ดาวน์โหลดแอป ฮิต
หน้าแรก / โรแมนติก / XXX III เรื่องมันเกิด...เพราะกลิ่นหอมของเธอ
XXX III เรื่องมันเกิด...เพราะกลิ่นหอมของเธอ

XXX III เรื่องมันเกิด...เพราะกลิ่นหอมของเธอ

5.0
52 บท
2.5K ชม
อ่านเลย

เกี่ยวกับ

สารบัญ

ยามใดที่ได้กลิ่นหอมของเธอ นิสัยของผมจะกลับกลายเป็นอีกคน... ทั้งชีวิตที่เกิดมา ไม่เคยมีใครแสดงท่าทีรังเกียจฉันได้มากเท่าเขาอีกแล้ว… “คุณมีปัญหาอะไรกับฉันหรือเปล่าคะคุณแซ้งค์” “ใครจะกล้ามีปัญหากับลูกสาวเจ้าพ่ออย่างคุณเอวาได้ล่ะครับ” “ก็คุณไงคะ” .......................................................................................... ฉันต้องรู้สึกยังไงที่จู่ ๆ ก็มีคนบางคนชอบแสดงท่าทีเหมือนรังเกียจ ทุกครั้งที่พยายามเข้าใกล้ เขาก็จะถอยห่าง มองจากดาวอังคารยังรู้ ว่า ‘คุณแซ้งค์’ กำลังไม่ชอบขี้หน้าฉันอย่างแรง แต่บอกไว้ก่อน เราไม่เคยมีเรื่องกัน แล้วทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ไปได้ “บอกเหตุผลมาหน่อยได้มั้ยคะ ว่าทำไมถึงทำเหมือนไม่ชอบฉันนัก” “ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่ผมแค่ไม่อยากอยู่ใกล้คุณ” “แล้วมันทำไม?” “ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง” หลังจากได้รับคำตอบ ฉันก็ไม่เคยเข้าใจในความหมายนั้น กระทั่งคืนหนึ่งได้เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น ซึ่งนี่แหละคือจุดเปลี่ยนความสัมพันธ์ของเราไปตลอดกาล...

บทที่ 1 บทนำ

วันนี้เป็นอีกวันที่ฉันยังคงใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ กลางวันนอน พอดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าก็ไปที่สนามแข่ง ชีวิตในแต่ละวันวนเวียนอยู่เพียงเท่านี้

แม้จะเรียนจบแล้ว ทว่าฉันกลับไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักอย่าง

ได้แต่บอกตัวเองว่าเอาไว้ก่อน ขอใช้ชีวิตให้สนุกสักช่วงหนึ่งจนกว่าจะพอใจเดี๋ยวก็หยุดเอง

และถึงทำตัวแบบนี้ ทว่าในตอนที่ยังเรียนอยู่ฉันก็เต็มที่ไปกับมัน กระนั้นต่อให้เกรดเฉลี่ยเยอะแค่ไหนป๊าก็ไม่เคยสนใจในตรงนั้น ท่านโฟกัสแค่จุดที่ตนเองไม่ต้องการ โดยไม่สนเลยว่านั่นมันคือสิ่งที่ฉันชอบ

ซึ่งก็คือ ‘การแข่งรถ’ ฉันมักจะทะเลาะกับป๊าเพราะเรื่องนี้ตลอด อย่างว่า...หากเป็นอะไรที่ท่านไม่เห็นดีเห็นงามด้วยย่อมดูขวางหูขวางตาไปเสียทุกอย่าง

“คุณหนูเอวาจะรับมื้อเย็นก่อนไปสนามแข่งมั้ยครับ” นับว่าโชคดีที่อย่างน้อยก็ยังมีบอดี้การ์ดคนสนิทที่คอยใส่ใจ และดูแลความรู้สึกฉันได้ดีกว่าผู้เป็นพ่อ

ฉันนับถือ ‘พี่กัส’ เหมือนพี่ชายคนหนึ่ง และก่อนที่เขาจะเข้ามาทำงานเป็นบอดี้การ์ดพี่กัสเคยช่วยเหลือฉันเอาไว้ ไม่ให้ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ฉุดไปทำมิดีมิร้าย

อันที่จริงฉันคิดว่าเราคงไม่มีโอกาสได้มาพบเจอกันอีกด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากป๊ารู้เรื่องนี้เข้าก็เลยคัดเลือกลูกน้องที่ไว้ใจได้ รวมถึงมีฝีมือในการต่อสู้เพื่อมาเป็นบอดี้การ์ดคอยตามประกบฉัน

ด้วยความที่วันนั้นฉันไปแอบดูพอดี แล้วพบกับใบหน้าที่คุ้นเคยจึงรีบเดินเข้าไปบอกป๊าว่าพี่กัสคือคนที่ช่วยฉันเอาไว้ ท่านก็เลยให้ฉันตัดสินใจว่าจะเลือกใครมา แน่นอนว่าฉันย่อมเลือกพี่กัสอยู่แล้ว

เหตุการณ์ในวันนั้นฉันยังคงจำได้ดี ว่าพี่กัสมีฝีมือมากแค่ไหน ดูทรงแล้วเขาน่าจะเคยผ่านการฝึก หรือเคยเป็นบอดี้การ์ดมาก่อน ท่วงท่าการออกหมัดช่างคล่องแคล่วและตอบโต้ได้อย่างว่องไว อีกอย่างหากไม่เก่งจริงคงจัดการกับกลุ่มชายฉกรรจ์สามคนไม่ได้หรอก แต่ละคนใช่ว่าจะผอมแห้งแรงน้อยเสียเมื่อไหร่ ร่างกายบึกบึนน่ากลัวแถมยังตัวใหญ่กว่าพี่กัสเป็นไหน ๆ

ในตอนนั้นฉันเพิ่งจะอยู่มัธยมต้นจึงช่วยอะไรเขาไม่ได้ เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ จะทำอะไรได้นอกจากหาที่หลบซ่อนและคอยแอบมองอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ

ส่วนปัจจุบันนี้น่ะเหรอ? หึ...เรียงตัวมาเลยฉันไม่กลัวหรอก เด็กผู้หญิงที่เคยอ่อนแอในวันนั้นมันได้ตายไปแล้ว

“รับค่ะ” ริมฝีปากบางตอบรับ พลางขยับกายลุกลงจากเตียงนอน “พี่กัสลงไปรอข้างล่างเลยนะคะ เดี๋ยววาตามไป”

สองเท้าเดินตรงไปที่ห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว

“ครับ” ขณะที่ร่างสูงเองก็รับคำอย่างว่าง่าย แล้วจึงเปิดประตูก้าวออกไปจากห้องนอนของฉัน

ครั้นทำอะไรเสร็จเรียบร้อย และเดินลงไปยันชั้นล่างของบ้าน ฉันกลับพบกับสิ่งที่ไม่น่าสบอารมณ์สักเท่าไหร่

“สวัสดีค่ะคุณเอวา” ผู้หญิงที่กล่าวคำทักทายช่างดูไม่คุ้นหน้า ดูทรงแล้วคงไม่แคล้วเป็นเด็กใหม่ของป๊าอีกตามเคย

นี่ก็นับว่าเป็นอีกเรื่องที่ทำให้เราสองพ่อลูกมีปัญหาจนถึงขั้นไม่ลงรอยกัน ถือเป็นเรื่องใหญ่สุดเชียวล่ะ และเชื่อเถอะว่าถ้าใครมาเป็นฉันก็คงจะรู้สึกแบบเดียวกันอย่างแน่นอน

ใครมันจะไปชอบ ที่เห็นว่าพ่อตัวเองพาผู้หญิงเข้าบ้านมาไม่ซ้ำหน้า หากถามว่าแม่ของฉันหายไปไหน ตอบได้แค่ว่าอยู่บนสวรรค์นานแล้ว ตั้งแต่ที่ฉันเรียนอยู่ประถมด้วยซ้ำ

ทว่ายังคงจำได้ดีว่าม๊าเป็นผู้หญิงที่ดีและเพียบพร้อมมากแค่ไหน ดีเสียจนพอจากไปก็ทำให้ป๊าถึงกับเสียศูนย์ หนักขนาดที่ว่าพยายามหาผู้หญิงที่เหมือนกับม๊า ทั้งหมดที่ทำล้วนแล้วแต่ต้องการให้คนมาแทนที่ผู้หญิงที่ตนรักมาก กระนั้นท่านไม่เคยถามความสมัครใจจากฉันสักคำ

หากถามก็คงตอบอย่างหนักแน่นว่าฉันไม่มีทางยอมให้ใครมาแทนที่ม๊าได้ ต่อให้จะเหมือนกันยิ่งกว่าร่างโคลน ฉันก็จะไม่ยอมโดยเด็ดขาด

ม๊าจะอยู่ในหัวใจ และอยู่ในความทรงจำของฉันตลอดไป ไม่ว่าใครหน้าไหนก็อย่าหวังว่าจะได้เข้ามาแทนที่

“เอากองไว้ตรงนั้นแหละ” ไม่สนใจอยู่แล้วว่าใครจะมองยังไง ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ

ต่อให้ป๊าจะยืนอยู่ตรงหน้าฉันก็จะทำตัวแบบนี้…

“เอวา พูดให้มันดี ๆ หน่อย ป๊าไม่เคยสอนให้หนูทำตัวเสียมารยาทกับคนอื่นแบบนี้นะ” ดวงตาคมดุดันมองสบตาฉันในเชิงตำหนิ พร้อมพูดเอ็ดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง

“ป๊าเคยสอนด้วยเหรอคะ?” จ้องเขม็งไปที่ท่าน พลางย้อนถามกลับอย่างไม่นึกกลัว

ต่อให้คนอื่นจะรู้สึกกลัวป๊าจนหัวหดขนาดไหน ทว่าฉันกลับไม่เคยเกิดความรู้สึกแบบนั้นเลยสักครั้งเดียว เพราะยังไงท่านคงไม่กล้ายกปืนขึ้นมาจ่อศีรษะฉันเหมือนอย่างที่ทำกับคนอื่น ๆ หรอก

“เอวา!” ระดับน้ำเสียงเริ่มแข็งกร้าวขึ้นตามอารมณ์

“ท่านคะ ไม่เป็นไรค่ะ” ผู้หญิงคนนั้นที่ยืนอยู่ข้างป๊ารีบยกมือขึ้นจับแขนท่านเพื่อห้ามปราม

จะรับบทเป็นคนดีสินะ? ฉันเห็นมานักต่อนักแล้ว การแสดงของผู้หญิงทุกคนที่เคยมาเหยียบบ้านหลังนี้ในฐานะผู้หญิงของป๊า ก็จะรอดูแล้วกันว่าจะดีไปได้นานแค่ไหน

“คุณหนูครับ เชิญที่ห้องอาหาร” พี่กัสเดินตรงเข้ามาหา เขาคงได้ยินเสียงป๊าที่ตะคอกใส่ฉัน

“ค่ะ” ดูแล้วป๊าคงพาผู้หญิงคนนี้มารับประทานมื้อเย็นที่บ้านเหมือนกัน ดังนั้นฉันจะพลาดได้อย่างไรกัน

ฉันเปลี่ยนทิศทางไปยังห้องอาหารขนาดกว้าง บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารมากมายที่ถูกจัดวางเอาไว้อย่างเตรียมพร้อม

ฉันไม่เดินเข้าไปนั่งโดยทันที แต่ให้ป๊ากับผู้หญิงคนนั้นนั่งลงก่อน แล้วจึงเดินเข้าไปหยุดยืนที่เก้าอี้ด้านข้างร่างบาง

พี่กัสเลื่อนเก้าอี้ให้ฉันนั่งโดยไม่ถามอะไร แม้ว่าที่ตรงนี้จะไม่ใช่ที่ประจำของฉันก็ตามแต่ กระนั้นป๊ากลับมองมาทางฉันด้วยสีหน้าฉงนที่เห็นว่าฉันเลือกนั่งข้างผู้หญิงของตน

โดยปกติหลายคนคงไม่ชอบที่จะอยู่ใกล้คนที่ตนเองเกลียด แต่สำหรับฉันแล้วยิ่งเกลียดยิ่งอยากอยู่ใกล้ เพราะจะได้กำจัดอย่างง่ายดาย

ใกล้มือใกล้เท้าสิยิ่งดี…

“ทำไมถึงไปนั่งตรงนั้นเอวา” ว่าแล้วป๊าต้องถามคำถามนี้ “ย้ายกลับมานั่งข้างป๊า”

ฉันต้องทำตามที่ป๊าออกคำสั่งเหรอ? ไม่มีทาง กลัวว่าฉันจะลุกขึ้นบีบคอผู้หญิงคนนี้หรือยังไง หวาดระแวงลูกสาวตนเองมากไปหรือเปล่า

“แล้วตรงนี้มีใครเขียนชื่อจองไว้เหรอคะ ทำไมถึงนั่งไม่ได้” ริมฝีปากบางขยับถามพร้อมรอยยิ้มหวาน “หนูก็แค่อยากทำความรู้จักกับผู้หญิงของป๊าบ้างไม่ได้เลยเหรอ?”

“แต่เมื่อกี้ลูกไม่ได้ทำเหมือนอยากจะรู้จักเธอเลยนะ”

“ความรู้สึกของคนเรามันเปลี่ยนแปลงกันได้เสมอค่ะ ป๊ากำลังไม่ไว้ใจหนูอยู่สินะ” ละครฉากหนึ่งกำลังถูกฉันแสดงให้ป๊าได้ดู

“ป๊าไม่ได้คิดอย่างนั้น จะนั่งก็นั่งไปเถอะ” ความคลางแคลงใจเลือนหายไปจากใบหน้าของท่าน “กินข้าวกันได้แล้ว”

“คุณชอบกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ” ฉันหันไปถามคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง

“อาหารไทยค่ะ” คำตอบที่ได้รับกลับมาทำให้ฉันยกยิ้มมุมปาก

ป๊าก็ยังคงเลือกผู้หญิงที่ชอบอะไรเหมือน ๆ กับม๊า

“คุณเป็นลูกครึ่งหรือเปล่าคะ” ฉันยังคงตั้งคำถาม โดยมีสายตาของป๊าคอยลอบมองตลอด

“ไทยกับจีนค่ะ พ่อเป็นคนจีนส่วนแม่เป็นคนไทย” ผู้หญิงคนนั้นตอบ พร้อมกับอธิบาย

ความแตกต่างเห็นทีจะมีตรงจุดนี้ เพราะม๊าของฉันเป็นไทยแท้ไม่ได้มีเชื้อสายอื่น ส่วนป๊ามีหลายเชื้อชาตินับไม่ถ้วน แต่หลัก ๆ ก็จีน มาจากตระกูลเก่าแก่ก็แบบนี้ ใคร ๆ ก็อยากเป็นทองแผ่นเดียวกัน

แต่น้อยคู่ที่แต่งงานเพราะความรัก ส่วนมากมักจะแต่งเพราะผลประโยชน์ ซึ่งแน่นอนว่าคู่ของป๊ากับม๊าคืออย่างแรก ไม่งั้นป๊าคงไม่เป็นเอามากขนาดนี้หลังจากที่ม๊าจากไป

“วาถามมากไปหรือเปล่าคะ” ฉันแทนตัวเองด้วยสรรพนามที่ดูสนิทสนม จะแสดงทั้งทีก็ต้องเล่นให้แนบเนียน

“ถามได้เลยค่ะ ไม่เป็นไร” ดูท่าทางเรียบร้อยเชียว ถ้าหากฉันทำบางสิ่งให้เธอจดจำ ฉันจะกลายเป็นคนใจร้ายไหมนะ

“งั้นคำถามสุดท้ายแล้วกันค่ะ” เพราะฉันก็ไม่อยากเสียเวลาอยู่ตรงนี้นาน ๆ เหมือนกัน “บนโต๊ะนี้คุณอยากกินเมนูไหนมากที่สุดคะ”

“เลือกยากจังเลยค่ะ” ที่เธอพูดออกมาแบบนั้น เพราะอาหารตรงหน้าล้วนเป็นอาหารไทยทั้งสิ้น

“ป๊าช่วยเลือกมั้ยคะ?” ฉันหันไปถามผู้เป็นพ่อที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ

“ให้ไลลาเลือกเลย” นี่คงจะเป็นชื่อของเธอ เหตุผลที่ฉันไม่ถามเพราะไม่อยากทำความรู้จักกับผู้หญิงคนนี้อย่างที่ปากว่า

“อย่างนั้น…ขอเลือกต้มยำกุ้งแล้วกันค่ะ”

“แน่ใจนะคะ?” ฉันถามย้ำอีกครั้ง รู้ดีว่าพ่อครัวที่บ้านทำเมนูอาหารไทยได้ถึงเครื่องราวกับเป็นสูตรต้นตำรับ

“ค่ะ” เธอยังคงยืนยันคำเดิม โดยไม่ล่วงรู้ชะตากรรมของตนเองเลยสักนิดว่าหลังจากนี้จะพบเจอกับอะไร

“มันจะเผ็ดไปหรือเปล่าคะ เอาแกงเขียวหวานดีกว่ามั้ย” อยากให้โอกาสไลลาได้ตัดสินใจอีกครั้ง แต่ถ้าเธอไม่รับอันนี้ก็ช่วยไม่ได้

“ฉันชอบอะไรเผ็ด ๆ ค่ะ” แบบนี้เองสินะ เดี๋ยวได้แสบจนต้องร้องขอชีวิตแน่ ๆ

“จัดไปค่ะ” ฉันรับคำทันที พลางผุดลุกขึ้นยืนเพื่อเอื้อมมือไปคว้าถ้วยต้มยำกุ้งที่กำลังร้อนอยู่หน่อย ๆ

พรวด!

“กรี๊ดดดด”

“เอวา ลูกทำแบบนี้ทำไม!!”

ทั้งเสียงกรีดร้อง และเสียงตะคอกของผู้เป็นพ่อดังขึ้นประสานกัน หลังจากที่ฉันจัดการเทต้มยำกุ้งราดลงบนศีรษะของไลลา เธอลุกขึ้นกระโดดเร่า ๆ เพื่อสะบัดสิ่งเหล่านั้นออกจากร่างกาย

เป็นเหตุให้กุ้งตัวใหญ่กระเด็นมาอยู่ตรงปลายเท้าของฉัน และจังหวะที่พ่อกำลังเดินอ้อมมาเพื่อเล่นงาน สองเท้าก็รีบกระโดดขึ้นเหยียบเก้าอี้ และปีนข้ามขึ้นไปยืนบนโต๊ะอาหาร ก่อนจะกระโดดลงไปยืนบนพื้นอีกฝั่ง ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของลูกน้องป๊าที่ยืนอยู่รอบ ๆ จะมีก็แต่พี่กัสที่ยังคงแสดงสีหน้านิ่งเรียบแบบเดิม

“เซอร์ไพรส์~” เอ่ยพลางหัวเราะร่าอย่างสะใจในสิ่งที่เพิ่งกระทำลงไป “การแสดงจบลงแล้ว ขอบคุณที่รับชมนะคะป๊า ขอตัวก่อนนะคะ บ๊ายบาย”

ฉันหมุนตัวเตรียมชิ่งออกไปจากตรงนี้ โดยมีพี่กัสตามหลังมาติด ๆ

“มัวแต่ยืนบื้อกันอยู่ทำไม จับเอวาไว้สิวะ!!” ป๊าเกรี้ยวกราดใส่ลูกน้อง พร้อมออกคำสั่ง

“ไปเร็วพี่กัส” ฉันรีบคว้ามือหนา พลางฉุดรั้งให้เขาวิ่งตาม “ใครกล้าจับฉันระวังจะกลายเป็นศพ”

ดวงตากลมโตตวัดมองคนที่เข้ามาใกล้เขม็ง อีกฝ่ายชะงักไปนิดหนึ่งอย่างลังเลว่าจะฟังคำสั่งของใครดี แต่ก่อนที่จะทันได้ตัดสินใจ ฉันกับพี่กัสก็รีบพากันวิ่งขึ้นรถที่จอดอยู่ด้านหน้า ซึ่งทำให้รอดจากการจับกุมของลูกน้องป๊าได้อย่างหวุดหวิด

นับว่าโชคดีที่พี่กัสเอารถมาจอดรอตรงนี้ ไม่อย่างนั้นฉันคงโดนป๊าเล่นงานเป็นแน่ ไว้ให้ท่านอารมณ์เย็นลงก่อนค่อยกลับมาบ้านแล้วกัน

“สะใจขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ร่างสูงข้างกายที่กำลังขับเคลื่อนรถยนต์ด้วยความเร็วเอ่ยถาม

“ขนาดนั้นเลยค่ะ” ยอมรับตามความจริง

“คุณหนูไม่ต้องลงมือเองก็ได้ ขอแค่บอกผม” พี่กัสรู้ใจฉันดีในทุก ๆ เรื่อง และเขาก็รู้ด้วยว่าที่ฉันทำไปทั้งหมดเพียงเพราะอะไร

ใครที่คิดจะเข้ามาแทนที่ม๊าต้องข้ามศพฉันไปก่อน ตราบใดที่ฉันยังอยู่ก็ต้องเจอแบบนี้แหละ…

“ไม่เป็นไรค่ะ วาอยากหาอะไรสนุก ๆ ทำอยู่พอดี” ตอนนี้อารมณ์ดีแล้ว ฉันสามารถไปแข่งรถได้อย่างสบายใจ

อันที่จริงการทำร้ายคนอื่นมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง แต่ผู้หญิงคนนั้นมายุ่งกับครอบครัวของฉันก่อน บางทีคงไม่ได้มาดีด้วยซ้ำ เหมือนอย่างผู้หญิงของป๊าก่อนหน้าหลาย ๆ คน ที่เข้ามาเพื่อหวังเงินทอง และหวังเกาะเป็นปลิงดูดเลือด ที่ฉันทำก็เพื่อปกป้องครอบครัวไม่ให้สูญเสียอะไรไปมากกว่านี้ต่างหาก

ดวงตากลมโตทอดมองออกไปยังกระจก เพื่อมองทิวทัศน์ด้านข้างที่รถยนต์เคลื่อนผ่าน ไม่นานนักก็เลี้ยวเข้าสู่สนามแข่งรถชื่อดัง

ฉันเปิดประตูก้าวลงจากรถหลังจากจอดสนิท เพื่อตรงไปยังตึกสำนักงานสูงลิ่ว ก็ต้องเตรียมตัวกันก่อน จะเดินดุ่ม ๆ เข้าไปแข่งเลยมันก็ไม่ได้

ครั้นเดินไปถึงหน้าลิฟต์ บานประตูก็กำลังเคลื่อนปิดพอดี จนพี่กัสต้องรีบยื่นนิ้วไปกดปุ่มค้างไว้ บานประตูเปิดออกอีกครั้ง

“ขอไปด้วยนะคะ” ฉันก้าวเข้าไปในลิฟต์ และพบกับผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่ง

ทั้งรูปร่างและหน้าตาของเขาทำให้ฉันถึงกับหันไปมองซ้ำอีกรอบ ทั้งชีวิตก็เจอผู้ชายหล่อมาเยอะ แต่ไม่มีใครทำให้ฉันรู้สึกสะดุดตาได้เท่าเขา แล้วส่วนสูงนั่นจะสูงแข่งกับเสาไฟหรือเปล่า

แต่ช่างน่าเสียดาย ที่ท่าทางของเขาดูไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่ นอกจากจะไม่พูดด้วยแล้วยังยกหลังมือขึ้นปิดจมูก ก่อนจะรีบก้าวเดินออกจากลิฟต์ไป ทิ้งให้ฉันและพี่กัสมองตามหลังด้วยสีหน้างงงวย

“เขาเหม็นอะไรหรือเปล่าครับ” เมื่อพี่กัสโพล่งถามขึ้นมาแบบนั้น ฉันถึงกับต้องก้มดมกลิ่นกายตัวเองเพื่อพิสูจน์

ก็มีแค่ฉันที่ยืนอยู่ใกล้ผู้ชายคนนั้นมากที่สุด จะว่าไปแล้วพอมานึกดูดี ๆ ฉันลืมฉีดน้ำหอมมานี่นา

“มาจากวาหรือเปล่าคะ พี่กัสลองดมดูให้หน่อย” ฉันขยับเข้าไปหาพี่กัสในระยะประชิด ใกล้ขนาดนี้ถ้ากลิ่นมาจากฉันต้องรู้สึกกันบ้างล่ะ

“ไม่นะครับ”

“โกหกหรือเปล่าคะ”

“จริง ๆ ครับ” ร่างสูงตรงหน้ายืนยันคำเดิมด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกว่าเก่า

แล้วผู้ชายคนนั้นเขาเป็นอะไร ลำบากพวกฉันต้องมาตามหากลิ่นที่ทำให้เขาต้องยกหลังมือขึ้นปิดจมูกอีก…

อ่านต่อ
img ไปดูความคิดเห็นเพิ่มเติมที่แอป
ดาวน์โหลดแอป
icon APP STORE
icon GOOGLE PLAY