ชีวิตของลิลลี่เป็นชีวิตที่ใครหลาย ๆ คนใฝ่ฝันอยาจะเป็นแบบเธอ แต่คนอื่นไม่เคยรู้เลยว่ามันโดดเดี่ยวมากแค่ไหน เกิดในตระกูลหมื่นล้านครอบครัวค่อย ๆ จากไปทีละคน อายุเพียงยี่สิบอาชายผู้ที่เป็นญาติผู้ใหญ่คนสุดท้ายที่เหลืออยู่ดวลจากไป ลิลลี่ ลลิลิล จึงกลายเป็นทายามเพียงคนเดียวของตระกูล มีแล้วอย่างไรสุดท้ายคนเราต้องจากไป มีเงินหมื่นล้านยื้อชีวิตใครไม่ได้สักคน ลิลลี่ในวัยยี่สิบปีเธอรู้ว่าธุรกิจของตระกูลไม่อาจสานต่อได้ ขายหุ้นให้คนอื่นรอรับเพียงเงินปันผลก็เพียงพอ ยี่สิบสามเรียนจบปริญญาตรีด้านแฟชั่นก่อนเรียนต่อปริญาเอก ปริญญาโท ในปีที่สามสิบของชีวิตลิลลี่ประสบความสำเร็จในด้านดีไซเนอร์ เป็นดีไซเนอร์ที่มีชื่อเสียง ยังไม่ทันได้ใช้ชีวิตหลังเรียนจบก็เสียชีวิตจากความเครียดที่สะสมมาตลอด คิดว่าหลังความตายคงจะถูกบรรพบุรุษสาปแช่งที่ดูแลตระกูลไม่ได้ ใครจะรู้ว่าลืมตาแล้วจะมาอยู่ในร่างของคนอื่น วันที่เจ็ดเดือนมกราคมปี 1980 ลิลลี่ตื่นขึ้นในในร่างของลูกสาวคนโตของบ้านฉิน ฉินเสี่ยวหราน มีน้องสาวหนึ่งคน พ่อเป็นทหารหารเพิ่งได้รับเลื่อนขั้นเป้นพันตรี แม่เป็นหญิงในชนบท ฉินเสี่ยวหรานเป็นนักเรียนมัธยมปลายชั้นปีสุดท้าย ส่วนฉินเสี่ยวหลิงเป็นนักเรียนมัธยมต้นชั้นปีสุดท้ายที่จะขึ้นมัธยมปลาย
ชีวิตของลิลลี่เป็นชีวิตที่ใครหลาย ๆ คนใฝ่ฝันอยาจะเป็นแบบเธอ แต่คนเหล่านั้นไม่เคยรู้เลยว่ามันโดดเดี่ยวมากแค่ไหน เกิดในตระกูลเศรษฐีหมื่นล้าน แต่คนในครอบครัวค่อย ๆ จากไปทีละคน อายุเพียงยี่สิบ อาชายผู้ที่เป็นญาติผู้ใหญ่คนสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็ด่วนจากไป ลิลลี่ ลลิลิล จึงกลายเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูล
มีเงินแล้วอย่างไร สุดท้ายคนเราก็ต้องจากไป มีเงินหมื่นล้านยื้อชีวิตใครไม่ได้สักคน ลิลลี่ในวัยยี่สิบปี เธอรู้ว่าธุรกิจของตระกูลไม่อาจสานต่อได้อีก ขายหุ้นให้คนอื่น รอรับเพียงเงินปันผลก็พอ
อายุยี่สิบสามเรียนจบปริญญาตรีด้านแฟชั่น ก่อนเรียนต่อปริญญาโท ปริญญาเอก ในปีที่สามสิบของชีวิต ลิลลี่ประสบความสำเร็จในด้านดีไซเนอร์ เป็นดีไซเนอร์ที่มีชื่อเสียง
ยังไม่ทันได้ใช้ชีวิตหลังเรียนจบ เธอก็เสียชีวิตจากความเครียดที่สะสมมาตลอด คิดว่าหลังความตายคงจะถูกบรรพบุรุษสาปแช่งที่ดูแลตระกูลไม่ได้ ใครจะรู้ว่าลืมตาแล้วจะมาอยู่ในร่างของคนอื่น
วันที่เจ็ดเดือนมกราคมปี 1980 ลิลลี่ตื่นขึ้นในในร่างของลูกสาวคนโตของบ้านฉิน ชื่อฉินเสี่ยวหราน มีน้องสาวหนึ่งคน พ่อเป็นทหารเพิ่งได้รับเลื่อนขั้นเป็นพันตรี แม่เป็นหญิงชาวบ้านในชนบท
ฉินเสี่ยวหรานเป็นนักเรียนมัธยมปลายชั้นปีสุดท้าย ส่วนน้องสาวฉินเสี่ยวหลิงเป็นนักเรียนมัธยมต้นชั้นปีสุดท้ายที่จะขึ้นมัธยมปลาย
ขบวนรถไฟจอดลงที่สถานี ฉินเสี่ยวหรานที่ในร่างเป็นลิลลี่ยังไม่ทันได้สติต้องลุกขึ้นเดินออกจากรถไฟ ความทรงจำต่าง ๆ ทำให้หญิงสาวได้รู้ว่าฉินเสี่ยวหรานเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ แต่ไม่มีใครรู้ แม้กระทั่งน้องสาวที่นั่งตรงข้ามกันยังไม่ได้สังเกต และเธอก็เข้ามาอยู่ในร่างแทน
สี่คนพ่อและลูกเดินเท้าตามกันไปยังกองทัพที่อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ ระหว่างทางมีเสียงหัวเราะของฉินเสี่ยวหลิงลูกสาวคนเล็กของบ้าน ฉินหานผู้เป็นพ่อเหลือบมองลูกสาวคนโตที่เงียบผิดปกติ
ผู้เป็นแม่มีอาการไม่ต่างกันรีบถามลูกสาว "เสี่ยวหรานลูกเป็นอะไรหรือ เหนื่อยหรือไม่ ให้พ่อของลูกหาที่นั่งก่อนไหม"
ฉินเสี่ยวหรานส่ายหน้า "หนูแค่เหนื่อยจากการนั่งรถไฟ แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ อีกไม่ไกลจะถึงกองทัพแล้ว พวกเราอย่าเสียเวลาเลยค่ะ" เพียงแค่คิดอะไรไปเรื่อยจึงไม่ได้สนใจบทสนทนานัก
"ใช่ อีกไม่ไกลจะถึงแล้ว อดทนอีกหน่อยนะลูก"
ฉินหานผู้เป็นพ่อได้เลื่อนขั้นเป็นพันตรี และสวัสดิการที่ได้รับนอกจากเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีบ้านพักที่สามารถพาครอบครัวย้ายมาอยู่ได้ เพียงแต่เป็นบ้านหลังเล็กเหมาะกับการอยู่ไม่กี่คน
ฉินเสี่ยวหรานพยักหน้า มือที่ถือกระเป๋าถูกเปลี่ยน "พ่อคะ แล้วโรงเรียนของหนูกับน้องล่ะคะ พวกเรายังจะได้เรียนต่ออยู่ใช่ไหม ปีนี้หนูจะเรียนจบแล้ว"
ไม่ว่าจะตอนนี้หรือในอนาคต การเรียนเป็นสิ่งสำคัญมาก ยิ่งมีความรู้มากการหางานค่อนข้างง่าย ยังดีที่พ่อของฉินเสี่ยวหรานเป็นทหาร ทำให้เธอกับน้องสาวได้เรียนหนังสือ เพราะทั่วไปแล้วคนที่ได้เรียนจะเป็นผู้ชายเนื่องจากค่านิยมที่ชายเป็นใหญ่
"ลูกไม่ต้องห่วง พ่อให้เพื่อนถามให้แล้ว โรงเรียนที่นี่ย้ายมาได้และยังอยู่ติดกับกองทัพ ไม่ต้องตื่นเช้าเดินเข้าไปเรียนในอำเภออีก นอกจากเรียนและงานบ้าน ลูกก็ไม่ต้องทำอย่างอื่น" ฉินหานบอก เขาสะพายกระเป๋าเป้ลายทหาร มือสองข้างยังถือกระเป๋าของภรรยา
ฉินเสี่ยวหลิงเอ่ยด้วยความสดใส "ดีจังเลยค่ะ แต่ก่อนต้องตื่นเช้ามาทำงานบ้าน ทำอาหาร กว่าจะเสร็จ กินข้าวและไปโรงเรียน กลับมาต้องทำงานบ้านกว่าจะได้นอนก็เช้าแล้ว"
"ใช่"
จ้าวหยู่ฟางส่ายหน้าก่อนเอ่ยแซวลูกสาว "ลูกนอนดึกทุกวัน แต่ก่อนตื่นเช้าตลอดไม่ใช่หรือ บอกให้นอนต่อก็ไม่ยอมนอน"
"โธ่ แม่คะ"
คนที่เหลือต่างหัวเราะ ฉินเสี่ยวหรานมองไปข้างหน้า ที่จริงถ้าแม่ไม่ใช่คนที่ต้องมาทำงานบ้าน สองพี่น้องฉินคงไม่ตื่นมาทำ แต่ทั้งสองต้องทำไม่อย่างนั้นแม่คงได้ทำเอง
เมื่อมองรอบตัว พบว่าที่นี่ไม่ค่อยมีคนมากนัก อาจเพราะเป็นมณฑลกุ้ยโจวที่ค่อนข้างยากจน และเศรษฐกิจยังไม่ค่อยพัฒนา ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน และเป็นมณฑลที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล แต่ถึงจะเป็นมณฑลขนาดเล็ก ที่นี่ยังมีกองทัพทหารที่คอยช่วยเหลือคนกุ้ยโจวอยู่
กองทัพหวั่นอิ๋น มีผู้บังคับบัญชาสูงสุดคือท่านนายพลเว่ย เว่ยโม่หาน
ฉินเสี่ยวหรานกำลังนึกถึงเรื่องต่าง ๆ รู้ตัวอีกทีก็มาถึงหน้ากองทัพหวั่นอิ๋นแล้ว มองภายนอกจะเห็นได้ว่าเป็นกองทัพใหญ่ เพราะกำแพงที่ล้อมเอาไว้ไม่รู้ว่ามันไปสุดที่ไหน
นายทหารผู้เฝ้าหน้าประตูเดินออกมาหา พอเห็นฉินหานที่ได้รับยศใหม่ก็รีบเอ่ยแซว "ก่อนจะกลับไป นายบอกว่าไปรับลูกสาวกับภรรยามาที่นี่ คาดไม่ถึงว่าไปไม่กี่วันก็กลับมาแล้ว นี่หรือลูกสาวของนาย น่ารักอย่างที่พูดจริง ๆ"
ฉินหานหัวเราะ "แน่นอน ภรรยาของฉันจ้าวหยู่ฟาง ลูกสาวคนโตฉินเสี่ยวหราน และลูกสาวคนเล็กฉินเสี่ยวหลิง ทุกคนนี่ร้อยโทต้าถงเพื่อนของพ่อเอง" เขาแนะนำลูกสาว
"พี่สะใภ้ฉิน หลานสาว"
"คุณลุง"
"สวัสดีค่ะ"
"สวัสดี ๆ เอาล่ะ นายให้พี่สะใภ้กับหลานลงชื่อก่อน กุญแจแขวนไว้หน้าบ้าน พากันไปพักเถอะ เดินทางเหนื่อยแล้ว" ร้อยโทต้าถงรีบเอ่ย อีกไม่นานก็ใกล้ถึงเวลาปิดประตูแล้ว
"ได้"
จัดการลงชื่อเข้ากองทัพเรียบร้อย ฉินหานพาภรรยากับลูกสาวเดินไปทางบ้านพักที่ลงชื่อจองเอาไว้ สิ้นปีที่ผ่านมามีทหารหลายคนที่ได้เลื่อนตำแหน่ง ฉินหานทำงานในกองทัพตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบ ตอนนี้ใกล้ห้าสิบแล้ว การเลื่อนขั้นของเขาจึงเป็นสิ่งที่ไม่ค้านสายตาคนอื่น
ฉินเสี่ยวหรานเดินตามพ่อของเธอไปยังบ้านพักที่ว่า ทางเดินมีเสาไฟให้แต่ไม่ได้เปิด และทางเดินยังเป็นอิฐที่มีคราบตะไคร่น้ำ หากเดินไม่ระวังอาจลื่นล้มได้ กว่าจะเข้ามาถึงบ้าน นับว่าอยู่ห่างจากประตูทางเข้าพอสมควร
"บ้านหลังนี้"
บ้านหลังใหม่ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงบ้านพักที่ฉินหานได้รับสวัสดิการมา แต่กลับกลายเป็นบ้านหลังใหม่ของทุกคน ในบ้านถูกทำความสะอาดหลังลงชื่อจองบ้านเอาไว้ ไม่ไกลกันยังมีบ้านพักของคนอื่นอีก หน้าบ้านไม่มีรั้วแต่ว่ามีโต๊ะหินอ่อนเก่า ๆ อยู่ใต้ต้นไม้หน้าบ้าน
ข้างในมีสามห้องนอนและหนึ่งห้องเก็บของที่เล็กมาก ห้องนอนใหญ่กลายเป็นห้องนอนของพ่อและแม่ ส่วนห้องนอนเล็กอีกสองห้องฉินเสี่ยวหรานและฉินเสี่ยวหลิงแยกกันนอน ไม่ต้องนอนรวมกันเหมือนอยู่ที่บ้านเดิมอีกแล้ว
"เก็บของเสร็จแล้วเตรียมชุดไปอาบน้ำ ที่นี่ไม่มีห้องน้ำ ต้องไปอาบห้องรวมที่อยู่ห่างจากที่นี่" ฉินหานบอกลูกสาวก่อนเดินเข้าห้องนอนของตัวเองไป
ฉินเสี่ยวหรานสำรวจในห้อง มีเตียงนอนเป็นเตียงเตา กับตู้เล็ก ๆ ให้เก็บของ ไม่มีตู้เสื้อผ้า แต่มีราวให้แขวนเสื้อผ้า ถือว่ามันยังดีกว่าไม่มีอะไรให้และคงต้องให้พ่อช่วยทำโต๊ะกับเก้าอี้ให้
"คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าห้องนอนที่นี่ยังใหญ่กว่าห้องนอนที่บ้านฉินอีก เสียดายที่เธอไม่ได้อยู่เริ่มต้นใหม่ที่นี่ แต่ไม่เป็นไร ฉันจะช่วยเธอดูแลครอบครัวเอง" ฉินเสี่ยวหรานพึมพำ
เธอเป็นผู้หญิงที่โหยหาครอบครัว เมื่อได้รับโอกาสครั้งนี้ จึงไม่พลาดที่จะรักษาพวกเขาเอาไว้
เสียงเคาะประตูก่อนเปิดออกทำให้ฉินเสี่ยวหรานหันมา "พี่คะ เสร็จหรือยังฉันอยากอาบน้ำไม่ไหวแล้ว" เป็นฉินเสี่ยวหลิงที่โผล่หัวเข้ามาด้านใน
"อืม"
ไม่มีอะไรให้เก็บทั้งนั้น กระเป๋าที่เอามามีเพียงเสื้อผ้าและอุปกรณ์การเรียนไม่กี่อย่าง ฉินเสี่ยวหรานหยิบเสื้อผ้าในกระเป๋าก่อนจะเดินออกนอกห้อง ตรงข้ามจะเป็นห้องนอนของน้องสาว
ที่นี่ไม่มีห้องครัว แต่ว่าหลังบ้านมีที่ให้ทำอาหาร อยู่ติดหลังห้องนอนพ่อแม่ ฉินเสี่ยวหรานเดินออกนอกบ้านก่อนจะลงกลอนประตูเพื่อไปอาบน้ำ
แป้งร่ำสาวใหญ่วัยสี่สิบ ชีวิตของเธอเต็มไปด้วยงานจนกระทั่งเพิ่งรู้ตัวว่าไม่มีใครเคียงข้าง หลังจากทบทวนชีวิตดีแล้วจึงยื่นขอลาออกจากบริษัท และนับตั้งแต่นั้นมาชีวิตของเธอก็เปลี่ยน ระบบเส็งเคร็งนี่คืออะไร!
เป็นเพียงขยะไร้ค่าของตระกูลจะสู้หลานชายสุดที่รักของคุณปู่ได้อย่างไร ติณณ์เดินออกจากตระกูลไปยังประเทศเกรย์ดัชตามคำบอกเล่าของเพื่อนสาว แต่เข้าประเทศเขาวันแรกดันปากดีใส่องค์รัชทายาทจนโดนหมายหัว
แป้งร่ำสาวใหญ่วัยสี่สิบ ชีวิตของเธอเต็มไปด้วยงานจนกระทั่งเพิ่งรู้ตัวว่าไม่มีใครเคียงข้าง หลังจากทบทวนชีวิตดีแล้วจึงยื่นขอลาออกจากบริษัท และนับตั้งแต่นั้นมาชีวิตของเธอก็เปลี่ยน ระบบเส็งเคร็งนี่คืออะไร! .
ซุนลี่เป็นหนึ่งเกรียงไกร แผ่นดินยิ่งยงไพศาล ใต้หล้าสยบชั่วกาล ว่านอี้ครองราชย์...ประชาร่มเย็น ว่านอี้ครองราชย์...ประชาร่มเย็น คำนี้มีความจริงเจือจางอยู่กี่มากน้อยกันแน่? เรื่องเหล่านี้คงเป็นเพียงบทเรียนในวังหลังที่จารึกให้คนท่องจำ ไปอย่างสูญเปล่า เพราะสำหรับตัวนางแล้ว คำกล่าวนี้ดูห่างไกลความจริง จนสุดหล้าทีเดียว
อดีตที่ยากจน แม่เลี้ยงสามีที่เอาเปรียบบ้านใหญ่ บ้านรอง ของพวกเธอต้องชดใช้!
ตายด้วยเงื้อมมือของเพื่อนร่วมสาขา เนเน่ เนตรนภา จึงทะลุมิติมาอยู่ในร่างเด็กน้อยวัยสิบหนาวที่ป่วยตาย นามเซี่ยซูเหยา มีบิดา พี่สาว พี่ชายที่เป็นห่วงนางมากกว่าสิ่งใด
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
เสียงกระเส่าในยามค่ำคืน ไม่ได้มีแค่เสียงเดียวแต่มีถึงหลายคน สตรีนางน้อยที่อยู่บนเตียงหันมองสตรีที่จูบแม่ทัพปีศาจ นางพึ่งจะเป็นมือใหม่ที่ใหม่จนไม่กล้าทำสิ่งใด ได้แต่มองเขาเสพสมสตรีอื่นต่อหน้านาง เสียงเนื้อกระทบเนื้อที่ดังไม่หยุด ยิ่งทำให้นางประสาทเสีย หากแต่ว่าหากนางยังนิ่งมองอยู่เช่นนี้ เกรงว่าพรุ่งนี้จะไม่มีที่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จัดเลยสิจะรออะไร ใช่ว่านางจะทำไม่เป็นเสียหน่อย
รูรักอันบริสุทธิ์เมื่อถูกปลายลิ้นร้อนของชายหนุ่มเป็นครั้งแรกดูเหมือนว่าจะตอบสนองได้เป็นอย่างดี ร่องของนางขมิบรัว สะโพกของนางยกขึ้นยังเด้งเข้าไปหาปากร้อน ฝ่าบาทเก่งกาจยังสามารถแยงลิ้นเข้าไปในรู อันซูเซี่ยถูกทาขี้ผึ้งหอมรอบปากทาง ขี้ผึ้งนี้นอกจากจะมีรสชาติดีส่งเสริมรสน้ำรักของนางแล้วยังมีคุณสมบัติอันวิเศษ แม้จะเป็นหญิงพรหมจรรย์ก็จะไม่รู้สึกเจ็บปวด และเผลอทำร้ายฝ่าบาทจนบาดเจ็บ อี้หลงดูดแบะขาของนางให้กว้างขึ้นแล้วรวบขึ้นไปให้ขาชี้ฟ้า จากนั้นมุดใบหน้าลงมาอย่างหลงใหล “หอมอร่อยเหลือเกิน รู้สึกเหมือนดื่มสุราไม่เมามาย อ้า ข้าชอบยิ่ง หอยของฮองเฮาช่างใหญ่โต ดูโคกเนื้อโยนีแทบจะล้นริมฝีปากของข้า สีแดงเช่นนี้คงไม่เคยผ่านสิ่งใดมาก่อน บริสุทธิ์ยิ่งนัก ซี้ด” นางดิ้นเร่าอยู่ในปาก ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรนอกจากเชื่อฟังในคำของฝ่าบาท “อืม อร่อยยิ่งนัก อ้า ข้าไม่ไหวแล้วขอดูหน้าฮองเฮาของข้าหน่อยเถิด” ดูเหมือนว่าร่องรักของนางยังขมิบ นางไม่อยากให้เขาเงยหน้าขึ้นจากตรงนั้นด้วยซ้ำ อยากถูกปลายลิ้นเลียเช่นนั้นจนกว่านางจะได้รับการปลดปล่อย “อ้า ฝ่าบาทเพคะ อย่าหยุดเพคะ อื้อ” นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักสำหรับผู้ใหญ่ มี 2 เล่มจบ เป็นนิยายแบบพล็อตอ่อน เน้นฉากรักบนเตียงของตัวละครเป็นหลัก เหมาะสำหรับผู้มีอายุ 25 ปีขึ้นไป ไม่เหมาะสำหรับสายคลีนใส ๆ นะคะ หากใครไม่ชอบอ่าน NC เยอะ ๆ กรุณาเลื่อนผ่าน เพราะเรื่องนี้เน้น NC เป็นหลักค่ะ ซีไซต์ นักเขียน
คุณท่านเสียว คุณชายยอดเยี่ยมที่โด่งดังในเมือง B ได้แต่งงาน แต่มีข่าวลือว่าเจ้าสาวมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดและมีฐานะต่ำต้อย สามปีมานี้ เขาปฏิบัติกับเธออย่างเย็นชาและทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เจียงซิงซิงอดทนกับความเย็นชาอย่างเงียบ ๆ เธอยังคงรักเขาอย่างสุดหัวใจ เสียสละความนับถือตนเองและยอมละทิ้งตัวตนของเธอเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง สุดที่รักของเขากลับประเทศ เขได้สารภาพว่าเขาแต่งงานกับเธอเพียงเพื่อช่วยชีวิตคนรักในใจของเขาเท่านั้น เจียงซิงซิงเสียใจและผิดหวังมาก เธอจึงเซ็นเอกสารหย่าและจากไปด้วยความเศร้าใจ สามปีต่อมา เจียงซิงซิงผู้สวยงามจนน่าทึ่งกลับมาอีกครั้ง ได้กลายมาเป็นศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดและเป็นยอดฝีมือด้านเปียโน อดีตสามีรู้สึกเสียใจ และกอดเธอแน่นท่ามกลางสายฝน เสียงของเขาสั่นเครือ "ที่รัก คุณเป็นของผม..."
หลังจากแต่งงานกันมาสองปี สามีของเธอไม่เคยเหยียบเข้าไปในบ้านและมองดู 'ภรรยาขี้เหร่' ของเขาเลย แถมเขาก็มีเรื่องอื้อฉาวกับดาราหน้าใหม่หลายคนทุกวัน ซูเหว่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอตัดสินใจปล่อยเขาไป ต่อไปก็ต่างคนต่างไปเลย แต่เมื่อเธอเสนอเรื่องหย่า... ฟู่เหยียนอันพบว่านักออกแบบในบริษัทนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ เขาค่อยๆ ทำความรู้จักกับเธอเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอเข้า เขาเสียใจแล้ว
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"