ยามใดที่ร่างกายสัมผัสถูกเกสรดอกไม้ นิสัยของผมจะกลับกลายเป็นอีกคน... เพราะความเมามายเป็นเหตุ จึงทำให้ฉันต้องอยู่บนเตียงกับเขาตลอดทั้งค่ำคืนนั้น คิดว่าจะจบ ทว่าเราสองคนกลับหวนมาเจอกันอีกครั้งในวันหนึ่ง “คุณท้องกับผมเหรอ?” “คุณคิดว่าเครื่องตัวเองฟิตสตาร์ทติดง่ายขนาดนั้นเลยเหรอคะ?” .......................................................................................... ชีวิตของฉันซวยมากเลยค่ะคุณกิตติคะ ด้วยความที่เพื่อนงอนกับแฟนก็เลยอยู่ช่วยปลอบใจ พร้อมคอยปรามไม่ให้เพื่อนดื่มแอลกอฮอล์จนเมามายไร้สติ แต่จู่ๆ ก็มีนังตัวดีที่ไหนไม่รู้ส่งคลิปคนรักของฉันซึ่งกำลังนัวเนียกับผู้หญิงคนอื่นมาให้ดู ไป ๆ มา ๆ จึงกลับกลายเป็นว่าเพื่อนต้องปลอบใจฉันแทน อาการเจ็บช้ำหัวใจที่จู่โจมเข้ามากะทันหันโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ส่งผลให้ฉันกระดกเหล้าเข้าปากรัว ๆ แบบไม่หยุดยั้ง ยังค่ะ...เรื่องยังไม่จบที่ตรงนั้น แฟนเพื่อนตามมารับเพื่อนกลับบ้าน แต่ก็ยังมีน้ำใจพาฉันขึ้นไปห้องพัก ทว่า...ห้องนั้นดันไม่ใช่ห้องของฉันนี่สิ "คุณเป็นใคร เข้ามาในห้องของผมได้ยังไง ออกไปเดี๋ยวนี้!" ท่าทางของผู้ชายตรงหน้าที่กำลังเอ่ยปากไล่ฉันดูแปลกตา คล้ายกับกำลังระงับอารมณ์บางอย่าง กระนั้นระดับแอลกอฮอล์ในร่างกายก็ทำให้ฉันไม่อยากสนใจอะไรนอกเสียจากล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้าง "อะไร? จะแปลงร่างเหรอ? ไปเล่นที่อื่นไปหนู พี่จะนอน" ความเมาเป็นเหตุสังเกตได้ ตื่นขึ้นมานั่นแหละถึงได้รู้ ว่าตนเองถูก 'คนแปลกหน้า' พรากความบริสุทธิ์ไปเสียแล้ว...
บรรยากาศรอบกายค่อนข้างอึกทึกไม่น้อย เนื่องจากเป็นมุมสำหรับดื่มสังสรรค์ของทางโรงแรม ไม่ว่าจะเป็นเสียงเพลงหรือเสียงพูดคุยก็ต่างเจื้อยแจ้วไปทั่วทั้งบริเวณ ทว่าสิ่งที่ฉันสนใจในเวลานี้ก็คือเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านข้างต่างหาก
“พอแล้วโบว์วี่ นั่นเหล้านะไม่ใช่น้ำเปล่า กระดกเอา ๆ เดี๋ยวก็ช็อกตายหรอก” ตั้งแต่มานั่งอยู่ตรงบาร์ ประโยคเหล่านี้ถูกเอื้อนเอ่ยออกมาจากปากฉันนับครั้งไม่ถ้วน
อันที่จริงเราสองคนมาที่โรงแรมแห่งนี้เพื่อพักผ่อนหย่อนคลายก่อนจะเริ่มหาที่ฝึกงาน ทว่ายังสบายตัวสบายใจได้ไม่ทันไรเพื่อนก็ดันมีปัญหากับแฟน จนเรื่องกลับกลายเป็นอย่างที่เห็น
เครื่องดื่มหลากสีที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์แก้วแล้วแก้วเล่าถูกมือบางยกกระดกเข้าปากรัว ๆ ท่ามกลางสายตาเป็นห่วงเป็นใยจากฉัน
เพื่อนสาวคนสนิทงอนกับแฟนหนุ่มตามประสาคู่รักที่มักจะมีเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามาทำให้คิดมาก และแน่นอนว่าสิ่งที่คลายความคิดฟุ้งซ่านนั้นได้ก็คือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่มันเกินไปหน่อย ที่โบว์วี่เล่นดื่มอย่างเอาเป็นเอาตายเสียขนาดนี้
ฉันเองก็ไม่รู้เรื่องด้วยหรอก ว่าสาเหตุที่เพื่อนงอนกับแฟนเกิดจากอะไร รู้เพียงแต่ว่าในสถานการณ์ตรงหน้าฉันควรปลอบใจ และควรปรามเพื่อนไปพร้อม ๆ กัน
“ฉันเคยบอกโอห์มไปแล้ว ว่าเวลาไปไหนให้โทรมาบอก” โบว์วี่ระบายความอัดอั้นตันใจที่เก็บงำเอาไว้ออกมา “แต่นี่อะไร เขาไปเที่ยวผับกับเพื่อนโดยที่ไม่บอกฉันสักคำ แกก็รู้ใช่มั้ยว่าสถานที่แบบนั้นต้องไปเจอสิ่งล่อตาล่อใจอะไรบ้าง”
“รู้ เอาน่าใจเย็น ๆ มีอะไรก็ค่อย ๆ คุยกัน” มือข้างหนึ่งเอื้อมไปลูบไหล่บางแผ่วเบาเพื่อปลอบประโลม
ฉันเองก็มีแฟนเหมือนกัน จึงเข้าใจเป็นอย่างดีว่าสถานที่แบบนั้นไม่เหมาะที่จะปล่อยให้คนรักของตนเองย่างกายเข้าไปโดยไม่บอกกล่าว ต่อให้ไม่ได้มีเจตนาอะไรทำนองนั้นแอบแฝง แต่อย่างน้อยก็ควรบอกเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ
เรื่องพวกนี้เป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนต่อความสัมพันธ์ อย่าให้ต้องมารับรู้เองทีหลังจะดีกว่า
“ฉันไม่พร้อมจะคุยอะไรตอนนี้หรอก โมโห” ไม่บอกก็รู้ เห็น ๆ อยู่ว่าสีหน้าโบว์วี่เกรี้ยวกราดขนาดไหน
“แล้วนี่แกรู้ได้ไงว่าโอห์มไปผับ”
“ก็เพื่อนเขาถ่ายรูปแล้วแท็กหากัน สงสัยไม่ได้เตี๊ยมไว้ ฉันตาไวไงเลยเห็นพอดี” ได้แต่ส่ายหน้าไปมาให้กับคำบอกเล่าจากปากเพื่อน
บทจะโป๊ะแตกก็โป๊ะแบบง่าย ๆ เพื่อนโอห์มนี่ก็ไม่รู้งานเอาเสียเลย
“เดี๋ยวฉันมานะ ไปเข้าห้องน้ำก่อน”
“จะโทรเช็กแฟนตัวเองบ้างล่ะสิ” คิ้วเรียวเป็นทรงสวยเลิกขึ้นสูงอย่างตั้งคำถาม
ฉันไม่ตอบ ทว่าเลือกที่จะยกยิ้มมุมปาก ก็ตั้งใจจะไปทำธุระส่วนตัวด้วย แต่สำหรับเรื่องนั้นคือจุดประสงค์รอง
“กลับมาอย่าให้ฉันเห็นว่าแกสั่งมาเพิ่มอีกแก้วนะโบว์วี่” ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนไม่ลืมที่จะกำชับเพื่อนเอาไว้ ใบหน้าเนียนสวยที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางดูโฉบเฉี่ยวพยักรับหงึกหงัก
ฉันเดินไปตามทางที่มีป้ายชี้บอก ไม่นานนักก็ถึงจุดหมาย หลังจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยจึงเดินไปล้างมือที่อ่าง จากนั้นจึงใช้ทิชชู่เช็ดให้แห้งเพื่อล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าสะพายใบเล็กที่แนบอยู่ข้างลำตัว
นิ้วเล็กจิ้มไปที่เบอร์ล่าสุดเพื่อกดโทรออก เสียงสัญญาณดังขึ้นเนิ่นนานหลายนาทีก็ไม่มีวี่แววว่า ‘พี่คิม’ จะรับสาย หลังกดโทรออกอยู่หลายครั้งฉันจึงถอดใจ แล้วยัดโทรศัพท์กลับไปไว้ที่เดิม
คิดในแง่ดีบางทีเขาอาจจะกำลังทำงานอยู่ เพราะแฟนของฉันเป็นถึงผู้บริหารระดับสูง ดังนั้นแม้ว่าเวลานี้จะดึกดื่นไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
“เป็นอะไรหน้านิ่งมาเลย” พอเดินกลับไปหาเพื่อน โบว์วี่ก็รีบทักทันทีเมื่อเห็นสีหน้าฉันที่ฉายชัดออกไป
“พี่คิมไม่รับสาย” อันที่จริงเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นค่อนข้างบ่อย โดยเฉพาะช่วงที่พี่คิมมีงานรัดตัว
“ของแกนี่ไม่น่าเป็นกังวลเท่าไหร่ พี่คิมออกจะสุภาพบุรุษ แถมยังเรียบร้อยพูดน้อยน่ารักขนาดนั้น” ไม่ได้รู้สึกยินดีสักเท่าไหร่ที่เพื่อนพูดแบบนี้ แม้ว่าพี่คิมจะเป็นสุภาพบุรุษ กระนั้นท่าทีเงียบสงบของเขาก็ไม่อาจทำให้ฉันล่วงรู้ได้เลยว่าพี่คิมกำลังคิดอะไรอยู่บ้าง
“แล้วถ้าพี่คิมเป็นผู้ชายเงียบ ๆ แต่ฟาดเรียบล่ะ” หลังเอ่ยประโยคนั้นจบลง โบว์วี่ก็ขำก๊ากขึ้นมาทันที
“แกคบกับเขามาหลายเดือนแล้วนะ อีกไม่นานก็จะครบปีแล้ว ฉันดูยังรู้เลยว่าพี่คิมไม่ใช่ผู้ชายแบบนั้น” ฉันเองก็รู้ว่าแฟนตัวเองเป็นคนแบบไหน แต่บางครั้งมันก็อดที่จะระแวงไม่ได้ ก็เห็นมาหลายคู่แล้ว ที่ต่อหน้าเงียบ ๆ ลับหลังก็ฟาดเรียบ ขึ้นชื่อว่าผู้ชายไว้ใจไม่ได้หรอก ไม่วันใดก็วันหนึ่งต้องมีออกนอกลู่นอกทางกันบ้าง “ฉันขอถามอะไรหน่อยสิ”
“อะไร?” หลังย้อนถามกลับไป เพื่อนก็เอนกายเข้ามาหาจนเกือบจะสิงร่างฉันอยู่รอมร่อ ริมฝีปากบางเคลือบลิปสติกสีแดงโฉบลงมากระซิบที่ข้างหู ก่อนเอ่ยประโยคที่ทำให้ฉันหน้าแดงก่ำ
“แกกับพี่คิมเคยมีอะไรกันหรือยัง”
“จู่ ๆ มาถามอะไรแบบนี้!” แสร้งพูดเสียงดังเพื่อกลบเกลื่อนอาการขวยเขิน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเขินไปทำไม ในเมื่อยังไม่เคยไปถึงขั้นนั้นกับพี่คิมเลยสักนิด
“ฉันจะได้ให้คำปรึกษาได้ถูก สรุปว่าไง?” เกิดอาการอึกอักอยู่นานหลายสิบวินาที เนื่องจากไม่รู้ว่าควรให้คำตอบเพื่อนออกไปดีหรือไม่ “บอกมาเถอะน่าคนกันเอง ฉันไม่ฟ้องพ่อแกหรอก เรื่องเซ็กส์มันไม่ใช่เรื่องน่าอาย”
“ไม่เคย” ท้ายที่สุดก็ให้คำตอบเพื่อนด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม
“แล้วจูบล่ะ” โบว์วี่ยังคงตั้งคำถาม
“ก็ไม่เหมือนกัน”
“พูดจริงพูดเล่นเนี่ย แกไม่เคยทำอะไรแบบนั้นกับพี่คิมบ้างเลยเหรอ” ดูเหมือนว่าร่างบางข้างกายจะแปลกใจไม่น้อยที่ได้ยินคำตอบล่าสุดจากปากฉัน
ก็คนมันกลัวนี่นา ฉันเคยอ่านกระทู้ในเว็บไซต์ผู้หญิง แล้วหลายคนมักจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ครั้งแรก’ มักจะเจ็บเสมอ ส่วนเรื่องจูบ…เป็นฉันเองที่ไม่ใจกล้ามากพอ แม้ว่าบรรยากาศจะเป็นใจหลายครั้งกระนั้นฉันก็เลือกที่จะปฏิเสธเขาทุกที
“ฉันจะโกหกแกทำไมล่ะ ว่าแต่แกเถอะเคยหรือไง”
“ของมันแน่อยู่แล้ว โอห์มหุ่นแซบขนาดนั้นใครจะอดใจไหว” ท่าทางของเพื่อนที่กำลังกัดริมฝีปากทำให้คนมองอย่างฉันถึงกับส่ายหน้า “แล้วพี่คิมเคยรุกแกบ้างหรือเปล่า”
“เคย แต่ฉันก็ปฏิเสธตลอด” เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่ความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย ฉันเชื่อว่าถ้าพี่คิมรักฉันจริง ๆ เขาต้องรอได้
“แล้วเขาไม่พูดอะไรบ้างเหรอ”
“พี่คิมรอได้” ระดับน้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยออกไปค่อนข้างหนักแน่นเลยทีเดียว พี่คิมเคยพูดกับฉันไว้แบบนี้ มันจึงทำให้ชีวิตคู่ของเรายังคงดำเนินเรื่อยมา
หากเขาไม่พอใจคงไปจากฉันตั้งนานแล้วล่ะ ไม่เสียเวลารอให้ฉันพร้อมหรอก
“บอกตามตรงเลยนะ เรื่องเซ็กส์มันเป็นอะไรที่สำคัญกับชีวิตคู่ ต่อให้พี่คิมพูดแบบนั้นแต่ฉันเชื่อว่าลึก ๆ แล้วเขาก็อยากทำ อย่างน้อยแกน่าจะให้เขาจูบหน่อยก็ดี”
“ฉันไม่กล้าอะ ขอเวลาทำใจก่อน” พี่คิมคือแฟนคนแรกของฉัน หลายเดือนมานี้ก็พยายามอย่างมากแล้วที่จะปรับตัวเพื่อเขา จากที่ตอนแรกไม่ให้แม้กระทั่งหอมแก้มกับกอดเลยด้วยซ้ำ
ขอเวลาอีกสักพัก แล้วฉันจะยอมให้เขาทุกอย่างตามที่ต้องการ…
“ระวังเขาจะไปหากินที่อื่นแล้วกัน”
Tru…Tru…Tru…
ประโยคคำเตือนจากปากเพื่อนดังแทรกเข้ามาในโสตประสาท ก่อนที่โทรศัพท์มือถือของโบว์วี่จะสั่นครืดอยู่ข้างแก้วเครื่องดื่ม
“ร้านหมูกระทะสวัสดีค่ะ รับอะไรดีคะ” หางตาปรายมองคนข้างกาย เมื่อได้ยินโบว์วี่ทักทายปลายสายด้วยประโยคนั้น “จะมาง้อเหรอ เค้าไม่บอกหรอกว่ากำลังอยู่ที่โรงแรม…ตัวเองไปดื่มกับเพื่อนเถอะ เค้าไม่สำคัญอยู่แล้วหนิ ไม่ต้องมา”
มุมปากถึงกับยกยิ้มพร้อมกลั้นขำ จริง ๆ ก็อยากให้แฟนตามมาง้อแหละแต่ฟอร์มจัด พูดออกไปหมดซะขนาดนั้นโอห์มคงไม่รู้หรอกมั้งว่าเราอยู่ที่ไหนกัน
“แกนี่มันจริง ๆ เลย” หลังเพื่อนคุยกับคนรักเสร็จก็อดไม่ได้ที่จะค่อนแคะ มีอย่างที่ไหนไม่อยากให้เขาตามมา แต่ดันพูดบอกชื่อสถานที่หมดเปลือก
“ฉันว่าโอห์มคงไม่ตามมาหรอก” โบว์วี่ไหวไหล่ราวกับไม่ใส่ใจ ทว่าฉันก็มองออกอยู่ดี ว่าแท้จริงแล้วเพื่อนก็แอบคาดหวัง
อันที่จริงถ้าโอห์มจะมาก็มาได้ แค่นั่งเรือข้ามมายังเกาะแป๊บเดียวเอง อยู่ที่ว่าเขาจะทำหรือเปล่าแค่นั้น
ติ้ง!
“พี่คิมแน่ ๆ” มือรีบคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่ขึ้นมาถือด้วยความรวดเร็ว และไม่วายหันไปพูดอวดเพื่อนพร้อมรอยยิ้ม
แต่แล้ว...รอยยิ้มที่เคยปรากฏบนใบหน้าพลันค่อย ๆ จางหายหลังจากเห็นข้อความที่ถูกส่งมาจากบุคคลปริศนา
ซึ่งคลิปที่กำลังเล่นอยู่บนหน้าจอคือคนรักของฉันที่กำลังนัวเนียอยู่กับผู้หญิงคนอื่นอย่างถึงพริกถึงขิง
ไม่อยากสาธยายรายละเอียดไปมากกว่านี้อีกแล้ว ฉันรับไม่ได้…
“ทำหน้าเหมือนเห็นผี ไหนเอามาดูหน่อย” ปล่อยให้เพื่อนเอาโทรศัพท์ของตนเองไปดูโดยง่าย เพราะเวลานี้สติที่เคยมีได้หลุดลอยออกจากร่างฉันไปเสียแล้ว “อะไรวะเนี่ย!”
แม้แต่เพื่อนยังตกอกตกใจกับสิ่งที่เห็นจนหลุดร้องอุทานออกมาเสียงดัง
“...”
“แกโอเคมั้ยเทียนหอม” มือบางวางลงบนไหล่ของฉัน พร้อมตบเบา ๆ เพื่อปลอบประโลม
โอเคก็แย่แล้ว…
จู่ ๆ ขอบตาก็รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา ฉันแสร้งกลบเกลื่อนความรู้สึกเจ็บปวดนั้นด้วยการคว้าแก้วเครื่องดื่มกระดกเข้าปาก แต่รู้สึกว่ามันคงไม่พอ
แหงสิ ก็ที่เพิ่งดื่มเข้าไปน่ะมันคือน้ำส้ม…
“สั่งเหล้าให้หน่อย ขอแบบแรง ๆ” หันไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่นั่งอยู่ด้านข้าง จะย้อมใจทั้งทียังไม่รู้เลยว่าต้องดื่มเหล้าชนิดไหน
“เมื่อกี้แกยังห้ามฉันอยู่เลยนะ” โบว์วี่รีบแย้ง
“งั้นไม่ห้ามแล้ว สั่งมาเลย” บอกออกไปอย่างคนเอาแต่ใจ ระดับน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็รับรู้ได้ถึงก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ตรงบริเวณลำคอ
“ไม่ต้องแรงมากหรอกมั้ง คนไม่เคยดื่มอย่างแกแค่อึกเดียวก็น่าจะหัวทิ่มแล้ว” เพื่อนก็ขยันพูดจี้ใจดำฉันเสียจริง ไม่สงสารคนที่กำลังช้ำใจบ้างเลยหรือไง
“จะสั่งให้ฉันได้หรือยัง”
“โอเค ๆ” โบว์วี่รีบตอบรับอย่างจำยอม ก่อนจะหันไปสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับบาร์เทนเดอร์
“ฉันไม่คิดเลยว่าพี่คิมจะเป็นอย่างที่ฉันกังวลจริง ๆ” ระหว่างรอก็ตัดพ้อกับเพื่อนสนิทไปพลาง ๆ หลังมือถูกยกขึ้นปาดเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าลวก ๆ
เพิ่งรู้ซึ้ง ว่าการที่ถูกคนรักหักหลังมันเจ็บปวดขนาดนี้
“เอาน่า หาใหม่เลยอย่าไปแคร์ สวยเลิศเชิดเข้าไว้”
“ถ้าจะเป็นแบบนี้ฉันยอมขึ้นคานดีกว่า ไม่เอาแล้ว” ผู้ชายก็เป็นเหมือนกันหมดนั่นแหละ เผลอไม่ได้ ฉันคิดว่าตัวเองเลือกดีแล้วนะ สุดท้ายเป็นไงล่ะ...หึ ซึมเป็นส้วมเลย
“เหล้าที่สั่งไว้ได้แล้วครับ” ครั้นได้ยินดังนั้นฉันก็รีบคว้าแก้วเหล้าตรงหน้ามากระดกเข้าปากโดยเร็ว
“ไม่เห็นจะอร่อยเลย ขมก็ขม” ใบหน้าที่แสดงออกไปเหยเกเพราะความไม่คุ้นชินกับรสชาติที่แตะสัมผัสปลายลิ้น
“งั้นก็เลิกดื่ม”
“ไม่!” ฉันเลือกที่จะปฏิเสธเพื่อนเสียงแข็ง ถ้าการเมาทำให้ลืมความเจ็บปวดได้ฉันก็จะลุย “เอามาอีกแก้ว”
“พอเถอะ” โบว์วี่ห้ามปรามอีกครั้งราวกับคิดว่ามันจะได้ผล
“อย่าห้าม วันนี้ฉันอยากเมา” ยังคงหนักแน่นในจุดประสงค์ของตนเอง แม้ว่าจะรู้สึกมึน ๆ ตั้งแต่แก้วแรกที่ดื่มเข้าไปก็ตาม “สั่งมาอีก”
“แกนี่จริง ๆ เลย” แม้ปากจะบ่นอุบ กระนั้นโบว์วี่ก็หันไปสั่งให้
แอลกอฮอล์แก้วแล้วแก้วเล่าถูกฉันยกขึ้นกระดกเข้าปากรัว ๆ แบบไม่หยุดยั้ง เวลานี้จะเอาอะไรมาฉุดก็ไม่อยู่แล้วจริง ๆ
ทว่าผ่านไปไม่กี่นาทีฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ก็เริ่มทำงานอย่างมีประสิทธิภาพตามที่ต้องการ
“เจ็บแล้วจำคือคน...เจ็บแล้วทนต้องไม่ใช่ฉันโว้ยยยย!” พอเริ่มเมาก็ซ่าขึ้นมาทันที จากที่ไม่เคยเสียงดังพลันรู้สึกว่ากำลังรูดซิปปากไม่อยู่
“เออรู้แล้ว พอได้หรือยังเนี่ย ไหนบอกว่าเหล้าไม่ใช่น้ำเปล่าไงเดี๋ยวก็ช็อกตายหรอก” ประโยคนี้คุ้น ๆ นะคะคุณกิตติ ฉันเคยพูดหรือเปล่านะ
“ฮึก...แกอย่าขึ้นเสียงใส่ฉันได้มั้ย ฉันกำลังเจ็บช้ำตรงนี้อยู่นะ” ว่าแล้วก็ทุบลงไปที่อกข้างซ้ายของตนเองเบา ๆ
ทุบแรงไม่ได้ คนเมาก็เจ็บเป็น…
ยามใดที่ได้กลิ่นหอมของเธอ นิสัยของผมจะกลับกลายเป็นอีกคน... ทั้งชีวิตที่เกิดมา ไม่เคยมีใครแสดงท่าทีรังเกียจฉันได้มากเท่าเขาอีกแล้ว… “คุณมีปัญหาอะไรกับฉันหรือเปล่าคะคุณแซ้งค์” “ใครจะกล้ามีปัญหากับลูกสาวเจ้าพ่ออย่างคุณเอวาได้ล่ะครับ” “ก็คุณไงคะ” .......................................................................................... ฉันต้องรู้สึกยังไงที่จู่ ๆ ก็มีคนบางคนชอบแสดงท่าทีเหมือนรังเกียจ ทุกครั้งที่พยายามเข้าใกล้ เขาก็จะถอยห่าง มองจากดาวอังคารยังรู้ ว่า ‘คุณแซ้งค์’ กำลังไม่ชอบขี้หน้าฉันอย่างแรง แต่บอกไว้ก่อน เราไม่เคยมีเรื่องกัน แล้วทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ไปได้ “บอกเหตุผลมาหน่อยได้มั้ยคะ ว่าทำไมถึงทำเหมือนไม่ชอบฉันนัก” “ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่ผมแค่ไม่อยากอยู่ใกล้คุณ” “แล้วมันทำไม?” “ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง” หลังจากได้รับคำตอบ ฉันก็ไม่เคยเข้าใจในความหมายนั้น กระทั่งคืนหนึ่งได้เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น ซึ่งนี่แหละคือจุดเปลี่ยนความสัมพันธ์ของเราไปตลอดกาล...
ยามใดที่ดวงอาทิตย์ตกดิน นิสัยของผมจะกลับกลายเป็นอีกคน... ค่ำคืนนั้นเขาช่างเร่าร้อน ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเราล้วนไม่ใช่เพราะความรัก... "ขึ้นชื่อว่าคนดูแลชั่วคราว เธอก็จะได้อยู่แค่ในสถานะนั้น อย่าใฝ่สูง" .......................................................................................... ฉันได้รับหน้าที่ให้ดูแล 'ผู้ชายคนหนึ่ง' ทว่าของแถมที่พ่วงติดมาด้วยนั้นคือเรื่องราวน่า 'ประหลาด' ซึ่งเป็นเหตุทำให้ชีวิตของฉันต้องพลิกผันไปตลอดกาล "คุณซานเป็นอะไรหรือเปล่าคะ" การเห็นเจ้านายแสดงท่าทีราวกับทุกข์ทรมานอยู่ตรงหน้า จึงไม่นิ่งนอนใจที่จะเอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วง พร้อมขยับก้าวเข้าไปเพื่อช่วยพยุง "ออกไป!" ทว่าร่างสูงตรงหน้ากลับตะคอกใส่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หนำซ้ำยังสะบัดตัวฉันออกจนเซถลาเกือบล้มลงกระแทกพื้น "ออกไปจากห้องฉัน...เดี๋ยวนี้!!" หากย้อนเวลากลับไปได้ คืนนั้นฉันจะเชื่อฟัง และยอมเดินออกไปจากห้องแต่โดยดี...
ผมไม่เคยคิดว่าการที่ไว้หนวดไว้เครา และทำตัวเซอร์ๆ จะทำให้ใครบางคนต้องร้องไห้เพียงเพราะแค่เห็นหน้า "ฮือ...แม่จ๋าหนูกลัวโจร" เด็กผู้หญิงที่ร้องไห้ในวันนั้น คือคนที่ผมต้องสยบจวบจนถึงทุกวันนี้... ........................................................................ ฉันไม่รู้ว่าเริ่มชอบเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าพอได้ชอบฉันก็ไม่สามารถห้ามความรู้สึกของตัวเองได้อีกเลย... วินาทีแรกที่เจอกัน 'เขา' ทำให้ฉันรู้สึกกลัว แต่พอนานวันเข้า เขากลับเป็นคนที่สอนให้ฉันรู้จักคำว่า 'ความรัก' "ถ้าโตขึ้นแล้วมีผู้ชายมาชอบหนู แด๊ดดี้จะทำยังไงคะ?" "ฆ่ามัน" ได้แต่เก็บความสงสัยนั้นเอาไว้ในใจ พอโตมาถึงได้รู้ ว่าฉันจะต้องเป็นของแด๊ดคนเดียวตลอดไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม...
"มาโรงพยาบาลวันนี้ป่วยเป็นอะไรอีกล่ะคะ" "พอดีกินข้าวไม่ค่อยได้น่ะครับ" "หืม? มีอาการอาเจียนด้วยหรือเปล่าคะ หรือว่ายังไง" "เปล่าครับ แค่ไม่มีตังค์" "..." "ถ้าคุณพยาบาลไม่รังเกียจ ผมขอฝากท้องไว้สักมื้อนะครับ" "คุณท้องเหรอคะ?" ........................................................................ "ถ้านายทำร้ายฉัน ฉันจะโทรไปฟ้องพี่" ฉันรู้ว่าคำขู่ของตัวเองมันอาจจะไม่ได้ผล เพราะเขาเป็นผู้ชายที่หน้าด้านหน้าทนยิ่งกว่าปูนซีเมนต์ หมายถึงทนมือทนตีนน่ะนะ "ฟ้องมากๆ ระวังโดนตบด้วยปากและกระชากด้วยลิ้นนะ" นอกจากจะเป็นผู้ชายที่กวนตีนแล้ว ความหื่นของเขาก็มีมากเช่นกัน หมดเรี่ยวแรงไปเท่าไหร่แล้วกับผู้ชายพันธ์นี้...โปรดอยู่ให้ห่างแล้วชีวิตจะปลอดภัย
เคยได้ยินคำว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้หรือเปล่า? และฉันก็ไม่ชอบให้ใครมาหากินในที่ของฉัน แต่ 'มัน' เสือกทำ "ไม่ใช่เด็กถิ่นเช็คอินได้เปล่า" ด้วยความที่โชคชะตามันโหดร้าย จึงทำให้เราสองคน 'ได้' กัน ........................................................................ สิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดก็คือความเจ้าชู้ แต่แล้ววันหนึ่งฉันกลับกลายทำตัวเป็นแบบนั้นซะเอง เหตุการณ์ที่พบเจอมันบีบบังคับให้ฉันต้องร้าย ต้องแรง และ...อยู่ให้เป็น "นี่ไม่ใช่ที่วิ่งเล่นของเด็ก กลับบ้านไปดูดนมนอนไป๊!" วาจาที่พ่นออกมาจากริมฝีปากหนาเป็นอะไรที่ฉันรังเกียจพอๆ กับการเห็นหน้า 'คนพูด' "ก่อนไป ขอเตะปากทีดิ" เท้าของฉันมันกำลังกระตุก เมื่อหูได้ยินอะไรที่ไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ เขาว่ากันว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ เห็นทีว่ามันจะจริง...
"ถ้านายยังทำนิสัยแบบนี้ สักวันนายจะไม่เหลือใคร" ร่างเล็กพูดบอกผมออกมาด้วยแววตานิ่งๆ เธอเป็นผู้หญิงที่สวยและเพรียบพร้อมไปซะทุกอย่าง ถ้าเปรียบเธอเป็นที่สูง ผมก็คงเป็นที่ต่ำ ผมอยากจะไขว่คว้าเธอ แต่มันก็เกินเอื้อม เพราะคนเลวๆ อย่างผมมันไม่มีค่าที่จะคู่ควรกับเธอ "ถ้าฉันเป็นคนดีแล้วเธอจะรักฉันได้มั้ย" ผมลองย้อนถามกลับไป เธอยังคงยืนนิ่งก่อนที่จะเดินออกไปโดยที่ไม่ได้ตอบอะไรผมทั้งนั้น ไม่ว่าผมจะเป็นยังไงสุดท้ายเธอก็ไปอยู่ดี ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว ประโยคนี้มันไม่มีผลอะไรกับชีวิตของผม ไม่ว่าจะทำตัวดีแค่ไหน สุดท้ายก็เหี้ยในสายตาของเธออยู่ดี...
หลังจากดูแลสามีมาเป็นเวลาสามปี เมื่อเห็นสามีสอบติดขุนนาง เฉียวชูเยว่ก็นึกว่าชีวิตดีๆ จะมาแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าสามีเป็นคนโลภ และเจ้าชู้ เพื่อจัดการปัญหาให้สามี เฉียวชูเยว่เสียตัวให้กับจักรพรรดิโหดร้ายโดยไม่ได้ตั้งใจ เพื่อชีวิตและอนาคตของสามี นางได้แต่อดทนเอาไว้ จากนั้น สามีของนางก็ได้รับการยกย่องจากจักรพรรดิ และถูกเลื่อนตำแหน่งเรื่อยๆ เมื่อสามีของนางกำลังเพลิดเพลินอำนาจและสาวสวยนั้น นางกำลังรับใช้กับจักรพรรดิอย่าง้อยใจ แต่ไม่คาดคิดว่าความพยายามของนางได้แลกกับใบหย่าจากสามี ในวันแต่งงานของสามี นางถูกฆาตกรไล่ตามและตกลงไปในโคลน เมื่อนางหมดหวังนั้น จักรพรรดิก็มายืนอยู่ตรงหน้านาง "มาเป็นคนของข้าสิ และจะไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าอีก!"
องค์หญิงสิบสามนามหลินฮุ่ยหมินสตรีผู้ที่งดงามโดดเด่นไม่เป็นรองผู้ใดแต่กลับมีฐานะต่ำต้อยในวังหลวงด้วยพระมารดาเสียชีวิตตั้งแต่นางยังเด็ก ท่ามกลางความคับแค้นใจนางยังต้องคำสาปร้ายต้องกลายร่างเป็นสัตว์ทุกคืนวันพระจันทร์เต็มดวง เขาคือ หยางเอ้อหลาง แม่ทัพหนุ่มผู้มีความสามารถรูปโฉมสง่างามและเป็นวีรบุรุษคนสุดท้ายของสกุลหยาง ทั้งยังเป็นที่รักเคารพของชาวเมือง ทว่าด้วยความสามารถและตำแหน่งใหญ่โต ฮ่องเต้มิอาจวางใจจึงได้คิดกำจัดเขาให้พ้นตำแหน่งเสีย โดยมอบสมรสพระราชทานให้หยางเอ้อหลางกับพระธิดาของตน เดิมทีชีวิตของคนสองคนย่อมไม่บรรจบ เมื่อสตรีที่หมายหมั้นกับหยางเอ้อหลางคือองค์หญิงใหญ่ที่ปักใจรักเขาตั้งแต่เยาว์วัย ทว่าเรื่องไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อคนทั้งคู่เกิดอุบัติเหตุจนคนเข้าพิธีสมรสกลายเป็นองค์หญิงสิบสาม ท่ามกลางความหวาดกลัวขององค์หญิงสิบสามที่กลัวความลับจะเปิดเผย ท่ามกลางหยางเอ้อหลางที่พยายามพาสกุลหยางให้รอดพ้น ท่ามกลางการแตกหักของความสัมพันธ์พี่น้องที่แสนรักใคร่ระหว่างองค์หญิงใหญ่และองค์หญิงสิบสามเพราะบุรุษเพียงผู้เดียว หลินฮุ่ยหมินจะทำเช่นใด เพื่อจะยุติเรื่องราวน่าเวียนหัวนี้
อวิ๋นเจินอาศัยอยู่ในตระกูลอวิ๋นมาเป็นเวลา 20 ปี กลับพบว่าเธอเป็นลูกสาวปลอม พ่อแม่บุญธรรมของเธอวางยาเธอเพื่ออยากจะได้เงินมาลงทุน หลังจากที่อวิ๋นเจินรู้เรื่องนี้ เธอก็ถูกไล่กลับไปที่ชนบท จากนั้นเธอก็ค้นพบว่าตัวเองคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลเฉียวและมีชีวิตที่หรูหราสุด ๆ หลังจากกลับมา เธอได้รับความรักจากครอบครัวและมีชื่อเสียงโด่งดัง น้องสาวจอมปลอมใส่ร้ายอวิ๋นเจิน แต่เธอไม่คาดคิดว่าอวิ๋นเจินจะมีความสามารถต่างๆ เมื่อต้องเผชิญกับการยั่วยุ เธอได้แสดงความสามารถและทักษะต่างๆ มากมายเพื่อจัดการผู้รังแก มีข่าวลือกันว่าอวิ๋นเจินยังคงโสด และชายหนุ่มชื่อดังแห่งเมืองงก็ผลักเธอไปเข้ากำแพง "คุณนายกู้ ถึงตามราเปิดเผยตัวตนได้แล้วนะ"
หลัวเจิง ผู้ตกจากที่สูงกลายเป็นทาสที่ต่ำต้อย มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาพบวิธีฝึกในตัวเองให้กลายเป็นอาวุธโดยบังเอิญ สงครามการต่อสู้เริ่มขึ้นทันที และพึ่งพาความเชื่ออันแรงกล้าในการไม่ยอมจำนน เขาพยายามแก้แค้นและไล่ตามความฝันอันยิ่งใหญ่ นักรบจากชาติพันธุ์ต่าง ๆ ต่อสู้เพื่อความเป็นเจ้าโลกและโลกก็ปั่นป่วน อาศัยร่างกายที่เปรียบได้กับอาวุธวิเศษ หลัวเจิงเอาชนะศัตรูจำนวนมากบนเส้นทางสู่ความเป็นอมตะ ในที่สุดเขาจะทำสำเร็จหรือไม่?
เกิดใหม่ในชาตินี้ นางแค่ต้องการอยู่อย่างสงบสุขปกป้องครอบครัวจากเรื่องร้ายที่จะเกิดขึ้น นางไม่อยากตกอยู่ในบ่วงรักอันทำให้ครอบครัวต้องพบกับวิบัติอีกต่อไปแล้ว... คำเตือน นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักโรแมนติก ดราม่า มีฉากความรุนแรง ฉาก NC และมีฉากเศร้าสะเทือนใจ โปรดพิจารณาก่อนดาวโหลดนะคะ กราบขอบพระคุณค่ะ
เพียงดื่มน้ำชาจอกแรกที่ผู้เป็นมารดาเลี้ยงมอบให้ซุนฮวาก็กลายเป็นสตรีร้ายกาจ ปีนขึ้นเตียงท่านอ๋องผู้เป็นคู่หมายของน้องสาวจำใจกล้ำกลืนสถานะพระชายาตัวแทนเป็นเพียงเงาของผู้อื่นในสายตาของสวามี