เคยได้ยินคำว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้หรือเปล่า? และฉันก็ไม่ชอบให้ใครมาหากินในที่ของฉัน แต่ 'มัน' เสือกทำ "ไม่ใช่เด็กถิ่นเช็คอินได้เปล่า" ด้วยความที่โชคชะตามันโหดร้าย จึงทำให้เราสองคน 'ได้' กัน ........................................................................ สิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดก็คือความเจ้าชู้ แต่แล้ววันหนึ่งฉันกลับกลายทำตัวเป็นแบบนั้นซะเอง เหตุการณ์ที่พบเจอมันบีบบังคับให้ฉันต้องร้าย ต้องแรง และ...อยู่ให้เป็น "นี่ไม่ใช่ที่วิ่งเล่นของเด็ก กลับบ้านไปดูดนมนอนไป๊!" วาจาที่พ่นออกมาจากริมฝีปากหนาเป็นอะไรที่ฉันรังเกียจพอๆ กับการเห็นหน้า 'คนพูด' "ก่อนไป ขอเตะปากทีดิ" เท้าของฉันมันกำลังกระตุก เมื่อหูได้ยินอะไรที่ไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ เขาว่ากันว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ เห็นทีว่ามันจะจริง...
ถ้าให้คำนิยามเกี่ยวกับชีวิตของฉัน ก็คงต้องบอกได้เลยว่า บัดซบสิ้นดี...
ฉันชื่อ ‘ลลิส’ เป็นเพียงเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่กำลังก้าวเข้าสู่รั้วมหา’ลัยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ แน่นอนว่าในทุกๆ วันและทุกๆ ช่วงเวลาที่ว่างฉันต้องอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบอะไรต่างๆ นาๆ มากมาย
ซึ่งเด็กมอปลายทุกคนก็คงรู้กันดีอยู่แล้วล่ะ ว่าตัวเองนั้นต้องผ่านสนามสอบอะไรบ้างจนกว่าจะหาที่เรียนได้
แต่...เรื่องอ่านหนังสือเตรียมสอบก็ไม่ได้ทำให้ฉันเครียดมากนักหรอก เพราะสิ่งที่ทำให้ฉันเครียดและรู้สึกรำคาญที่สุดก็คือการที่พ่อกับแม่แท้ๆ ของฉันทะเลาะกันไม่เว้นแต่ละวัน...
มือบางยกขึ้นกุมขมับ ก่อนจะขยี้ผมตัวเองแรงๆ จนยุ่งเหยิงเมื่อเสียงตะโกนด่าทอกันระหว่างพ่อกับแม่ดังแทรกเข้ามาในหู
แกร๊ก!
ฉันกระแทกปากกาที่ถืออยู่วางลงบนโต๊ะด้วยความรุนแรง ตามอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นของตัวเอง
“เลิกทะเลาะกันสักทีได้มั้ย! หนวกหูโว้ย!!” มือบางเอื้อมไปเปิดประตูห้อง ก่อนจะชะโงกหน้าออกไปและตะโกนเสียงดังลั่น พ่อกับแม่ที่ยืนทะเลาะกันอยู่ต่างหยุดชะงักแล้วหันมามองฉันเป็นตาเดียว
“แกน่ะหุบปากไป! ไม่รู้หรือไงว่าพ่อแกจะย้ายไปอยู่กับอีเมียน้อยแล้ว!!” ร่างบางของแม่สั่นเทิ้มด้วยอารมณ์แห่งโทสะ มือของท่านกำหมัดเข้าหากันแน่น ราวกับเตรียมพร้อมที่จะประทุษร้ายพ่อของฉันได้ทุกเมื่อ
“รู้ แล้วยังไงล่ะ ถ้าพ่ออยากไปมากนักแม่ก็ปล่อยพ่อไปสิ” มันอาจจะดูเป็นคำพูดง่ายๆ แต่ในความคิดของฉัน ฉันกลับคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องแคร์คนที่ไม่เห็นค่าในตัวเราแล้ว จะอาลัยอาวรณ์ไปทำไม ถ้าคนมันอยากไปต่อให้รั้งแทบตายยังไงผลลัพธ์มันก็ออกมาเหมือนเดิมอยู่ดีนั่นแหละ
“แกไม่เป็นฉันก็พูดได้หนิ ถ้าหนวกหูมากนักก็ไสหัวไปอยู่ที่อื่นไป!!”
“ก็ไม่ได้อยากจะอยู่นักหรอก” ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จะเรียกว่าชินชากับเหตุการณ์แบบนี้แล้วก็พูดได้
แต่ก่อนแม่ฉันก็ไม่ได้เป็นคนแบบนี้หรอก เพราะพ่อฉันเองนี่แหละที่ทำให้แม่มีนิสัยที่เปลี่ยนไป ต้นเหตุของปัญหาร้าวฉานในครอบครัวก็ไม่พ้นเกิดจากมือที่สาม เมื่อไม่นานมานี้แม่ฉันเพิ่งจับได้ว่าพ่อมีเมียน้อยที่แอบซุกเอาไว้ตั้งเกือบปี ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็เท่ากับว่าแม่ของฉันถูกพ่อสวมเขามาตลอด
ไม่แปลกที่แม่จะมีนิสัยรุนแรงแบบนี้
แต่บางทีก็เกินไป ฉันล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมแม่ต้องลดตัวไปตบตีกับพวกผิดศีลธรรมแบบนั้นด้วย
แล้วรู้อะไรไหม? คนที่ได้รับผลกระทบที่สุดมันก็คือลูกอย่างฉันนี่ไง
ปัง!
ฉันปิดประตูห้องเมื่อเห็นว่าอยู่ไปก็คงไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา หลังจากกลับเข้ามาในห้องแล้ว หูก็ได้ยินเสียงพ่อกับแม่เปิดศึกมวยไทยกันอีกรอบ
ฉันตัดสินใจเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ แล้วจัดการกวาดทุกสิ่งทุกอย่างที่ใช้ในการอ่านเตรียมสอบลงกระเป๋าเป้ทั้งหมด
เมื่อสำรวจแล้วว่าตัวเองไม่ได้ลืมอะไร ฉันถึงได้เดินออกมาจากห้องอีกครั้ง และเดินผ่านพ่อกับแม่ที่กำลังทะเลาะกันไปอย่างไม่สนใจ
อยากห้ามก็อยากอยู่ แต่เคยห้ามแล้วถูกหาว่าสะเหล่อไง ฉันก็เลยปล่อยเบลอ
เมื่อเดินออกมาหน้าบ้านฉันก็เดินตรงไปที่โรงจอดรถ เพื่อขับมอเตอร์ไซค์คู่ใจของตัวเองออกไปหาที่สงบๆ อ่านหนังสือ
ความจริงแล้วฉันก็ไม่ใช่คนเคร่งเครียดกับการเรียนอะไรขนาดนั้น แต่เป็นเพราะอยากสอบติดมหา’ลัยดีๆ ฉันก็เลยต้องพยายามมากกว่าปกติ และพอจะตั้งใจขึ้นมาจริงๆ ก็เจออุปสรรคแบบนั้นไง
ฉันใช้เวลาขับรถไม่นานก็มาถึงจุดหมาย ตรงหน้าเป็นตึกอพาร์ทเม้นท์ ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของแฟนฉันเอง เขาชื่อ ‘ธาม’ เป็นเพื่อนต่างห้องของฉัน ธามตามจีบฉันมาหลายเดือนแล้ว แต่ฉันเพิ่งจะเปิดใจคบหากับเขาเมื่อสองสามเดือนที่แล้ว
ธามก็เป็นคนดีในระดับหนึ่งนะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะช่วงโปรโมชั่นหรือเปล่า แรกๆ อะไรก็ดี ด้วยเหตุนี้เวลาคบใครจึงต้องดูไปนานๆ ฉันเองก็ไม่เคยมีแฟนซะด้วยสิ เรียกได้ว่าธามคือแฟนของฉันคนแรกก็ได้ และในบรรดาผู้ชายที่ตามจีบฉัน ธามคือบุคคลที่มีความอดทนมากที่สุดในการจีบฉันให้ติด เพราะคนอื่นแค่สัปดาห์เดียวก็หายหัวกันไปหมดแล้ว
ถ้าถามว่าฉันรักเขามากหรือเปล่าก็คงจะต้องตอบว่าไม่มากเท่าไหร่ แค่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกดีและสบายใจ…
หลังจากจอดรถเรียบร้อยฉันก็เดินเข้าไปในตึกเพื่อขึ้นบันไดไปยังชั้นห้องของเขา ระบบความปลอดภัยของที่นี่นอกจากกล้องวงจรปิดแล้วก็ไม่มีอะไรสักอย่าง แม้กระทั่งคีย์การ์ดเปิดเข้าตึกก็ตาม
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก
มือบางยกขึ้นเคาะบานประตูตรงหน้าเมื่อเดินมาถึงห้องของธามแล้ว
“อ้าว ลลิสเองเหรอเข้ามาก่อนสิ” ยืนรอไม่นานประตูห้องก็ถูกเปิดออก พร้อมกับใบหน้าหล่อเหลาของธามที่ชะโงกออกมาดู สีหน้าของเขาเหมือนจะแปลกใจนิดๆ ที่เห็นว่าเป็นฉัน แต่ถึงกระนั้นร่างสูงก็เบี่ยงตัวหลบเพื่อให้ฉันเดินเข้าไปภายในห้อง
“ลิสขออ่านหนังสือที่นี่ได้หรือเปล่า พอดีที่บ้านมีปัญหากันอีกแล้ว” ฉันเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา พร้อมกับพูดออกไปตรงๆ
ซึ่งธามเองก็รู้ดีว่าปัญหาที่ว่านั้นคืออะไร เพราะฉันเคยระบายให้เขาฟังบ่อยแล้วเช่นกัน
“ได้สิ แล้วนี่กินอะไรมาหรือยังเดี๋ยวธามจะทำให้” ร่างสูงเอ่ยถาม ขณะที่ฉันกำลังขยับเท้าก้าวเดินไปนั่งตรงโซฟากลางห้อง
“ขอน้ำเปล่าก็พอ แค่นี้ลิสก็รบกวนธามมากแล้ว”
“โอเค” เขาตอบรับ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องครัวและกลับมาอีกครั้งพร้อมกับแก้วน้ำในมือ
“ขอบคุณ” ฉันเอื้อมมือไปรับมาถือไว้ แล้ววางลงบนโต๊ะกระจกด้านหน้า ก่อนจะล้วงมือเข้าไปหยิบหนังสือและปากกาออกมาวางไว้ข้างกัน
จากนั้นก็ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งที่พื้นพรมเพื่อจะได้สะดวกในการนั่งจดเลกเชอร์และอ่านหนังสือ
“ลลิสนี่ขยันจังเลยนะ ธามยังไม่เริ่มอ่านเลย” ร่างสูงพูดพร้อมกับหย่อนก้นลงนั่งบนโซฟาด้านหลังที่ฉันกำลังพิงอยู่
“ธามก็ไปหยิบหนังสือมาสิ จะได้อ่านด้วยกัน ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนเดี๋ยวลิสช่วยติว” ถึงฉันจะไม่ได้เรียนเก่งมากมายอะไร แต่ฉันก็อ่านและทำความเข้าใจกับเนื้อหามาพอสมควรแล้ว อาจจะช่วยติวเขาได้บ้าง
สวบ...
“ไม่ล่ะ ธามเบื่อ มัวแต่อ่านหนังสือแบบนี้ลลิสไม่เบื่อบ้างหรือไง”
ฉันสะดุ้งเล็กน้อยเมื่ออยู่ๆ วงแขนแกร่งก็เคลื่อนมาสวมกอดฉันจากทางด้านหลัง หนำซ้ำเขายังวางปลายคางลงบนไหล่บางของฉันอีกด้วย
ซึ่งบอกได้คำเดียวเลยว่า...ฉันไม่ชิน แม้ว่าเราจะเป็นแฟนกันก็ตามเถอะ
“ธาม ปล่อยแขนออกก่อน ลิสไม่ชอบ” น้ำเสียงที่ฉันใช้ค่อนข้างนิ่งและราบเรียบ
อะไรที่ฉันไม่ชอบก็คือไม่ชอบ และจะไม่มีการพูดอ้อมค้อมใดๆ ทั้งสิ้น เพราะถ้าไม่บอกเขาซะตั้งแต่ตอนนี้เดี๋ยวธามก็จะยิ่งเอาใหญ่
มันไม่ผิดเลยนะที่ฉันจะปฏิเสธแฟนตัวเองน่ะ
“เราก็คบกันมาหลายเดือนแล้วนะ ธามขอกอดหน่อยไม่ได้เหรอ” ร่างสูงที่ซ้อนอยู่ทางด้านหลังพูดเสียงอ้อน พร้อมกับคลอเคลียปลายจมูกโด่งสันอยู่แถวๆ ใบหูของฉัน
“ไม่ได้” ฉันให้คำตอบเขาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและจริงจัง ก็หวังว่าเขาจะยอมถอย เพราะไม่อย่างนั้นฉันจะไม่อยู่ที่นี่ต่อแล้ว
“ถ้าไม่ให้กอด...งั้นจูบก็ได้”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะธาม! ลิสไม่เล่น” ฉันรีบเบี่ยงตัวหลบ เมื่อเห็นว่าเขาทำท่าจะจู่โจมเข้าหา ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืนพรวดพราดจนพานทำให้ธามแทบหน้าคะมำทิ่มพื้นพรม
“ทำไมล่ะลลิส นี่มันเรื่องปกติที่แฟนเขาทำกันนะ” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน พลางถามฉันด้วยสีหน้าที่ไม่เข้าใจ
พอร่างสูงยืดตัวยืนขึ้นมาเผชิญหน้า ฉันก็ขยับเท้าถอยหลังโดยอัตโนมัติเพื่อเว้นระยะห่างระหว่างเราสองคน
“ลิสรู้ แต่ตอนนี้ลิสยังไม่พร้อม” น้ำเสียงของฉันเริ่มกลับมาอยู่ในโทนปกติอีกครั้ง
คือฉันเข้าใจทุกอย่างเลย ว่ามันคือเรื่องปกติที่คนเป็นแฟนกันเขาทำ แต่ตอนนี้ฉันไม่พร้อมจริงๆ ทำไมเขาถึงไม่เข้าใจฉันบ้าง อย่างน้อยการจะทำอะไรมันก็ต้องเกิดจากความสมัครใจของทั้งสองฝ่ายไม่ใช่เหรอ เพราะถ้ายังดื้อดึงที่จะเอามันก็ไม่ต่างอะไรกับการบังคับ
“แล้วเมื่อไหร่จะพร้อม”
แม่ง...ถามแบบนี้แล้วใครจะไปตอบได้วะ
“ไม่รู้”
“ไม่รู้! ไม่รู้! ลิสก็เอาแต่พูดแบบนี้ตลอด!!” ร่างสูงตรงหน้าเริ่มขึ้นเสียงใส่ และฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องโมโหอะไรขนาดนั้น
“ดูเหมือนธามจะไม่เข้าใจอะไรเลย ลิสว่าลิสกลับก่อนดีกว่า ขืนอยู่ต่อเราก็คงจะทะเลาะกันเปล่าๆ” ฉันอุตส่าห์หนีศึกมวยไทยระหว่างพ่อกับแม่เพื่อมาเจอสังเวียนของตัวเองกับแฟนเหรอวะ
“จะไปก็ไป” จบประโยคนั้นร่างสูงก็เดินหนีเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง ปล่อยให้ฉันยืนเคว้งอยู่กลางห้องคนเดียว
ฉันผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างเบื่อหน่ายกับทุกๆ เรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ก่อนที่จะเดินกลับไปเก็บของที่เพิ่งจะหยิบออกมาเมื่อสักครู่นี้ลงกระเป๋าตามเดิม
เมื่อเรียบร้อยแล้วฉันก็เดินออกจากห้องของเขาโดยไม่ลืมที่จะกดล็อกลูกบิดไว้ให้
รู้สึกว่าการอ่านหนังสือเตรียมสอบของฉันมันช่างมีอุปสรรคมากเลยจริงๆ...
หลังจากที่ออกมาจากอพาร์ทเม้นท์ของธามแล้ว ฉันก็ขับรถมาจอดที่สวนสาธารณะแถวนั้นเพื่อหาที่สงบนั่งเงียบๆ คนเดียว
ดวงตากลมโตมองทอดไปยังบึงน้ำขนาดใหญ่ตรงหน้า พลางถอนหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
“ชีวิตเธอนี่มีอะไรดีบ้างวะลลิส” ถึงจะตั้งคำถามกับตัวเองแบบนั้นทว่าฉันก็หาคำตอบไม่ได้อยู่ดี
มือบางล้วงเข้าไปในกระเป๋าเป้ เพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาใครบางคนที่ฉันพอจะปรึกษาปัญหาชีวิตได้
ซึ่งคนนั้นก็คือ ‘เทล’ เพื่อนสนิทของฉันเอง
ทว่าควานมือหาภายในกระเป๋าจนทั่วแล้วฉันก็หามันไม่เจอสักที
“หรือจะทำหล่นไว้ที่ห้องธาม” เมื่อความคิดนั้นแวบเข้ามาในหัว ฉันก็ตวัดขาขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์และสตาร์ทรถทันทีอย่างไม่รอช้า
ใช้เวลาเดินทางไม่นานฉันก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องของเขาอีกครั้ง
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...
มือบางยกขึ้นเคาะประตู ทว่าครั้งนี้ธามกลับปล่อยให้ฉันยืนรอนานกว่าปกติ
ก๊อก...ก๊อก...ผวัะ!
“ใครวะ!...ละ...ลิส” ธามกระชากประตูเปิดด้วยความรุนแรง สีหน้าของเขาที่แสดงในตอนนี้ราวกับตกใจสุดขีดที่เห็นหน้าฉัน
“ลิสลืม...”
“ใครมาเหรอธาม” เสียงผู้หญิงที่ดังแทรกขึ้นมา พร้อมกับการปรากฏตัวของเธอพานทำให้ฉันตวัดสายตาไปมองทันควัน ก่อนจะยืนตัวแข็งทื่อกับสิ่งที่เห็น
การที่เรามาหาแฟน และเห็นว่ามีผู้หญิงอยู่กับแฟนสองต่อสองภายในห้อง หนำซ้ำยังอยู่ในสภาพนุ่งผ้าขนหนูกระโจมอกหมิ่นเหม่แบบนี้ ถามจริงเถอะว่ามีอะไรต้องให้คิดมากมายนอกจากว่าพวกเขากำลังจะมีอะไรกัน หรือบางที…ก็มีไปแล้ว
“เดี๋ยวลลิส คือว่า...” ร่างสูงที่เปลือยท่อนบนและพันผ้าขนหนูไว้รอบเอวสอบเดินย่างก้าวเข้ามาใกล้ พร้อมทำท่าจะอธิบายทุกอย่างให้ฉันฟัง
แต่หารู้ไม่ว่ารอยเล็บข่วนบนแผงอกของเขามันตอบฉันได้อย่างดีเลยล่ะ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างพวกเขาสองคน...
“ไม่ต้องพูดอะไรหรอก แค่จะมาเอาของที่ลืมไว้” ฉันเอ่ยพูดเสียงนิ่ง แม้ว่าจิตใจตอนนี้กำลังรู้สึกเจ็บแปล๊บอยู่ก็ตาม
ฉันคงผิดเองที่ให้ในสิ่งที่เขาต้องการไม่ได้ แต่ทำไมเขาต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย ที่นั่งบนโซฟานั้นยังไม่ทันเย็นด้วยซ้ำ แต่กลับมีคนมานั่งทับรอยซะได้
ฉันเดินตรงเข้าไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่ตกอยู่ด้านล่างโต๊ะกระจก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสบตากับผู้หญิงคนนั้นที่กำลังมองมาที่ฉันอยู่เช่นเดียวกัน
“อยากได้เหรอ? เอาไปสิฉันยกให้ ดูท่าจะไม่มีปัญญาหาเอง” สิ้นประโยคนั้นฉันก็หมุนตัวกลับแล้วเดินกระแทกไหล่ธามออกมาจากห้องทันทีโดยมีเสียงตะโกนเรียกของเขาดังไล่หลังตามมา
ทัศนียภาพตรงหน้าของฉันเริ่มมัว เนื่องจากหยดน้ำตาที่กำลังเอ่อคลอ และมันก็ทำท่าจะไหลหยดลงกระทบแก้มฉันทุกเมื่อ
รู้ซึ้งแล้ว...ว่าความรู้สึกของการถูกหักหลังมันเป็นอย่างนี้เองสินะ พ่อก็มีเมียน้อย ส่วนแฟนก็มีกิ๊ก ชีวิตฉันนี่อะไรจะเหี้ยขนาดนั้น
และในเมื่อผู้ชายยังมีเล็กมีน้อยได้ แล้วทำไมผู้หญิงจะทำบ้างไม่ได้ล่ะ...
ยามใดที่ได้กลิ่นหอมของเธอ นิสัยของผมจะกลับกลายเป็นอีกคน... ทั้งชีวิตที่เกิดมา ไม่เคยมีใครแสดงท่าทีรังเกียจฉันได้มากเท่าเขาอีกแล้ว… “คุณมีปัญหาอะไรกับฉันหรือเปล่าคะคุณแซ้งค์” “ใครจะกล้ามีปัญหากับลูกสาวเจ้าพ่ออย่างคุณเอวาได้ล่ะครับ” “ก็คุณไงคะ” .......................................................................................... ฉันต้องรู้สึกยังไงที่จู่ ๆ ก็มีคนบางคนชอบแสดงท่าทีเหมือนรังเกียจ ทุกครั้งที่พยายามเข้าใกล้ เขาก็จะถอยห่าง มองจากดาวอังคารยังรู้ ว่า ‘คุณแซ้งค์’ กำลังไม่ชอบขี้หน้าฉันอย่างแรง แต่บอกไว้ก่อน เราไม่เคยมีเรื่องกัน แล้วทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ไปได้ “บอกเหตุผลมาหน่อยได้มั้ยคะ ว่าทำไมถึงทำเหมือนไม่ชอบฉันนัก” “ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่ผมแค่ไม่อยากอยู่ใกล้คุณ” “แล้วมันทำไม?” “ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง” หลังจากได้รับคำตอบ ฉันก็ไม่เคยเข้าใจในความหมายนั้น กระทั่งคืนหนึ่งได้เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น ซึ่งนี่แหละคือจุดเปลี่ยนความสัมพันธ์ของเราไปตลอดกาล...
ยามใดที่ร่างกายสัมผัสถูกเกสรดอกไม้ นิสัยของผมจะกลับกลายเป็นอีกคน... เพราะความเมามายเป็นเหตุ จึงทำให้ฉันต้องอยู่บนเตียงกับเขาตลอดทั้งค่ำคืนนั้น คิดว่าจะจบ ทว่าเราสองคนกลับหวนมาเจอกันอีกครั้งในวันหนึ่ง “คุณท้องกับผมเหรอ?” “คุณคิดว่าเครื่องตัวเองฟิตสตาร์ทติดง่ายขนาดนั้นเลยเหรอคะ?” .......................................................................................... ชีวิตของฉันซวยมากเลยค่ะคุณกิตติคะ ด้วยความที่เพื่อนงอนกับแฟนก็เลยอยู่ช่วยปลอบใจ พร้อมคอยปรามไม่ให้เพื่อนดื่มแอลกอฮอล์จนเมามายไร้สติ แต่จู่ๆ ก็มีนังตัวดีที่ไหนไม่รู้ส่งคลิปคนรักของฉันซึ่งกำลังนัวเนียกับผู้หญิงคนอื่นมาให้ดู ไป ๆ มา ๆ จึงกลับกลายเป็นว่าเพื่อนต้องปลอบใจฉันแทน อาการเจ็บช้ำหัวใจที่จู่โจมเข้ามากะทันหันโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ส่งผลให้ฉันกระดกเหล้าเข้าปากรัว ๆ แบบไม่หยุดยั้ง ยังค่ะ...เรื่องยังไม่จบที่ตรงนั้น แฟนเพื่อนตามมารับเพื่อนกลับบ้าน แต่ก็ยังมีน้ำใจพาฉันขึ้นไปห้องพัก ทว่า...ห้องนั้นดันไม่ใช่ห้องของฉันนี่สิ "คุณเป็นใคร เข้ามาในห้องของผมได้ยังไง ออกไปเดี๋ยวนี้!" ท่าทางของผู้ชายตรงหน้าที่กำลังเอ่ยปากไล่ฉันดูแปลกตา คล้ายกับกำลังระงับอารมณ์บางอย่าง กระนั้นระดับแอลกอฮอล์ในร่างกายก็ทำให้ฉันไม่อยากสนใจอะไรนอกเสียจากล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้าง "อะไร? จะแปลงร่างเหรอ? ไปเล่นที่อื่นไปหนู พี่จะนอน" ความเมาเป็นเหตุสังเกตได้ ตื่นขึ้นมานั่นแหละถึงได้รู้ ว่าตนเองถูก 'คนแปลกหน้า' พรากความบริสุทธิ์ไปเสียแล้ว...
ยามใดที่ดวงอาทิตย์ตกดิน นิสัยของผมจะกลับกลายเป็นอีกคน... ค่ำคืนนั้นเขาช่างเร่าร้อน ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเราล้วนไม่ใช่เพราะความรัก... "ขึ้นชื่อว่าคนดูแลชั่วคราว เธอก็จะได้อยู่แค่ในสถานะนั้น อย่าใฝ่สูง" .......................................................................................... ฉันได้รับหน้าที่ให้ดูแล 'ผู้ชายคนหนึ่ง' ทว่าของแถมที่พ่วงติดมาด้วยนั้นคือเรื่องราวน่า 'ประหลาด' ซึ่งเป็นเหตุทำให้ชีวิตของฉันต้องพลิกผันไปตลอดกาล "คุณซานเป็นอะไรหรือเปล่าคะ" การเห็นเจ้านายแสดงท่าทีราวกับทุกข์ทรมานอยู่ตรงหน้า จึงไม่นิ่งนอนใจที่จะเอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วง พร้อมขยับก้าวเข้าไปเพื่อช่วยพยุง "ออกไป!" ทว่าร่างสูงตรงหน้ากลับตะคอกใส่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หนำซ้ำยังสะบัดตัวฉันออกจนเซถลาเกือบล้มลงกระแทกพื้น "ออกไปจากห้องฉัน...เดี๋ยวนี้!!" หากย้อนเวลากลับไปได้ คืนนั้นฉันจะเชื่อฟัง และยอมเดินออกไปจากห้องแต่โดยดี...
ผมไม่เคยคิดว่าการที่ไว้หนวดไว้เครา และทำตัวเซอร์ๆ จะทำให้ใครบางคนต้องร้องไห้เพียงเพราะแค่เห็นหน้า "ฮือ...แม่จ๋าหนูกลัวโจร" เด็กผู้หญิงที่ร้องไห้ในวันนั้น คือคนที่ผมต้องสยบจวบจนถึงทุกวันนี้... ........................................................................ ฉันไม่รู้ว่าเริ่มชอบเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าพอได้ชอบฉันก็ไม่สามารถห้ามความรู้สึกของตัวเองได้อีกเลย... วินาทีแรกที่เจอกัน 'เขา' ทำให้ฉันรู้สึกกลัว แต่พอนานวันเข้า เขากลับเป็นคนที่สอนให้ฉันรู้จักคำว่า 'ความรัก' "ถ้าโตขึ้นแล้วมีผู้ชายมาชอบหนู แด๊ดดี้จะทำยังไงคะ?" "ฆ่ามัน" ได้แต่เก็บความสงสัยนั้นเอาไว้ในใจ พอโตมาถึงได้รู้ ว่าฉันจะต้องเป็นของแด๊ดคนเดียวตลอดไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม...
"มาโรงพยาบาลวันนี้ป่วยเป็นอะไรอีกล่ะคะ" "พอดีกินข้าวไม่ค่อยได้น่ะครับ" "หืม? มีอาการอาเจียนด้วยหรือเปล่าคะ หรือว่ายังไง" "เปล่าครับ แค่ไม่มีตังค์" "..." "ถ้าคุณพยาบาลไม่รังเกียจ ผมขอฝากท้องไว้สักมื้อนะครับ" "คุณท้องเหรอคะ?" ........................................................................ "ถ้านายทำร้ายฉัน ฉันจะโทรไปฟ้องพี่" ฉันรู้ว่าคำขู่ของตัวเองมันอาจจะไม่ได้ผล เพราะเขาเป็นผู้ชายที่หน้าด้านหน้าทนยิ่งกว่าปูนซีเมนต์ หมายถึงทนมือทนตีนน่ะนะ "ฟ้องมากๆ ระวังโดนตบด้วยปากและกระชากด้วยลิ้นนะ" นอกจากจะเป็นผู้ชายที่กวนตีนแล้ว ความหื่นของเขาก็มีมากเช่นกัน หมดเรี่ยวแรงไปเท่าไหร่แล้วกับผู้ชายพันธ์นี้...โปรดอยู่ให้ห่างแล้วชีวิตจะปลอดภัย
"ถ้านายยังทำนิสัยแบบนี้ สักวันนายจะไม่เหลือใคร" ร่างเล็กพูดบอกผมออกมาด้วยแววตานิ่งๆ เธอเป็นผู้หญิงที่สวยและเพรียบพร้อมไปซะทุกอย่าง ถ้าเปรียบเธอเป็นที่สูง ผมก็คงเป็นที่ต่ำ ผมอยากจะไขว่คว้าเธอ แต่มันก็เกินเอื้อม เพราะคนเลวๆ อย่างผมมันไม่มีค่าที่จะคู่ควรกับเธอ "ถ้าฉันเป็นคนดีแล้วเธอจะรักฉันได้มั้ย" ผมลองย้อนถามกลับไป เธอยังคงยืนนิ่งก่อนที่จะเดินออกไปโดยที่ไม่ได้ตอบอะไรผมทั้งนั้น ไม่ว่าผมจะเป็นยังไงสุดท้ายเธอก็ไปอยู่ดี ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว ประโยคนี้มันไม่มีผลอะไรกับชีวิตของผม ไม่ว่าจะทำตัวดีแค่ไหน สุดท้ายก็เหี้ยในสายตาของเธออยู่ดี...
คุณท่านเสียว คุณชายยอดเยี่ยมที่โด่งดังในเมือง B ได้แต่งงาน แต่มีข่าวลือว่าเจ้าสาวมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดและมีฐานะต่ำต้อย สามปีมานี้ เขาปฏิบัติกับเธออย่างเย็นชาและทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เจียงซิงซิงอดทนกับความเย็นชาอย่างเงียบ ๆ เธอยังคงรักเขาอย่างสุดหัวใจ เสียสละความนับถือตนเองและยอมละทิ้งตัวตนของเธอเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง สุดที่รักของเขากลับประเทศ เขได้สารภาพว่าเขาแต่งงานกับเธอเพียงเพื่อช่วยชีวิตคนรักในใจของเขาเท่านั้น เจียงซิงซิงเสียใจและผิดหวังมาก เธอจึงเซ็นเอกสารหย่าและจากไปด้วยความเศร้าใจ สามปีต่อมา เจียงซิงซิงผู้สวยงามจนน่าทึ่งกลับมาอีกครั้ง ได้กลายมาเป็นศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดและเป็นยอดฝีมือด้านเปียโน อดีตสามีรู้สึกเสียใจ และกอดเธอแน่นท่ามกลางสายฝน เสียงของเขาสั่นเครือ "ที่รัก คุณเป็นของผม..."
“ผู้หญิงคนนี้เป็นของมาร์โก ใครก็ห้ามมายุ่งอีกเด็ดขาด” เขาประกาศให้รับรู้ทั่วกัน แต่ถามว่าผู้หญิงของเขาตอนนี้มีสีหน้ายังไง ถามได้! เธอยังช็อกไม่หายปล่อยให้เขาจับจูงเข้าไปในห้องจนเหตุการณ์สงบแล้วเธอก็ยังไม่รู้ตัวเหมือนเดิม! พระเจ้านี่มันเรื่องบ้าอะไร! เธอกลายเป็นผู้หญิงของมาเฟียได้ยังไง เรื่องชักจะวุ่นวายเกินไปแล้ว เธอตามไม่ทันจริง... ตั้งสติไว้ยัยแอน เธอต้องตั้งสติ ตั้งสติบ้าอะไร เขาก็ประกาศอยู่ว่าเธอเป็นของเขา ไม่ ๆ ไม่ใช่ พวกเราแค่นอนด้วยกันคืนเดียว ยังไงก็แค่เรื่องเข้าใจผิด ยังไงเขาก็คงคิดจะขู่เล่น ๆ โธ่เอ้ยยัยโง่ เขาประกาศขนาดนั้น ลองไปสิเธอได้ถูกผูกติดกับเตียงแน่ ชาตินี้อย่าหวังจะไปไหนได้เลย เธอลืมไปแล้วหรือไงว่าคนนั้นคือมาเฟียมาร์โก มาเฟียที่มีอิทธิพลสุดในเมืองนี้! เธอจะบ้าตายเพราะเถียงกับตัวเองนี่แหละ แถมยังต้องมานั่งเสียใจที่มาเจอคนที่น่ากลัวที่สุดในเมือง พระเจ้าแกล้งเธอเกินไปแล้ว แบบนี้เธอจะทำยังไงดี!!
ในวันแต่งงาน เจ้าบ่าวของเฉียวซิงเฉินหนีไปกับผู้หญิงอีกคน เธอโกรธมาก จึงสุ่มหาชายคนหนึ่งมาแต่งงานด้วยทันที "ตราบใดที่คุณกล้าแต่งงานกับฉัน ฉันก็ยอมเป็นเมียคุณ" หลังจากแต่งงาน เธอได้ค้นพบว่าสามีของเธอคือลูกชายคนโตของตระกูลลู่ที่ขึ้นชื่อว่าไร้ประโยชน์ ชื่อลู่ถิงเซียว ทุกคนเยาะเย้ยว่า "เธอยนี่ช่วยไม่ได้จริงๆ" และผู้ชายที่ทรยศเธอก็มาเกลี้ยกล่อมว่า "ไม่เห็นต้องทำร้ายตัวเองเพราะฉันหรอก สักวันเธอต้องเสียใจแน่ๆ" เฉียวซิงเฉินหัวเราะเยาะและโต้ตอบว่า "ไปให้พ้น ฉันกับสามีรักกันมาก" ทุกคนต่าก็คิดว่าเธอเป็นบ้า ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อตัวตนที่แท้จริงของลู่ถิงเซียวถูกเปิดเผย ที่แท้เขาเป็นคนรวยอันดับต้นๆในโลก ในการถ่ายทอดสดทั่วโลก ชายคนนี้คุกเข่าข้างเดียว ถือแหวนเพชรมูลค่าหลักพันล้าน และพูดช้าๆ ว่า "คุณภรรยา ชีวิตที่เหลือนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ"
นาธัชชาถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจจากผู้เป็นพ่อ เพียงเพราะเธอมีส่วนทำให้แม่ต้องตาย ใครจะคิดว่าชีวิตเด็กเจ็ดขวบ จะถูกโชคชะตาเล่นตลกครั้งแล้วครั้งเล่า และพลิกผันจนกลายเป็น 18 มงกุฏ เพื่อความอยู่รอดของชีวิต ฟาเบียน (อายุ 35 ปี) ชายหนุ่มรูปหล่อทายาทคนโตแห่งมาร์ตินกรุ๊ป เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีธุรกิจโรงแรมทั้งที่ไทยและฝรั่งเศส ชีวิตของเขามีพร้อมทุกอย่างแต่กลับไร้เงาของสาวข้างกาย ใครๆ ก็พูดว่าเขาตั้งมาตรฐานผู้หญิงที่จะมาเป็นคู่ชีวิตไว้สูง บางคนบอกว่าระดับเขาต้องได้ผู้หญิงระดับนางงามที่มีมงกุฏการันตีความสวย ซึ่งมันก็คงจะจริง เพราะสาวที่เข้ามาพัวพันเป็นสาวสวยที่มีมุงกุฏการันตี และไม่ได้มีแค่มงกุฏเดียว เพราะเธอเป็น 18 มงกุฏ นาธัชชา (อายุ 20 ปี) นาธัชชาหรือหนูนา เด็กหญิงผู้เผชิญกับชีวิตที่แสนรันทดตั้งแต่อายุแค่เจ็ดขวบ เธอถูกพ่อแท้ๆ ยัดเยียดให้เป็นตัวซวย เพียงเพราะมีส่วนทำให้แม่ต้องตาย ชีวิตของเธอต้องพลิกผันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นกราฟชีวิตที่มีแต่จะตกต่ำ จนถึงขั้นต้องเป็น 18 มงกุฏ เพียงเพราะความอยู่รอดของชีวิต ความแตกต่างและความห่างชั้นทางสังคม จะชักนำให้เขาและเธอมาเจอกันได้อย่างไร เรามาติดตามไปพร้อมๆ กันค่ะ - ฟาเบียน ลูกชายคนโตของ เซดริก และมาลารินทร์ จากเรื่อง Malalin of love ร้อยรักมาลารินทร์ - นาธัชชา หรือหนูนา ตัวละครใหม่ คำเตือน -นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นมาเพื่อความบันเทิงเท่านั้น มิได้มีเจตนาชี้นำหรือเป็นตัวอย่างให้นำไปใช้ในชีวิตจริง -นิยายอาจมีเนื้อหาบางช่วงบางตอนที่ไม่เหมาะสม ทั้งเรื่องเพศ และมีคำหยาบคาย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน - นิยายเรื่องนี้เหมาะสมกับผู้อ่านที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป
ต่อหน้าทุกคน เธอเป็นเลขานุการส่วนตัวของท่านประธาน โดยส่วนตัวแล้ว เธอเป็นภรรยาของเขา กู้เวยยีรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อเธอทราบว่าตนเองตั้งครรภ์ ทว่าเธอกลับเห็นฟู่จิงเฉินกับรักแรกของเขาสิทสนมกัน... เธอจากไปอย่างเศร้าใจและตัดสินใจที่จะให้พวกเขาสมหวัง ต่อมา เมื่อฟู่จิงเฉินมองดูท้องที่ยื่นออกมาของเธอ และถามอย่างตื่นเต้นว่า "้กู้เวยยี นี่คือลูกของใคร!" เธอตอบอย่างหัวเราะเยาะ "มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย อดีตสามี!"