ยามใดที่ดวงอาทิตย์ตกดิน นิสัยของผมจะกลับกลายเป็นอีกคน... ค่ำคืนนั้นเขาช่างเร่าร้อน ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเราล้วนไม่ใช่เพราะความรัก... "ขึ้นชื่อว่าคนดูแลชั่วคราว เธอก็จะได้อยู่แค่ในสถานะนั้น อย่าใฝ่สูง" .......................................................................................... ฉันได้รับหน้าที่ให้ดูแล 'ผู้ชายคนหนึ่ง' ทว่าของแถมที่พ่วงติดมาด้วยนั้นคือเรื่องราวน่า 'ประหลาด' ซึ่งเป็นเหตุทำให้ชีวิตของฉันต้องพลิกผันไปตลอดกาล "คุณซานเป็นอะไรหรือเปล่าคะ" การเห็นเจ้านายแสดงท่าทีราวกับทุกข์ทรมานอยู่ตรงหน้า จึงไม่นิ่งนอนใจที่จะเอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วง พร้อมขยับก้าวเข้าไปเพื่อช่วยพยุง "ออกไป!" ทว่าร่างสูงตรงหน้ากลับตะคอกใส่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หนำซ้ำยังสะบัดตัวฉันออกจนเซถลาเกือบล้มลงกระแทกพื้น "ออกไปจากห้องฉัน...เดี๋ยวนี้!!" หากย้อนเวลากลับไปได้ คืนนั้นฉันจะเชื่อฟัง และยอมเดินออกไปจากห้องแต่โดยดี...
แค่เกิดมาแล้วมีต้นทุนชีวิตไม่เหมือนกับคนอื่น หนทางที่ก้าวเดินย่อมเต็มไปด้วยขวากหนามเป็นธรรมดา มันอยู่ที่ว่าเราจะสู้ หรือถอยตั้งแต่ยังไม่เริ่มออกเดินทาง...
แน่นอนว่าฉันเลือกจะทำอย่างแรก ด้วยความที่เป็นเสาหลักของครอบครัวคงเลือกอะไรนอกเหนือจากนี้ไม่ได้ แม้รู้อยู่แก่ใจว่าหนทางข้างหน้าต้องเจอกับบททดสอบต่างๆ ที่ล้วนทำให้เหน็ดเหนื่อยก็ตามแต่
“เลิกงานตรงเวลาจังเลยนะ” ขณะที่กำลังสแกนนิ้วออกเพื่อกลับบ้าน หลังจากการทำหน้าที่สิ้นสุดลง ประโยคทำนองค่อนแคะก็ลอยเข้ามากระแทกโสตประสาทเข้าอย่างจัง
“ทำครบชั่วโมงแล้วจะอยู่ทำไมล่ะ” ตอนเข้างานฉันก็เข้าก่อนเวลาด้วยซ้ำ แต่ทำไมไม่เห็นพูดอะไรบ้าง พอออกตรงเวลาเข้าหน่อยปากก็อยู่ไม่สุขทันทีเชียวนะ
“ปากดี” ‘เกล’ เพื่อนร่วมงานประสาทเสียก็ยังคงไม่หยุดพูดเหน็บแนม สายตายามที่มองมาเหมือนกับว่าโกรธแค้นฉันตั้งแต่ชาติปางก่อน
“ก็พอตัวแหละ” ฉันไหวไหล่อย่างไม่สะทกสะท้าน และเกรงกลัว “รีบกลับเข้าไปทำงานซะสิ มัวแต่ยืนแขวะคนอื่นอยู่ได้”
ฉันเดินเฉียดผ่านร่างบางที่ยืนขวางทางอยู่ เพื่อตรงเข้าไปยังตู้ล็อกเกอร์เก็บของ
อีกฝ่ายแสดงท่าทีฮึดฮัดไม่ชอบใจออกมาให้เห็นโดยไม่คิดจะปกปิด ก่อนจะเดินสะบัดตัวกลับเข้าไปทำงานต่อ
ก็เป็นแค่พนักงานเหมือนกัน แต่ติดตรงที่ว่าเกลมีแฟนเป็นถึงผู้จัดการร้าน นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอหยิ่งผยองได้มากขนาดนี้ ยามใดที่เห็นแฟนหนุ่มของตัวเองไปยุ่งวุ่นวายกับพนักงานคนอื่นๆ ภายในร้าน ความหึงหวงก็ก่อเกิดจนหน้ามืดตามัว
ทั้งที่จริงแล้วเธอควรจัดการสั่งสอนแฟนตัวเองต่างหาก เจ้าชู้ขนาดนั้นถ้าไม่กำราบตัวต้นเหตุแล้วจะมีประโยชน์อะไร
ฉันก็เป็นหนึ่งในพนักงานที่ถูก ‘บอล’ แฟนของเกลชอบเข้ามาวุ่นวาย และพูดจาแทะเล็ม แต่ไม่คิดว่าฉันจะเลือกบ้างเหรอ? ผู้ชายเจ้าชู้แบบนั้นปล่อยให้สูญพันธุ์ไปเลยดีกว่า อย่าได้เก็บมาไว้กับตัว รังแต่จะทำให้ชีวิตต้องพบเจอกับเรื่องชวนน่าปวดหัวไม่จบไม่สิ้น
“กลับบ้านแล้วเหรอดีใจ” เสียงคุ้นเคยดังขึ้นจากทางด้านหลัง
ตายยากจริงๆ เลยเชียว แค่นึกถึงก็โผล่พรวดมาให้เห็นหน้า
“ค่ะ” ตอบรับเพียงสั้นๆ เท่านั้น มือข้างหนึ่งยกสายกระเป๋าขึ้นพาดไหล่ แล้วก้าวออกมาจากห้องเก็บตู้ล็อกเกอร์ที่คับแคบ
มันเป็นแค่ช่องทางเล็กๆ ที่มีตู้ตั้งชิดผนัง สามารถเข้าไปยืนได้แค่สองคนเท่านั้น หนำซ้ำยังไม่มีประตูแถมเดินออกไปแค่ทางเดียว และแน่นอนว่าตอนนี้ร่างสูงตรงหน้ากำลังยืนขวางทางฉันอยู่
“พี่ก็เลิกงานพอดีเลย ไปกินข้าวด้วยกันมั้ย พี่เลี้ยง” มันจะมีผู้ชายสักกี่คนกันที่กล้าชวนผู้หญิงคนอื่นไปทานข้าวด้วย ทั้งที่แฟนตัวเองก็อยู่ไม่ไกลจากตรงบริเวณนี้
“เลิกงานแล้วก็นั่งรอแฟนพี่เถอะค่ะ ฉันหากินเองได้” รอยยิ้มระบายเต็มใบหน้าในยามที่เอื้อนเอ่ย แม้ลึกๆ จะไม่ชอบใจทว่าก็จำต้องข่มกลั้นอารมณ์นั้นไว้
หลังกล่าวจบฉันไม่รอให้อีกฝ่ายได้เปิดปากพูดอะไรออกมาอีก พยายามมองหาช่องทางเล็กๆ เพื่อเดินแทรกกายออกมา
ก็ยังดีที่พอถูกตอกกลับไปแบบนั้นแล้วไม่หน้าด้านรั้งฉันให้อยู่ต่อ
ระหว่างที่เดินไปยังป้ายรถเมล์ ฉันแวะซื้ออาหารที่ตั้งร้านขายอยู่ริมทางติดมือไปให้คนที่บ้านได้ทาน แม้จะดึกมากแล้วแต่แม่กับน้องก็ยังรอคอยเหมือนอย่างเช่นทุกวัน เว้นซะแต่ว่าวันไหนฉันกลับดึกมากจริงๆ คนที่บ้านถึงจะไม่อยู่รอทานข้าวด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา
แม้ไม่ได้มีเงินทองมากมายเหมือนคนอื่น แม้ต้องหาเช้ากินค่ำไปวันๆ ทว่าสิ่งที่น่าภาคภูมิใจที่สุดก็คือความรักใคร่กลมเกลียวภายในครอบครัว
ฉันนั่งรอคอยรถโดยสารสาธารณะเกือบชั่วโมงกว่าจะได้เดินทางกลับบ้าน รองเท้าผ้าใบเก่าๆ เหยียบย่ำไปบนพื้นน้ำที่เจิ่งนอง-ภายในซอยที่คับแคบ และมืดสลัว
แม้ทางเข้าบ้านแลดูอันตรายทว่าพวกฉันก็ไม่รู้ว่าจะไปหาที่ซุกหัวนอนใหม่ที่ไหนได้อีก ค่าเช่าบ้านในสลัมถูกสุดแล้วสำหรับฉัน แต่ก็ยังดีที่ทางไม่ได้ลึกมากมายอะไร
กระนั้นหากหาเงินได้มากกว่านี้ ฉันก็อยากพาครอบครัวหลุดพ้นออกไปจากที่แห่งนี้ เผื่อคุณภาพชีวิตจะได้ดีขึ้น ไม่ต้องเจอเรื่องชวนหน้าปวดหัว เดี๋ยวคนนั้นก็ทะเลาะกัน วันดีคืนดีก็เห็นตำรวจวิ่งไล่จับคนร้ายที่ลักลอบส่งยาภายในซอย
อันที่จริงทุกที่ก็มีทั้งคนดีและเลวปะปนกันไป เพียงแค่สถานที่ที่ฉันอาศัยอยู่นั้นดันมีคนเลวมากกว่าเป็นไหนๆ
“พี่ดีใจกลับมาแล้ว!” ยังไม่ทันที่ฉันจะล้วงหยิบกุญแจขึ้นมาไขประตู ‘ที่รัก’ ผู้ซึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆ ของฉันก็เปิดประตูพรวดพราดออกมาหา “หนูกะแล้วว่าต้องเป็นเสียงรองเท้าพี่”
ใบหน้าละม้ายคล้ายกันเผยรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบเพื่อให้ฉันเดินก้าวเข้าไปด้านใน บ้านหลังนี้ที่เราอาศัยอยู่เป็นบ้านไม้สองชั้น ขนาดปานกลางไม่ได้คับแคบจนเกินไป แต่ก็ไม่ได้สะดวกสบายมากมายนัก วันดีคืนดีฝนตกหนักหลังคาบ้านก็รั่ว ต้องหยิบกะละมังมารองหยดน้ำฝนกันจ้าละหวั่น
“ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะที่รัก ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่หวังดีจะทำยังไง” อดไม่ได้ที่จะพูดเอ็ดน้องสาวด้วยความหวังดี
ที่รักเพิ่งขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่สองเมื่อไม่นานมานี้ เริ่มแตกเนื้อสาวมากขึ้นทุกวัน หนำซ้ำนิสัยของน้องยังหัวอ่อนกว่าฉันมาก กลัวเหลือเกินว่าจะถูกใครมารังแกได้โดยง่าย
“ดุน้องอีกแล้ว” ใบหน้าเนียนใสเกลี้ยงเกลาเริ่มงอง้ำ กระนั้นก็ดูออกว่าอีกฝ่ายไม่ได้งอนเป็นจริงเป็นจัง
“เพราะพี่เป็นห่วงหรอกถึงพูดแบบนี้” ริมฝีปากบางขยับพูดอธิบาย ขณะที่สายตาก็กวาดมองหาใครอีกคน “แม่ล่ะ”
“เข้านอนแล้ว”
“แม่ไม่สบายเหรอ” ปกติแม่จะรอฉันกลับมาแทบทุกครั้งทว่าวันนี้กลับผิดแผกไป ฉันเอ่ยถามตามที่คาดเดา และการที่น้องสาวพยักหน้ารับหงึกหงักถือว่าเป็นคำตอบที่ชัดเจน
“เดี๋ยวหนูเอาไปแกะให้” มือบางยื่นมาคว้าถุงหิ้วที่ฉันถืออยู่ ปล่อยให้น้องจัดการ ส่วนตัวเองก็เดินขึ้นไปยังห้องนอนของผู้เป็นแม่
ผลักบานประตูให้เปิดแง้มแผ่วเบา แล้วแทรกกายเข้าไปยืนภายในห้องที่มืดสนิท แสงไฟจากด้านนอกสาดส่องเข้ามาเพียงเล็กน้อย กระนั้นก็ทำให้เห็นว่าผู้เป็นแม่นอนอยู่ตรงไหน ฉันทรุดตัวนั่งลงที่ข้างฟูกนอน มือเอื้อมไปแตะผิวกายของร่างผอมบางที่นอนอยู่อย่างเบามือ
“กลับมาแล้วเหรอดีใจ” เสียงแหบแห้งเอ่ยทัก พานทำให้ฉันชะงักมือ
ตัวของแม่ไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ จึงยากที่จะคาดเดาว่าแม่เป็นอะไรกันแน่
“ไปหาหมอมั้ยแม่” ทางเดียวที่จะช่วยยืนยันอาการได้แน่ชัดก็คือไปให้คุณหมอตรวจร่างกายอย่างละเอียด
ฉันไม่ได้วิตกกังวลไปเอง แต่แค่อยากมั่นใจเท่านั้น ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแม่และน้องสาว ต่อให้เป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ฉันก็ล้วนใส่ใจทั้งนั้น
“แม่ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่ปวดหัวเฉยๆ” น้ำเสียงของแม่ดูอ่อนแรงเสียเหลือเกิน จะให้ฉันเชื่อจริงๆ เหรอว่าไม่เป็นอะไรมาก “แล้วนี่หนูกินข้าวหรือยัง”
“เดี๋ยวหนูลงไปกินกับน้อง แม่ล่ะกินข้าวกินยาหรือยัง”
“ที่รักหาให้แม่กินตั้งแต่หัวค่ำแล้ว หนูลงไปกินข้าวเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ถ้าปวดหัวหนักมากก็เรียกหนูนะ” ไม่วายพูดทิ้งท้ายด้วยความเป็นห่วง
เมื่อเห็นว่าแม่พยักหน้าตอบรับฉันจึงหยัดตัวลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกมาจากห้องโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูไว้ให้ด้วย
“เดี๋ยวนี้แม่ปวดหัวค่อนข้างบ่อย” ประโยคบอกเล่าจากปากผู้เป็นน้องส่งผลให้หัวคิ้วของฉันขมวดเข้าหากัน
ด้วยความที่ไม่ค่อยได้ใช้เวลาอยู่กับแม่แบบใกล้ชิดจึงไม่รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แถมที่รักยังไม่เคยพูดให้ฉันฟัง คงถูกแม่สั่งห้ามอีกตามเคย
“แม่ไปหาหมอบ้างหรือยัง” สิ่งที่ได้รับรู้พานทำให้ฉันเกิดความรู้สึกไม่อยากอาหาร แม้ว่าช่องท้องจะประท้วงด้วยการปวดเป็นพักๆ
ปกติแล้วฉันมักจะทานข้าวไม่ตรงเวลา เนื่องจากมีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบมากมาย สิ่งที่เป็นตอนนี้คงไม่แคล้วอาการของโรคกระเพาะ ขนาดอาหารถูกจัดวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าแท้ๆ แต่ใจก็ไม่อยากลงมือทาน
“พี่ก็รู้ว่าต่อให้พูดหว่านล้อมยังไงแม่ก็ไม่ยอมไป” จริงอย่างที่น้องพูดมา แม่ฉันน่ะดื้อจะตายไป ห่วงแต่กลัวว่าลูกจะเสียเงินค่ารักษาพยาบาลไม่เป็นห่วงตัวเองบ้างเลย
“เดี๋ยววันหยุดพี่จะพาแม่ไปเอง ทานข้าวเถอะ” ฉันสรุปเสร็จสรรพ ที่รักคงหิ้วท้องรอนานมากแล้ว ต่อให้ไม่คิดอยากก็ไม่ควรที่จะทำให้น้องต้องเครียดตามไปด้วย...
แสงแดดที่สาดส่องเข้ามาผ่านทางช่องหน้าต่าง กระทบลงเปลือกตาที่กำลังหลับพริ้ม ทันทีที่เสียงนาฬิกาปลุกดังแทรกเข้ามาในโสตประสาท ฉันจึงค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นนั่ง พร้อมขยับตัวบิดไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยขบ
มือเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ เพื่อกดปิดเสียงแจ้งเตือนที่ดังกังวานไปทั่วทั้งห้อง แม้เมื่อคืนนี้จะนั่งทำงานที่อาจารย์มอบหมายจนดึกดื่น ทว่าหากมีเรียนตอนช่วงเช้ายังไงฉันก็ต้องตื่นให้ทันอยู่ดี
ขาดไม่ได้หรอก ฉันเพิ่งยื่นเรื่องขอทุนการศึกษาไป ดังนั้นควรประพฤติตัวให้ดี
ทันทีที่ทำอะไรเรียบร้อย สองเท้าจึงค่อยๆ ย่างก้าวลงบันไดไปยังด้านล่าง แล้วพบว่าน้องสาวกำลังเตรียมตัวไปเรียนเหมือนกัน
“พี่ดีใจ หนูขอเงินไปโรงเรียนหน่อย” มือเล็กง้างแบอยู่ตรงหน้า ฉันล้วงหยิบแบงก์ร้อยออกมาจากกระเป๋า และวางลงบนใจกลางฝ่ามือของผู้เป็นน้อง
“เลิกแล้วรีบกลับมาดูแม่ด้วยนะ”
“รับทราบค่ะ” คนตัวเล็กรับคำเสียงใส ฉันจึงยื่นมือไปขยี้ผมน้องเบาๆ
“พี่ไปเรียนก่อนนะ” ล่ำลาที่รักเพียงไม่กี่ประโยค ก่อนจะเดินออกมาจากบ้าน...
ฉันยังคงเลือกใช้รถเมล์สาธารณะในการเดินทางไปเรียน แม้ว่าแถวมหา’ลัยจะมีสถานีรถไฟฟ้า ทว่าก็ไม่อยากเสียเงินไปกับค่าโดยสารที่นับวันยิ่งแพงมากขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยความที่มาเร็วกว่าเพื่อนสนิทอย่าง ‘เรย์วี่’ ฉันจึงต้องเดินเข้าไปในห้องเพื่อจับจองหาที่นั่งระหว่างรอเธอมา ผ่านไปไม่นานนักศึกษาคนอื่นๆ ก็เริ่มทยอยเดินเข้าห้องมาเรื่อยๆ ไม่เว้นแม้แต่เรย์วี่เอง ร่างบางส่งยิ้มกว้างแต่ไกล ก่อนจะเดินมาทรุดกายนั่งลงยังเก้าอี้ด้านข้าง
“ดีใจ คือฉันมีเรื่องอยากจะให้เธอช่วยหน่อยน่ะ”
“ได้สิ ว่ามาเลย” ฉันตอบรับทันที แม้ยังไม่รู้รายละเอียดเรื่องที่เพื่อนจะไหว้วานก็ตามแต่
“เพื่อนอาเจย์รถคว่ำ ตอนนี้เขาพักฟื้นอยู่ที่บ้านแล้ว ดีใจช่วยไปดูแลให้หน่อยได้มั้ย”
“ถ้าเป็นเรื่องนี้ฉันคิดว่า...ไม่สะดวกเท่าไหร่ เพราะฉันต้องไปทำงานพาร์ทไทม์” สารภาพตามตรงเลยว่าเวลานี้ฉันกำลังลำบากใจเป็นอย่างมาก ไม่คาดคิดว่านี่คือเรื่องที่เพื่อนอยากไหว้วาน “แต่ถ้าให้ดูแลไม่กี่ชั่วโมงก็ได้อยู่นะ”
นึกๆ ดูแล้วกว่าจะได้เวลาเข้างานที่ร้านอาหาร ฉันพอมีชั่วโมงเหลืออยู่บ้างนิดหน่อย
“ลาออกจากที่นั่นและมาดูแลเพื่อนอาเจย์อย่างเดียวได้หรือเปล่า ฉันคุยเรื่องค่าจ้างให้แล้ว ได้เดือนละสามหมื่นเลยนะ”
“สามหมื่น!!” รีบตะครุบปากตัวเองอย่างไว เมื่อเผลอพูดเสียงดังออกไปแบบนั้น จนเป็นเหตุทำให้นักศึกษาร่วมคลาสหันมามอง “สะ...สามหมื่นเลยเหรอ”
ตั้งแต่ทำงานมาฉันยังไม่เคยจับเงินมากกว่าหมื่นห้าเลยด้วยซ้ำ แถมเหนื่อยจนแทบรากเลือดกว่าจะได้แต่ละบาท
“ใช่ ถ้าดีใจตกลงปิดเทอมนี้ก็ไปทำได้เลย”
อันที่จริงอีกไม่กี่วันจะสอบไฟนอลแล้ว หลังจากนั้นฉันก็ปิดเทอมยาวๆ นี่ถือว่าเป็นโอกาสเหมาะที่จะหารายได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องมาพะวงหน้าพะวงหลังกับเรื่องเรียน
“แล้วต้องดูแลเขากี่เดือนเหรอ”
“จนกว่าอาซานจะหายดี ฉันคิดว่าคงเดือนนิดๆ ถ้าจบงานนี้เดี๋ยวฉันหางานอื่นเตรียมไว้ให้ ดีใจจะได้ไม่ต้องกลับไปทำที่ร้านอาหารนั่นอีก” เรย์วี่อธิบายออกมายาวเหยียด พร้อมตบท้ายด้วยการหยิบยื่นโอกาสดีๆ ให้แก่ฉัน
“ขอบคุณมากนะเรย์วี่” มือบางวางทาบทับลงบนหลังมือของร่างบางข้างกายด้วยความซาบซึ้งใจ ทั้งชีวิตไม่เคยมีใครหยิบยื่นโอกาสดีๆ ให้แก่ฉัน ที่ผ่านมาทุกอย่างล้วนไขว่คว้าด้วยตัวเองทั้งนั้น “ฉันตกลงที่จะทำ”
หารู้ไม่ว่า การที่ยอมตกปากรับคำทำงานนี้ จะทำให้ชีวิตของฉันเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล และไม่คาดคิดด้วยซ้ำว่ากำลังจุดชนวนแผดเผาหัวใจตนเองให้มอดไหม้กับมือ
มันค่อยๆ แหลกสลายทีละนิดกระทั่งเหลือเพียงแค่ฝุ่นธุลีโดยไม่รู้ตัว ‘ปากบอกว่าอย่าเล่นกับไฟ แต่ใจก็ดันริอาจฝ่าฝืน’...
ยามใดที่ได้กลิ่นหอมของเธอ นิสัยของผมจะกลับกลายเป็นอีกคน... ทั้งชีวิตที่เกิดมา ไม่เคยมีใครแสดงท่าทีรังเกียจฉันได้มากเท่าเขาอีกแล้ว… “คุณมีปัญหาอะไรกับฉันหรือเปล่าคะคุณแซ้งค์” “ใครจะกล้ามีปัญหากับลูกสาวเจ้าพ่ออย่างคุณเอวาได้ล่ะครับ” “ก็คุณไงคะ” .......................................................................................... ฉันต้องรู้สึกยังไงที่จู่ ๆ ก็มีคนบางคนชอบแสดงท่าทีเหมือนรังเกียจ ทุกครั้งที่พยายามเข้าใกล้ เขาก็จะถอยห่าง มองจากดาวอังคารยังรู้ ว่า ‘คุณแซ้งค์’ กำลังไม่ชอบขี้หน้าฉันอย่างแรง แต่บอกไว้ก่อน เราไม่เคยมีเรื่องกัน แล้วทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ไปได้ “บอกเหตุผลมาหน่อยได้มั้ยคะ ว่าทำไมถึงทำเหมือนไม่ชอบฉันนัก” “ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่ผมแค่ไม่อยากอยู่ใกล้คุณ” “แล้วมันทำไม?” “ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง” หลังจากได้รับคำตอบ ฉันก็ไม่เคยเข้าใจในความหมายนั้น กระทั่งคืนหนึ่งได้เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น ซึ่งนี่แหละคือจุดเปลี่ยนความสัมพันธ์ของเราไปตลอดกาล...
ยามใดที่ร่างกายสัมผัสถูกเกสรดอกไม้ นิสัยของผมจะกลับกลายเป็นอีกคน... เพราะความเมามายเป็นเหตุ จึงทำให้ฉันต้องอยู่บนเตียงกับเขาตลอดทั้งค่ำคืนนั้น คิดว่าจะจบ ทว่าเราสองคนกลับหวนมาเจอกันอีกครั้งในวันหนึ่ง “คุณท้องกับผมเหรอ?” “คุณคิดว่าเครื่องตัวเองฟิตสตาร์ทติดง่ายขนาดนั้นเลยเหรอคะ?” .......................................................................................... ชีวิตของฉันซวยมากเลยค่ะคุณกิตติคะ ด้วยความที่เพื่อนงอนกับแฟนก็เลยอยู่ช่วยปลอบใจ พร้อมคอยปรามไม่ให้เพื่อนดื่มแอลกอฮอล์จนเมามายไร้สติ แต่จู่ๆ ก็มีนังตัวดีที่ไหนไม่รู้ส่งคลิปคนรักของฉันซึ่งกำลังนัวเนียกับผู้หญิงคนอื่นมาให้ดู ไป ๆ มา ๆ จึงกลับกลายเป็นว่าเพื่อนต้องปลอบใจฉันแทน อาการเจ็บช้ำหัวใจที่จู่โจมเข้ามากะทันหันโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ส่งผลให้ฉันกระดกเหล้าเข้าปากรัว ๆ แบบไม่หยุดยั้ง ยังค่ะ...เรื่องยังไม่จบที่ตรงนั้น แฟนเพื่อนตามมารับเพื่อนกลับบ้าน แต่ก็ยังมีน้ำใจพาฉันขึ้นไปห้องพัก ทว่า...ห้องนั้นดันไม่ใช่ห้องของฉันนี่สิ "คุณเป็นใคร เข้ามาในห้องของผมได้ยังไง ออกไปเดี๋ยวนี้!" ท่าทางของผู้ชายตรงหน้าที่กำลังเอ่ยปากไล่ฉันดูแปลกตา คล้ายกับกำลังระงับอารมณ์บางอย่าง กระนั้นระดับแอลกอฮอล์ในร่างกายก็ทำให้ฉันไม่อยากสนใจอะไรนอกเสียจากล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้าง "อะไร? จะแปลงร่างเหรอ? ไปเล่นที่อื่นไปหนู พี่จะนอน" ความเมาเป็นเหตุสังเกตได้ ตื่นขึ้นมานั่นแหละถึงได้รู้ ว่าตนเองถูก 'คนแปลกหน้า' พรากความบริสุทธิ์ไปเสียแล้ว...
ผมไม่เคยคิดว่าการที่ไว้หนวดไว้เครา และทำตัวเซอร์ๆ จะทำให้ใครบางคนต้องร้องไห้เพียงเพราะแค่เห็นหน้า "ฮือ...แม่จ๋าหนูกลัวโจร" เด็กผู้หญิงที่ร้องไห้ในวันนั้น คือคนที่ผมต้องสยบจวบจนถึงทุกวันนี้... ........................................................................ ฉันไม่รู้ว่าเริ่มชอบเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าพอได้ชอบฉันก็ไม่สามารถห้ามความรู้สึกของตัวเองได้อีกเลย... วินาทีแรกที่เจอกัน 'เขา' ทำให้ฉันรู้สึกกลัว แต่พอนานวันเข้า เขากลับเป็นคนที่สอนให้ฉันรู้จักคำว่า 'ความรัก' "ถ้าโตขึ้นแล้วมีผู้ชายมาชอบหนู แด๊ดดี้จะทำยังไงคะ?" "ฆ่ามัน" ได้แต่เก็บความสงสัยนั้นเอาไว้ในใจ พอโตมาถึงได้รู้ ว่าฉันจะต้องเป็นของแด๊ดคนเดียวตลอดไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม...
"มาโรงพยาบาลวันนี้ป่วยเป็นอะไรอีกล่ะคะ" "พอดีกินข้าวไม่ค่อยได้น่ะครับ" "หืม? มีอาการอาเจียนด้วยหรือเปล่าคะ หรือว่ายังไง" "เปล่าครับ แค่ไม่มีตังค์" "..." "ถ้าคุณพยาบาลไม่รังเกียจ ผมขอฝากท้องไว้สักมื้อนะครับ" "คุณท้องเหรอคะ?" ........................................................................ "ถ้านายทำร้ายฉัน ฉันจะโทรไปฟ้องพี่" ฉันรู้ว่าคำขู่ของตัวเองมันอาจจะไม่ได้ผล เพราะเขาเป็นผู้ชายที่หน้าด้านหน้าทนยิ่งกว่าปูนซีเมนต์ หมายถึงทนมือทนตีนน่ะนะ "ฟ้องมากๆ ระวังโดนตบด้วยปากและกระชากด้วยลิ้นนะ" นอกจากจะเป็นผู้ชายที่กวนตีนแล้ว ความหื่นของเขาก็มีมากเช่นกัน หมดเรี่ยวแรงไปเท่าไหร่แล้วกับผู้ชายพันธ์นี้...โปรดอยู่ให้ห่างแล้วชีวิตจะปลอดภัย
เคยได้ยินคำว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้หรือเปล่า? และฉันก็ไม่ชอบให้ใครมาหากินในที่ของฉัน แต่ 'มัน' เสือกทำ "ไม่ใช่เด็กถิ่นเช็คอินได้เปล่า" ด้วยความที่โชคชะตามันโหดร้าย จึงทำให้เราสองคน 'ได้' กัน ........................................................................ สิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดก็คือความเจ้าชู้ แต่แล้ววันหนึ่งฉันกลับกลายทำตัวเป็นแบบนั้นซะเอง เหตุการณ์ที่พบเจอมันบีบบังคับให้ฉันต้องร้าย ต้องแรง และ...อยู่ให้เป็น "นี่ไม่ใช่ที่วิ่งเล่นของเด็ก กลับบ้านไปดูดนมนอนไป๊!" วาจาที่พ่นออกมาจากริมฝีปากหนาเป็นอะไรที่ฉันรังเกียจพอๆ กับการเห็นหน้า 'คนพูด' "ก่อนไป ขอเตะปากทีดิ" เท้าของฉันมันกำลังกระตุก เมื่อหูได้ยินอะไรที่ไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ เขาว่ากันว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ เห็นทีว่ามันจะจริง...
"ถ้านายยังทำนิสัยแบบนี้ สักวันนายจะไม่เหลือใคร" ร่างเล็กพูดบอกผมออกมาด้วยแววตานิ่งๆ เธอเป็นผู้หญิงที่สวยและเพรียบพร้อมไปซะทุกอย่าง ถ้าเปรียบเธอเป็นที่สูง ผมก็คงเป็นที่ต่ำ ผมอยากจะไขว่คว้าเธอ แต่มันก็เกินเอื้อม เพราะคนเลวๆ อย่างผมมันไม่มีค่าที่จะคู่ควรกับเธอ "ถ้าฉันเป็นคนดีแล้วเธอจะรักฉันได้มั้ย" ผมลองย้อนถามกลับไป เธอยังคงยืนนิ่งก่อนที่จะเดินออกไปโดยที่ไม่ได้ตอบอะไรผมทั้งนั้น ไม่ว่าผมจะเป็นยังไงสุดท้ายเธอก็ไปอยู่ดี ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว ประโยคนี้มันไม่มีผลอะไรกับชีวิตของผม ไม่ว่าจะทำตัวดีแค่ไหน สุดท้ายก็เหี้ยในสายตาของเธออยู่ดี...
เมื่อเธออายุยี่สิบ ชิงฉือได้รู้ว่าตนเองไม่ใช่ลูกโดยกำเนิดของตระกูลต้วน เธอถูกลูกสาวที่แท้จริงของตระกูลต้วนล้อมกรอบ จนถูกพ่อแม่บุญธรรมไล่ออกจากบ้านและกลายเป็นตัวตลกในเมือง เมื่อเธอกลับไปหาพ่อแม่ชาวนา จากนั้นก็พบว่าบิดาผู้ให้กำเนิดของเธอเป็นคนที่รวยที่สุดในเมืองเจียงเฉิงส่วนพี่ชายของตนเองเป็นอัจฉริยะในแวดวงต่างๆ ทุกคนมองดูเด็กสาวตัวเล็กคนนี้ด้วยความเห็นใจและถือว่าเธอเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ค่อยๆ พบว่า... ที่แท้ว่าน้องสาวเป็นคนมากความสามารถ? อดีตแฟนหนุ่มผู้น่ารังเกียจหัวเราะเยาะ "อย่ามาตามเซ้าซี้ไม่เลิก ฉันมีแต่เมียนเมียนอยู่ในใจ!" คนใหญ่แห่งเมืองหลวงปรากฏตัว "เมียฉันจะเห็นหัวนายเหรอ?"
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
ต่อหน้าทุกคน เธอเป็นเลขานุการส่วนตัวของท่านประธาน โดยส่วนตัวแล้ว เธอเป็นภรรยาของเขา กู้เวยยีรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อเธอทราบว่าตนเองตั้งครรภ์ ทว่าเธอกลับเห็นฟู่จิงเฉินกับรักแรกของเขาสิทสนมกัน... เธอจากไปอย่างเศร้าใจและตัดสินใจที่จะให้พวกเขาสมหวัง ต่อมา เมื่อฟู่จิงเฉินมองดูท้องที่ยื่นออกมาของเธอ และถามอย่างตื่นเต้นว่า "้กู้เวยยี นี่คือลูกของใคร!" เธอตอบอย่างหัวเราะเยาะ "มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย อดีตสามี!"
เดิมทีฟางจินซิ่วมีอวกาศติดตัวได้เปิดคลินิกการแพทย์แผนจีนในยุคปัจจุบันและเจริญรุ่งเรือง ไม่มีการแข่งขันหนัก และทำงานมีวันหยุด เธอใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่แล้วมีวันหนึ่งที่เธอตื่นขึ้นมากลับข้ามมิติกลายเป็นชาวนาที่ฟมู่บ้านยากจน อีกทั้งได้เจอภัยแล้ง จากนั้นก็โดนขาย โชคดีที่ครอบครัวที่ซื้อเธอแตกต่างจากที่เธอจินตนาการไว้ เธอไม่ได้ถูกทารุณกรรม แต่ได้รับการดูแลอย่างดี ในยุคแห่งความขาดแคลนอาหาร และมีภัยแล้ง ฟางจินซิ่วตัดสินใจตอบแทนความเมตตาของครอบครัวนี้ แม่สามีป่วยหนัก? สำหรับปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เธอเก็บสมุนไพรและแช่ในสระศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งรักษาเธอให้หายดีภายในไม่กี่นาที ที่บ้านไม่มีอาหาร? ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เธอไปล่าสัตว์กับครอบครัวและโชคก็เข้าข้างเธอ ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน เหยื่อก็จะตกหลุมพรางเสมอ กินแต่เนื้อสัตว์โดยไม่มีผักหรือ? มันเป็นปัญหาเล็กๆ เทน้ำในสระศักดิ์สิทธิ์เพียงหยดเดียว ก็สามารถปลูกพืชได้ทุกชนิดและกินผักและผลไม้อะไรก็ได้ที่พวกเธอต้องการ ญาติที่อิจฉากำลังมาก่อเรื่องเมื่อเห็นว่าพวกเธอใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย สำหรับปัญหาเล็กน้อยนี้ เธอเรียกผู้ชายที่มีความแข็งแกร่งของเธอมาจัดการพวกเขา อะไร คุณถามว่าสามีของฉันทำไมเชื่อฟังได้ขนาดนี้? จงหวี่เดินเข้ามาด้วยสายตาเร่าร้อน "คุณภรรยา ตราบใดเจ้ายอมอยู่เคียงข้างข้าตลอดชีวิต ถึงเอาชีวิตข้าไปข้าก็ยอม"
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"