เพราะมีหน้าที่สำคัญต้องทำ แต่ก็โดนรุ่นน้องจอมป่วนอย่างเลโอ Nightshade มาวุ่นวาย ตามจีบไม่เว้นแต่ละวัน "ทฤษฎี 21 วัน" เลยถูกใช้เป็นไม้ตายเด็ดของฉัน คิดว่ามันจะกันคนกะล่อนอย่างหมอนี่ให้พ้นทางได้มั้ย?!
เพราะมีหน้าที่สำคัญต้องทำ แต่ก็โดนรุ่นน้องจอมป่วนอย่างเลโอ Nightshade มาวุ่นวาย ตามจีบไม่เว้นแต่ละวัน "ทฤษฎี 21 วัน" เลยถูกใช้เป็นไม้ตายเด็ดของฉัน คิดว่ามันจะกันคนกะล่อนอย่างหมอนี่ให้พ้นทางได้มั้ย?!
@ Treatise Univ.
(ภาคฤดูร้อนก่อนเปิดเทอม)
ตึงงงง!
“ไอ้ห่าเชนแม่งคึกเหี้ยไรชวนพวกกูลงซัมเมอร์วะ เสียเวลาปิดจ๊อบฉิบหาย!”
กระเป๋าเป้ใบใหญ่ถูกโยนลงตรงหน้าฉันพร้อมกับเสียงบ่นอุบอิบของไอ้ดิว ส่วนไอ้หมิวกับไอ้พอร์ชก็ลากสังขารเดินตามมาด้วยท่าทางไร้วิญญาณ
“ชวนห่าไร แม่งเผด็จการ!”
“หึ...”
ฉันหลุดขำในลำคอพอได้ยินคำพูดประชดประชัน ก็จริงของพอร์ชมัน..จะเรียกว่าชวนก็คงไม่ถูกเท่าไหร่ เพราะเชนมันเล่นมัดมือชกทุกคนด้วยการลงทะเบียนเรียนซัมเมอร์พร้อมจ่ายค่าเทอมให้พวกเราเสร็จสรรพ
ส่วนสาเหตุหลักๆ ที่พวกมันนอยด์กันอยู่ตอนนี้ ก็เพราะเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองมีชื่อลงเรียนซัมเมอร์เมื่อไม่กี่วันก่อน ไอ้หมิวที่กำลังแพ็คกระเป๋าจะไปชะอำ กับไอ้ดิวที่มีนัดกับสาวๆ ก็ต้อง Cancel กลางคัน หนักกว่านั้นคือไอ้พอร์ชที่ต้องหาไฟล์ทด่วนบินกลับจากฮ่องกงเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาด้วยซ้ำ จนสภาพมันตอนนี้ แค่ทิ้งตัวลงนั่งก็สลบเป็นตายอยู่ข้างฉันไปแล้วเรียบร้อย
“ขำไรไอ้เฟรย์ มึงรู้เห็นกับมันใช่มั้ยฮะ เก็บเงียบเลยนะไม่บอกกูสักคำเนี่ย!” หมิวมันหันมาชี้หน้าฉันแล้วทำหน้าตาเอือมระอาพร้อมจับผิด ก็นะ...
“แค่เดินผ่านไปถ่ายรูปแถวนั้น โทษมัน อย่าลามมา”
พูดจบฉันก็ชี้เป้าไปที่ตัวปัญหาที่เพิ่งจะเดินเข้ามา แต่เชนมันกลับทิ้งตัวลงนั่งทำหูทวนลมไม่สนใจจนไอ้ดิวถึงกับกุมขมับโอดโอยออกมายกใหญ่
“มึงเดินผ่านไปถ่ายรูปแถวห้องลงทะเบียนแล้วลากยาวไปถึงห้องการเงินเลยเนี่ยนะ ทีหลังช่วยห้ามมันได้มั้ยว้าาา น้องพิ้งค์กูจีบโคตรนาน เปย์ไปก็ไม่ใช่น้อย เสียระบบหมดล๊าววววว อ๊ากกก T^T”
“พอ! งอแงเหี้ยไร ตั้งใจเรียนไป โตขึ้นจะได้ไม่ลำบาก”
ถึงจะพูดติดตลกออกมาขำๆ แต่แววตาเชนมันก็ดูเหมือนกำลังหนักใจกับอะไรบางอย่างจนเห็นได้ชัด
“สัส! บ่นเป็นพ่อพวกกูเลยนะ ไปเลยมึงสองตัวอ่ะ ซื้อกาแฟมาโด๊ปหน่อยดิ๊”
พอร์ชส่งเสียงอู้อี้ออกมาทั้งที่ยังหลับตาด้วยท่าทางล้าขั้นสุด ดูจากสภาพคงต้องสงเคราะห์มันหน่อยล่ะนะ น่าสงสารซะไม่มี
“อืม ขึ้นก่อนเลยถ้างั้น”
พรึ่บ!
ฉันตกปากรับคำแล้วคว้ากระเป๋าลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะ เชนมันก็ลุกเดินตามมาเงียบๆ ผิดวิสัยที่น่าจะร่าเริงพอได้แกล้งไอ้สามคนนั้นแบบนี้
“ไม่ถามนะ”
พอเดินมาได้สักพักฉันก็พูดลอยๆออกไป เพราะรู้ว่าเราต่างเข้าใจในความหมายนั้นดี ปกติฉันไม่ใช่คนที่ชอบจุ้นจ้านเรื่องของใครเท่าไหร่ ยิ่งเป็นเชนที่สนิทกว่าเพื่อนคนไหนยิ่งไม่ต้องขยายความอะไรให้ยืดยาว
“ก็ไม่ได้อยากให้รู้ป่ะวะ”
มันตอบกลับมาแล้วนิ่งไป ก่อนจะทิ้งตัวนั่งรอที่โต๊ะ out door หน้าร้านกาแฟด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย อืม หนักอยู่..แต่คงไม่ถึงตาย ไว้พร้อมเมื่อไหร่ก็คงเล่าเองนั่นแหละ
กริ๊ง กริ๊ง~
กรี๊ดดดดดดดดดด
‘รุ่นพี่คะ ขอถ่ายรูปด้วยได้มั้ยคะ’
‘ได้สิครับ อัพแล้วแท็กมานะ’
แชะ!
‘กล้องนี้ด้วยค่ะรุ่นพี่’
‘จ้ะ ได้จ้ะ มาพี่กดให้น้า’
แชะ!
‘อร๊ายยยย เค้าจับโทรศัพท์กูอ่ะมึงงง’
‘กรี๊ดดดด รุ่นพี่คะ จับเครื่องนี้ด้วยค่ะ’
‘ครับ ได้สิ’
‘กรี๊ดดดดด ขอบคุณนะคะ’
‘ชู่ววว ไม่ต้องกรี๊ดพี่ไม่ได้จี๊ดขนาดนั้น’
เฮ่อออออ!
ทันทีที่ผลักประตูเข้ามาในร้าน ก็เหมือนฉันก้าวข้ามพรมแดนความสงบสู่ความวุ่นวาย เสียงกรี๊ดและเสียงโหวกเหวกดังก้องไปทั่วจนร้านที่เคยเงียบสงบกลายเป็นหนวกหูจนน่าหงุดหงิด
แต่ถามว่าแปลกใจมั้ยก็ไม่ ถ้าให้เดาว่าคนที่มีอิทธิพลต่อเสียงหวีดจนแสบแก้วหูพวกนี้เป็นใคร คำตอบง่ายๆ ก็ Nightshade ไง แต่ถ้าให้เจาะจงว่าคนกลางวงล้อมนั่นคือใคร... จำเป็นต้องใส่ใจมั้ย? มาซื้อกาแฟรึเปล่า
พรึ่บบบ!
ฉันเดินฝ่าวงล้อมความวุ่นวายนั้นเข้ามาที่หน้าเคาน์เตอร์แบบเซ็งๆ ท่ามกลางสีหน้าไม่พอใจของเหล่าแฟนคลับ Nightshade ที่เสี้ยวนาทีพอฉันเดินปาดหน้าก็ส่งสายตาจิกกัดกันกะเอาตาย -.-
กลับมาที่คำถามเดิมต้องสนมั้ย? ก็ไม่อยู่ดีไง เพราะถ้าให้เดินอ้อมวงล้อมแปดร้อยเอเคอร์มาที่หน้าเคาน์เตอร์คงเหนื่อยตาย ถามจริง..เรียนโรงเรียนหญิงล้วน หรือย้ายมาจากดาวไหน ไม่เคยเจอผู้ชายกันรึไง
“สวัสดีค่ะ รับอะไรดีคะ ^_^”
“เอา..เอสเพรสโซ่โทนิค เมลโล่มอคค่า โคล่าเพรสโซ่ ฮันนี่บอมบ์ แล้วก็...”
“...แฟร์รี่เบอร์รี่”
ขวับ!
“ฮู่ววว อย่าได้ทักเชียว”
ฉันถอนหายใจแล้วพูดขัดออกไปพอเห็นว่าคนที่พูดแทรกขึ้นมาเป็นใคร จริงๆ หมอนี่นี่แหละเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้ฉันไม่ตื่นเต้นกับการเจอ Nightshade ตัวเป็นๆ เท่าไหร่ แถมยังเป็นคนแนะนำแฟร์รี่เบอร์รี่ให้ จนฉันติดงอมแงมจนถึงทุกวันนี้ไง
“ไอ้เชนไปไหน?”
“บอกว่าไม่คุยเว้ย”
ฉันสวนกลับไปแล้วเมินใส่ ไม่ใช่เพราะกลัวโดนแฟนคลับ Nightshade มาถล่มหรืออะไร แค่..ไม่รู้ต้องใช้คำไหน รำคาญที่รู้จักคนดังได้มั้ย? รู้สึกชีวิตมันจะวุ่นวายถ้าออกตัวว่าเคยซี้จนตบหัวกันได้
“หึ...แน่ใจ?”
แล้วร่างสูงที่ยืนข้างกันก็หลุดขำในลำคอเหมือนสะใจ ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากและเลิกคิ้วออกมายกใหญ่
“ไสหัวไปเลยไป”
ฉันกัดฟันพูดแล้วกลอกตาใส่ คิดว่าหมอนี่สำนึกมั้ยให้ทาย? ถึงจะยอมเดินห่างออกไป แต่ท่าทางที่ดูสะใจไม่น้อยมันบอกชัดว่าไอ้บ้านั่นกวนประสาทขนาดไหน แล้วไอ้แจ๊คเก็ตสีดำนั่น จะใส่ทุกวันไม่ซักเลยรึไง -_-?
กรี๊ดดดดด
‘รุ่นพี่คะ รุ่นพี่ยิ้มหน่อยน้าาา มองกล้องนี้หน่อยค่า~’
‘อร๊ายยย วันนี้รุ่นพี่เข้า Ztudio มั้ยคะ ออกมาข้างนอกบ้างสิคะ >_<”
‘เสาร์นี้รุ่นพี่ว่างมั้ยค้าาา~’
เออ เอาเข้าไป..ทั้งไอ้บ้านั่น ทั้งความเบียดเสียดหน้าเคาน์เตอร์ที่น่าอึดอัดจะตาย วันนี้มันจะมีใครทำอะไรถูกใจฉันบ้างมั้ยเนี่ย =_=?
ฉันยืนอุดอู้อยู่ข้างเคาน์เตอร์อย่างข่มใจ ไม่ใช่ไม่มีที่นั่งแต่มันไม่รู้จะนั่งยังไง เพราะไอ้วงล้อมตรงหน้านี่มันทั้งใหญ่และวุ่นวายจนโต๊ะกับเก้าอี้กระจัดกระจายมั่วไปหมด
“เอสเพรสโซ่โทนิค เมลโล่มอคค่า โคล่าเพรสโซ่ ฮันนี่บอมบ์ แฟร์รี่เบอร์รี่ได้แล้วค่าาา~”
“ช็อกโกแลตซิกเนเจอร์ได้แล้วค่าาา~”
เสียงตะโกนของพนักงานสองคนที่ดังแข่งกับเสียงกรี๊ดในร้านทำให้ฉันละสายตาจากความชุลมุนของใครต่อใครที่กำลังรุมคนกลางวงล้อมนั่นจนน่าจะขาดอากาศตายหันกลับมารับแก้วกาแฟที่สั่งไว้จนเต็มมือ
แต่แค่หมุนตัวก้าวขาออกจากเคาน์เตอร์มาได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีแรงปะทะมหาศาลจากคนที่พยายามจะแทรกตัวเข้าไปในวงล้อมนั้นแล้วโดนผลักจนเซถอยออกมากระแทกกับฉัน ลำพังแก้วกาแฟในมือฉันน่ะไม่เป็นไร แต่แก้วช็อกโกแลตของลูกค้าอีกคนที่โดนกระแทกเหมือนกันดันเสียหลักพุ่งเข้ามาคว่ำใส่จนฉันเปียกโชกในพริบตา
พลั่กกก! ซ่าาาา!
“จิ๊!”
แล้วความอดทนของฉันก็หมดลงทันที เพราะเกลียดที่สุดคือความสกปรกเลอะเทอะแบบนี้ และหนวกหูจนกำมือแน่นเลยล่ะตอนนี้ไอ้ภาพความวุ่นวายและอะไรที่มันขัดตาเพราะคนทำสำนึกไม่ได้เนี่ย
พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!
“โอ๊ย / ว๊าย / อร๊าย”
ฉันวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะที่ใกล้ที่สุดแล้วเดินฝ่าวงล้อมที่น่าอึดอัดเข้าไปจนถึงกลางวงจนเจอแผ่นหลังของร่างสูงในยูนิฟอร์มมหาลัย ก่อนจะคว้าแขนหมอนั่นอย่างแรงให้หมุนตัวหันกลับมาเผชิญหน้ากัน แล้วเอื้อมมือไปกระชากเนคไทดึงคอเสื้อหมอนั่นลงมาพร้อมกับตะคอกออกไป
“ไอ้บ้าเอ๊ย! ไปหว่านเสน่ห์ที่อื่นไม่ได้รึไง?!!”
“......”
แล้วความเงียบก็เข้าปกคลุมร้านทั้งร้านทันที เช่นเดียวกับที่คนหันมาก็ดูจะทำหน้างงๆ และดูอึ้งไป
“ขะ..ขอโทษครับ”
สายตาของคนตัวสูงก็ก้มลงสำรวจเสื้อสูทที่เปียกโชกของฉัน ก่อนจะมองย้อนไปข้างหลังจนน่าจะพอประเมินสถานการณ์ได้
“เจ็บตรงไหนมั้ย เอาของผมไปใส่ก่อนก็ได้”
หมับ! พรึ่บบบ!
“อุ่ย...”
ฉันปัดออกทันทีที่มือหนาถูกเลื่อนมาโดนตัว ก่อนที่หมอนั่นจะชะงักไปแล้วยกมือขึ้นสองข้างทำท่ายอมแพ้แต่ก็แอบอมยิ้มทำตาปริบๆ เหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร
จิ๊!
“อ้อ...”
ฉันจ้องลึกเข้าไปในดวงตาทะเล้นนั่นแล้วส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอออกไป แล้วร่างสูงก็เหมือนจะนึกได้ รีบกุลีกุจอถอดเสื้อสูทของตัวเองออกและยื่นมันมาให้ ฉันเลยสะบัดเนคไทหมอนี่ที่อยู่ในมือออกไป พร้อมถอดสูทที่โคตรจะเลอะของตัวเองปาใส่หมอนี่เต็มแรง
พรึ่บบบ!
“ไปซักมาคืนด้วย!”
“คะ..ครับ รับทราบครับ ^^”
พรึ่บบบ!
พูดจบฉันก็คว้าสูทตัวใหญ่ที่ถูกเสนอให้มาคลุมร่างตัวเองไว้ เพราะช็อกโกแลตมันซึมเข้ามาข้างในจนเกือบจะเห็นชั้นในอยู่ละ ก่อนจะหมุนตัวเดินฝ่าสีหน้าที่อึ้งทึ่งกันยกใหญ่ของคนรอบข้าง แต่ก็ถูกคว้าแขนไว้ด้วยมือใหญ่ที่แค่ออกแรงกระชากเบาๆ ก็รั้งตัวฉันไว้โดยไม่ต้องพยายามอะไร
หมับ! พรึ่บ!
ฉันสะบัดมือหนานั่นออกอีกครั้ง ไอ้หมอนั่นก็ทำตาปริบๆ แล้วส่งยิ้มกว้างหว่านเสน่ห์มาให้
“เอ่อ..ขอโทษจริงๆ นะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ ^^”
ยิ่งเห็นรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาบนหน้าหมอนั่น กับน้ำเสียงที่ดูร่าเริงไม่เป็นเดือดเป็นร้อนแบบนั้นฉันยิ่งหัวร้อนตัวสั่น ไอ้ท่าทางทีเล่นทีจริงที่ทำอยู่ คือหมอนี่สำนึกผิดสุดในชีวิตแล้วรึไง!
พรึ่บบบบ!!!
‘เฮ้ยยย O[]O’
ฉันกระชากเนคไทหมอนี่ แล้วดึงคอเสื้อลงมาอย่างแรงอีกครั้ง จนเหล่าแฟนคลับตาโตเดือดร้อนกันพัลวัน ก่อนจะกัดฟันพูดออกไปสั้นๆ
“น่ารำคาญ!!!”
พลั่กกกก!
พูดจบฉันก็ผลักร่างสูงเทอะทะนั่นออก แล้วเดินมาคว้าแก้วกาแฟเปิดประตูร้านออกมาอย่างไม่พอใจ
“ผอมลงรึไง เสื้อตัวใหญ่ขึ้นเยอะ”
เชนมันเข้ามารับแก้วกาแฟในมือฉันไป แล้วเอ่ยปากพูดบางอย่างที่ไม่เข้าหูชวนให้อารมณ์เสียยิ่งกว่าเดิมขึ้นมาใหม่
“อยากใส่ตาย” ฉันตอบกลับไปแล้วมองสภาพตัวเองที่โคตรเละจนอยากกลับไปอาบน้ำใหม่ -.-
“คาบเดียวเอง ทนไป”
พูดจบเชนมันส่งสายตาเป็นเชิงให้ติดกระดุมเสื้อสูทปิดส่วนที่เปียกโชกไว้
“พูดง่าย ไม่ลองโดนเองดูบ้าง”
ฉันบ่นๆ ออกไป แล้วเอื้อมมือมาติดกระดุมพร้อมกับจ้องหน้าเชนอย่างรู้อยู่แล้วว่ามันจะพูดอะไร แล้วก็ใช่อย่างที่คิดจนได้
“หมดฤดูจำศีลแล้วรึไง ถึงออกมาอาละวาดได้ ฮ่ะๆ”
แล้วเชนมันก็เดินขำนำไป ส่วนฉันก็ปรายตามองคนในร้านที่ก็กำลังมองมาด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้าซ้ำๆ อยู่ได้
เหอะ! ไม่ได้อยากรู้จักแต่ก็ดันจำได้
ประธานชมรมวารสาร...
ทายาทเจ้าของมหาลัย...
เลโอ Nightshade!
————————————————
รฐนนท์ ธีระธาดา (เลโอ)
Journal Club’s PRESIDENT
KING OF IE
กำลังศึกษา : คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ (ปี 2)
ทายาทเจ้าของมหาลัย Treatise Univ.
บุคลิก : เฟรนด์ลี่ น่ารัก คึกคัก รักทุกคน
โหมดธรรมดาใจดีขี้อ้อน connection เหลือล้น
โหมดทำงานจริงจังจนเปลี่ยนเป็นคนละคน (สมาชิกชมรมรู้ดี -_-)
งานอดิเรก : ไม่มี
ของสะสม : ไม่มี
สเปคสาวในฝัน : ไม่มี เอ้ย จริงๆ ก็มี แต่ไม่บอกหรอก
ปล.ไม่ต้องกรี๊ดพี่มาทุกวันนนน รวั๊กนะะะ
————————————————
ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร ถ้ามันต้องแลกกับการทำไปเพื่อรักษาไว้ซึ่งความเคารพ ศรัทธา และความถูกต้องที่เขามี สำหรับคนที่รักเขาอย่างฉัน...มันยอมแลกได้ทั้งนั้น
ฉัน...สาวน้อยดาวเสาร์กับเรื่องวุ่นๆของ "เทพบุตรดาวพุธ" ผู้ชายถืออาวุธที่แม่หมอทำนายว่าเป็น "เนื้อคู่" ในใจก็คิดมาตลอดเลยนะว่าต้องเป็นคนในเครื่องแบบแน่ๆ แต่แล้วอยู่ๆดันหลงเข้าไปในดงมาเฟียได้ไงไม่รู้...
“เป็นอย่างที่เคยเป็นมันดีแล้ว” ประโยคปฎิเสธสั้นๆ ดังก้องในหัวฉันตลอดเวลาจนถึงนาทีสุดท้ายที่บินกลับมาตามคำสั่งที่เจ้าตัวน่าจะลืมมันไป แต่ใครจะไปรู้ว่าวันนึง คนที่เคยปฏิเสธ..จะเป็นฝ่ายมาขอคบกับฉันซะเอง!
ใช้ชีวิตสงบสุขมาได้ตั้งนาน แต่กลับต้องมาอึมครึมเพราะดันไปมีเอี่ยวกับสมาชิกแก๊งค์เทพเจ้าประจำมหาลัย แถมไอ้บ้านั่นยังพ่วงตำแหน่ง "ว่าที่ผู้นำแก๊งค์มาเฟีย" ที่กำลังโดนตามล่าด้วยไง เหอะๆ แบบนี้ฉันจะมีชีวิตรอดต่อไปมั้ยให้ทาย?
แอบหื่นไปมั้ยถ้าจะบอกว่าวันเกิดปีนี้ ของขวัญอย่างเดียวที่ฉันอยากได้คือจูบที่แสนเต็มใจจากเขา... ♥ รุ่นพี่รันเวย์ของฉัน ♥ แล้วใครจะไปคิดว่าพระเจ้าจะจัดให้ตามนั้น แถมยังไม่ใช่แค่จูบ! ฉันได้รุ่นพี่ตัวเป็นๆเข้ามาอยู่ในชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นมันบ้ามากที่จะบอกว่าอยู่ๆฉันก็ได้เป็นผู้หญิงของเขาด้วย!
“ที่พูดนี่คิดรึยัง?!” พอพายุ Nightshade พูดมาแบบนั้น ฉันเลยพยักหน้าออกไปช้าๆ แล้วตอบกลับไปอย่างมั่นใจในคำถามนั้นเหมือนกัน “คิดแล้ว...ฉันว่าแย่กว่าการเป็นผู้หญิงของนาย คือเคยรักนายแต่จำมันไม่ได้มากกว่า”
เสิ่นชิงชิว หลานสาวของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองไห้ คบหาอยู่กับลู่จั๋วมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ความจริงใจของเธอกลับสูญเปล่า ลู่จั๋วปฏิบัติกับเธอเพียงในฐานะหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง และทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน โดยไปหารักแรกของเขา หลังจากเลิกรากันอย่างเด็ดขาด เสิ่นชิงชิวก็กลับมามีสถานะเป็นสาวรวยอีกครั้ง ได้รับมรดกมูลค่าหลายร้อยพันล้าน และเริ่มต้นชีวิตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่แล้วมักจะมีคนโผล่มาทไให้กับเธอหงุดหงิดอยู่เสมอ! ขณะที่เธอกำลังจัดการกับผู้ร้าย คุณชายฟู่ผู้มีอำนาจนั้นก็ปรบมือและโห่ร้องว่า "ที่รักของฉันสุดยอดมากจริงๆ"
ในชาติก่อน นางได้ต่อสู้เพื่อประเทศชาติเป็นเวลาห้าปี แต่ความดีความชอบทางการทหารกลับถูกน้องหญิงยึดไป คู่หมั้นที่นางรักหมดใจนั้นกลับนิ่งเฉยและร่วมมือกับอีกฝ่ายผลักนางตกลงสู่ห้วงลึกจนต้องเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจในคืนที่หนาวเย็น หลังจากได้เกิดใหม่ นางสาบานว่าจะทำให้ทุกคนที่รังแกนางได้รับผลกรรมที่สาสม เมื่อเผชิญหน้ากับครอบครัวที่เสแสร้งและผู้ชายเจ้าชู้ นางยิ้มเยาะ : ความดีความชอบทางทหาร? รางวัล? คู่หมั้น? เอาไปให้หมด นางหันหลังกลับและคุกเข่าในงานเลี้ยงในวังอย่างน่าตกใจโดยชี้ตรงไปยังมุมมืดที่มีอ๋องอวี้นั่งอยู่บนรถเข็น“ขอฝ่าบาททรงโปรดพระราชทานการสมรสระหว่างหม่อมฉันกับอ๋องอวี้เพคะ” ทุกคนต่างตกตะลึง อ๋องอวี้เซียวจือ ขาทั้งสองข้างใช้การไม่ได้และมีนิสัยเย็นชา เป็นคนที่ทุกคนหลีกเลี่ยงเสมือนปีศาจที่มีชีวิต ทุกคนหัวเราะเยาะนางว่าคงบ้าไปแล้ว ถึงรนหาที่ตายเช่นนี้ แต่ไม่มีใครรู้ว่านางเห็นถึงความโดดเด่นและพลังที่ซ่อนอยู่ลึกในตัวชายคนนี้ นางช่วยให้เขาฟื้นฟูความแข็งแกร่งและรักษาขาที่เป็นพิการ เขาสัญญาว่าจะให้ชีวิตที่มั่นคงแก่นางและเป็นที่พึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดให้นาง เมื่อน้องหญิงที่แอบอ้างนำความดีความชอบทางทหารของนางไปอวดความเก่งกล้า และแม่แท้ ๆ ยังคงใช้กลอุบายควบคุมชะตากรรมของนาง… นางและอ๋องอวี้ร่วมมือกันวางแผนอย่างรอบคอบทุกขั้นตอน เปิดโปงกลโกงและแสดงความกล้าหาญในสนามรบ! จนกระทั่งอ๋องอวี้ยืนขึ้นได้อีกครั้งและมีอำนาจครอบครองราชสำนัก จนกระทั่งนางแสดงตราประทับที่แท้จริงข และให้ทหารทั้งหลายยอมรับ ทุกคนเพิ่งรู้สึกตระหนักว่า คนที่พวกเขาเคยทิ้งไปไม่ต่างจากขยะนั้น ทั้งคู่ได้จับมือกันแล้วครองแผ่นดินไว้ด้วยแล้ว
เพียงดื่มน้ำชาจอกแรกที่ผู้เป็นมารดาเลี้ยงมอบให้ซุนฮวาก็กลายเป็นสตรีร้ายกาจ ปีนขึ้นเตียงท่านอ๋องผู้เป็นคู่หมายของน้องสาวจำใจกล้ำกลืนสถานะพระชายาตัวแทนเป็นเพียงเงาของผู้อื่นในสายตาของสวามี
ซ่งจิ่งถังรักฮั่วอวิ๋นเซินอย่างลึกซึ้งนานถึงสิบห้าปี แต่ในวันที่เธอคลอดลูกกลับตกอยู่ในอาการโคม่า ขณะที่ฮั่วอวิ๋นเซินกระซิบข้างหูเธออย่างอ่อนโยนว่า "ถังถัง อย่าฟื้นขึ้นมาอีกเลย สำหรับฉัน เธอไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว" ซ่งจิ่งถังเคยคิดว่าสามีของเธอเป็นคนอ่อนโยนและรักใคร่ตัวเอง แต่จริงๆ แล้วเขามีแต่ความเกลียดชังและใช้ประโยชน์จากเธอเท่านั้น และลูกๆ ที่เธอเสี่ยงชีวิตให้กำเนิด กลับเรียกหญิงสาวคนอื่นว่า 'แม่' ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนต่อหน้าที่เตียงคนไข้ของเธอ เมื่อซ่งจิ่งถังฟื้นขึ้นมา สิ่งแรกที่เธอทำคือการตัดสินใจหย่าขาดอย่างเด็ดขาด! แต่หลังจากหย่าแล้ว ฮั่วอวิ๋นเซินจึงเริ่มตระหนักว่า ชีวิตที่ผ่านมาของเขาเต็มไปด้วยเงาของซ่งจิ่งถัง หญิงคนนี้กลายเป็นความเคยชินของเขา เมื่อพบกันอีกครั้ง ซ่งจิ่งถังปรากฏตัวในที่ประชุมในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ เธอเปล่งประกายจนทุกคนต้องหันมามอง หญิงคนนี้ที่เคยมีแต่เขาในใจ บัดนี้กลับไม่แม้แต่จะมองเขาอีก ฮั่วอวิ๋นเซินคิดว่าเธอแค่ยังโกรธอยู่ ถ้าเขาเอ่ยปากพูดนิดหน่อย ซ่งจิ่งถังจะต้องกลับไปหาเขาแน่นอน เพราะเธอรักเขาหมดหัวใจ แต่ต่อมา ในงานหมั้นของผู้นำคนใหม่ของตระกูลเพ่ย เขาเห็นซ่งจิ่งถังสวมชุดแต่งงานหรูหรา ยิ้มอย่างเปี่ยมสุขและกอดแน่นเพ่ยตู้พร้อมสายตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ ฮั่วอวิ๋นเซินอิจฉาจนแทบคลั่ง เขาตาแดงก่ำและบีบแก้วจนแตก เลือดไหลไม่หยุด...
ในชาติก่อน ซูเยว่ซีถูกอวิ๋นถังยวี่ทำร้ายจนตาย ทำผิดต่อครอบครัวของท่านตา และตัวเองยังถูกทรมานจนตาย เกิดใหม่ครั้งนี้ นางตั้งใจจะจัดการกับพวกผู้ชายชั่วและหญิงเลวจัดการพ่อชั่ว เพื่อปกป้องแม่และครอบครัวของท่านตาให้ปลอดภัย พวกผู้ชายชั่วเข้ามาใกล้งั้นเหรอ นางจะใช้แผนให้เขาเสียชื่อเสียง หญิงตีสองหน้าเก่งชอบทำตัวอ่อนแองั้นเหรอ นางจะเปิดโปงธาตุแท้อีกฝ่ายและไล่นางออกจากจวนซู! ในชาตินี้ สิ่งที่นางต้องทำคือการจัดการพวกปลวกที่แอบแฝงอยู่ในราชสำนัก แก้แค้นคนทรยศ เพื่อปกป้องท่านตาที่เป็นคนซื่อสัตย์ นางใช้มือเรียวเป็นเครื่องมือ ก่อให้เมืองจิงเกิดความวุ่นวาย แต่ท่ามกลางความโกลาหล นางได้พบกับองค์ชาย ผู้ที่ทุกคนเล่าลือว่าเป็นคนพิการ “อวิ๋นเฮิง เจ้าจะมาขวางข้าหรือ” อวิ๋นเฮิงยิ้มเบาๆ “ไม่ ข้าตั้งใจจะมาช่วยเจ้า”
ความรักที่ซ่อนเร้นของสาวน้อยเริ่มต้นในวันที่ทั้งสองได้พบกันในการพบกันที่ถูกวางแผนมาอย่างยาวนาน ทว่าเด็กสาวที่ครอบครัวรับมาเลี้ยงกลับแย่งชิงครอบครัวและเด็กหนุ่มไปโดยไม่รู้สึกเกรงกลัว เมื่อโตขึ้น เธอใช้โอกาสการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์เพื่อแย่งชิงตำแหน่งภรรยาของชายคนนั้น ไม่ยอมถอยแม้แต่นิดเดียว ฟู่เป่ยชวนกอดพี่สาวของเธอไว้ในอ้อมแขน ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง “เธอทำให้ฉันรู้สึกสะอิดสะเอียน” ซูชิงเฉินรู้สึกปวดท้องเหมือนมีบางอย่างในร่างกายของเธอค่อยๆ เลือนหายไป เธอยิ้มเล็กน้อย น้ำเสียงแน่วแน่ “แน่นอน ฉันจะไม่มีวันปล่อยมือ ถึงจะต้องตายก็ตาม” ไม่นานนัก ซูชิงเฉินก็เหมือนจะหายไปจริงๆ จากนั้นเป็นต้นมา ไม่มีใครรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ในยามค่ำคืน ฟู่เป่ยชวนมักจะได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งพูดกับเขาว่า “ถ้าฉันไม่เคยรักเธอเลยก็คงจะดี” ห้าปีต่อมา ซูชิงเฉินกลับมาพร้อมกับเด็กคนหนึ่ง กลับมาในสายตาของคนทั่วไปอีกครั้ง ...
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY