เจียนเยว่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากจนกระทั่งพบอาของเธอ แต่เธอก็ตกหลุมรักอาของเธออย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ น่าเสียดายที่อาคนนั้นกำลังจะแต่งงาน เลยจัดให้เธอไปต่างประเทศ เพื่อแก้แค้น เธอจึงเรียนวิชาบุรุษวิทยาและหลังจากกลับมาอีกครั้ง เธอก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านบุรุษวิทยาที่มีชื่อเสียงที่สุด เชี่ยวชาญการรักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ การหลั่งเร็ว ภาวะมีบุตรยาก... คราวนี้คุณอาดันเธอไว้ในห้องนอน "ถ้าอยากดูร่างกายของผู้ชายมาก ก็ช่วยตรวจให้ผมหน่อยสิ" เธอยิ้มอย่างชั่วร้าย และใช้มือปลดเข็มขัดของเขา "มิน่าเล่าขนาดอามีคู่หมั้นแล้ว แต่กลับไม่แต่งงานสักที ที่แท้มันใช้งานไม่ได้สินะ" "จะได้หรือไม่ได้ คุณก็ลองดูเองสิ" "ไม่เลย อาไปหาคนอื่นช่วยดูให้เถอะ"
ประตูถูกเตะจนเปิดออก เจี่ยนเยวที่ถือแฟ้มเอกสารเอาไว้ในมือรีบปรี่เข้ามาด้วยความโมโหเดือดดาล
เธอเอามือเท้าเอวและกำลังจะตะโกนสุดเสียง แต่แล้วกลับหูไวได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวดังมาจากห้องนอนซะก่อน สีหน้าของเธอจึงเปลี่ยนไปทันที
“ยวี่ คุณเบา ๆ หน่อยสิ...... ฉันจะทนไม่ไหวแล้วนะ…..”
เสียงที่ออดอ้อนค่อย ๆ อ่อนแรงลงเรื่อย ๆ แต่เสียงหอบหายใจกลับดังกึกก้องยิ่งขึ้น
เจี่ยนเยวอายุยี่สิบปี นับว่าเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งแล้ว แน่นอนว่าเธอต้องรู้อยู่แล้วว่าคนในห้องนอนกำลังทำอะไรกันอยู่
แต่ในวิลล่าหลังนี้มีแค่เธอกับคุณอาเล็กอาศัยอยู่กันแค่สองคนเท่านั้น เธอไม่เชื่อหรอกว่าผู้ชายที่อยู่ข้างในจะเป็นคุณอาเล็ก แล้วก็ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้แน่ด้วย
แฟ้มเอกสารในมือตกลงไป ทำให้กระดาษกระจัดกระจายเต็มพื้นไปหมด เจี่ยนเยวรีบวิ่งปรี่ไปเปิดประตูห้องนอนออกทันที
แสงในห้องนอนสลัว ๆ แผ่นหลังที่เปลือยเปล่าของผู้ชายขยับขึ้นลงไม่หยุด บริเวณใต้เอวถูกคลุมด้วยผ้าห่มผืนบางเอาไว้ เธอมองไม่เห็นใบหน้าของชายคนนั้น
แต่แค่เห็นแผ่นหลัง เธอก็มั่นใจแล้วว่าเป็นคุณอาเล็กโดยไม่ต้องสงสัยเลย
ผู้หญิงที่อยู่ข้างล่างทำท่าทางเหมือนกำลังมีความสุขมาก ราวกับว่าเธอกำลังรู้สึกมีความสุขอย่างล้นหลามจนไม่สามารถที่จะอธิบายออกมาได้อย่างไรอย่างนั้น
เจี่ยนเยวเหมือนจะเป็นบ้าขึ้นมา ในขณะที่ร้องไห้เธอก็หยิบรองเท้าข้างประตูขึ้นมาเขวี้ยงไปอย่างแรง
“โหลวยวี่ ฉันเกลียดคุณ!”
หลังจากที่พูดจบ เธอก็หันหลังกลับและรีบวิ่งออกไปทันที
เมื่อได้ยินเสียงประตูวิลล่าปิดลง โหลวยวี่ก็เลิกผ้าห่มออกและลุกขึ้นมานั่งบนเตียง
ยกเว้นท่อนบนที่เปลือยเปล่าแล้ว ท่อนล่างของเขายังใส่กางเกงเอาไว้อย่างเรียบร้อย
เขาจุดบุหรี่ขึ้นมามวนหนึ่ง แล้วก็สูบเข้าไปเฮือกใหญ่ แล้วควันที่พ่นออกมาก็ทำให้ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาพร่ามัวไปหมด เหลือเพียงดวงตาที่กำลังแสดงอารมณ์โกรธเท่านั้นที่ทำให้ดูน่าหวาดหลัว ไม่ได้มีความหื่นกระหายอยู่เลยสักนิด
ผู้หญิงคนนั้นก็ลุกขึ้นมาแล้วเช่นกัน ท่อนบนของเธอสวมไว้แค่เกาะอกตัวหนึ่งเท่านั้น เธอเอื้อมมือไปโอบที่เอวของโหลวยวี่เอาไว้ แล้วก็ยิ้มออกมาอย่างมีเสน่ห์ก่อนจะพูดขึ้นว่า “คุณโหลวอย่าเพิ่งหมดสนุกสิคะ เรามาต่อกันเถอะ ~”
สีหน้าของโหลวยวี่ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด เขาพูดออกมาแค่สองคำอย่างไม่แยแสว่า “ออกไป”
ผู้หญิงคนนั้นไม่พอใจอย่างมาก กว่าเธอจะมาขึ้นเตียงของโหลวยวี่ได้ไม่ใช่ง่าย ๆ เลย แม้ว่าจะเป็นแค่การแสดงก็เถอะ แต่เธอก็อยากทำให้การแสดงปลอม ๆ นี้เป็นจริงขึ้นมาให้ได้
“คุณโหลวขา~” มือเรียว ๆ ของเธอลูบไล้ไปที่เอวและหน้าท้องของเขาเบา ๆ
มีใครไม่รู้บ้างว่าคุณโหลวที่เป็นผู้ทรงอิทธิพลของเมืองชิงพูดคำไหนคือคำนั้น หากใครก็ตามที่ต้องให้เขาออกคำสั่งเป็นครั้งที่สอง อาจจะหนีไม่พ้นความตายเลยก็เป็นได้ โหลวยวี่ไม่มีความเมตตาเลยสักนิด เขาเตะผู้หญิงคนนั้นลงไปจากเตียงทันที
“กู่เหนียน นำตัวออกไปซะ”
“ครับผม”
ผู้หญิงคนนั้นถูกลากออกไปทั้งที่ยังดิ้นไม่หยุด ผู้ช่วยที่ชื่อว่ากู่เหนียนคนนั้นยืนอยู่ข้างเตียงด้วยความเคารพ “คุณท่านครับ คุณผู้หญิงไปที่บ้านฮั่วอันหนานที่เป็นเพื่อนของเธอแล้วครับ ส่วนเอกสารการไปต่างประเทศยังไม่ได้เซ็นแต่อย่างใดเลยครับ”
“เอาไปให้เธอเซ็นซะ เธอต้องเซ็นอยู่แล้ว”
“ครับ”
……
อีกด้านหนึ่ง หลังจากเจี่ยนเยววิ่งออกจากวิลล่าก็ไปหาเพื่อนสนิทเธอทันที
เวลานี้ เธอกำลังซบไหล่ของฮั่วอันหนานและร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจอยู่ “หนานหนาน เธอคิดว่าทำไมเขาถึงทำกับฉันแบบนี้กัน?”
ขณะที่ฮั่วอันหนานกำลังตบหลังเธออยู่ก็พูดโน้มน้าวขึ้นมาว่า “เจี่ยนเยว ใช่ว่าฉันจะว่าอะไรเธอนะ แต่เขาเป็นคุณอาเล็กของเธอ เรื่องของพวกเธอสองคนมันเป็นไปไม่ได้หรอก อีกอย่างเขาก็อายุตั้งสามสิบแล้ว อย่าว่าแต่เขาจะมีแฟนเลย ต่อให้เขาแต่งงานมีลูกแล้ว มันก็เป็นเรื่องปกติอยู่ดี เธอควรหยุดคิดเรื่องเขาได้แล้วนะ”
เจี่ยนเยวพูดอย่างเศร้าเสียใจว่า “แต่เขาไม่ใช่คุณอาเล็กแท้ ๆ ของฉันสักหน่อยนี่”
“แต่เขาเลี้ยงเธอมาจนโตนะ ในสายตาของคนนอก เขาก็คือคุณอาเล็กของเธอนั่นแหละ ถือว่าเป็นคนในครอบครัวกัน”
เจี่ยนเยวถึงกับเงียบไป
ฮั่วอันหนานพูดถูก ต่อให้เธอจะพยายามหลอกตัวเองว่าเธอกับเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด แต่แล้วมันจะไปมีความหมายอะไรล่ะ?
ในสายตาของคนนอกนั้น เธอกับเขาก็คือคนในครอบครัวเดียวกัน สายใยของชีวิตได้เชื่อมโยงเข้าด้วยกันตั้งนานแล้ว
คงไม่มีทางที่จะมีความสัมพันธ์เกินเลยไปจากความรักในครอบครัวได้อีกแล้ว
ตอนที่อายุสิบหก เจี่ยนเยวตัดสินใจบากหน้ามาขออยู่ที่ตระกูลโหลว เพราะเธอทนไม่ได้กับการใช้ความรุนแรงของคุณลุงและคุณป้าอีก
ก่อนที่ปู่ของเธอจะจากไป เขาได้บอกเธอไว้ว่า ท่านผู้เฒ่าตระกูลโหลวที่เป็นตระกูลเก่าแก่นับร้อยปีเป็นหนี้บุญคุณเขาอยู่ หากในอนาคตเธอไม่มีทีไปแล้ว เธอสามารถไปขอความกรุณาจากบุคคลนี้ได้
แต่เมื่อเธอมายืนอยู่ในห้องโถงของตระกูลโหลวแล้ว เธอถึงได้มารู้ว่า ท่านผู้เฒ่าโหลวได้เกษียณอายุงานและใช้ชีวิตออกห่างจากโลกสังคมไปแล้ว อีกอย่าง เขาก็ไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่แล้วด้วย
ตอนนี้ ผู้หญิงที่นั่งบนโซฟาและแต่งตัวเหมือนผู้หญิงชนชั้นสูงกำลังมองพิจารณาเธออยู่ ซึ่งผู้หญิงคนนี้ก็คือภรรยาคนใหม่ของหัวหน้าตระกูลโหลวคนปัจจุบันนั่นเอง
ภายในห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่
เจี่ยนเยวกัดนิ้วด้วยความประหม่า ทำให้คุณนายของตระกูลโหลวแสดงสีหน้ารังเกียจออกมา แล้วก็บอกให้พี่เลี้ยงเอาเงินให้เธอไปห้าร้อย
เมื่อเธออับอายจนหน้าแดงและกำลังจะโยนเงินลงบนพื้นและจากไปนั้น เสียงเยาะเย้ยและดูถูกเหยียดหยามก็ดังขึ้น “คุณนายโหลวที่ชอบโอ้อวดความเมตตาของตัวเองนักหนา จะกระทำแค่ตอนอยู่ต่อหน้าคุณพ่อเท่านั้นเหรอ? แค่จะมีคนเข้ามาอยู่ด้วยอีกแค่คนเดียว ต้องแสดงพฤติกรรมน่าเกลียดแบบนี้ออกมาเลยเหรอ”
เจี่ยนเยวเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ แล้วก็เห็นผู้ชายที่ดูเย็นชาคนหนึ่งกำลังยืนอยู่บนบันได
เขาสวมชุดสูทสีเทา กำลังกอดอกมองลงมาอย่างเย็นชา ราวกับว่าเขากำลังดูฉากที่น่าตลกอยู่อย่างไรอย่างนั้น
นุชพินตา ควรเป็นเจ้าสาวที่น่าอิจฉาที่สุดที่ได้แต่งงานกับ ปุลวัชร เจ้าบ่าวที่ทั้งหล่อ รวย เนื้อหอม เป็นเจ้าชายในฝันของสาวๆ ทั้งเมือง แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าบ่าวในฝันนั้น...ทั้งไร้หัวใจ และไม่ได้รักเธอสักนิด! การแต่งงานที่ไร้รัก อยู่กันไปก็มีแต่เจ็บปวดเท่านั้น แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อเธอไม่อาจปฏิเสธ แม้จะต้องถูกเขาทำร้ายหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะทำอย่างไรหากใจที่ไม่คิดปรารถนารักกลับอยากได้ความรักจากเขา ------------------------------ “เธอเคยนอนกับผู้ชายหรือเปล่า” เขาถามออกมาจากปากร้าย ตอนที่เธอได้ยินถึงกับสะอึก ไม่คิดว่าเขาจะถามตรง ๆ และในนาทีต่อมา นุชพินตาก็รู้สึกโกรธมาก หญิงสาวโต้เขากลับ “ทำไมผู้ชายดี ๆ การศึกษาดี ๆ ถึงได้พูดจาแบบนี้คะ มาพูดดูถูกกัน เมื่อกี้ก็หาว่าพวกเราขายตัว และตอนนี้ยังมากล่าวหาฉันอีกว่าฉันสำส่อน คุณถามคำถามแบบนี้กับผู้หญิงทุกคน ที่คุณเคยนอนด้วยหรือยังไงคะ” ความเจ็บปวดระบายออกมาทางสายตา เขาเป็นบ้าอะไรกันนี่ คำพูดแบบนี้มาจากสันดานข้างในหรือเพราะว่าเขาเมา “แล้วเธอเคยมีอะไรกับผู้ชายหรือเปล่าล่ะ” เขาย้ำอีกครั้ง จ้องสบตาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ “ปากร้าย ประโยคนี้คุณไม่ควรถามออกมาด้วยซ้ำไป” จากที่เรียกเขาว่าพี่ปุ่น ชักขุ่นและมีอารมณ์โมโหขึ้นมาเปลี่ยนสรรพนามที่คนฟังก็รู้ว่าห่างเหิน “ผู้หญิงที่ดี ๆ ที่ไหน จะตอบตกลงแต่งงานกันชายแปลกหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่คิด เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น” “แล้วมันยังไงคะ” นุชพินตาก็ไม่ยอมเหมือนกัน “เธออาจจะเป็นมือสองก็ได้” ‘เมื่อคืนเขาไปนอนที่ไหน แล้วไปนอนกับใคร’ ‘อ้อ… ก็คงจะเป็นผู้หญิงคนนั้นสินะ’ ดวงตาเศร้าลง เธอลุกขึ้นไปเปิดม่านหน้าต่าง และมองออกไปยังท้องทะเล แสงอาทิตย์กระทบกับระลอกคลื่นที่ไล่เรียงกันกระทบเข้าฝั่ง นุชพินตาถึงกับถอนหายใจดังเฮือก ‘ฉันมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ มาให้เขาย่ำยีเล่นใช่หรือไม่’ เฝ้าถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ‘ยะหยาอย่าเสียใจไปเลยนะ เธอต้องทำตัวเองให้เข้มแข็ง แข็งแรงเถอะ ในเมื่อเธอก็ไม่ได้รักเขาเหมือนกัน’ คำพูดปลอบโยนตัวเอง ‘ใช่… ฉันไม่ได้รักเขา และจะเกลียดเขาให้มากกว่านี้’ เธอตอกย้ำคำนี้เข้าไปในหัวใจของตัวเองด้วยความมุ่งมั่นและสายตาที่แน่วแน่ แม้จะรู้สึกเจ็บแน่นในหัวอก ------------------------------ “ฉันจะหย่ากับเธอ” เขาเอ่ยอย่างใจดำ หญิงสาวถึงกับใจหล่นวูบ เธอเม้มขบริมฝีปาก กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว นุชพินตาพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว “นางผู้หญิงไร้ยางอาย แพศยาฉันเกลียดผู้หญิงหลายใจ ฉันเกลียดผู้หญิงที่นอกใจ ไปให้พ้นจากบ้านของฉัน ไปให้พ้นจากหน้าฉัน พรุ่งนี้จะให้ทนายทำใบหย่า” “พี่ปุ่นคะ” เธอยกมือขึ้นมาไหว้เขาปลก ๆ “เราสองคนเพิ่งแต่งงานกันเองนะคะ ยะหยาไม่อยากให้คุณลุงและคุณย่าเสียใจ” “แต่สิ่งที่เธอทำล่ะ มันน่าอาย แล้วเธอไม่ละอายบ้างเหรอ หน้าด้าน” เขามีอาการเสียใจ และหัวเสีย นุชพินตาเอง เธอไม่คิดว่าปุลวัชรจะปากร้ายด่าทอเธอได้ถึงเพียงนี้ “ฉันจะหย่ากับเธอแน่นอน เตรียมปากกาไว้เซ็นใบหย่าในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” พูดจบ เขาเดินเข้าไปใช้มือปัดแจกันที่อยู่ใกล้ และชกบานกระจกที่ใช้ตกแต่งอยู่ในห้องโถงด้วย จนกระจกแตกละเอียดทั้งบาน มือของปุลวัชรมีเลือดไหลซึม เขาจะเดินเข้าห้องทำงานและปิดประตูตามหลังดังโครม นุชพินตาตกใจ และหวาดกลัวกับสิ่งที่เธอได้เห็น ความดีใจที่สามีจะกลับมา เธอจะบอกข่าวดีเขา และกินข้าวด้วยกัน ได้มลายหายไปสิ้น มีเพียงความเศร้าเข้ามาทับถมอยู่ในจิตใจของนุชพินตา แล้วหญิงสาวยกมือขึ้นมาปิดหน้าปิดตาปล่อยโฮ
ในการแต่งงานที่ทำข้อตกลงไว้ เจียงหว่านเป็นฝ่ายที่มีใจให้อีกฝ่ายก่อน แต่ตอนที่เธอต้องการเผยเสี้ยนมากที่สุด เขากลับอยู่เคียงข้างคนรักในใจของเขา ในท้ายที่สุด เจียงหว่านก็ตัดสินใจหย่า และเริ่มต้นชีวิตใหม่ เมื่อเผยเสี้ยนรู้สึกตัวขึ้นมา เธอก็จากไปแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่เข้าคิวเพื่อรับป้ายหมายเลข เผยเสี้ยนหยิบเงินร้อยล้านออกมาและพูดว่า "หว่านหว่าน คู่รักก็ต้องเป็นคู่เดิมเราแต่งงานใหม่อีกครั้งได้ไหม"
เสียงกระเส่าในยามค่ำคืน ไม่ได้มีแค่เสียงเดียวแต่มีถึงหลายคน สตรีนางน้อยที่อยู่บนเตียงหันมองสตรีที่จูบแม่ทัพปีศาจ นางพึ่งจะเป็นมือใหม่ที่ใหม่จนไม่กล้าทำสิ่งใด ได้แต่มองเขาเสพสมสตรีอื่นต่อหน้านาง เสียงเนื้อกระทบเนื้อที่ดังไม่หยุด ยิ่งทำให้นางประสาทเสีย หากแต่ว่าหากนางยังนิ่งมองอยู่เช่นนี้ เกรงว่าพรุ่งนี้จะไม่มีที่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จัดเลยสิจะรออะไร ใช่ว่านางจะทำไม่เป็นเสียหน่อย
หลิวชิวเยว่จบชีวิตจากชาติภพปัจจุบัน เมื่อฟื้นขึ้นมาก็อยู่ในร่างของหญิงอ้วน ชื่อเดียวกับตัวเอง อีกทั้งตัวเธออยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวกำลังจะไปแต่งงานกับแม่ทัพเสิ่นมู่ฉือ แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นชิงเป่ย จากซีอีโอสาวแสนสวย ผู้ทระนงตนว่า ฉันสวย รวยและเริ่ดในปฐพี ต้องกลายมาเป็นหญิงอ้วน น้ำหนักร่วมสองร้อยจิน (100กิโลกรัม) แถมด้วยฉายา สตรีกาลกิณี ! แล้วข่าวลือที่ว่าแม่ทัพหนุ่มสามีของเธอ เป็นพวกชอบตัดแขนเสื้อ (ชอบผู้ชาย) นั้นเป็นจริงหรือไม่...จำต้องพิสูจน์ให้กระจ่าง! ทว่า... ยามจันทร์เต็มดวง หลิวชิวเยว่กลับค้นพบความลับของสามี เมื่อเขากลายร่างเป็น หมีแพนด้า ! หลิวชิวเยว่จะใช้ชีวิตในยุคจีนโบราณอย่างไรให้แฮปปี้ เมื่อต้องมีสามีเป็น หมีแพนด้าผู้คลั่งรัก !
"ฉันจะนอนกับคุณทุกที่ ทุกเวลา และทุกครั้งที่คุณต้องการ เพื่อแลกกับอิสรภาพของพ่อฉัน" "แล้วถ้าผมไม่ตกลงล่ะ" ในที่สุดเขาก็พูดออกมาจนได้ ยาหยีก้มหน้าซ่อนความเจ็บช้ำเอาไว้จนมิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้งและพูดออกไปเสียงแผ่วเบา "ฉันจะให้คุณดูสินค้าก่อนก็ได้...แล้วค่อยตัดสินใจ" เมื่อบิดาของตนเป็นโจรขโมยเพชรล้ำค่าของตระกูลมาเฟียที่ยิ่งใหญ่แห่งกรุงมอสโค ยาหยี จำต้องโยนศักดิ์ศรีของตัวเองทิ้งแล้วกลายเป็นหญิงไร้ยางอายเพื่อให้บิดารอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชอย่างเขา ทางเลือกเพียงทางเดียวที่มีคือยอมพลีกายให้ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าหล่อเหลาในสามโลกได้เชยชม สาวพรหมจรรย์อย่างหล่อนแทบขาดใจตายเพราะบทพิศวาสเร่าร้อนรุนแรงที่ไม่เคยได้พานพบ ความวาบหวามครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขามอบให้ทำให้ยาหยีคลั่งไคล้ในรสสิเน่หา กายสาวร่ำร้องโหยหาแต่เขาเพียงผู้เดียว หากภายในใจก็ต้องคอยย้ำเตือนตนเองไว้ว่า หล่อนก็เป็นได้แค่ของเล่นชั่วคราว สักวันพอเขาเบื่อ ก็จะถูกเขี่ยทิ้งอย่างไร้ความปรานี!! จากที่คิดจะตามไล่ล่าเด็ดหัวคนทรยศให้แดดิ้นไปต่อหน้า คอร์เนล ซีร์ยานอฟ เจ้าพ่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการโทรคมนาคมในประเทศรัสเซีย ก็เปลี่ยนเป้าหมายทันทีเมื่อได้เจอสาวน้อยนัยน์ตากลมหวานซึ้ง ใบหน้าหวานๆ ส่งผลให้เขาต้องการอยากครอบครองหล่อนแทบคลั่ง คอร์เนลมั่นใจว่ามันจะมีผลกับร่างแกร่งได้ไม่นานหรอก เพราะสำหรับเขา ผู้หญิงคือวัตถุทางเพศเคลื่อนที่ได้เท่านั้น เพียงได้ลิ้มลองแค่ครั้งเดียว เขาก็ไม่เคยหันกลับไปกินของเก่าอีก แต่ทฤษฎีนี้กลับใช้ไม่ได้ผลกับหล่อน ให้ตายสิ! เขาไม่เคยรู้สึกติดใจผู้หญิงรุนแรงขนาดนี้มาก่อน คอร์เนลหลงใหลเนื้อนุ่มจนกลายเป็นเสพติด ทั้งที่ความยโสโอหังของบุรุษเลือดเย็นเยี่ยงเขาพยายามบอกกับตนเองว่า เขายังเชยชมร่างงามไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่สูญเสียไป แต่ภายในใจลึกๆ กลับตะโกนก้องสวนทางออกมาว่า เขาขาดเธอไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว!!
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง