“อื้ออ อย่า...” หญิงสาวร้องปรามเมื่อหน้าอกของเธอถูกดูดดึงอย่างหื่นกระหาย ความกลัวเกาะกินหัวใจทั้งดวงพยายามมองหาใครสักคนที่จะช่วยเธอได้ในคืนนี้ ‘แต่น่าจะไม่มี’
“อื้ออ อย่า...” หญิงสาวร้องปรามเมื่อหน้าอกของเธอถูกดูดดึงอย่างหื่นกระหาย ความกลัวเกาะกินหัวใจทั้งดวงพยายามมองหาใครสักคนที่จะช่วยเธอได้ในคืนนี้ ‘แต่น่าจะไม่มี’
ตอนที่1 ธาริกา
“อื้ออ อย่า...” หญิงสาวร้องปรามเมื่อหน้าอกของเธอถูกดูดดึงอย่างหื่นกระหาย ความกลัวเกาะกินหัวใจทั้งดวงพยายามมองหาใครสักคนที่จะช่วยเธอได้ในคืนนี้ ‘แต่น่าจะไม่มี’ ฝ่ามือของคนเลวกำลังยุ่มย่ามกับการดึงกระโปรงของเธอขึ้นและเขาก็ทำมันสำเร็จจนเหลือปราการชิ้นสุดท้ายคือกางเกงในตัวน้อยที่กำลังจะถูกกำจัดไปให้พ้นทาง
“คุณ..หนูยอมแล้ว..”
“หึ”
“พาไปทำบนโซฟาได้มั้ยคะ” ชายตัวสูงหยัดตัวขึ้นผละออกจากร่างของหญิงสาวแต่ไม่ทันระวังเขาก็โดนของแข็งฟาดเข้าที่กกหูอย่างแรง
ปึก!!!
“เธอ!”
เพล้ง!!!
“อ๊ะ!โอ๊ยย!” เขาโดนตีถึงสองครั้งติดแต่ที่ทำให้เจ็บจนไม่สามารถล่าตัวเธอไว้ได้ทันก็คือก็คือดวงตาของเขาในตอนนี้มืดสนิทจนมองไม่เห็นแสงไฟที่ผลัดเปลี่ยนสีไปมา
.....
สามปีต่อมา
“ทราย คุณมาวินให้เลขาติดต่อมาอีกแล้ว” ฉัตรทอง ผู้จัดการสาวสองบอกดาราในสังกัดของตัวเองเสียงเบา เพราะรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้ธาริการำคาญใจ
“ก็ตอบเขาไปเหมือนเดิมค่ะ”
“...”
“มีอะไรเหรอคะ” หญิงสาวเจ้าของใบหน้าคมเฉี่ยวหันมองผู้จัดการที่ยืนละล่ำละลักอยู่ ได้โอกาสฉัตรทองจึงบอกสิ่งที่ทางนั้นต้องการกับเจ้าตัว
“คราวนี้ถ้าทรายปฏิเสธอีก เขาจะไม่ขอซื้อแล้วนะ”
“ก็ดีแล้วนี่คะ”
“แต่เขาบอกว่า.. เจอที่ไหนเขาจะไม่ปล่อยทรายอีกแล้ว”
“ชาติหมา” สิ้นคำบอกเล่าของฉัตรทอง หญิงสาวหน้าเหวี่ยงก็สบถออกมาอย่างไม่กลัวว่าจะมีใครมาได้ยิน แม้แต่ผู้จัดการของเธอเองก็ยังตกใจที่เธอพูดคำหยาบได้ถึงเพียงนี้
“ทรายแก้ว การมีปัญหากับเขาไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะ เธออาจหมดอนาคตได้เลย”
“ทรายควรตกลงขายตัวให้เขาใช่มั้ยคะ” ธาริกามองผู้จัดการของเธอผ่านกระจก ถึงจะพูดมาแบบนั้นแต่เธอก็รู้ว่าฉัตรทองหวังดี แต่เธอก็รักศักดิ์ศรีของเธอ ถ้าจะต้องเสียก็ต้องไม่ใช่เพราะผู้ชายที่ชื่อมาวิน ทายาทเจ้าของสังกัดที่เธอติดสัญญาอยู่ตอนนี้
“ก็เขาเปรียบเสมือนกัปตันเรือของเราหนิ มีปัญหากับคนขับเรือในทะเลมีแต่เขาจะกลั่นแกล้งนะ”
“ทะเลที่อื่นก็มี ไม่ใช่แค่ที่นี่”
“สัญญาเหลืออีกตั้งหนึ่งปี จะฉีกหรือไง”
“ไม่มีทางเลือกนี่คะ” หญิงสาวตอบกลับราวกับเรื่องที่พูดอยู่นั้นใช่เรื่องใหญ่
“คุณแขฟ้องอ่วม เอาเงินที่จะถูกฟ้องไว้สร้างบ้านที่เธอฝันไม่ดีกว่าเหรอ”
“ให้ทนไปก่อนใช่มั้ยคะ”
“มันคงไม่ถึงกับต้องกัดฟันหรอกมั้ง” ธาริกาถอนหายใจตัดบทสนธนา เธอคือนางร้ายที่กำลังมีชื่อเสียงในช่วงเวลานี้ งานแสดงเป็นงานที่เธออยากกอดมันไว้แน่น ๆ เพราะมันทำเงินให้เธอได้ราวกับสายน้ำ สำหรับเด็กที่ต้องปากกัดตีนถีบอย่างเธอจึงรักงานที่ทำเงินง่ายไปโดยปริยาย ส่วนฉัตรทองคือผู้จัดการที่ในอดีตโดนเด็กในสังกัดฉีกสัญญา และเพิ่งฟื้นคืนวงการได้หมาด ๆ เพราะดันปั้นอดีตเด็กนั่งดริ้งเป็นนางร้ายชื่อดังได้ แน่นอนว่าอดีตของธาริกาก็เป็นเรื่องกวนใจอยู่ไม่น้อย
“เครื่องประดับที่คุณทรายแก้วต้องใส่นะคะ” ทันทีที่เห็นเครื่องประดับวางลงตรงหน้า ทั้งดาราสาวและผู้จัดการก็สบตากันชั่วแวบหนึ่ง
“ของทรายแก้วต้องเป็นไพลินนี่คะ ไม่ใช่บุษราคัม”
“พอดีผู้ใหญ่ยัดคุณซินดี้เข้ามาก่อนหน้านี้แค่หนึ่งชั่วโมงเองค่ะ เธอขอเครื่องประดับที่เป็นชุดไพลิน”
“ได้ยังไง ตำแหน่งเซ็นเตอร์คือทรายแก้ว และต้องใส่ชุดไพลินโชว์ไม่ใช่เหรอ!” ธาริกาส่งซิกให้ผู้จัดการที่เริ่มหลุดเสียงหนุ่มใส่ทีมงาน
“ตำแหน่งเซ็นเตอร์ก็ถูกเปลี่ยนเป็นคุณซินดี้ค่ะ”
“อะไรนะ!”
“พี่ฉัตร พอเถอะค่ะ” ธาริกาดึงแขนผู้จัดการที่ขยันสติหลุด ทีมงานคนนั้นไม่สนใจว่าทั้งสองจะโอเคหรือไม่เพราะอย่างไรเธอก็ไม่ได้มีหน้าที่สับเปลี่ยนใครหากไม่มีคำสั่งจากเจ้าของงานมาอีกที
“หลายทีแล้วนะอีซินดี้”
“พอเถอะพี่ฉัตร มันอยากเดินก็ให้มันเดิน เราได้เงินแล้วหนิ”
“แต่ถ้าได้ใส่ชุดไพลินนั่นนะ ช่างภาพเขาต้องสาดแฟลชมาที่เธอแน่นอน” ฉัตรทองยังคงด้อยค่าเครื่องประดับที่ธาริกาจะได้ใส่มันอย่างไม่ลดละ
“เพื่ออะไร ค่าตัวก็เท่าเดิม ดีซะอีกทรายจะได้ไม่แสบตา”
“สองงานแล้วนะที่มันทำแบบนี้”
“ก็เขาเป็นลูกรักผู้ใหญ่นี่คะ” คำพูดของดาราสาวทำเอาฉัตรทองน้อยใจ ที่ไม่มีคอนเนคชั่นอะไรเพื่อปกป้องเด็กของตัวเองได้เลย
“บางทีนะ เราอาจต้องพึ่งบารมีของคุณนาวิน”
“ไม่!”
“ทรายแก้ว ที่ซินดี้มันกร่างก็เพราะมันเป็นเด็กของคุณชาร์ล มันถือว่าไม่มีใครกล้าแตะต้องมันน่ะสิ”
“งั้นพี่ฉัตรก็ติดต่อคุณชาร์ลอะไรนั่นให้ทรายสิคะ จะไปพึ่งนาวินทำไม”
“เออ เนอะ แกนี่ฉลาด”
.....
ธาริกาในชุดเดรสเกาะอกยาวสีดำสนิทตัดกับผิวพรรณที่ขาวเปล่งปลั่งเดินนวยนาดส่งรอยยิ้มหยาดเยิ้มให้ช่างภาพได้เก็บภาพที่ดูดีทุกอิริยาบทของเธอ ชุดเครื่องประดับสีบุษราคัมไม่ใช่ชุดหลักที่งานตั้งใจโปรโมต แต่เมื่อมันอยู่บนลำคอระหงของธาริกาย่อมได้รับความสนใจท่วมท้น
“ชุดต่อไปนี้เป็นคอลเล็คชั่นใหม่ล่าสุดของแบรนด์วาราลักซ์ชัวรี่นะคะ ซึ่งนางแบบของเราในวันนี้ก็คือ..”
“คุณซินดี้ นางเอกชื่อดังที่สุดในตอนนี้นั่นเองค่ะ” แสงแฟลชย้ายจากธาริกามาหาซินดี้อย่างที่ควรจะเป็น แต่มีสายตาจากดวงตาสีเทาคู่หนึ่งที่ยังไม่ได้ละไปจากเธอ
“ทรายแก้ว ธาริกาครับ”
“อืม”
พรึ่บ
“ว๊าย!” เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนก็เกิดขึ้น เมื่อธาริกาถูกนางเอกสาวเดินโชว์ชุดไพลินที่ไม่เคยมาซ้อมเดินบนเวทีเหยียบที่ชายชุดเดรสความยาวลากพื้นที่เธอสวม ส่งผลให้เมื่อเธอก้าวเดินเกาะอกบนตัวก็เลื่อนหลุดลงต่ำ ธาริกาต้องล้มตัวนั่งลงสองแขนบังช่วงตัวเพื่อไม่ให้เกิดความอนาจาร
“ซินดี้ไม่ได้ตั้งใจนะคะ” ธาริกามองคนที่ทำเธอตาขวางพร้อมกับมือที่ยกขึ้นปิดสองอก รอเวลาทีมงานหรือผู้จัดการของเธอมาช่วยเหลือ
“อย่าถ่ายนะคะ ห้ามถ่ายนะ”
พรึ่บ
ก่อนที่ฉัตรทองจะมาถึงตัวธาริกาก็มีเสื้อสูทตัวใหญ่มาปกคลุมเธอจากทางด้านหลัง หญิงสาวเงยหน้ามองคนที่ช่วยเหลือเธอแต่เขาดันไม่ใช่สักคนที่เธอคิด
“ขอบคุณนะคะ”
“คุณชาร์ล...” เรียวคิ้วของธาริกาขมวดมุ่นที่ซินดี้เรียกชื่อเขาขึ้นมา
“ทรายแก้ว ตายแล้ว! ลุกขึ้นเดินไหวลูก”
“พี่ฉัตรมาพยุงทรายหน่อยค่ะ ข้อเท้าน่าจะเจ็บ” ไม่ทันที่ฉัตรทองจะได้ทำหน้าที่นั้น ชายหนุ่มเจ้าของเสื้อก็อุ้มเธอออกไปจากหน้างาน
“นั่นคุณชาร์ลหนิ”
“ใช่ คุณชาร์ลจริง ๆ ด้วย” เสียงพูดคุยไล่หลังหลังจากเกิดเหตุการณ์ชุลมุน ซินดี้ยังคงแสดงสีหน้ารู้สึกผิดต่อหน้าสื่อที่ทำธาริกาอับอาย
“ความผิดซินดี้เองค่ะ มันผิดคิว.. ซินดี้ขอโทษทรายแก้วผ่านพวกพี่ ๆ เลยแล้วกันนะคะ”
“อย่าร้องไห้ไปเลยครับ ทรายแก้วเขาแยกแยะได้อยู่แล้วเรื่องแบบนี้มันผิดพลาดกันได้”
แม้ภายนอกจะเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาแต่ในใจเธอนั้นยิ้มกว้างอย่างสะใจ ส่วนเรื่องผู้ชายเดี๋ยวค่อยเคลียร์
"ถ้าไม่ใช่เพราะหวงก็เลิกยุ่งกันไปได้มั้ย ฉันจะได้เริ่มต้นใหม่" "อยากเริ่มต้นใหม่ เพื่อจะลืมฉันน่ะเหรอ" อชิรญากวาดสายตามองไปทางอื่นเมื่อที่เขาพูดมันก็คือเรื่องจริง ขอแค่เขาหยุด เธอก็จะลืม "ฉันไม่ชอบเวลามีใครมาพูดว่าได้ผู้หญิงที่ฉันเอามาแล้ว มันดูซ้ำรอย" "กับพี่พระแพงตามระรานเขาแบบนี้ด้วยหรือเปล่า" "พระแพงพูดอะไร"
เมื่อผู้หญิงที่เขาเคยซื้อมันได้ด้วยเงินถอยหนี และดื้อด้าน เขาก็กลายเป็นอีกคนหนึ่ง ที่เธอไม่เคยรู้จัก
ซื้อเป็นของขวัญ ติดตาม แชร์ "คุณพาย" พิยดาหยุดฝีเท้าที่กำลังก้าวไปข้างหน้า แม้ภายนอกจะดูเป็นอย่างไรแต่ใจเธอนั้นหล่นวูบไปเสียแล้ว "คุณท้องกี่เดือนแล้ว" "นึกว่าใคร คุณเหมนี่เอง สวัสดีค่ะ สบายดีนะคะ" "คุณช่วยตอบคำถามผมที คุณท้องกี่เดือนแล้ว" พิยดาก้าวถอยหลังในขณะที่เหมันต์เดินหน้าเข้าหาเธอ เขาเหมือนเดิมจนทำให้เธอเผลอนึกถึงเรื่องเก่าๆที่เคยทำด้วยกัน ก่อนที่บาดแผลนั้นจะร้องเตือนตัวเองว่าถ้าเธอยังฝังกลบความรู้สึกนั้นไม่ได้เธอนั่นแหละจะตาย
“ที่ทำ... มันเกินไป” “น้อยไป ฉันยังอยากสั่งสอนเธออีกสักรอบ” “ที่ฉันด่าว่าเหี้ยมันไม่คู่ควรกับนายตรงไหน คนดี ๆ ที่ไหนเอาผู้หญิงมาเล่นสนุกแบบนั้นวะ”
ลู่เจียหง นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในยุคปัจจุบัน จับผลัดจับพลูลงลิฟต์ก็โผล่ไปยังยุคโบราณ แถมยังอยู่ในชุดเจ้าสาวอีก ถ้าประหลาดแค่นั้นไม่พอคงไม่เป็นไร ถ้าไม่พบว่าตัวเองกำลังถูกตามล่าจากว่าทีสามีที่ยังไม่ทันเข้าหอ งานนี้นางถือคติไม่ยุ่งเกี่ยวต่างคนต่างอยู่ แต่ท่านอ๋องผู้นั้นก็เอาแต่วนเวียนอยู่ข้างตัวนางไม่หยุด แบบนี้นางจะหย่าสำเร็จได้ตอนไหนกัน!!
เมื่อสองปีที่แล้ว เพื่อช่วยคนรักในใจ พระเอกถูกบังคับให้แต่งงานกับนางเอก ในใจของเขา เธอเป็นคนน่ารังเกียจและแย่งคนรักของคนอื่น เขาเลยเย็นชาต่อเธอมาตลอด แต่กลับอ่อนโยนและเอาใจใส่กับคนรักในใจถึงเป็นเช่นนี้ เธอยังคงรักเขาอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลาสิบปี ต่อมาตอนที่เธอรู้สึกเหนื่อยและอยากจะท้อแท้นั้น เขากลับตื่นตระหนก... เมื่อเธอกำลังจะตายขณะตั้งท้องลูกของเขา ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าผู้หญิงที่เขายอมเอาชีวิตตัวเองไปแลกนั้นก็คือเธอโดยตลอด
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
เมื่อเธอโดนนอกใจจากคนที่รัก จึงหนีไปเริ่มต้อนชีวิตใหม่ที่ดูไบ และเธอก็ได้เจอกับหนุ่มอาหรับสุดแซ่บ ที่มายั่วยวนหลอกล่อให้เธอมีเซ็กส์ที่เร่าร้อนกับเขา และเขายังต้องการให้เธอท้องลูกของเขาอีก.... เรื่องย่อ.... “คุณอัสลาน… คุณออกไปห่างๆฉันหน่อยได้ไหม…ห้องครัวนี่มันก็กว้างมากเลยนะคุณ ทำไมคุณต้องมาใกล้ฉันขนาดนี้ด้วย…” “ก็ผมอยากจะดูว่าคุณใส่ยาเสน่ห์อะไรลงไปในอาหารหรือเปล่า เพราะช่วงนี้ผมรู้สึกโหยหาคุณตลอดเลย…” “ใครจะบ้ามาใส่ยาเสน่ห์ให้คุณกินล่ะ แค่นี้ฉันก็แทบไม่ได้นอนแล้ว… ขืนใส่ยาเสน่ห์ให้คุณกิน ฉันไม่นอนแกผ้าให้คุณเอาทั้งวันเลยเหรอ…” “หึๆ…ก็คุณมันน่ามั่นเขี้ยวนิ จะจับจะตบตรงไหนก็แน่นไปหมดเลย…แถมกลิ่นตัวก็หอมไปยันหอยเลย…อืม…พูดไปแล้วขอผมดมให้ชื่นใจหน่อยสิ วันนี้ทำงานมาโคตรเหนื่อยเลย…” “อื้อ…คุณจะทำอะไรน่ะคุณฮัสลาน นี่มันในห้องครัวนะคุณ…เดี๋ยวพวกแม่บ้านเดินเข้ามาจะทำยังไงคะ…ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยค่ะ จะมาดมอะไรตรงนี้” “ก็ผมอยากดมตอนนี้ไงคุณ…เห็นหน้าคุณแล้วผมก็รู้สึกเสี้ยนจนทนไม่ไหวแล้วเนี่ย…ขอผมดมให้ชื่นใจหน่อยเถอะ” “อ้ะ….คุณอัสลาน….อื้อ….ทำไมคุณมันหื่นแบบนี้เนี่ย….เอามือของคุณออกไปนะ เดี๋ยวคนมาเห็น….อ้ะ…ซี๊ด…อ่าส์….” อัสลาน ราเชด บรูฮัมนี อายุ 37 ปี “อัสลาน...” หนุ่มนักธุรกิจชาวอาหรับที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตรในนิยาย แต่ต้องมาคัดสรรหาเมียเพื่อจะมีลูกสืบทอดวงตระกูลตามคำสั่งของพ่อแม่ ทำให้เขานั้นเลี่ยงไม่ได้กับการที่จะหาเมียสักคนมารับหน้าที่นี้ แต่เขาดันไปถูกใจแม่สาวไทยใจแข็งเข้านี่สิ ไม่ว่าเขาจะเสนออะไรไปเธอก็ไม่ยอมที่จะมาเป็นเมียของเขาเลย เพียงเพราะว่าเขานั้นแก่กว่าเธอไม่กี่ปีเท่านั้น ทำให้เขาต้องใช้เล่ห์กลหลอกล่อเธอให้มาทำงานกับเขา ก่อนจะค่อยๆอ่อยแล้วก็รุกจัดการตะครุบเหยื่ออย่างเธอให้กลายมาเป็นนกน้อยในกรงทองของเขา…. มารียา เวทติวัตร อายุ 27 ปี “มีน มารียา…” สาวไทยหน้าคมที่มีหุ่นอวบอัดเป็นที่ยั่วน้ำลายของพวกหนุ่มนั้น กลับไม่ประสบความสำเร็จเรื่องความรักเอาซะเลย เธอจึงหนีจากความเสียใจแล้วมาหางานทำอยู่ที่ดูไบ...เพื่อจะลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเธอ และเธอก็ได้เจอกับเจ้านายขี้อ่อย ขี้ยั่ว ที่ไม่ว่าเธอจะทำอะไรหรือไปไหน เขาก็มักจะมายั่วน้ำลายทำให้หัวใจที่บอบช้ำของเธอนั้นปั่นป่วนอยู่เสมอ จนเธอถลำตัวมีอะไรกับเขาอย่างห้ามใจไม่อยู่ และเธอก็ได้รู้ว่าเขานั้นเป็นผู้ชายแก่ที่หื่นสุดๆเลย…แต่จะหื่นแค่ไหนต้องไปตามอ่านในนิยายนะคะ
เมื่อเซิ่งหนิงเตรียมจะบอกฮั่วหลิ่นเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของเธอ ทว่ากลับพบเขาช่วยพยุงผู้หญิงอีกคนลงจากรถอย่างเอาใจใส่... เคยคิดว่าตนเองอยู่เคียงข้างฮั่วหลิ่นคอยดูแลเขามาสามปี สักวันหนึ่งเขาจะมาสามารถสร้างความประทับใจให้กับเขา แต่สุดท้ายเป็นตนเองที่คิดเองเออเองไปฝ่ายเดียว เซิ่งหนิงตายใจแล้วจากไป สามปีต่อมา ข้างกายของเธมีผู้ชายอีกคนหนึ่ง และฮั่วหลิ่นเสียใจมาก เจาพูดด้วยความโศกเศร้า "เซิ่งหนิง เรามาแต่งงานกันเถอะ" เซิ่งหนิงยิ้มอย่างเฉยเมย "ขออภัยนะคุณฮั่ว ฉันมีคู่หมั้นแล้ว"
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
© 2018-now MeghaBook
บนสุด