย้ายกันกลับบ้าน
“ฉันไปนะ ดูแลตัวเองด้วย หลังเลิกเรียนพวกเราจะแวะมาหาแกอีก”
“ขอบใจจ้ะ” เอมอุมาออกมาส่งเพื่อนถึงประตูรั้ว
หลังจากนั้นเอมอุมาได้พบเพื่อนทั้งสามอีกไม่กี่ครั้งก็ต้องจัดกระเป๋าเดินทางไปบ้านผู้ว่าจ้างโดยไม่ได้บอกเพื่อนทั้งสาม ตั้งใจว่าจะไลน์หรือโทรบอกเพื่อนทุกคนทีหลังว่า...ได้งานทำแล้ว...แต่คงไม่มีรายละเอียดของการทำงานบอกเล่าให้เพื่อนๆฟัง เนื่องจากงานที่เธอจะทำมีบางสิ่งที่ไม่ควรเปิดเผยแก่บุคคลที่สาม และเพื่อนๆทุกคนต้องคัดค้านในสิ่งที่ตนตัดสินใจ
เธอเดินทางกลับจากเยี่ยมน้องชายกระทันหันจากการถูกเรียกตัวมาเข้าร่วมสัมมนาที่วิชาการพิเศษจากต่างประเทศมาให้ความรู้ แต่เข้านอนยังไม่ทันหลับดีก็มีวัตถุหนักอืึ้งล้มทับลงกลางตัว และจากที่นอนปิดไฟมืดเธอต้องตกใจสุดขีดเมื่อรู้ว่ามีผู้บุกรุกและคว้าปืนขึ้นมาป้องกันตัว แต่กลายกลับว่า...บุรุษผู้นั้นเป็นแขกพิเศษของโรงแรม...และจากวันนี้ชีวิตเธอเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง **************************************** เขาคือผู้บุกรุก ที่เธอคิดว่าเป็นโจรย่ามใจเข้ามาปล้นสวาท เธอคือสาวงาม ที่เขาคิดว่าเป็นของแถมเข้ามานอนรออยู่ในห้อง เขาคือจอมโอหัง ที่บังอาจกอดจูบเธอโดยไม่ไถ่ถามความสมัครใจ เธอคือสาวสวย ที่สามารถปลุกความรู้สึกด้านชาของหัวใจให้เต้นระทึก เขาวางแผน พาเธอมายังบ้านเมืองเพื่อพิสูจน์รักแท้ในหัวใจ เธอถูกลักพาตัว เพื่อฆ่าทิ้งกลางทะเลทราย มาลุ้นกันว่า...เจ้าชายคริสตินกับมินทราภา จะผ่านพ้นภัยร้ายน่าระทึกใจได้ครองรักกันหรือไม่... **************************
เขาจำยอมจดทะเบียนกับเด็กกะโปโลตามใจบิดาที่กำลังจะสิ้นลม และทิ้งร้างจากเธอไปนานนับปี แต่เมื่อกลับมาเจอเธออีกครั้ง เขาถึงรู้ว่า...เธอสวยและน่าพิศวาสนักหนา...แต่ที่คิดว่าจะได้เธอมาครอบครองเธอตามสิทธิ์สามีถูกต้องตามกฎหมายกลับมีเรื่องเข้าใจผิดคิดว่าเธอทำให้มารดาเขาตายก่อนเวลาอันควร ฯลฯ นิยายรักแนวโรมานซ์(18+)อีกเรื่องหนึ่งที่ขอแนะนำให้เพื่อนมาอ่านด้วยกัน
เขาไม่สนใจว่าที่คู่หมั้นที่หนีตามหนุ่มต่างชาติไปก่อนวันหมั้นหมายเพียงวันเดียว แต่พอมาเจอสาวสวยเชื้อสายไทยที่มีหน้าตาละม้ายเหมือนว่าที่คู่หมั้น เขาพึงพอใจในตัวเธอและสืบประวัติจนรู้ว่า...เธอเป็นน้องสาวคู่แฝดของว่าที่คู่หมั้น...และลักพาตัวมาไว้ในพระตำหนักสวนกุหลาบของพระมารดาที่ไม่เคยมีหญิงสาวคนใดได้เยี่ยมกรายเข้ามาและครอบครองเธอด้วยความรักพิศวาส แต่เกิดปัญหาเมื่อบิดามารดาของเธอมาตามบุตรสาวและพี่สาวคู่แฝดมาอดีตว่าที่คู่หมั้นปรากฏตัวก่อนวันอภิเษกสมรส
นิยายแนวทะเลทรายเรื่องนี้ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เชิญชวนให้อ่าน เพราะเป็นนิยายที่มีหลากหลายอารมณ์ในเรื่องเดียวกัน นักเขียนได้พาผู้อ่านไปสัมผัสกับชีวิตนางเอกที่ต้องเผชิญภัยจากผู้ปองร้ายโดยมีพระสวามีคอยปกป้องด้วยความรักห่วงใยต่างจากนิยายแนวทะเลทรายอื่นๆที่ให้ความสุขใจกับผู้อ่านอีกรูปแบบหนึ่ง *****...มกุฎราชกุมารีพระธิดาสุลต่านองค์ประมุขแห่งสหราชอาณาจักรต้องเข้าพิธีอภิเษกโดยไม่รู้ตัวและเดินทางสู่พระราชวังของพระสวามีเพื่อลี้ภัยจากผู้ปองร้าย แต่กลับต้องมาเจอศึกรักจากความริษยาของเหล่านางห้ามในพระราชวังและแผนร้ายของพระญาติฝ่ายพระสวามีกับผู้ปองร้ายหมายชิงบัลลังก์ร่วมมือกันวางแผนปลิดชีวิต...ชีวิตรักของพระ-นางคู่นี้จะเป็นอย่างไรไปติดตามด้วยกัน ...**** **********************
นิยายแนว...ทะเลทรายสวีต...ที่ยิ่งอ่านยิ่งสนุกของนักเขียนเล่มนี้ ได้พานางเอกไปผจญภัยร้ายท่ามกลางทะเลทรายร้อนระอุจากโจรทะเลทรายตัวปลอมและโจรทะเลทรายตัวจริงที่กักขฬะด้วยการเอาคืนของพระเอกที่ถูกนางเอกใส่ร้ายให้เสื่อมเสียชื่อเสียงและทำให้รู้ความจริงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำด้วยความเข้าใจผิด แต่การเดินทางที่ใกล้ชิดทำให้ความรู้สึกของทั้งสองเปลี่ยนจากคู่กัดเป็นคู่ที่ถูกตาต้องใจกัน เกล็ดทรายอันร้อนระอุจากแสงแดดแผดเผาจึงกลายเป็นเกล็ดน้ำตาล ...***...“นายก็พูดได้สิ ลองมาเป็นฉันดูบ้าง จะได้รู้ว่าต้องกระตือรือร้นไปทำไม" เธอย้อนอย่างโมโห “เลิกอยากรู้อยากเห็นเสียที แล้วฟังฉัน ระหว่างพักอยู่ที่นี่ทุกคนต้องมีหน้าที่ หล่อนก็ต้องทำงานเหมือนกัน" เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติที่เธอไม่ค่อยจะได้ยินนัก “นี่นายโจร ฉันไม่ใช่ลูกน้องหรือคนรับใช้ของนายนะ นายเป็นคนจับตัวฉันมา ก็ต้องเลี้ยงดูให้ฉันอยู่สุขสบาย จะมาใช้งานกินแรงกันไม่ได้นะ" เธอโวยลั่น “ฉันไม่สน ถ้าไม่ทำก็ไม่ต้องกิน อาหารมีไว้ให้คนที่ต้องออกแรงทำงานเท่านั้น" เขาข่มขวัญ คงคิดว่าเธอกลัวอดตายแล้วจะยอมทำตามทุกอย่างละสิ...ฝันไปเถอะ...เธอเชิดหน้าใส่ “แต่ไม่ใช่ฉัน ดูปากฉันนะ..." เธอชี้ที่ปากตัวเองอย่างที่น้องณัชชาลูกสาวพี่บ๊อบชอบทำ “ฉัน...ไม่...ทำงาน...อะไร...ทั้งนั้น..." เธอเน้นทุกถ้อยคำให้เขาฟังก่อนจะหันหลังเดินจากมาพร้อมไฟโกรธลุกท่วมตัว ...ตาบ๊องเอ๊ย...จิตสำนึกเข่นเขี้ยวเหมือนอยากจะเคี้ยวเขาให้แหลกคาปาก เธอไม่ได้เป็นฝ่ายร้องตามเขามาถึงจะต้องยอมทำทุกอย่างที่เขา...สั่ง...สั่ง...สั่ง... โดยเฉพาะการทำงานแลกข้าวน้ำประทังชีวิต...เขาสิต้องรับผิดชอบหาข้าวหาปลามาเลี้ยงดูให้อิ่มหนำสำราญ หากเขาต้องการใช้ประโยชน์จาก ตัวเธอ... “งานแรก..." เขาพูดต่ออย่างไม่สนใจ “หล่อนต้องซักเสื้อผ้าให้ฉัน งานอย่างที่สอง-ต้องทำความสะอาดกระโจมที่เราพักด้วยกันทุกเช้ากลางวันเย็น เก็บที่นอน ปูที่นอน กวาดพื้น ถูพื้น และปัดฝุ่นทำความสะอาดตากเครื่องนอนทุกชิ้นทุกวัน อย่างที่ สาม-ต้องนำอาหารมาเสิร์ฟให้ฉันทุกมื้อ เสร็จงานแล้วหล่อนจึงจะได้อาหารกิน ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้กิน เข้าใจไหม” มิลินยืนอ้าปากค้าง อยากจะกรี๊ดให้ลั่น เขามันจอมบงการสิ้นดี แล้วถือดีอย่างไรมาใช้งานเธอเยี่ยงนางทาสีประจำตัวแบบนี้ เธอยืนกำหมัดแน่น อยากจะแล่นเข้าข่วนหน้ารกเคราของเขาให้สาสมกับความโกรธที่ถูกโยนตำแหน่งทาสรับใช้ใส่แล้วเดินหนีไปซึ่งๆหน้า ...ตาบ้า...ตาบ๊อง...ตาบื้อ...ตา...ขี้เก๊ก...เธอก่นว่าเป็นชุด สุดจะทนพฤติการณ์แบบเจ้าใหญ่นายโต...สั่ง...สั่ง...สั่ง...โดยไม่ฟังเสียงใคร คิดว่าตัวเองเป็นใหญ่มาจากไหนกัน...ฮึ...***... **************************************************** นิยายเรื่องนี้เป็นความคิดสร้างสรรค์ของนักเขียนอย่างแท้จริง สงวนลิขสิทธิ์โดย : ศิรารัย-ศิรารัยนิยายรัก ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์คอมพิวเตอร์และสิ่งพิมพ์ ห้ามลอกเลียนทุกส่วนของหนังสือเล่มนี้ ห้ามเผยแพร่-จำหน่าย-ดัดแปลง-ทำซ้ำ-จัดพิมพ์ หรือห้ามกระทำการใดๆทุกประการกับนิยายเรื่องนี้ ก่อนได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้เขียน **************************************************
นิยายเรื่องนี้เป็นงานเขียนล่าสุดของศิรารัยที่สร้างเรื่องราวความรักจากปัจจุบันสู่อดีตและกลับมาจบสมบูรณ์ในยุคปัจจุบันที่อยากให้ผู้อ่านได้เปลี่ยนบรรยากาศที่เคยอ่านนิยายไทย-ไทย ไทย-อาหรับ ไทย-จีน มาเป็นนิยายไทย-อินเดียดูบ้าง โดยสร้างคู่พระนางให้นางเอกเดินทางไปประเทศอินเดียและได้ไปพบพระเอกในอดีตเพื่อช่วยเหลือให้ได้ขึ้นครองราชย์ แต่ความรักของคนในโลกอดีตกับคนในโลกปัจจุบันจะสมหวังได้ก็เกินความเป็นจริงจึงต้องทำให้นางเอกมาสมหวังในความรักกับพระเอกในโลกปัจจุบันที่สืบเชื้อสายมาจากเขาผู้นั้น และนักเขียนเชื่อว่า...ถ้าเพื่อนนักอ่านเปิดใจอ่านนิยายเรื่องนี้ จะได้รับทั้งความสนุกสนานและความซาบซึ้งใจในความรักของคนในโลกอดีตและคนในโลกปัจจุบัน... ************************************* เพียงสบตาในอุราก็หวั่นไหว เลือดเนื้อกายร้อนรุมดังสุมไข้ ยิ่งใกล้ชิดยิ่งขัดเขินสะเทิ้นอายใยไพ ใจหนอใจทำไมสั่นไหวเช่นนี้เอย *************************************** ความรัก... ไม่ใช่นํ้าหมึกจากปลายปากกา ที่ผ่านวันเวลา ไม่นานก็เจือจาง ความรัก... ไม่ใช่นํ้าหอมที่กลิ่นจางหายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ความรัก... ไม่ใช่เสื้อผ้าอาภรณ์หรือข้าวของเครื่องใช้ ที่เก่า แล้วก็เปลี่ยนใหม่ ความรัก... ไม่ใช่อาหารที่กินหลายมื้อก็เบื่อหน่าย ฯลฯ ************************************** ''เธอเป็นใครถึงจะมาสอนสั่งว่าฉันกินอะไรได้หรือกินอะไรไม่ได้ เป็นแม่ครัวก็ควรทำหน้าที่แม่ครัวของเธอ ไม่ต้องมาวิจารณ์คนกิน ไป ไปทำอาหารที่ฉันต้องการมา ต่อไปไม่ต้องเอาผักหญ้าพวกนี้มาให้ฉันกินอีก” อาหารจานหนึ่งถูกโยนแตกเพล้งตรงหน้าผู้ที่ถูกเรียกว่า...แม่ครัว...สลัดผักธัญพืชและนํ้าสลัดที่วัสสิกาต้องใช้เวลาคำนวณแคลอรี่ว่าต้องมีผักธัญพืชมากน้อยเท่าไรและสรรหาผักสดๆใหม่ๆมาทำอย่างประณีตหกกระจายเกลื่อนอยู่ตรงหน้าเหมือนเศษขยะ ที่วัสสิกาแทบจะร้องกรี๊ดออกมาด้วยความโมโห เพราะเจ้าชายจอมยโสไม่ได้ทำลายแค่อาหารจานสองจานแต่ได้ทำลายความตั้งใจดีของเธอจนหมดสิ้น “ตาหมีอ้วน" วัสสิการ้องว่าในใจ ความโกรธวิ่งจี๊ดขึ้นสมองวัสสิกาแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต เธอไม่เคยโกรธใครมากมายอย่างนี้ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าโกรธทำไม่นักหนา แต่ตอบโต้ออกมาได้เพียงกรีดเสียงอยู่ในความนึกคิด..ตาหมีอ้วน ฉันอุตส่าห์ตั้งใจทำมาให้กิน ยังจะมาว่ามาทำแบบนี้อีก...เพราะสิ่งที่เจ้าชายอาทิตยสุเรนทรากระทำ...โยนจานอาหารใส่หน้า...เป็นการทำร้ายจิตใจแบบที่ไม่เคยมีใครทำกับเธอมาก่อน วัสสิกาหมดความอดทนต่อผู้สูงศักดิ์ จึงโต้กลับทันควัน ฯลฯ ********************************
เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่เคยสนใจ แต่ก็ยังดึงดันอยากจะอยู่ใกล้ ต่อให้เธอเป็นเมียแต่งเขาก็คงไม่มีวันเปลี่ยนใจ เพราะเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจจากไปในคืนแต่งงาน "จากนี้ไปเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก" 🥀
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
ตลอดระยะเวลาสามปีของการแต่งงาน เธอรู้สึกสิ้นหวัง ที่ถูกบังคับให้เซ็นใบหย่า ทั้งๆที่เธอกำลังท้อง เธอใจสลายกับความไร้มนุษยธรรมของเขา กระทั่งเธอออกไปจากชีวิตของเขา เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเธอคือรักแท้ของเขา ไม่มีวิธีใดที่จะเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของเธอให้หายขาดได้ เขาจึงมอบความรักทั้งหมดของเขาให้แก่เธอเพื่อชดเชย
หยางจื้อซี เด็กกำพร้าจากศตวรรษที่21 ถูกองค์กรมืดเลี้ยงดูจนเติบโตและทำให้เธอกลายเป็นมนุษย์กลายพันธ์ ในระหว่างที่ถูกส่งตัวไปทำภารกิจลับ เธอกลับถูกคนในองค์กรมืดหักหลังและถูกฆ่าโดยเพื่อนสนิทที่เธอไว้ใจมากที่สุด ก่อนสิ้นใจเธอถามเพื่อนสนิทว่าทำไม แต่ไม่ได้รับคำตอบจากปากของอีกฝ่าย สิ่งที่เธอได้รับคือรอยยิ้มที่ดูถูกเหยียดหยามและ คำว่า “โง่” จากปากของอีกฝ่ายเท่านั้น หลังจากที่ตายไปแล้วสิ่งที่เธอคิดไว้ คงจะเป็นนรกหรือที่ไหนสักแห่งที่เป็นโลกหลังความตาย แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนัน เธอตื่นขึ้นมาในร่างของ หยางจื้อซี เด็กหญิงอายุ เพียง 13 ขวบปีในหมู่บ้านป่าหมอก ในดินแดนโบราณล้าหลังที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ คล้ายกับว่าเป็นโลกคู่ขนานที่อยู่อีกมิติหนึ่ง เธอตื่นขึ้นมาในบ้านที่ผุพัง ครอบครัวยากจน มีแม่ที่อ่อนแอและเจ็บป่วย มีพี่น้องที่อายุน้อย มีปู่ย่าตายายที่เห็นแก่ตัวและใจร้าย มีลุงที่เห็นแก่ได้ป้าสะใภ้ที่เต็มไปด้วยความละโมบโมบโลภมาก หยางจื้อซี คิดว่านับจากนี้ไปชีวิตจะต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง หากใครมารังแกก็แค่ทุบตี เธอไม่เชื่อว่าด้วยพลังที่ติดตัวเธอมาจากชาติที่แล้วจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในโลกล้าหลังแห่งนี้
ในวันครบรอบแต่งงาน เหวินซือถูกเมียน้อยของสามีวางยาและไปมีอะไรกับคนแปลกหน้า เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไป แต่เมียน้อยคนนั้นกลับตั้งท้องลูกของสามี ภายใต้ความกดดันต่างๆ เหวินซื่อสูญรู้สึกสิ้นหวังและตัดสินใจหย่า แต่สามีของเธอกลับไม่แยแสโดยคิดว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อยู่ หลังจากการหย่ากัน เหวินซือกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ตามจีบเธอ อดีตสามีไม่ยอมและขอคืนดีไปถึงที่ จากนั้นก็ว่า เธออยู่ในอ้อมแขนของคนใหญคนโตคนหนึ่ง และชายคนนั้นก็พูดอย่างสงบว่า "ดูให้ดี นี่คือพี่สะใภ้ของนาย"
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"