เพราะการพบกันครั้งแรกระหว่าง จอมอำมหิตแห่งกู้กงและหวางเย่หลิง ทำให้รองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ต้องการนางเก็บไว่้ใกล้ตัวเพื่อ เหตุผลบางอย่าง และเพื่อสืบเสาะหามารดาผู้ให้กำเนิดจากนาง ครั้นเกิดเหตุการณ์เงินห้าหมื่นตำลึงทองสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย ภายในสำนักคุ่้มกันหวางซื่อของตระกูลหวาง จึงทำให้จอมอำมหิตสบโอกาส หวางเย่หลิง บุตรีเพียงคนเดียวของหวางเจี้ยนเฉิง จะต้องถูกนำส่งเข้าจวน ในฐานะสตรีของอิ๋งชวนโหว เพื่อช่วยทุกชีวิตของตระกูลหวางให้รอดพ้นจาก การถูกประหารชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว
รัชสมัยจักรพรรดิหยงเล่อ
จวนอิ๋งชวนโหว
จวนขนาดพื้นที่มหึมามีเนื้อที่นับร้อยหมู่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงเป่าจิงในย่านเศรษฐกิจสำคัญ ตัวจวนสร้างหันหน้ามองเห็นพระราชวังกู้กงที่เพิ่งจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ได้ไม่นานและมีการเฉลิมฉลองพระราชวังหลวงแห่งใหม่อย่างยิ่งใหญ่ไปทั่วทั้งแผ่นดินเมื่อสามเดือนก่อน จากที่ตั้งของจวนสามารถเห็นพระราชวังอันยิ่งใหญ่นี้ได้อย่างชัดเจน
ในยามนี้ลมกรรโชกแรงกำลังพาดผ่านและพัดพาความหนาวเย็นยะเยือกเข้าหาตัวจวนอยู่เป็นระยะๆ กระแสลมหนาวที่พาดผ่านเข้าสู่เมืองหลวงในยามนี้ บ่งบอกให้ล่วงรู้ว่าอีกไม่นานหิมะแรกของฤดูหนาวกำลังใกล้เข้ามาเยือนทุกขณะ
หากแต่กระแสลมหนาวที่เย็นยะเยือกซึ่งกำลังพาดผ่านไปทั่วเมืองหลวงนั้นกลับไม่ได้ช่วยทำให้ใครบางคนในขณะนี้ผ่อนคลายไปได้เลย ตรงกันข้ามกลับทุรนทุรายจนเหงื่อเม็ดเป้งผุดพรายขึ้นเต็มใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด เมื่อสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้เต็มไปด้วยความอึดอัดและไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายลงแม้แต่น้อย
“ว่าอย่างไงนะ! เจ้าต้องการกู้เงินห้าหมื่นตำลึงทองจากข้าอย่างงั้นเหรอ!!!!”เสียงทุ้มห้าวเอ่ยถามน้ำเสียงเย็นยะเยียบกับชายชราตรงหน้า
บุรุษหนุ่มรูปงามผู้มีบรรดาศักดิ์อยู่ในราชสำนักต้าหมิง ซึ่งได้รับพระราชทานปูนบำเหน็จรางวัลจากจักรพรรดิหยงเล่อ ในฐานะที่สามารถนำกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรล้างบางกลุ่มกบฏที่ต้องการล้มล้างราชบัลลังก์ขององค์พระจักรพรรดิได้เป็นผลสำเร็จ อิ๋งชวนโหวบรรดาศักดิ์ของรองผู้บัญชาการหน่วยองค์รักษ์เสื้อแพรผู้มีนามว่าจางหยุนฟ่าน ท่านโหววัยหนุ่มแน่น อายุ 25 ปี ซึ่งมีมารดาที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นหญิงงามที่สุดของเมืองลั่วหยาง
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ท่านโหวหนุ่มเป็นบุรุษรูปงามยิ่งนัก เป็นชายในฝันที่บรรดาสตรีเพศทั้งหลาย ที่อยู่ในแวดวงสังคมชนชั้นสูงตั้งแต่ระดับเชื้อพระวงศ์จนไปถึงชนชั้นขุนนางและคหบดีผู้มั่งคั่งต่างหมายปองอิ๋งชวนโหวกันทั้งสิ้น แต่ใครเล่าจะล่วงรู้ว่าภายใต้ใบหน้าอันหล่อเหลานี้กลับเย็นชาและเลือดเย็นเต็มไปด้วยความอำมหิตอย่างยิ่งยวด นอกจากจะเป็นขุนนางระดับสูงและมีบรรดาศักดิ์ขั้นโหวแล้ว
จางหยุนฟ่านยังมีฐานะมั่งคั่งเต็มไปด้วยทรัพย์สินมากมายที่ตกทอดมาจากตระกูลสวี่ของจางเล่าฮูหยินซึ่งเป็นท่านย่าแท้ๆ ของอิ๋งชวนโหว มีหอฟางหรงจำหน่ายเครื่องหอมของสตรีและบุรุษซึ่งมีชื่อเสียงมากที่สุดในแผ่นดินต้าหมิง
นอกจากนี้ยังมีหอลู่เสียนสถานที่จำหน่ายเครื่องประดับหยกสูงค่าและอัญมณีมากมายที่มีขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงมากเหนือกว่าหออื่นใดในแผ่นดินต้าหมิงเช่นเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นท่านโหวที่นอกจากจะสูงศักดิ์แล้วยังมีฐานะมั่งคั่งเป็นยิ่งนัก และเพราะความมั่งคั่งของอิ๋งชวนโหวจึงทำให้ตระกูลชั้นสูงต่างหมายปองหวังจะได้ร่วมเป็นทองแผ่นเดียวกัน หากแต่สมญานามอันเลื่องลือของโหวหนุ่ม กลับทำให้น่าประหวั่นพรั่นพรึงเป็นยิ่งนัก จอมอำมหิตแห่งกู้กง สมญานามที่บ่งบอกตัวตนโหวหนุ่มรูปงามผู้นี้เป็นอย่างดี เลื่องลือไปทั่วหล้า
นอกจากสมญานามที่ได้รับแล้ว อิ๋งชวนโหวยังเจนจัดในการทำการค้าควบคู่ไปด้วยกันอีกด้วย เป็นการยากยิ่งนักที่จะมีพ่อค้าวาณิชผู้ใดย้อมแมวหรือแต่งเรื่องเพื่อหาประโยชน์ ด้วยความมั่งคั่งของอิ๋งชวนโหวที่ขึ้นชื่อดังกล่าว
จึงมักให้ความช่วยเหลือกลุ่มพ่อค้าวาณิชที่ต้องการเงินทุนทำการค้าเพื่อขยับขยายกิจการ หากแต่ไม่ใช่เสียทุกคนไปที่จะได้รับโอกาส เพราะอิ๋งชวนโหวไม่ได้ทำการค้าปล่อยเงินกู้ หากแต่ช่วยเหลือเท่าที่จำเป็นจริงๆ และต้องก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน แม้นไม่มีผลประโยชน์ร่วมแล้วไซร้มีหรือที่คนอย่างเช่นอิ๋งชวนโหวจะยอมเสียเวลาแลกเปลี่ยนหรือแม้กระทั่งเสียเวลาเพื่อสนทนากับอีกฝ่าย
ดวงตาสีสนิมเหล็กยาวรี หรี่ตามองชายสูงวัยที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าในเวลานี้ บุรุษผู้อ่อนวัยกว่านั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ที่ถูกแกะสลักลวดลายอย่างวิจิตรงดงาม มือที่กำลังใช้ผ้าเช็ดดาบซิ่วชุนคู่กายอยู่ในเวลานั้น ยังคงทำหน้าที่ต่อไปอย่างเชื่องช้าราวกับว่าหากอีกฝ่ายพูดไม่ถูกหู ดูท่าคงต้องได้ถูกเชือดคอตายหรือต้องถูกสังหารภายใต้คมดาบดังกล่าวเป็นแม่นมั่น
ดวงตาคมกล้าจับจ้องแขกผู้มาเยือนที่พอจะได้เห็นหน้าค่าตาในแวดวงสังคมในฐานะเจ้าของสำนักคุ้มกันที่มีชื่อเสียงมากที่สุด และยังเป็นเจ้าของสำนักการสังคีตที่ขึ้นชื่อลือชาของเมืองหลวงอยู่ในเวลานี้ ซึ่งล้วนเป็นกิจการของตระกูลหวางทั้งหมด
หากแต่วันนี้ไม่เหมือนเช่นดั่งทุกครั้งที่เขาพบเจอ เพราะทั้งแววตาและสีหน้าไร้ทางออกของชายแก่ตรงหน้าที่มาพูดขอความช่วยเหลือเรื่องเงินกู้หวังจะนำเอาไปช่วยกิจการของตนซึ่งกำลังจะล้มอย่างไม่เป็นท่า ใครเล่าจะหน้าโง่ให้เงินก้อนโต เพราะถึงให้ไปก็คงจะเปล่าประโยชน์เกินเยียวยามิหนำซ้ำเงินของท่านโหวหนุ่มอาจจะกลายเป็นหนี้สูญก็ได้
“ใต้เท้าช่วยพิจารณาเรื่องเงินกู้ของข้าน้อยด้วยเถอะขอรับ อันตัวข้าแบกหนักหน้าไปขอกู้เงินกับมิตรสหายและญาติมิตรวงศ์วาน รวมไปถึงสำนักแลกเปลี่ยนเงินตรามาแทบจะทุกที่ แต่ไม่มีที่ไหนสามารถให้ข้าน้อยกู้เงินจำนวนนี้ได้ และใต้เท้าคือความหวังสุดท้ายของข้าน้อยแล้วขอรับ แม้จะรู้ว่าโอกาสที่จะเป็นไปได้น้อยมากแต่ก็จะอยากขอโอกาสจากท่านได้โปรดเมตตาตระกูลหวางของข้าด้วยเถิด เพื่อรักษาทุกชีวิตของตระกูลหวางให้อยู่รอดต่อไป ”
“จวนของข้าไม่ได้เปิดเป็นโรงทานให้กับผู้ใด จู่ๆ จะมาขอกู้เงินห้าหมื่นตำลึงทอง เงินมากมายเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แม้แต่น้อย”โหวหนุ่มพูดพลางเหลือบสายตามองสิ่งที่นำมาเป็นหลักประกันในการขอกู้เงินครั้งนี้ ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า
“หลักประกันมีเพียงแค่สำนักคุ้มกันและจวนตระกูลหวาง กับตั๋วเงินของราชสำนักที่ยังไม่ถึงกำหนดการขึ้นเงินอีกสามหมื่นตำลึงทอง เพียงเท่านี้ยังไม่พอหรอกนะที่จะนำมาเป็นหลักประกันในการขอกู้เงินจากข้า มันไม่ได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิดเอาไว้หรอกนะหวางเจี้ยนเฉิง ดูท่าเจ้าและทุกชีวิตของผู้คนภายในตระกูลหวางยากยิ่งนักที่จะหลีกเลี่ยงหายนะในครั้งนี้ได้ กลับไปเสียเถอะ!!!...ข้าช่วยเจ้าไม่ได้!!!” น้ำเสียงดุดันกล่าวตัดปัญหา
“ได้โปรดให้โอกาสข้าน้อยสักครั้งด้วยเถิดขอรับใต้เท้า” ชายชราพยายามอ้อนวอนเพราะนี่เป็นความหวังเดียวสุดท้ายของเขาแล้ว พลางคิดถึงใบหน้าของบุตรีเพียงคนเดียวขึ้นมา ด้วยเป็นห่วงในชีวิตของนางเป็นยิ่งนัก
บุตรีเพียงคนเดียวที่กำลังอยู่ในวัยออกเรือน แทนที่จะได้เตรียมตัวแต่งงานออกเรือนไปกับบุรุษชั้นสูงที่มีฐานะทางสังคมเสมอกัน นางกลับต้องมาตรากตรำออกไปทำงานแทนบิดาอยู่ภายในสำนักการสังคีต ซึ่งเป็นกิจการของตระกูลหวาง
นางทำหน้าที่เป็นเจ้าหอคอยดูแลความเรียบร้อย รวมไปถึงยังต้องทำหน้าที่บรรเลงเพลงพิณและใช้เสียงร้องของนางขับกล่อมแขกที่มาเยือนสถานที่ดังกล่าว เพื่อลดค่าใช้จ่ายของนางรำและนักดนตรีที่จะได้รับจากสำนักการสังคีตของตระกูลหวาง ทั้งนี้เพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายที่ตระกูลหวางจะต้องแบกรับอย่างหนักอึ้ง
ด้วยเพราะในเวลานี้หวางเจี้ยนเฉิงระดมหากู้เงินและขายของมีค่าทุกอย่างภายในจวนออกไปจนหมดสิ้นเพื่อรวบรวมนำเงินมาสมทบส่งคืนให้กับทางราชสำนักที่สูญหายไปจากสำนักคุ้มกันของตระกูลหวาง หัวใจของคนเป็นพ่อมิอาจทำใจเห็นบุตรีของตัวเองต้องลำบากออกไปทำงานเช่นนั้นได้
นางควรจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้และจะต้องไม่จบชีวิตลงด้วยโทษประหารทั้งตระกูลที่กำลังเผชิญ หากยังไม่สามารถนำเงินห้าหมื่นตำลึงทองที่ได้รับมาจากโรงหล่อผลิตเงินตราส่งมอบให้กับท้องพระคลังหลวง ซึ่งสำนักคุ้มกันของตระกูลหวางมีหน้าที่คุ้มกันเงินห้าหมื่นตำลึงทองนี้ส่งมอบให้กับท้องพระคลัง
“เจ้าจงกลับไปเสียเถอะ อย่าให้ข้าต้องพูดอะไรซ้ำซากอยู่ร่ำไป เสียเวลาเปล่าอย่าให้ข้าต้องให้เหล่าองครักษ์เสื้อแพรลากเจ้าออกไปจากจวน” โหวหนุ่มพูดพลางแสยะยิ้มยะเยือกจนอีกฝ่ายถึงกับต้องหลบสายตา
“หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ทำไมตระกูลหวางต้องมาจบสิ้นที่รุ่นของข้าด้วยเล่า” หวางเจี้ยนเฉิงคิดในใจพลางถอนหายใจออกมาอย่างหมดอาลัยตายยาก
ในที่สุดนอกจากสำนักคุ้มกันของตระกูลหวางจะต้องปิดตัวลงเพราะทำเงินของราชสำนักสูญหายไปทั้งที่อยู่ภายในสำนักคุ้มกันของตัวเอง มิหนำซ้ำยังต้องมีโทษตายล้างตระกูลตามติดมาด้วย สวรรค์เบื้องบนเหตุใดจึงลิขิตโชคชะตาให้เป็นเช่นนี้ หัวขโมยตัวจริงยังคงลอยนวล ในขณะผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบกลับต้องมาเผชิญกับหายนะอันน่ากลัวที่กำลังเกิดขึ้นในครั้งนี้แทน
หวางเจี้ยนเฉิงลุกขึ้นยืนด้วยความท้อแท้อย่างหมดอาลัยตายอยากในชีวิตเป็นที่สุด พลางหันหลังก้าวเดินออกไปจากห้องหนังสือของอิ๋งชวนโหว ก่อนจะมีร่างสูงโปร่งขององครักษ์เสื้อแพรสวมอาภรณ์สีน้ำเงินบ่งบอกลำดับขั้นสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนเดินสวนเข้าไปภายในห้องหนังสือดังกล่าว
และทันทีที่องครักษ์ผู้นั้นก้าวเข้ามาภายในห้องหนังสือ ร่างสูงดังกล่าวเดินตรงดิ่งเข้าไปหาท่านโหวหนุ่ม ซึ่งเป็นรองผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพร และเป็นผู้บังคับบัญชาของตนด้วยเช่นกัน
“ใต้เท้า...สายข่าวที่ส่งให้ไปสืบรายงานกลับมาแล้วขอรับ”เสียงดังกล่าวเอ่ยรายงานขึ้นทันใดครั้นมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าอิ๋งชวนโหว ที่กำลังจับจ้องร่างตรงหน้าอยู่ในเวลานี้
“มีอะไรก็รีบว่ามา”เสียงตอบรับห้วนสั้นบ่งบอกอารมณ์ท่านโหวได้เป็นอย่างดี
“สายข่าวสืบค้นหาได้ทุกอย่างที่ต้องการล่วงรู้จนหมดสิ้นแล้วพร้อมส่งรายงานมาให้ใต้เท้า ทุกอย่างล้วนปรากฏอยู่ในสาสน์นี้เรียบร้อยแล้วขอรับ”องครักษ์เสื้อแพรคนดังกล่าวพูดพลางล้วงเข้าไปภายในอกเสื้อเครื่องแบบก่อนจะดึงสาสน์ลับดังกล่าวออกมายื่นส่งให้
“ดีมาก! ได้ข่าวรวดเร็วทันใจดี”ท่านโหวหนุ่มกล่าวอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเอื้อมมือรับสาสน์ลับดังกล่าวมาจากมือขององครักษ์เสื้อแพรซึ่งเป็นคนสนิท พลางดึงกระดาษที่อยู่ในซองจดหมายคลี่สาสน์ลับที่สายข่าวรายงานกลับมานำออกมาอ่านอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่ได้อ่านสาสน์ลับดังกล่าว ดวงตาสีนิลคมกล้าคู่สวยแปรเปลี่ยนไปโดยพลันพร้อมเหลือบสายตามองตามหลังร่างของหวางเจี้ยนเฉิงที่เดินออกจากประตูห้องหนังสือไปแล้ว หากแต่ความคิดบางอย่างพลันผุดพรายขึ้นมาทันที
“เดี๋ยว!”
ตำหนักไร้รัก สถานที่พำนักของอุปราชหนุ่มแห่งเทียนจิน เจ้าของตำหนักนี้ หัวใจเต็มไปด้วยความด้านชามาแทบทุกพระองค์ แต่แล้ววันหนึ่ง คุณหมอสาวแสนสวย นามว่าจ้าวย่าเจินได้รับของขวัญ ย้ายเข้าบ้านใหม่เป็นภาพวาดตำหนักโบราณ มีชื่อว่าตำหนักเย่วเชียง ในภาพนั้นมีผู้ชายยืนเอามือไพล่หลังไม่เห็นหน้า เฝ้ามองตำหนักฝั่งตรงกันข้าม และที่น่าประหลาดผู้ชายในภาพวาดจะโตขึ้นทุกวัน จวบจนกระทั่ง คุณหมอคนสวยถูกดึงเข้าไปในภาพวาดตำหนักโบราณดังกล่าวและได้พบกับ เจ้าของตำหนักไร้รัก ซึ่งเขาก็คืออุปราชแห่งเทียนจินและเป็นผู้ชายคนเดียวกัน ที่อยู่ในภาพวาดที่หญิงสาวเห็นเขาอยู่ทุกค่ำคืน ตำหนักไร้รักเมื่อไร้หัวใจ ตำหนักไร้กังวลเมื่อหัวใจกลับมามีรักอีกครั้ง
คำโปรย การกลับมาแก้ไขเหตุการณ์ในอดีตครั้งนี้ ทำให้นางมารใจโฉดกลับกลายเป็นคนดี แต่กลับมีเหตุการณ์ที่ทำให้ ถานหยี่เหยียนซึ่งผสานจิตใจกับร่างในปัจจุุบัน จนสงบกลับปะทุขึ้นมาอีกครั้ง และกลับมาทำลายล้างทุกอย่างจนวอดวาย เอลิซาเบธ ลีหรือหยางลี่จู บินกลับประเทศจีนเป็นครั้งแรกในชีวิตและถูกดวงตาสวรรค์ที่มีวาสนาผูกพันกันนำนางหวนคืนกลับตระกูลถาน ซึ่งเป็นชาติอดีตของตัวเองเพื่อกลับมาแก้ไขเหตุการณ์ในอดีตตามที่เคยอ้อนวอนต่อสวรรค์เบื้องบน ดวงตาสวรรค์นำนางกลับมาในชาติที่เกิดเป็นสตรีที่แสนจะร้ายกาจที่สุดในตระกูลถาน และนางก็คือนางมารชื่อกระฉ่อน ถานหยี่เหยียน คุณหนูใจโฉดที่เต็มไปด้วยความอำมหิต สนใจแต่ตัวเองไม่เคยใส่ใจผู้ใดและต้องได้ทุกอย่างที่นางต้องการ จนเป็นต้นเหตุทำให้ตระกูลถานถูกประหารล้างตระกูล และการคัดเลือกพระชายาของอดีตฉู่อ๋องเพื่อเลือกเฟ้นให้กับพระอนุชา เป็นที่มาของการประหารล้างตระกูลถานในอดีต แต่การกลับมาอีกครั้งของถานหยี่เหยียน ซึ่งเป็นร่างในยุคปัจจุบันทำให้ร่างในอดีตและปัจจุบันหลอมรวมเป็นร่างเดียวกันและนางก็คือนางในฝันของบุรุษหน้าหยกผู้เลื่องลือ สตรีใจโฉดผู้เคยเป็นอนุชายาของชินอ๋องรูปงามก่อนที่จะกลับมาแก้ไขเปลี่ยนแปลง
อุปราชปีศาจ สมญานามนี้เลื่องลือไปทั่วหล้า อุปราชเฟิงหลง ผู้ก่อตั้งแผ่นดินเป่ยถังจนเป็นปึกแผ่นเป็นหนึ่งเดียว วิชาอมตะทำให้มีชีวิตเป็นนิรันดร์ และมีญาณหยั่งรู้ล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าและหูทิพย์ หากแม้นผู้ใดเข้ามาใกล้พระวรกายน้อยกว่ารัศมีสิบฉื่อ ร่างจะต้องสลายกลายเป็นเถ้าธุลีขาวไปทันที อุปราชในตำนานประทับอยู่ในพระตำหนักลืมเลือนมานานกว่า 329 ปีนับตั้งแต่สถาปนาแคว้น จวบจนกระทั่งองค์หญิงเย่วเพ่ยเพ่ย จากแคว้นเย่วปรากฎกาย นางเป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถเข้าใกล้และสัมผัสพระองค์ได้ และนางคือสตรีที่ผูกพันกับพระองค์นับตั้งแต่พานพบกันตั้งแต่ครั้งแรก แรงรักแรงพิศวาสเริ่มก่อตัวขึ้นภายในตำหนักลืมเลือน ก่อนจะถึกปิดตายหายไปอย่างไร้ร่องรอยเพื่อรอคอยนางหวนคืนกลับมาอีกครั้ง กลับมาเพื่อครองรักกับอุปราชปีศาจอีกครั้งตามสัญญาที่มีไว้ให้ต่อกัน ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานนับพันปีก็ตาม
ตงฟางลี่หยาง แม่ทัพหนุ่มแห่งแคว้นเทียนหยวน หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความด้านชาและเต็มไปด้วยความแค้น ที่ฝังแน่นอยู่ภายในใจที่รอวันชำระแค้นกับอดีตสหายเก่า หากแต่หัวใจที่เต็มไปด้วยความด้านชา กลับปรากฏหมอหญิงจากสกุลหลิง ผู้มาจากยุคปัจจุบัน ผุดขึ้นอยู่ภายในหัวใจ หยกบุบผานำเธอให้มาพบกับแม่ทัพจอมโหด และหลิงลี่ย่านางคือสตรีที่แม่ทัพหนุ่มต้องตามจับเธอ !!!
หวังฉิงชวน สาวสวยจากศตวรรษที่ 21 นักศึกษาคณะศิลปะการแสดงและการละคร ซึ่งจะต้องเขียนบทละครแนวพีเรียดย้อนยุคเพื่อผลิตซีรีย์เรื่องยาว 40 ตอนจบ และยังเป็นผลงานภาคบังคับที่นักศึกษาทุกคนจะต้องทำบทละครเพื่อขออนุมัติจบการศึกษา หญิงสาวจึงนำเกร็ดประวัติของท่านหญิงธิดาลูกเจ้าเมือง จากยุคจ้านกว๋อ มาเขียนบทละคร ทว่าประวัติของท่านหญิงผู้นั้นเป็นของปลอมที่ถูกทำขึ้นในยุคนั้น เป็นเหตุให้หวังฉิงชวนเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นกับชีวิต เมื่อเธอเกิดหัวใจวายกะทันหัน ครั้นฟื้นขึ้นมาอีกครั้งดวงวิญญาณของเธอกลับอยู่ในร่างของท่านหญิงหยางเฉียนเฉียน ธิดาเจ้าเมืองอูเจี๋ยนผู้วายชนม์ เธอถูกกลับมาในเหตุการณ์ของท่านหญิงที่นำประวัติของนางมาทำเป็นบทละคร เพื่อล่วงรู้เหตุการณ์จริงในอดีตที่เกิดขึ้น และเธอกลับมาเพื่อผูกวาสนากับจอมโจรเยี่ยคัง ซึ่งมีอดีตเป็นถึงองค์ชายเฉินคัง องค์ชายห้าแคว้นหมิ่นเย่ว วาสนาผูกพันลึกซึ้งเกิดขึ้นกับคนทั้งสอง และสัญญารักมั่นจากหัวใจที่พี่คังมีต่อเฉียนเฉียน นำหวังฉิงชวนให้หวนกลับคืนสู่อ้อมกอด องค์ชายเฉินคังแห่งแคว้นหมิ่นเย่วอีกครั้งเพื่อครองคู่ไปชั่วนิจนิรันดร์
ว่านฉีฉี ลูกสาวเจ้าพ่อจากเมืองเซี่ยงไฮ้ถูกส่งตัวไปเมืองปักกิ่ง เพื่อความปลอดภัยจึงต้องแยกจากพ่อของเธอ ซึ่งเป็นเจ้าพ่อผู้มีอิทธิพลครองเมือง หญิงสาวเข้าเรียนสถาบันที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองปักกิ่ง และสถานที่แห่งนั้นทำให้เธอ ถูกนำกลับไปเมืองหลวงจี้ แห่งเมืองต้าเยียน ซึ่งกำลังถูกฆ่าล้างเมืองอยู่ในเวลานั้น หลี่เหวินฉาง แม่ทัพผู้โหดเหี้ยมและอำมหิตผิดมนุษย์ ได้พบกับว่านฉีฉี ในวันคือพระจันทร์สีเลือด แม่ทัพหนุ่มนำลูกสาวเจ้าพ่อในยุคอนาคตมาเป็นสตรีบำเรอ โดยไม่รู้ว่าเธอมีพลังปีศาจของนางพญามาร และเขาคือแม่ทัพปีศาจแห่งเฉียนฉิน
ในสายตาของเขา เธอเป็นคนขี้โกหก ในสายตาของเธอ เขาเป็นคนไร้หัวใจ เดิมทีถังหว่านคิดว่าเธอคือคนพิเศษหลังจากอยู่กับเสิ่นติงหลานมาสองปี แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นที่สามารถทิ้งได้อย่างตามใจเมื่อไม่มีค่าอีกต่อไป จนกระทั่งถังหว่านเห็นว่าเสิ่นติงหลานพาคนรักของเขาไปตรวจครรภ์ เธอจึงยอมแพ้แล้ว เธอหยุดติดตามเขาอีก แต่จู่ๆ เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไป "ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไปล่ะ?" ชายผู้เคยหยิ่งยะโสขนาดนั้น ตอนนี้ก้มหัวลงและขอร้องว่า "หวานหว่าน ฉันผิดไปแล้ว โปรดอย่าทิ้งฉันไป"
เว่ยเว่ย นักศึกษาฝึกงานทะลุมิติ เว่ยเว่ยขับเวสป้าตกเหว แต่ดันทะลุมิติตกน้ำอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม ที่กำลังหาปลาอยู่ที่บึงน้ำ ลู่เหวินเยียนอาศัยกับมารดาอยู่ที่กระท่อมเชิงเขา บิดาเสียชีวิตในสนามรบ เขามักจะออกไปล่าสัตว์ป่ามาขาย วันนี้เขามาดูกับดักปลาและบังเอิญเห็นบางสิ่งตกลงมาจากฟ้าต่อหน้าต่อตาเขา คำเตือน นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นตามจินตนาการของผู้แต่ง บุคคล สถาน องค์กรและเนื้อเรื่องทั้งหมดในนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องสมมติ ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ทางปัญญาตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ.2537และเพิ่มเติมพ.ศ.2538 ห้ามทำการคัดลอก หรือดัดแปลงเนื้อหาของนิยายโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของที่เป็นผู้แต่งเป็นลายลักษณ์อักษร
หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า "ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?" เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า "ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว..." ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา "เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?"
เพิ่งหย่ากับอดีตสามีไปไม่นานแต่ปรากฏว่าตัวเองท้อง จะทำอย่างไรดี? หรือจะให้อดีตสามีรับผิดชอบ แต่ก็ไม่คิดว่าอดีตสามีมีคนรักใหม่ไปแล้ว ชีวิตของถังชีชีนั้นช่างสับสน ช่างน่าวิตกกังวลและไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เธอต้องคอยระวังไม่ให้คุณเฟิงรู้เรื่องการตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย แต่ไม่คิดว่าจะถูกเขาบังคับถึงเพียงนี้ "เราหย่ากันแค่สี่เดือน แต่เธอกลับตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว บอกมาดี ๆ ว่า ลูกเป็นของใคร!"
องค์หญิงสิบสามนามหลินฮุ่ยหมินสตรีผู้ที่งดงามโดดเด่นไม่เป็นรองผู้ใดแต่กลับมีฐานะต่ำต้อยในวังหลวงด้วยพระมารดาเสียชีวิตตั้งแต่นางยังเด็ก ท่ามกลางความคับแค้นใจนางยังต้องคำสาปร้ายต้องกลายร่างเป็นสัตว์ทุกคืนวันพระจันทร์เต็มดวง เขาคือ หยางเอ้อหลาง แม่ทัพหนุ่มผู้มีความสามารถรูปโฉมสง่างามและเป็นวีรบุรุษคนสุดท้ายของสกุลหยาง ทั้งยังเป็นที่รักเคารพของชาวเมือง ทว่าด้วยความสามารถและตำแหน่งใหญ่โต ฮ่องเต้มิอาจวางใจจึงได้คิดกำจัดเขาให้พ้นตำแหน่งเสีย โดยมอบสมรสพระราชทานให้หยางเอ้อหลางกับพระธิดาของตน เดิมทีชีวิตของคนสองคนย่อมไม่บรรจบ เมื่อสตรีที่หมายหมั้นกับหยางเอ้อหลางคือองค์หญิงใหญ่ที่ปักใจรักเขาตั้งแต่เยาว์วัย ทว่าเรื่องไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อคนทั้งคู่เกิดอุบัติเหตุจนคนเข้าพิธีสมรสกลายเป็นองค์หญิงสิบสาม ท่ามกลางความหวาดกลัวขององค์หญิงสิบสามที่กลัวความลับจะเปิดเผย ท่ามกลางหยางเอ้อหลางที่พยายามพาสกุลหยางให้รอดพ้น ท่ามกลางการแตกหักของความสัมพันธ์พี่น้องที่แสนรักใคร่ระหว่างองค์หญิงใหญ่และองค์หญิงสิบสามเพราะบุรุษเพียงผู้เดียว หลินฮุ่ยหมินจะทำเช่นใด เพื่อจะยุติเรื่องราวน่าเวียนหัวนี้
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"