แป้งร่ำสาวใหญ่วัยสี่สิบ ชีวิตของเธอเต็มไปด้วยงานจนกระทั่งเพิ่งรู้ตัวว่าไม่มีใครเคียงข้าง หลังจากทบทวนชีวิตดีแล้วจึงยื่นขอลาออกจากบริษัท และนับตั้งแต่นั้นมาชีวิตของเธอก็เปลี่ยน ระบบเส็งเคร็งนี่คืออะไร! .
แป้งร่ำสาวใหญ่วัยสี่สิบ ชีวิตของเธอเต็มไปด้วยงานจนกระทั่งเพิ่งรู้ตัวว่าไม่มีใครเคียงข้าง หลังจากทบทวนชีวิตดีแล้วจึงยื่นขอลาออกจากบริษัท และนับตั้งแต่นั้นมาชีวิตของเธอก็เปลี่ยน ระบบเส็งเคร็งนี่คืออะไร! .
ตั้งแต่จำความได้ ชีวิตของแป้งร่ำก็เติบโตมากับแม่เพียงสองคน ส่วนพ่อเหรอ เธอไม่เคยถามแม่เลย คนที่เลี้ยงตัวเองมาตั้งแต่เกิดอยู่ตรงหน้าจะถามหาผู้ชายคนอื่นทำไม แม่ของเธอเป็นแม่ค้าขายผักมาตั้งแต่เธอยังเล็กๆ เพื่อหาเงินเลี้ยงลูกสาวจึงต้องทำงานตั้งแต่เช้าและกลับบ้านดึกดื่น จนกระทั่งแป้งร่ำอายุได้ยี่สิบสามและเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย จึงคิดที่จะให้แม่หยุดทำงาน ก็ได้รับข่าวร้ายว่าแม่ของเธอถูกรถชนเสียชีวิตคาที่
เหมือนฟ้าถล่มลงมา หญิงสาวที่ต้องการตอบแทนพระคุณแม่ของเธอกลับต้องได้รับข่าวร้าย โดยคนที่ชนแม่ของเธอให้การกับตำรวจว่าครอบครัวของเขาเพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยงฉลอง พอมาถึงที่เกิดเหตุ ไฟบริเวณนั้นมืดมากและไม่เห็นแม่ของเธอ ซึ่งมันเป็นทางลัดที่หลายคนเกิดอุบัติเหตุบ่อยมาก
แป้งร่ำไม่ได้เอาความเจ้าของรถที่ขับชนแม่เธอเสียชีวิต จากกล้องหน้ารถและกล้องวงจรปิดแถวนั้นพร้อมทั้งคำให้การมันตรงกันจริงๆ และดูเหมือนว่าแม่ของเธอจะเดินตัดหน้ารถของเขาด้วยซ้ำ อีกทั้งเขายังเต็มใจรับเธอเข้าทำงานในฐานะพนักงานของบริษัทขนาดเล็ก และยินดีส่งเสียให้เธอเดือนละสองหมื่นจนกว่าจะอายุหกสิบ ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่รวมกับเงินเดือน จนกระทั่งยี่สิบกว่าปีมานี้บริษัทเติบโตขึ้นมากและแป้งร่ำยังทำงานในบริษัทเดิม
ในตอนนั้นเธอคิดแค่ว่าตัวเองยังเด็กจึงมุ่งมั่นศึกษางาน แม้แต่เพื่อนๆ ที่สนิทกันชวนไปสังสรรค์ แป้งร่ำก็ปฏิเสธตลอด รู้ตัวอีกทีเธอก็ไม่เหลือใครแล้ว แม่ผู้เป็นที่พึ่งเดียวก็จากไป คุณลุงฉวีประธานบริษัทคนก่อนหรือก็คือคนที่พาเธอเข้าทำงานที่นี่ก็เสียชีวิตไปสองปีก่อนจากโรคประจำตัว ภรรยาของเขาจึงขึ้นมาบริหารแทน แม้อีกฝ่ายจะเอ็นดูเธอเหมือนลูกแต่มันก็ถึงเวลาที่เธอควรจะออกมาเดินด้วยตนเองได้แล้ว
แป้งร่ำในวัยสี่สิบเจ็ดปีตัดสินใจยื่นซองขาวขอลาออกจากบริษัทท่ามกลางเสียงคัดค้านจากบรรดาเพื่อนร่วมงานและรุ่นน้องที่ไม่เห็นด้วย เพราะแป้งร่ำเลื่อนตำแหน่งงานขึ้นมาเป็นเลขาของท่านประธานเมื่อห้าปีก่อน และแป้งร่ำก็ทำงานเก่งมาก ทั้งยังให้คำปรึกษากับทุกคนอย่างเท่าเทียม
แม้แต่คุณหญิงอรวรรณผู้มีพระคุณของเธอยังถามแล้วถามอีก เพราะอีกฝ่ายก็เอ็นดูเธอเหมือนลูกเหมือนหลาน แต่แป้งร่ำก็ยังยืนยันที่จะลาออก เพราะคอนโด รถ ก็จ่ายไปหมดแล้ว เงินเก็บก็มีให้เธอใช้ได้อีกหลายสิบปี
คุณหญิงอรวรรณเซ็นยินยอมให้เธอลาออกพร้อมทั้งยื่นเงินก้อนใหญ่ให้เธอ ทั้งยังบอกว่าเป็นเงินที่คุณลุงฉวีตั้งใจจะมอบให้เธอหากแป้งร่ำลาออกจากบริษัท
พอเห็นว่ามีเงินก้อนใหญ่แป้งร่ำจึงตัดสินใจว่าจะยังไม่หางานทำในเร็วๆ นี้ เธอต้องการพักผ่อนสักระยะ หลังจากทำงานอย่างมุ่งมั่นมาหลายสิบปี จึงหาซื้อนิยายที่กำลังฮิตๆ อย่างนิยายจีนย้อนยุคมาอ่านอย่างรวดเร็ว แต่คงเป็นเพราะอ่านติดต่อกันอย่างเอาเป็นเอาตายมาหลายวัน แป้งร่ำจึงนอนหลับไปพร้อมทั้งนิยายในมือ
“ฉันบอกเธอแล้วว่าหลานสาวของเธอเชื่อถือไม่ได้! เธอดูสภาพลูกสาวของเธอตอนนี้สิสะใภ้สี่ เป็นเพราะหล่อน เฟิ่นอี้ของเราจึงบอบช้ำ! หลายครั้งที่ฉันเตือนเธอก็ไม่เคยฟัง” น้ำเสียงดุดันถูกเอ่ยจากปากพี่สะใภ้ใหญ่ของบ้านด้วยความโกรธ สะใภ้ใหญ่ตบเข่าด้วยความโมโหเด็กสาวของบ้านอี้
ย้อนกลับไปหลายปีก่อน ในตอนที่เฉินเฟิ่นอี้ยังเรียนอยู่ในโรงเรียนประถมของตำบล ในแถบชนบทเวลานั้นเด็กสาวจำนวนน้อยมากที่จะถูกส่งเข้าเรียน หากไม่ใช่เพราะเป็นที่รักของครอบครัวจริงๆ หรือพอจะมีเงินส่งเรียนบ้าง
ในการเรียนระดับประถมชั้นปีสุดท้ายของเฉินเฟิ่นอี้ ตอนนั้นเธออายุสิบสองปี เธอถูกหลานชายของเศรษฐีในตำบลที่เรียนด้วยกันถูกใจ จึงให้ผู้ใหญ่มาขอหมั้น อีกทั้งเฉินเฟิ่นอี้ยังบอกว่าหล่อนชอบเขาและตกลงที่จะหมั้นหมายด้วย แม้คนในบ้านเฉินจะยังไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ นั่นคือหลานชายของเศรษฐีเชียวนะ! หากเฉินเฟิ่นอี้ได้แต่งเข้าสกุลหมิงอย่างน้อยก็สบายกว่ามาทำงานในแปลงนา
ทั้งสองจึงคบหากันมาตั้งแต่นั้น และพอถึงเวลาเข้าโรงเรียนมัธยมต้น ทั้งสองก็เข้าไปเรียนในโรงเรียนเดียวกัน แต่ว่าครั้งนี้มีญาติผู้พี่จากสกุลอี้บ้านเดิมของแม่เฉินเฟิ่นอี้เข้าร่วมกลุ่มด้วย เนื่องจากเพื่อนของหล่อนทางบ้านไม่ส่งเรียนต่อในระดับมัธยมต้น
หากเจอเฉินเฟิ่นอี้ย่อมเจอหมิงหลานฮุ่ย หากเจอทั้งสองคนย่อมเจออี้เหม่ยเฟิ่ง ทั้งสามตัวติดกันมากไปไหนก็ไปด้วยกัน ทว่าหลังๆ มาเฉินเฟิ่นอี้ล้มป่วยอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน ทั้งๆ ที่อีกไม่กี่เดือนก็จะจบชั้นมัธยมต้นแล้ว
หมิงหลานฮุ่ยว่าที่หลานเขยของบ้านเฉิน ชอบตามอี้เหม่ยเฟิ่งที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกับเฉินเฟิ่นอี้มาเยี่ยมหญิงคนรักหลังเลิกเรียนอยู่บ่อยครั้ง คนในบ้านเฉินแรกๆ ก็พอใจในเด็กคนนี้มาก ทว่าหลังๆ มา เริ่มไม่พอใจในการกระทำของหมิงหลานฮุ่ย เพราะทุกครั้งที่เขามายังหมู่บ้านเฟิ่งหลิน หมิงหลานฮุ่ยจะติดตามอี้เหม่ยเฟิ่งไปที่บ้านอี้ก่อน เมื่อถึงเวลากลับถึงจะแวะมาหาเฉินเฟิ่นอี้ที่อาการเริ่มดีขึ้นเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
ย่าเฉินเคยให้สะใภ้สี่ลูกสะใภ้คนเล็กไปเตือนหลานสาวจากบ้านเดิมของหล่อนเพราะมันไม่เหมาะสม เด็กคนนั้นก็รับปากว่าจะบอกหมิงหลานฮุ่ยให้ ทว่าเขากลับไม่พอใจและไม่ยอมมาที่บ้านเฉินอีกเลย
จนมีข่าวลือว่าหมิงหลานฮุ่ยกับอี้เหม่ยเฟิ่งคบกัน และทั้งสองยังเหมาะสมกันมาก หมิงหลานฮุ่ยเป็นหลานชายของเศรษฐีในตำบลที่มีลูกชายเพียงคนเดียวและหมิงหลานฮุ่ยก็ยังเป็นลูกชายคนเดียวของบ้านหมิง ในอนาคตเขาย่อมต้องขึ้นเป็นเจ้าบ้าน ส่วนอี้เหม่ยเฟิ่งก็เป็นหลานสาวของกรรมการในหมู่บ้าน ซึ่งพ่อของหล่อนก็กำลังจะขึ้นเป็นเลขาธิการในเร็วๆ นี้ ไหนจะเรียนในระดับมัธยมปลายอีก ดีกว่าเฉินเฟิ่นอี้ที่ป่วยขี้โรคเป็นไหนๆ
ตอนแรกบ้านเฉินไม่ได้สนใจในเรื่องนี้เพราะหมิงหลานฮุ่ยหมั้นกับเฉินเฟิ่นอี้แล้ว แต่อยู่ๆ หลายวันก่อนพ่อของหมิงหลานฮุ่ยกลับมายกเลิกสัญญาหมั้นหมายแถมยังบอกอีกว่าสินสอดบางส่วนที่ให้มาแล้วจะไม่เอาคืน สร้างความไม่พอใจให้สมาชิกในบ้านเฉินเป็นอย่างมาก หากเอาสินสอดคืนพวกเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ว่าหมิงหลานฮุ่ยเหยียบย่ำจิตใจอันบอบช้ำของเฉินเฟิ่นอี้ด้วยการพาอี้เหม่ยเฟิ่งมาด้วย
เฉินเฟิ่นอี้ที่ทนดูไม่ไหวถึงกับทรุดตัวลงพื้นและนอนสลบไม่ได้สติมาหลายวันแล้ว ผู้ชายในบ้านออกไปทำงานเก็บแต้มเหมือนปกติ ส่วนผู้หญิงช่วยกันทำงานในบ้านและสลับกันดูหลานสาว
“ฉันเอ็นดูเหม่ยเฟิ่งเหมือนลูกแท้ๆ ไม่คิดว่าหล่อนจะเป็นแบบนี้” สะใภ้สี่ร้องไห้เสียงดัง ลูกสาวคนโตของหล่อนล้มป่วยมาหลายวันยังไม่ได้สติก็ปวดใจมากแล้ว ยังมีเรื่องของหลานสาวจากบ้านเดิมที่หล่อนเอ็นดูไม่ต่างจากลูก
“พอได้แล้วสะใภ้ใหญ่ เธอก็เห็นแล้วว่าสะใภ้สี่เสียใจมากแค่ไหน” ย่าเฉินที่ป้อนข้าวหลานชายคนเล็กเงยหน้าขึ้นมาพร้อมทั้งเอ่ยปราม
ผู้หญิงในบ้านเฉินจะหยุดทำงานในแปลงนาก็เมื่อมีเหตุจำเป็น ไม่ก็ทำงานบ้านหรือป่วย ต่างจากบ้านหลังอื่นในหมู่บ้านเฟิ่งหลิน ที่ต่อให้ใกล้ตายก็ต้องลากสังขารลงแปลงนา ต้องยกความดีความชอบให้กับเฉินหมิงและเฉินจง ลูกชายคนที่สามและหลานชายคนโตของบ้านที่ตอนนี้เป็นทหาร ทุกๆ เดือนพวกเขาจะส่งเงินมาที่บ้านพร้อมคูปองต่างๆ ไม่อย่างนั้นบ้านเฉินคงไม่มีปัญญาส่งลูกส่งหลานเข้าเรียนทั้งหลานชายและหลานสาว
ส่วนเด็กชายเด็กสาวในบ้าน หน้าที่หลักๆ คือการเรียน เรียนเสร็จกลับมาถ้าไม่ช่วยทำงานในบ้านก็ต้องออกไปเก็บผักแลกแต้มค่าแรง ได้แต้มเดียวก็ยังดีกว่าไม่ได้
“คุณแม่ก็เข้าข้างหล่อน ถ้าฉันไม่รักเฟิ่นอี้ฉันจะบ่นไหม”
เสียงด้านนอกห้องนอนดังมาก จนทำให้หญิงสาวที่หลับอยู่รู้สึกตัวตื่น แป้งร่ำสาวใหญ่วัยสี่สิบปลายๆ พยุงตัวขึ้นอย่างเมื่อยล้า ความทรงจำล่าสุดก็คือนอนอ่านนิยายแบบหามรุ่งหามค่ำให้สมกับการลาออกจากงาน แต่ก็ไม่คิดว่าตื่นขึ้นมาเธอจะเมื่อยล้าขนาดนี้! คงเป็นเพราะอายุของเธอด้วย
“เดี๋ยวนะ”
แป้งร่ำเงยหน้าขึ้นมองรอบๆ ห้องของเธออย่างมึนงง คอนโดราคาเฉียดยี่สิบล้านที่เธอเพิ่งจ่ายงวดสุดท้ายไปเมื่อเดือนก่อน ทำไมถึงได้เล็กและแคบแบบนี้ อีกทั้งยังมีกลิ่นอับชื้นที่ไม่ควรมีเพราะให้แม่บ้านทำความสะอาดทุกอาทิตย์
อยู่ๆ ความทรงจำบางอย่างก็แล่นใส่หัวจนทนไม่ไหว แป้งร่ำทิ้งตัวลงนอนบนพื้นแข็งๆ เพราะปวดหัวจนเกินระงับ อยากกรีดร้องออกมาแต่ก็ทำไม่ได้เพราะเสียงของเธอแทบไม่มี ก่อนจะหมดสติไปทั้งอย่างนั้น
ชีวิตของลิลลี่เป็นชีวิตที่ใครหลาย ๆ คนใฝ่ฝันอยาจะเป็นแบบเธอ แต่คนอื่นไม่เคยรู้เลยว่ามันโดดเดี่ยวมากแค่ไหน เกิดในตระกูลหมื่นล้านครอบครัวค่อย ๆ จากไปทีละคน อายุเพียงยี่สิบอาชายผู้ที่เป็นญาติผู้ใหญ่คนสุดท้ายที่เหลืออยู่ดวลจากไป ลิลลี่ ลลิลิล จึงกลายเป็นทายามเพียงคนเดียวของตระกูล มีแล้วอย่างไรสุดท้ายคนเราต้องจากไป มีเงินหมื่นล้านยื้อชีวิตใครไม่ได้สักคน ลิลลี่ในวัยยี่สิบปีเธอรู้ว่าธุรกิจของตระกูลไม่อาจสานต่อได้ ขายหุ้นให้คนอื่นรอรับเพียงเงินปันผลก็เพียงพอ ยี่สิบสามเรียนจบปริญญาตรีด้านแฟชั่นก่อนเรียนต่อปริญาเอก ปริญญาโท ในปีที่สามสิบของชีวิตลิลลี่ประสบความสำเร็จในด้านดีไซเนอร์ เป็นดีไซเนอร์ที่มีชื่อเสียง ยังไม่ทันได้ใช้ชีวิตหลังเรียนจบก็เสียชีวิตจากความเครียดที่สะสมมาตลอด คิดว่าหลังความตายคงจะถูกบรรพบุรุษสาปแช่งที่ดูแลตระกูลไม่ได้ ใครจะรู้ว่าลืมตาแล้วจะมาอยู่ในร่างของคนอื่น วันที่เจ็ดเดือนมกราคมปี 1980 ลิลลี่ตื่นขึ้นในในร่างของลูกสาวคนโตของบ้านฉิน ฉินเสี่ยวหราน มีน้องสาวหนึ่งคน พ่อเป็นทหารหารเพิ่งได้รับเลื่อนขั้นเป้นพันตรี แม่เป็นหญิงในชนบท ฉินเสี่ยวหรานเป็นนักเรียนมัธยมปลายชั้นปีสุดท้าย ส่วนฉินเสี่ยวหลิงเป็นนักเรียนมัธยมต้นชั้นปีสุดท้ายที่จะขึ้นมัธยมปลาย
แป้งร่ำสาวใหญ่วัยสี่สิบ ชีวิตของเธอเต็มไปด้วยงานจนกระทั่งเพิ่งรู้ตัวว่าไม่มีใครเคียงข้าง หลังจากทบทวนชีวิตดีแล้วจึงยื่นขอลาออกจากบริษัท และนับตั้งแต่นั้นมาชีวิตของเธอก็เปลี่ยน ระบบเส็งเคร็งนี่คืออะไร!
เป็นเพียงขยะไร้ค่าของตระกูลจะสู้หลานชายสุดที่รักของคุณปู่ได้อย่างไร ติณณ์เดินออกจากตระกูลไปยังประเทศเกรย์ดัชตามคำบอกเล่าของเพื่อนสาว แต่เข้าประเทศเขาวันแรกดันปากดีใส่องค์รัชทายาทจนโดนหมายหัว
ซุนลี่เป็นหนึ่งเกรียงไกร แผ่นดินยิ่งยงไพศาล ใต้หล้าสยบชั่วกาล ว่านอี้ครองราชย์...ประชาร่มเย็น ว่านอี้ครองราชย์...ประชาร่มเย็น คำนี้มีความจริงเจือจางอยู่กี่มากน้อยกันแน่? เรื่องเหล่านี้คงเป็นเพียงบทเรียนในวังหลังที่จารึกให้คนท่องจำ ไปอย่างสูญเปล่า เพราะสำหรับตัวนางแล้ว คำกล่าวนี้ดูห่างไกลความจริง จนสุดหล้าทีเดียว
อดีตที่ยากจน แม่เลี้ยงสามีที่เอาเปรียบบ้านใหญ่ บ้านรอง ของพวกเธอต้องชดใช้!
ตายด้วยเงื้อมมือของเพื่อนร่วมสาขา เนเน่ เนตรนภา จึงทะลุมิติมาอยู่ในร่างเด็กน้อยวัยสิบหนาวที่ป่วยตาย นามเซี่ยซูเหยา มีบิดา พี่สาว พี่ชายที่เป็นห่วงนางมากกว่าสิ่งใด
เมื่อย้อนเวลามาอยู่ในยุคโบราณที่ผู้ชายล้วนมีสามภรรยาสี่อนุ จื่อรั่วอิงจึงมองหาบุรุษที่จะทำให้นางใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและได้รู้ว่ามีอ๋องผู้หนึ่งไร้ภรรยาและตาบอดเขาคือคนไม่มีใครเอา"สวรรค์ให้ทางรอดข้าแล้ว" นิยายเรื่องนี้เป็นแนวสุขนิยม ปมเบา ๆ ไม่หนัก นะคะ พระเอกมีเมียเดียว พระเอกสายซึนคลั่งรักนางเอกแต่ไม่รู้ตัว นางเองจอมตื๊อเพื่อทำให้สามีรักสามีหลงขนความฮามาพร้อม ๆ กับบ่าวรับใช้และครอบครัว แนวขบขัน สายฮา สายตลกไม่ควรพลาดค่ะ ซีไซต์ นักเขียน
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"
+++++++++++++ “อือ... พริบีนา... จะ...เจ็บค่ะ” “ฉันชอบ... เวลาเธอเจ็บเพราะฉัน” สิ้นคำเขาก็ขบอีกครั้ง จนร่างของเธอเต็มไปด้วยรอยแดงๆ เหมือนกลีบกุหลาบช้ำๆ “คนบ้า!” “ฉันดูดเธอได้ทั้งคืน... ดูดแรงๆ ตลอดทั้งเนื้อทั้งตัว...” ‘รวิสรา’ ต้องตกใจจนแทบสิ้นสติ เมื่อจู่ๆ ‘พริบีนา เอล เชสตัค’ มกุฎราชกุมารผู้หล่อเหลาแห่งเอล มอร์เรเวีย ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า และบอกว่าเขาคือเจ้าของที่แท้จริงของเพนต์เฮาส์หรูใจกลางปารีส ที่แม่ของเธอทิ้งเอาไว้ให้ ก่อนจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หากเรื่องกลับวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม... เมื่อรู้ว่าน้องชายวัยขวบเศษของเธอ คือทายาทที่เกิดจากการขโมยสเปิร์มของเขา หญิงสาวจึงจำใจสุ่มเสี่ยงต่อความหวั่นไหว แล้วยอมใช้ชีวิตร่วมชายคาเดียวกัน กับเจ้าชายหนุ่มผู้เร่าร้อนตลอดหนึ่งสัปดาห์ เพื่อแย่งกรรมสิทธิ์ในตัวเด็กน้อย โดยไม่ให้สูญเสียพรหมจรรย์ของตัวเอง
เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที
เนื้อตัวเต้นเร่าเตลิดเพลิดไปตามสัมผัสร้อนแรง เธอบังคับให้หยุดคิดถึงคนอื่นนอกจากคุณวายุ แต่เมื่อริมฝีปากของวายุแตะเข้ากับกลีบกาย พร้อมทั้งตวัดลิ้นเลียไปทั่วซอกหลืบ กลีบเนื้อบอบบางแต่อวบอูมของ 'หมูชมพู' จึงกระดิกแอ่นหยัดบั้นท้ายกระดกซอกหลืบสวนทางกับเรียวลิ้นของวายุ "คุณอุ่น และหอมมากหมูชมพู" พรรณชมพูส่ายวนโคกเนินที่เบียดบดไปกับริมฝีปากหนา ลิ้นของเขาปาดไปมาบนติ่งกระสันเหมือนกับปาดหน้าเค้ก เธอดิ้นพรวดพราดกัดริมฝีปากจนเบี้ยวไปข้างหนึ่ง ลิ้นสากๆ ห่อม้วนชำแรกเข้าไปในร่องสาวอันชุ่มฉ่ำ เมื่อนั้นริมฝีปากที่ถูกกัดจะห้อเลือดก็แยกอ้า พรรณชมพูเผลอกรีดร้องครวญครางถึงใครบางคน ที่จมอยู่ในห้วงความคิดไม่เคยเลือนหาย "อ๊า พี่เสือ" วายุผงกหัวขึ้นมองคนที่กำลังแอ่นลำคอและลำตัวทอดโค้ง แววตาของเขาไหววาบเป็นไฟ และเขาก็กัดกลีบกายบางๆ สีชมพูจนหมูชมพูของเขาสะดุ้งเฮือกสุดตัว "อ๊ะ เฮือก" เธอถูกกัด
© 2018-now MeghaBook
บนสุด