ดาวน์โหลดแอป ฮิต
หน้าแรก / โรแมนติก / OH BABY เธอเรียกผมว่าแด๊ดดี้
OH BABY เธอเรียกผมว่าแด๊ดดี้

OH BABY เธอเรียกผมว่าแด๊ดดี้

5.0
51 บท
4.7K ชม
อ่านเลย

เกี่ยวกับ

สารบัญ

ผมไม่เคยคิดว่าการที่ไว้หนวดไว้เครา และทำตัวเซอร์ๆ จะทำให้ใครบางคนต้องร้องไห้เพียงเพราะแค่เห็นหน้า "ฮือ...แม่จ๋าหนูกลัวโจร" เด็กผู้หญิงที่ร้องไห้ในวันนั้น คือคนที่ผมต้องสยบจวบจนถึงทุกวันนี้... ........................................................................ ฉันไม่รู้ว่าเริ่มชอบเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าพอได้ชอบฉันก็ไม่สามารถห้ามความรู้สึกของตัวเองได้อีกเลย... วินาทีแรกที่เจอกัน 'เขา' ทำให้ฉันรู้สึกกลัว แต่พอนานวันเข้า เขากลับเป็นคนที่สอนให้ฉันรู้จักคำว่า 'ความรัก' "ถ้าโตขึ้นแล้วมีผู้ชายมาชอบหนู แด๊ดดี้จะทำยังไงคะ?" "ฆ่ามัน" ได้แต่เก็บความสงสัยนั้นเอาไว้ในใจ พอโตมาถึงได้รู้ ว่าฉันจะต้องเป็นของแด๊ดคนเดียวตลอดไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม...

บทที่ 1 .

เช้าวันนี้คงจะเหมือนอย่างหลายวันที่ผ่านมา ถ้าหากว่าไม่มีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้าบ้านอีกหนึ่งคน…

ผมหลุบตามองเด็กหญิงตัวเล็กที่กำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่บนโซฟา ก่อนจะเบนสายตาขึ้นมองร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างเธอ

เด็กคนนั้นหน้าตาน่ารัก ผิวขาวเนียนใสรับกับพวงแก้มสีชมพู องค์ประกอบบนใบหน้าของเธอผสมผสานระหว่างสองเชื้อชาติ ทั้งไทยและอเมริกา ทว่าความน่ารักน่าเอ็นดูนั้นก็ไม่สามารถเป็นตัวการันตีได้เลยว่าเธอจะไม่ถูกทอดทิ้ง

“ทำไมพี่ไม่พาน้องเรย์ไปด้วย” นี่คือสิ่งที่ผมสงสัย ถึงได้ถามรุ่นพี่คนสนิทออกไปแบบนั้น

ราวครึ่งชั่วโมงก่อนหน้าผมเพิ่งจะได้รับสายจาก ‘พี่ลม’ พ่อของ ‘น้องเรย์วี่’ ว่าเขาจะเดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศกับภรรยา และจะฝากฝังให้ผมช่วยดูแลลูกระหว่างที่เขายังไม่กลับมา

ทั้งที่น้องก็อายุได้ห้าขวบแล้ว วัยนี้สามารถขึ้นเครื่องและเดินทางไปต่างประเทศไกลแค่ไหนก็ได้ แต่ทำไมเขาถึงไม่พาลูกตัวเองไปด้วย?

อันที่จริงผมก็ไม่ได้มีปัญหาหรอกนะที่จะต้องดูแลหลานนอกไส้ของตัวเอง มันขึ้นอยู่กับเด็กต่างหากล่ะว่าจะสามารถอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อไม่ใช่แม่ได้นานแค่ไหน

จากที่เคยเห็น แค่วันเดียวก็ร้องเรียกหากันแล้ว

“กูมีเหตุผล แต่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้” เมื่อได้ยินดังนั้นคิ้วของผมก็เริ่มขมวดเข้าหากัน “เอาเป็นว่าถ้ากลับมาเดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง”

“นานแค่ไหน”

“แค่สัปดาห์เดียว” คำตอบที่ได้รับทำให้ผมสบายใจขึ้นมาได้บ้าง

อย่างน้อยระยะเวลามันก็ไม่ได้นานมากมายอะไร ระหว่างนี้ถ้าน้องเรย์ร้องหาพ่อกับแม่ของเธอ ผมคิดว่าตัวเองน่าจะรับมือได้อยู่

“รีบกลับมาแล้วกัน ผมเองก็ไม่เคยเลี้ยงเด็กด้วย” ยิ่งเด็กผู้หญิงนี่ยิ่งแล้วใหญ่ จะให้ลูกน้องมาช่วยก็ไม่ได้ แต่ละคนหน้าตาอย่างกับโจรป่า หนำซ้ำตัวยังบึกบึนเหมือนยักษ์

ถ้าพวกมันเข้าใกล้น้องเรย์เมื่อไหร่มีหวังได้ร้องแหกปากหนักกว่าเดิมแน่

“อืม งั้นกูไปก่อนแล้วกัน” ผมกับพี่ลมล่ำลากันอีกเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปส่งเขายังหน้าประตูบ้าน

“เดินทางปลอดภัย” พูดลาครั้งสุดท้าย ขณะที่เขากำลังจะก้าวเท้าออกจากบ้านเพื่อตรงไปขึ้นรถตู้คันสีดำ ที่ลูกน้องเปิดประตูรอไว้

“ถ้ากูไม่มารับน้องเรย์ด้วยตัวเอง มึงห้ามให้น้องเรย์ไปกับใครเด็ดขาด” ทั้งน้ำเสียงและแววตานั้นฉายชัดถึงความจริงจัง “ต้องเป็นกูเท่านั้น เข้าใจมั้ย”

“อืม” ผมตอบรับเพียงสั้นๆ แม้ว่าจะสังหรณ์ใจบางอย่างแต่ก็ไม่กล้าถามอะไร เพราะยังไงคำตอบที่ได้รับก็ย่อมมีแต่การบ่ายเบี่ยง

พี่ลมหันไปทิ้งท้ายสายตาด้วยการมองเข้าไปในบ้าน เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าเขาจะตัดสินใจหมุนตัวหันหลังแล้วเดินไปขึ้นรถ

ผมยืนส่งเขาอยู่ตรงนั้น กระทั่งรถตู้สีดำคันหรูเคลื่อนห่างออกไปยังประตูรั้วบ้าน และลับสายตาในที่สุด

“จะให้คุณหนูเรย์วี่นอนอยู่ตรงนั้นเหรอครับ” ‘เมฆ’ ลูกน้องมือขวาคนสนิทของผมโพล่งถามขึ้นมา พลางปรายตาพยักพเยิดไปยังเด็กหญิงตัวเล็กที่นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว

“เดี๋ยวกูอุ้มขึ้นไปนอนบนห้องเอง” สิ้นประโยคนั้นขายาวภายใต้กางเกงยีนสีดำที่ขาดแบบแฟชั่นก็เดินย่างก้าวตรงเข้าไปหา เพื่อช้อนตัวน้องเรย์ขึ้นอุ้มไว้ในวงแขน “วันนี้กูมีนัดอะไรหรือเปล่า”

“มีครับ แต่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไร”

“งั้นยกเลิกให้หมด” เพราะคิดดีแล้วถึงได้พูดออกไปแบบนั้น “ทั้งสัปดาห์นี้กูจะอยู่ดูแลน้องเรย์ ถ้าไม่มีเรื่องด่วนก็เลื่อนไปวันอื่น”

“ครับนาย” ลูกน้องคนสนิทก้มหัวรับคำสั่ง ขยับถอยห่างเพียงเล็กน้อยเพื่อเปิดทางให้ผมก้าวเดินขึ้นไปยังขั้นบันได

จังหวะการขยับเท้านั้นเต็มไปด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้มีแรงเคลื่อนไหวมากนัก เพราะเกรงว่าจะทำให้ร่างเล็กที่นอนซบอยู่ในอ้อมแขนสะดุ้งตื่น

ปลายรองเท้าหยุดลงหน้าบานประตูห้องหนึ่ง ซึ่งอยู่ด้านในริมสุด ผมค่อนข้างหวงพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง ดังนั้นเหตุผลที่เลือกให้ห้องนอนอยู่ตรงนี้ก็เพราะไม่อยากให้ใครมาวุ่นวาย หรือเดินเพ่นพ่าน

แต่สัปดาห์นี้ผมคงต้องปล่อยให้เด็กน้อยตัวเล็กรุกล้ำความเป็นส่วนตัวแล้วล่ะ

“อื้อ” ใบหน้าเล็กถูไถกับท่อนแขนของผม คิ้วก็เริ่มขมวดเข้าหากันอย่างรู้สึกไม่สบายตัว เนื่องจากพื้นที่ขยับตัวมีขีดจำกัด

“ใจเย็นๆ สิตัวเล็ก” ผมพูดกับคนในอ้อมแขนด้วยเสียงที่ค่อนข้างเบา ก่อนจะรีบย่างก้าวตรงไปที่เตียงนอนขนาดคิงไซส์ แล้ววางร่างเล็กนั้นลงบนเตียงแผ่วเบา ไม่ลืมที่จะเอื้อมมือไปเปิดแอร์ และคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้จนถึงปลายคาง

เมื่อได้ที่นอนแสนนุ่มนิ่ม น้องเรย์ก็หลับต่อ หนำซ้ำมุมปากเล็กๆ นั้นยังคลี่ยิ้มน่ารัก จนพานทำให้คนมองอย่างผมเผลอยิ้มตามไปด้วย

“โตมาหนุ่มๆ คงเดินตามเป็นพรวนแน่ๆ” ผมค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลงริมขอบเตียง นิ้วชี้เรียวยาวเอื้อมไปเกลี่ยพวงแก้มสีชมพูธรรมชาติแผ่วเบาอย่างนึกเอ็นดู

แพขนตายาวที่กำลังหลับพริ้มทำให้ผมคิดว่า ถ้าผู้หญิงคนไหนได้มาเห็นคงต้องอิจฉาน้องเรย์เป็นแน่

ขนาดตอนนี้ยังเด็กอยู่เค้าโครงหน้ายังฉายชัดถึงความงดงาม โตมายิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

ถ้าเป็นลูกสาวผม คงได้สั่งให้ลูกน้องตามประกบไม่ห่างแน่นอน ผู้ชายคนไหนคิดจะเข้าใกล้คงได้กินลูกปืนแทนอย่างอื่น

ผมมองจ้องไปที่แก้มของน้องเรย์สักพักใหญ่ ครั้นความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัว ก่อนที่จะโน้มหน้าเข้าไปหาสิ่งที่ล่อตาล่อใจ

ทว่าจังหวะที่ปลายจมูกโด่งสันกำลังแตะสัมผัสกับพวงแก้มเด็กน้อย ก็จำต้องผละถอยห่างอย่างรวดเร็วเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่โกนหนวดเครา ถ้าหอมแก้มเดี๋ยวจะพานทำให้น้องเรย์เกิดการระคายเคืองได้

ผมตัดสินใจผุดลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปยังโซนห้องทำงานที่เชื่อมติดกับห้องนอน ระหว่างที่น้องเรย์นอนหลับ ผมคงต้องหาอะไรทำเพื่ออยู่เป็นเพื่อนเด็กน้อย

“ฮึก...พ่อจ๋า” เท้ายังไม่ทันขยับไปถึงโต๊ะทำงาน จังหวะการก้าวเดินของผมก็ถูกขัดด้วยเสียงร้องสะอื้นของเด็กน้อย

“น้องเรย์” ผมจำต้องเดินกลับไปหา พร้อมยื่นมือไปเขย่าร่างเล็กเพื่อปลุกให้น้องเรย์หลุดพ้นจากฝันร้ายที่กำลังเผชิญ

เปลือกตาที่เปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำตาค่อยๆ ลืมขึ้นมอง ก่อนจะปล่อยโฮเสียงดังลั่นเมื่อพบกับคนที่ไม่คุ้นเคย

อันที่จริงผมกับน้องเรย์เคยเจอกันมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่นั่นมันเป็นช่วงที่ผมยังไม่ปล่อยปละละเลยให้หนวดเคราเฟิ้มขึ้นตามกรอบหน้าเหมือนอย่างตอนนี้ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนตัวเล็กถึงจำผมไม่ได้

“ฮือ...แม่จ๋าหนูกลัวโจร”

ร่างเล็กรีบดึงผ้าห่มคลุมโปง เพื่อปิดซ่อนตัวเองจากสิ่งที่เธอกำลังหวาดกลัว ซึ่งนั่นก็คือ...ตัวผมเอง

ผมไม่เคยคิดว่าการที่ไว้หนวดไว้เครา และทำตัวเซอร์ๆ จะทำให้ใครบางคนต้องร้องไห้เพียงเพราะแค่เห็นหน้า

เห็นทีผมคงปล่อยให้หลานสาวคิดว่าตัวเองเป็นโจรแบบนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้วล่ะ

มือหนาล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เพื่อติดต่อหาลูกน้องที่คาดว่าคงจะอยู่ด้านล่าง

“พาแม่นมพิณขึ้นมาหน่อย” เสียงสัญญาณดังขึ้นเพียงครั้งเดียวปลายสายก็กดรับ ผมจึงไม่รอช้าที่จะรัวคำสั่ง “ด่วนๆ”

(“ครับนาย”) เมื่อเมฆรับคำผมจึงกดวางสาย ทว่ายังไงก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้น้องเรย์ที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ดี

“น้องเรย์ อาเจย์เสียใจนะที่หนูจำไม่ได้แบบนี้” หากจำหน้าไม่ได้ อย่างน้อยน้องเรย์ก็น่าจะคุ้นเสียง

และดูเหมือนว่ามันจะได้ผล เพราะหลังจากที่ผมเอ่ยประโยคนั้น มือเล็กก็ค่อยๆ ลดระดับผ้าห่มลงเผยให้เห็นเพียงแค่ครึ่งหน้า ดวงตากลมโตที่เอ่อคลอไปด้วยหยดน้ำตามองจ้องผมเขม็ง ก่อนจะส่ายศีรษะเป็นพัลวันจนผมยาวสลวยสีน้ำตาลสะบัดไปมา

“ไม่ใช่! อาเจย์หล่อ ไม่ได้หน้าเหมือนโจรแบบนี้” เด็กหญิงตัวเล็กปฏิเสธเสียงหนักแน่น “ลุงอย่ามาโกหกหนูนะ...ฮึก...พาหนูไปหาพ่อเดี๋ยวนี้เลย”

น้องเรย์โวยวายทั้งน้ำตา เธอเป็นเด็กฉลาด แต่ผมแค่ไม่คาดคิดว่าคำพูดคำจาของเด็กน้อยจะทำให้ผมรู้สึกเจ็บ

ลุงเลยเหรอ...แก่ไปหรือเปล่า

ก็อก...ก็อก…

ระหว่างที่ผมกำลังคิดหาคำพูดเพื่อเจรจากับน้องเรย์อยู่นั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะ

“เข้ามา”

“คุณเจย์เรียกป้าเหรอคะ” ‘ป้าพิณ’ เปิดประตูก้าวเข้ามาภายในห้อง ท่านคือแม่นมที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็กหลังจากที่พ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่ กล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า ถ้าหากไม่มีท่านกับครอบครัวของพี่ลมก็คงจะไม่มีผมในวันนี้เหมือนกัน

พ่อกับแม่เสียชีวิตตั้งแต่ตอนที่ผมอายุได้เจ็ดขวบ ถึงจะมีทรัพย์สมบัติมากมายแต่ลูกชายเพียงคนเดียวอย่างผมก็ไม่สามารถจัดการอะไรได้อยู่ดีเพราะยังเด็ก ญาติที่มีก็จ้องแต่จะฮุบสมบัติที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้ ถ้าไม่ได้ ‘ลุงทินกร’ คุณพ่อของพี่ลมที่เป็นเพื่อนสนิทกับพ่อยื่นมือเข้ามาช่วย ผมก็คงถูกญาติผลาญสมบัติไปจนหมดสิ้น

ส่วนป้าพิณก็เป็นแม่นมที่ลุงทินกรจ้างมาให้เลี้ยงดูผมแทน เพราะท่านไม่ค่อยมีเวลา แถมภรรยาก็เสียชีวิตไปตั้งแต่คลอดพี่ลมแล้ว ดังนั้นทั้งผมและพี่ลมก็ต่างโตมากับแม่นมทั้งคู่แค่คนละคนกัน

“ผมฝากดูแลน้องเรย์แป๊บนึงนะครับ” ถ้าให้แม่นมพิณดูแลคงไม่มีปัญหาอะไร เพราะน้องเรย์คุ้นชินกับท่านมาบ้างแล้ว

“คุณเจย์จะออกไปข้างนอกเหรอคะ”

“เปล่าครับ จะไปโกนหนวด” ผมยกมือขึ้นลูบกรอบหน้าของตัวเอง “น้องเรย์กลัว”

ป้าพิณถึงกับหลุดยิ้มเมื่อได้ยินคำตอบ จากที่ใช้มือตัวเองสัมผัสหนวดมันก็ขึ้นเยอะจริงๆ นั่นแหละ น้องเรย์จะคิดว่าเป็นโจรก็คงไม่แปลก

“ป้าจะดูให้เองค่ะ”

ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะย่างก้าวตรงไปทางห้องน้ำเพื่อจัดการหนวดเคราบนใบหน้าของตัวเอง ระหว่างที่ปาดครีมโกนหนวดตามแนวกรอบหน้า หูก็คอยฟังเสียงน้องเรย์ไปด้วย

เสียงร้องไห้ในตอนแรกค่อยๆ เบาลงก่อนจะเงียบหายไปในที่สุด แต่กลับได้ยินประโยคที่ว่า ‘พ่อหนูอยู่ไหน’ มาแทน

ผมรีบจัดการโกนหนวดอย่างเร็วที่สุด เมื่อเสร็จสิ้นเรียบร้อยทุกอย่างก็เดินกลับไปหาน้องเรย์ที่เตียงอีกครั้ง

ทว่ากลับเห็นร่างเล็กพยายามเขย่งปลายเท้าเพื่อเอื้อมมือขึ้นไปจับลูกบิดประตู โดยมีป้าพิณคอยจับแขนอีกข้างเพื่อยื้อน้องเรย์ไม่ให้ออกไปข้างนอกห้อง

“ปล่อยหนู หนูจะไปหาพ่อ” ริมฝีปากเล็กจิ้มลิ้มเริ่มเบะ และพร้อมที่จะปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง

“น้องเรย์ เดินมาหาอาเจย์หน่อยครับ” ผมยังคงยืนอยู่ข้างเตียงตรงที่เดิม เพื่อให้น้องเรย์เป็นฝ่ายเดินเข้ามาหา “จำอาได้หรือยัง”

คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมองสบตากับผม แล้วตอบคำถามนั้นด้วยการพยักหน้ารับหงึกหงัก

“อาเจย์เห็นคุณพ่อหรือเปล่าคะ” เด็กน้อยผละถอยห่างจากบานประตู และเดินมาหาผมที่ยืนรออยู่

“คุณพ่อของน้องเรย์ไปทำงาน ระหว่างนี้ก็อยู่กับอาก่อนนะ” ผมย่อตัวลงเพื่อช้อนร่างเล็กขึ้นมาอุ้ม จากนั้นจึงทรุดนั่งลงที่ขอบเตียงโดยมีเด็กน้อยนั่งทับอยู่บนตักแกร่ง “แค่สัปดาห์เดียวเอง เดี๋ยวคุณพ่อก็จะมารับกลับแล้ว”

“แต่หนูฝันว่าคุณพ่อจะไม่กลับมาหาอีกแล้ว คุณพ่อกำลังจะทิ้งหนูไป” ดวงตากลมโตใสซื่อที่รื้นไปด้วยหยดน้ำตาเงยขึ้นมอง นี่สินะที่ทำให้น้องเรย์ละเมอแล้วร้องไห้ออกมา

“ก็แค่ความฝัน ไม่มีใครกล้าทิ้งน้องเรย์ได้ลงหรอก” นิ้วเรียวยาวเอื้อมไปเกลี่ยหยดน้ำตาที่เปรอะเปื้อนบนพวงแก้มออกให้คนตัวเล็ก

ทว่าน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าก็ยังคงไหลรินออกมาจากดวงตาคู่สวยสีน้ำตาลเรื่อยๆ อย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุด

ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้น้องเรย์ฝันร้ายแบบนั้น แล้วดันประจวบเหมาะกับการที่พี่ลมต้องไปต่างประเทศพอดี ผมเองก็ไม่อยากจะคิดมากอะไร หากว่าเมื่อครั้งที่พ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุ...ผมไม่ฝันแบบนั้นเหมือนกัน

“...”

“ป้าพิณลงไปทำอะไรให้น้องเรย์ทานหน่อยสิครับ เดี๋ยวตามลงไป” พอเห็นว่าเด็กน้อยนั่งเงียบ ผมจึงหันไปพูดกับป้าพิณที่ยังยืนอยู่

“ค่ะคุณเจย์”

คล้อยหลังคนสูงวัย ผมก็หลุบตามองน้องเรย์อีกครั้ง

“ไม่ต้องร้อง เป็นหลานอาเจย์ต้องเข้มแข็งนะรู้มั้ย” ผมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น พลางจับใบหน้าเล็กให้ซุกซบลงมาที่อกแกร่ง “เดี๋ยวพ่อลมก็กลับมา”

ทว่าประโยคที่ผมบอกน้องเรย์ออกไปกลับกลายเป็นคำโกหกโดยที่ผมเองก็อาจไม่รู้ตัว และไม่คาดคิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้น

การรอคอยของน้องเรย์เริ่มต้นจากหนึ่งสัปดาห์ แล้วล่วงเลยกลายมาเป็นเดือน จนกระทั่งเนิ่นนานเป็นปี และไม่รู้ว่าการรอคอยนี้มันจะสิ้นสุดลงเมื่อใด

ผมพยายามที่จะติดต่อหาพี่ลมหรือคนใกล้ชิดของเขาทุกวิถีทาง อีกทั้งยังจ้างนักสืบฝีมือดีให้ช่วยตามหา ทว่าก็ไร้วี่แวว ข่าวคราวของพี่ลมเงียบหายไปพร้อมกับตัวเขาและภรรยา

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผมต้องกลายมาเป็นคุณพ่อให้น้องเรย์จวบจนถึงปัจจุบัน…

อ่านต่อ
img ไปดูความคิดเห็นเพิ่มเติมที่แอป
ดาวน์โหลดแอป
icon APP STORE
icon GOOGLE PLAY