เป็นเพียงขยะไร้ค่าของตระกูลจะสู้หลานชายสุดที่รักของคุณปู่ได้อย่างไร ติณณ์เดินออกจากตระกูลไปยังประเทศเกรย์ดัชตามคำบอกเล่าของเพื่อนสาว แต่เข้าประเทศเขาวันแรกดันปากดีใส่องค์รัชทายาทจนโดนหมายหัว
เป็นเพียงขยะไร้ค่าของตระกูลจะสู้หลานชายสุดที่รักของคุณปู่ได้อย่างไร ติณณ์เดินออกจากตระกูลไปยังประเทศเกรย์ดัชตามคำบอกเล่าของเพื่อนสาว แต่เข้าประเทศเขาวันแรกดันปากดีใส่องค์รัชทายาทจนโดนหมายหัว
อึดอัด
แม้จะเผชิญกับเหตุการณ์แบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่สำหรับติณณ์แล้ว...เขาไม่ชินกับมันเอาเสียเลย
“คุณพ่อคะ ไตรเขาทำแผนงานนี้ได้สำเร็จอย่างสวยงามเลยค่ะ กำไรเพิ่มมากขึ้นเกือบ 5%”
“จริงรึ! หลานทำได้ขนาดนั้นเลยรึ!”
“แถมบริษัทนี้ยังเป็นบริษัทที่ปกติเลือกแต่งานของบริษัทคู่แข่งเราด้วยนะครับคุณพ่อ ไม่รู้ไตรใช้วิธีอะไรถึงสามารถดึงพวกเขามาบริษัทเราได้”
“เก่งมากหลานรักของปู่!”
“คุณปู่ก็อย่าไปฟังคุณพ่อกับคุณแม่นักเลยครับ เรื่องแค่นี้เอง ไม่ได้ลำบากอะไรเลย”
หากมองจากมุมมองภายนอกแล้ว ภาพที่อยู่ตรงหน้าช่างเป็นการรับประทานอาหารของครอบครัวที่สุขสันต์เสียเหลือเกิน ประกอบไปด้วยผู้เป็นผู้นำตระกูลในปัจจุบัน จิรเดช ศรัณย์รัชต์ ที่ตอนนี้ยกบริษัทให้ลูกชายเป็นผู้ดูแล อย่างจิรกานต์ ศรัณย์รัชต์ โดยมีภรรยาแสนสวยประกบเคียงข้าง พร้อมกับหลานชายคนโปรดอย่างไตรภพ ศรัณย์รัชต์
จิรเดชนั้นมีบุตรชายทั้งหมดสามคน โดยจิรกานต์เป็นบุตรชายคนสุดท้อง ด้วยความเป็นคนสุดท้องจึงไม่ได้มีบทบาทภายในตระกูลมากนัก แต่อาจจะต้องขอบคุณภรรยาของเขา เขมิกา ที่คลอดลูกชายแสนฉลาดอย่างไตรภพออกมา
ไตรภพเติบโตมาอย่างมีคุณภาพ ต่อยอดธุรกิจ และสานต่อในส่วนงานของบิดาจนโดดเด่น ดึงดูดสายตาของจิรเดชผู้เป็นปู่ให้หันมามอง เมื่อเขาเห็นศักยภาพของไตรภพจึงลองให้อีกฝ่ายเข้ามามีบทบาทในบริษัทแม่ที่ยิ่งใหญ่ของตระกูล
และไตรภพก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง เขาประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้จิรเดชยิ่งประทับใจ สุดท้ายเขาก็เริ่มมองเห็นบุตรชายคนเล็กอย่างจิรกานต์ขึ้นมาบ้าง จึงไม่แปลกที่จิรกานต์ และเขมิกาจะเชิดชูไตรภพสุดหัวใจ
โดยลืมไปเลยว่ายังมีบุตรชายอีกคนอย่างติณณ์ ศรัณย์รัชต์อยู่
ติณณ์เป็นบุตรชายของจิรกานต์ และเขมิกาเช่นกัน เขามีรูปร่างสูงทว่าเพรียวบาง แม้จะไม่ได้อ้อนแอ้นแต่ก็ไม่ได้มาดแมนสมชายชาตรีอย่างไตรภพผู้เป็นพี่ชาย ถึงอย่างนั้นเขาก็มีนิสัยอ่อนโยนแตกต่างจากไตรภพ เพียงแต่ว่าสำหรับตระกูลศรัณย์รัชต์ผู้เป็นเจ้าของบริษัทจิวเวลรี่ชั้นนำของโลกแล้วนั้น ช่างเป็นนิสัยที่ไร้ประโยชน์
นอกจากนี้แล้วเขาก็ช่างจืดจางเสียเหลือเกิน ด้วยนิสัยสุภาพ เรียบร้อย ไม่โดดเด่น ทำให้เขาเหมือนเงาที่หลบอยู่เบื้องหลังของไตรภพผู้เป็นพี่ชาย
“แทนที่จะพูดแต่เรื่องของผม คุยเรื่องติณณ์บ้างสิครับ”
ติณณ์ที่กำลังเขี่ยข้าวในจานชะงักมือเมื่อทุกสายตาหันมามองเขาที่นั่งอยู่ในมุมมืดมานาน เขาเม้มริมฝีปากที่แห้งผาก รู้สึกกดดันกับสายตาที่มองมาเขม็ง ทำไมไตรภพจะต้องดึงเขาออกไปด้วย
หากไม่ใช่ว่าเป็นธรรมเนียมที่เวลามาพบผู้นำตระกูลแล้วจะต้องมาให้ครบทุกคนเพื่อเป็นการให้เกียรติละก็ ติณณ์คงไม่มีหน้ามานั่งอยู่ภายในคฤหาสน์ตระกูลหลักนี้แน่นอน
“คุยเรื่องอะไรล่ะ” จิรเดชพูดขึ้น เสียงของชายชราคนนี้ดูยานคางไม่ใส่ใจ ถามพอเป็นพิธีเท่านั้น
“เอ่อ...” เขมิกาที่มักจะคุยจ้อเรื่องบุตรชายกลับไปไม่ถูก อยากจะให้ติณณ์หายไปจากตรงนี้เสียเหลือเกิน เพราะเธอไม่รู้จะพูดกับจิรเดชยังไงดี ก็ลูกชายคนนี้ของเธอมันช่างน่าผิดหวังไปหมด
“ผมไม่มีอะไรจะอวดหรอกครับ” ติณณ์ตอบกลับไป แต่เขาไม่กล้าสบตาปู่ของตัวเองเท่าไหร่นัก เขาไม่ใช่หลานรักที่ท่านจะมองด้วยสายตารักใคร่ มีแต่ความเย็นชา และกดดันเท่านั้น
พอได้ยินเสียงถอนหายใจของผู้เป็นปู่ ติณณ์ก็รู้สึกแย่จนอยากจะอาเจียนออกมา
“ไม่มีอะไรจะอวด?” จิรเดชหันไปมองลูกชายตนเองที่เหมือนจะมีไฟลนก้นนั่งไม่ติดที่ “นี่แกไม่ส่งเจ้าติณณ์ไปทำการทำงานอะไรบ้างหรือไง? หรือเรียนจบแล้วก็มาอยู่สบาย ๆ กินเงินพ่อแม่ไปวัน ๆ หรือจะเกาะบารมีพี่ชายไปตลอดชีวิต?”
ติณณ์อยากจะแย้งว่าเขาก็ไม่ได้อยู่สบาย ๆ เสียหน่อย ทุกงานของไตรภพก็มีเขาช่วยทั้งนั้น บางงานก็เร่งด่วน บางงานก็ทำเกือบทั้งหมด ส่วนไตรภพก็หายหัวไปไหนไม่รู้ ไม่เคยแม้แต่จะสนใจ โผล่มาทีตอนงานเสร็จ และคาบงานไปเป็นของตัวเองตลอด
ติณณ์อยากจะแย้งหรือฟ้องใครสักคน แต่ประสบการณ์ของเขาบอกตัวเองว่า...บอกไปแล้วใครจะเชื่อ เทียบกับไตรภพแล้ว คนอย่างเขามันจะมีค่าสักแค่ไหนกันเชียว เขาจึงปิดปากเงียบมาตลอด
รู้ดีว่าหากต้องเลือก...พวกเขาจะเลือกใคร ระหว่างไตรภพและติณณ์
“ฉันไม่พูดอะไรเพราะเห็นว่าตาไตรเขาทำผลงานได้ยอดเยี่ยม มีขยะสักชิ้นสองชิ้นก็ไม่นับว่ามีค่าอะไร พอจะหลับหูหลับตาได้บ้าง แต่ก็ต้องให้มันพอดี ๆ บ้าง อายุขนาดนี้ ไม่คิดจะมีอะไรเป็นของตัวเองหรือไง?”
คำถามของผู้เป็นปู่ทำให้ติณณ์อยากจะร้องไห้ นัยน์ตาสีดำคู่สวยของเขามีน้ำเอ่อคลอ สองมือกำแน่นอย่างพยายามอดทน
“คุณพ่ออย่าไปสนใจเลยครับ เรามาคุยเรื่องงานที่ไตรทำกันต่อดีกว่า” จิรกานต์รีบเอ่ยทักท้วง ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำเพราะช่วยเหลือลูกชายคนเล็ก เพียงแต่ว่าอยากให้จิรเดชนั้นเห็นศักยภาพของไตรภพมากขึ้น ยิ่งเห็น ก็ยิ่งรัก นั่นหมายถึงทรัพย์สินส่วนแบ่งมากมายที่จิรเดชจะมอบให้ครอบครัวของเขาในตอนสุดท้าย
“ช่างเถอะ ๆ ฉันก็รู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้” จิรเดชโบกมือไปมา ท่าทางของเขาเบื่อหน่ายเต็มทน “เอาจดหมายมาหน่อย”
พ่อบ้านที่ยืนรับใช้อยู่ด้านหลังเดินไปหยิบซองจดหมายสีขาวมายื่นให้กับผู้นำตระกูล ทุกคนต่างมองตามอย่างสงสัย
“ไปแต่งงานซะ”
“!!!” ติณณ์เบิกตาโตเมื่อซองจดหมายนั้นถูกโยนใส่หน้าเขา ซองจดหมายร่วงหล่นลงมา เขาใช้มือที่สั่นเทาหยิบจดหมายนั้นขึ้นมา ก่อนที่เขมิกาที่นั่งข้างกันจะแย่งไปจากมือเพื่อไปเปิดอ่าน
“ตระกูลนี้ต้องการคนไปตบแต่งด้วย แต่พวกหลานสาวก็มีคู่หมั้นกันหมดแล้ว แกก็ไปแต่งแทนซะ ไหน ๆ แกก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากมายกับตระกูลเราอยู่แล้ว”
“คะ คุณปู่...” พูดง่าย ๆ แบบนั้นได้ยังไงกัน ติณณ์อึ้งจนพูดไม่ถูก มันไม่เหมือนการขอให้ไปแต่งงานเลยด้วยซ้ำ หรือจะบอกว่าเป็นการคลุมถุงชน มันก็ไม่ได้น่ารังเกียจแบบนี้ เหมือนไล่หมูไล่หมา...ไม่ใช่เขาที่มีสายเลือดเดียวกัน
“แต่ตระกูลนี้เขาจะยอมรับเหรอคะคุณพ่อ?” เขมิกาถามอย่างสงสัย ทุกคนเหมือนจะงุนงงและอยากรู้ ไม่มีใครสนใจเลยว่าการกระทำนี้มันทำให้ติณณ์เจ็บปวดแค่ไหน “แถมสู่ขอไปให้บุตรชายคนเล็ก? ถึงสมัยนี้การแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่ตระกูลระดับนั้นจะไม่ห่วงเรื่องทายาทเหรอคะ?”
“คุณ...สมัยนี้ผู้ชายก็ทำให้ท้องได้ถ้าบำรุงดี ๆ แถมคนฝั่งนั้นก็เป็นลูกชายคนเล็ก ผมว่าคงไม่ได้มีบทบาทอะไรมากมายนักหรอก ถือว่าดีนะที่เราได้เกี่ยวดองกับตระกูลนั้น”
ติณณ์มองพ่อกับแม่ของตัวเองอย่างผิดหวัง พวกเขากำลังพูดเรื่องที่ลูกชายตัวเองถูกบังคับให้ไปแต่งงานจริง ๆ หรือเปล่า ทำไมพวกเขาเหมือนพูดเรื่องหมาเรื่องแมวอย่างนั้น หรือจริง ๆ ลูกชายคนนี้ก็มีค่าแค่เป็นสัตว์เลี้ยง?
ไม่มีใครสักคนเลยเหรอที่จะหันมาถามความเห็นของเขา ไม่มีสักคนเลยเหรอที่จะหันมาสนใจความรู้สึกของเขา
“จะสนใจอะไรนักหนา! จะมีลูกหรือไม่มีเกี่ยวอะไร! พวกนั้นก็แค่อยากจะเกี่ยวดองกับตระกูลของเรา ฉันจะให้ใครไปมันก็เรื่องของฉัน” จิรเดชพูดเสียงดังอย่างหงุดหงิด
“พอสักทีเถอะครับ!” ติณณ์ลุกขึ้นยืน เขาไม่อาจทนอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ได้อีกต่อไป ที่ผ่านมาต่อให้ถูกเหยียบย่ำ และไม่เห็นหัวมากแค่ไหนเขาก็อดทนมาตลอด แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว พวกนี้ไม่มองว่าเขาเป็นคนเสียด้วยซ้ำ!
จะดูถูก เดียดฉันท์อะไรก็ทำไป แต่จะมาลดคุณค่าเขาไม่ได้!
“ผมไม่แต่ง!”
“ติณณ์!” เขมิกาแผดเสียงร้องมองลูกชายที่แสนจะไร้ค่าของเธออย่างหงุดหงิด ไม่เคยมีอะไรดีแท้ ๆ แต่ง ๆ ไปให้จบ ๆ ก็ดีแล้ว จะมาโวยวายอะไรนักหนา
“ไม่แต่งก็ออกจากตระกูลฉันไปซะ” จิรเดชเอ่ยเสียงขรึม ไม่ได้มีท่าทางตกใจหรืออะไร ราวกับว่าเขาเป็นผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่า คนที่ควรจะคุกเข่าขอร้องคือติณณ์ต่างหาก ไม่ใช่เขา
“คุณปู่ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ!” ไตรภพลุกจากที่นั่งเดินไปนวดไหล่ นวดแขนให้กับปู่ของเขาด้วยท่าทางนอบน้อม แม้รอยยิ้มขบขันจะประดับเต็มใบหน้า แต่เหมือนทุกคนจะตาบอดกันไปหมด ที่คิดว่าไตรภพกำลังช่วยเหลือน้องชายของตนเอง
“ติณณ์ นายก็ใจเย็น ๆ เถอะ ทำตามที่คุณปู่บอกเถอะนะ นายออกจากตระกูลไปตัวเปล่ามีแต่พาตัวเองไปตายเท่านั้นแหละ” ไตรภพกล่าวปลอบเสียงนุ่ม แต่ดวงตากลับปกปิดความสะใจไว้ไม่มิด ส่วนทุกคนต่างก็จ้องติณณ์อย่างกดดัน
คนอย่างแกออกไปจะไปทำอะไรได้ มีแต่เป็นศพข้างถนนอย่างน่าสมเพชน่ะสิ!
ติณณ์ยืนมองทุกคนที่อยู่ตรงหน้า พวกเขาคือครอบครัว...ปู่ พ่อ แม่ พี่ชาย ทุกคนคือบุคคลใกล้ชิดทางสายเลือดมากที่สุด แต่กลับเลือดเย็นกับเขามากที่สุดเช่นเดียวกัน เคยอดทนเพราะเห็นว่าคือญาติสนิทมิตรสหาย แต่เขามันโง่เอง ที่คิดว่าสักวัน...สักวันพวกเขาก็จะหันมารักตัวเอง
“ผมจะออกจากตระกูลนี้”
ได้เวลาที่ติณณ์คนนี้มันจะเลิกโง่ได้แล้ว
แป้งร่ำสาวใหญ่วัยสี่สิบ ชีวิตของเธอเต็มไปด้วยงานจนกระทั่งเพิ่งรู้ตัวว่าไม่มีใครเคียงข้าง หลังจากทบทวนชีวิตดีแล้วจึงยื่นขอลาออกจากบริษัท และนับตั้งแต่นั้นมาชีวิตของเธอก็เปลี่ยน ระบบเส็งเคร็งนี่คืออะไร! .
ชีวิตของลิลลี่เป็นชีวิตที่ใครหลาย ๆ คนใฝ่ฝันอยาจะเป็นแบบเธอ แต่คนอื่นไม่เคยรู้เลยว่ามันโดดเดี่ยวมากแค่ไหน เกิดในตระกูลหมื่นล้านครอบครัวค่อย ๆ จากไปทีละคน อายุเพียงยี่สิบอาชายผู้ที่เป็นญาติผู้ใหญ่คนสุดท้ายที่เหลืออยู่ดวลจากไป ลิลลี่ ลลิลิล จึงกลายเป็นทายามเพียงคนเดียวของตระกูล มีแล้วอย่างไรสุดท้ายคนเราต้องจากไป มีเงินหมื่นล้านยื้อชีวิตใครไม่ได้สักคน ลิลลี่ในวัยยี่สิบปีเธอรู้ว่าธุรกิจของตระกูลไม่อาจสานต่อได้ ขายหุ้นให้คนอื่นรอรับเพียงเงินปันผลก็เพียงพอ ยี่สิบสามเรียนจบปริญญาตรีด้านแฟชั่นก่อนเรียนต่อปริญาเอก ปริญญาโท ในปีที่สามสิบของชีวิตลิลลี่ประสบความสำเร็จในด้านดีไซเนอร์ เป็นดีไซเนอร์ที่มีชื่อเสียง ยังไม่ทันได้ใช้ชีวิตหลังเรียนจบก็เสียชีวิตจากความเครียดที่สะสมมาตลอด คิดว่าหลังความตายคงจะถูกบรรพบุรุษสาปแช่งที่ดูแลตระกูลไม่ได้ ใครจะรู้ว่าลืมตาแล้วจะมาอยู่ในร่างของคนอื่น วันที่เจ็ดเดือนมกราคมปี 1980 ลิลลี่ตื่นขึ้นในในร่างของลูกสาวคนโตของบ้านฉิน ฉินเสี่ยวหราน มีน้องสาวหนึ่งคน พ่อเป็นทหารหารเพิ่งได้รับเลื่อนขั้นเป้นพันตรี แม่เป็นหญิงในชนบท ฉินเสี่ยวหรานเป็นนักเรียนมัธยมปลายชั้นปีสุดท้าย ส่วนฉินเสี่ยวหลิงเป็นนักเรียนมัธยมต้นชั้นปีสุดท้ายที่จะขึ้นมัธยมปลาย
แป้งร่ำสาวใหญ่วัยสี่สิบ ชีวิตของเธอเต็มไปด้วยงานจนกระทั่งเพิ่งรู้ตัวว่าไม่มีใครเคียงข้าง หลังจากทบทวนชีวิตดีแล้วจึงยื่นขอลาออกจากบริษัท และนับตั้งแต่นั้นมาชีวิตของเธอก็เปลี่ยน ระบบเส็งเคร็งนี่คืออะไร!
ซุนลี่เป็นหนึ่งเกรียงไกร แผ่นดินยิ่งยงไพศาล ใต้หล้าสยบชั่วกาล ว่านอี้ครองราชย์...ประชาร่มเย็น ว่านอี้ครองราชย์...ประชาร่มเย็น คำนี้มีความจริงเจือจางอยู่กี่มากน้อยกันแน่? เรื่องเหล่านี้คงเป็นเพียงบทเรียนในวังหลังที่จารึกให้คนท่องจำ ไปอย่างสูญเปล่า เพราะสำหรับตัวนางแล้ว คำกล่าวนี้ดูห่างไกลความจริง จนสุดหล้าทีเดียว
อดีตที่ยากจน แม่เลี้ยงสามีที่เอาเปรียบบ้านใหญ่ บ้านรอง ของพวกเธอต้องชดใช้!
ตายด้วยเงื้อมมือของเพื่อนร่วมสาขา เนเน่ เนตรนภา จึงทะลุมิติมาอยู่ในร่างเด็กน้อยวัยสิบหนาวที่ป่วยตาย นามเซี่ยซูเหยา มีบิดา พี่สาว พี่ชายที่เป็นห่วงนางมากกว่าสิ่งใด
เส้าหยวนหยวนแต่งงานกับแม่ทัพเทพทรงพลังที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนส่งผลกระทบต่อทางจิตใจหลังจาดที่เธอย้อนเวลา เธอไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับการสมรู้ร่วมคิด และต้องการร่วมมือกับเขาเพื่อแสวงหาอิสรภาพ เธอก่อตั้งธุรกิจ รักษาโรคของคนไข้ และช่วยชีวิตผู้คน เป็นคนที่ยอดเยี่ยม กลายเป็นผู้ช่วยที่ดีของแม่ทัพ แต่ต่อมาแม่ทัพกลับคืนคำ ไหนตกลงไว้ว่าจะหย่าล่ะ?
เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่เคยสนใจ แต่ก็ยังดึงดันอยากจะอยู่ใกล้ ต่อให้เธอเป็นเมียแต่งเขาก็คงไม่มีวันเปลี่ยนใจ เพราะเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจจากไปในคืนแต่งงาน "จากนี้ไปเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก" 🥀
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
"อ๊ะ..ที่ไหนนี่มืดจัง อึดอัดจังเลย โอ้ย !!ใครถีบหัววะ" "ฮูหยินคลอดแล้วเป็นคุณชายน้อยเจ้าค่ะ ยังมีอีกคนเจ้าค่ะ เบ่งอีกเจ้าคะ " "อุ๊แว" "เป็นคุณหนูเจ้าค่ะฮูหยิน"
"จะบอกให้นะ คนอย่างฉันเลวกว่าที่เธอคิดเยอะ อ้ออีกเรื่องที่ฉันจะบอกและให้เธอจำไว้ให้ขึ้นใจว่าต่อไปถ้าฉันมีอะไรกับเธอฉันจะไม่ป้องกันเพราะฉะนั้นต้องเป็นตัวเธอที่ต้องดูแลตัวเองหายาคุมมากินซะ อ้อแล้วก็อย่างที่ฉันบอกว่าห้ามปล่อยให้ตัวเองท้องเพื่อให้ฉันรับผิดชอบเพราะมันจะไม่มีวันเป็นไปได้อย่าหวังว่าฉันจะรับผิดชอบเธอกับเด็กในท้องของเธอ ถ้าฉันจะต้องหาแม่ของลูกฉันคงไม่เอาผู้หญิงขายตัวแลกเงินอย่างเธอมาเป็นแม่ของลูกแน่นอน ฉันสงสารลูกถ้ามีแม่อย่างเธอ แล้วถ้าเธอไม่เชื่อถ้าเธอปล่อยให้ตัวเองท้องฉันจะจัดการเด็กในท้องของเธอด้วยตัวของฉันเอง"
เมื่อเพื่อนรักที่ไว้ใจแอบทรยศคบกับชายที่ตนรัก และชายที่ตนรักกลับรังเกียจตนจนไม่แม้แต่จะแตะต้องเนื้อตัวเธอ สิ่งที่เธอทำได้คือต่างคนต่างอยู่ แต่ในวังหลังแห่งนี้เธอจะทำอย่างนั้นได้จริงหรือ? ตัวอย่างเนื้อเรื่อง “เจ้ามีอันใดจะกล่าวหรือไม่... สนมหลี่กุ้ยเฟย” น้ำเสียงราบเรียบก่อนจะเน้นที่ละคำในประโยคท้ายอย่างหนักแน่น “ฮองเฮาแน่ใจแล้วหรือเพคะ ว่าจะให้หม่อมฉันทูลทุกอย่างต่อหน้าข้าราชบริพารเหล่านี้ หากมีข่าวแพร่ออกไปอีก ฮองเฮาทรงทนฟังคำนินทาเหล่านั้นได้หรือไม่” หลี่ฟางซินกล่าวพร้อมยิ้มอ่อนๆ หลี่ฟางซินย่อมรู้ดีว่าเย่วลี่อิงคงได้ยินคำนินทาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้วจึงได้พูดเน้นย้ำ หวังจะกระตุ้นให้นางลงมือทำร้ายตน “คำนินทาเรื่องใดกัน เรื่องที่เจ้าเป็นนางอสรพิษนะหรือ เหตุใดเราจะทนฟังไม่ได้เล่า” เย่วลี่อิงตรัสพร้อมยักไหล่อย่าไม่แยแส มีหรือเย่วลี่อิงจะดูไม่ออกว่า ข่าวลือที่แพร่ออกไปนั้นมาจากผู้ใด หากเป็นแต่ก่อนนางย่อมไม่คิดว่าเป็นสหายคนสนิทของนางเป็นแน่ แต่บัดนี้นางรู้แล้วว่าหญิงที่ยืนตรงหน้านางหาใช่สตรีอ่อนหวานแสนดีอย่างที่นางรู้จักไม่ “หม่อมฉันเป็นนางอสรพิษตั้งแต่เมื่อใดกันเพคะ หม่อมฉันและฝ่าบาทมีใจรักใคร่กันมาเนิ่นนาน หากไม่ใช่เพราะฮองเฮาใช้ความดีของท่านแม่ทัพทูลขอให้ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานงานแต่ง วันนี้ตำแหน่งฮองเฮาก็ไม่แน่ว่าจะเป็นของใคร” “เจ้านางแพศยา หากเจ้ามีใจให้ฝ่าบาท แล้วทำไมไม่บอกข้า ยังแสดงแกล้งเป็นแม่สื่อนำของที่ข้ามอบให้ฝ่าบาท ฝากผ่านพี่ชายเจ้าช่วยมอบของให้ฝ่าบาทแทนข้า” เย่วลี่อิงเริ่มพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง “ของอันใดกันเพคะ หม่อมฉันไม่เคยนำของ ของพระองค์มอบให้ฝ่าบาทเลยนะเพคะ ยิ่งให้พี่ชายช่วยส่งแทนให้ยิ่งมิเคย” น้ำเสียงเยาะเย้ยบวกกับรอยยิ้มยียวนของหลี่ฟางซินทำให้เย่วลี่อิงหัวเสียมากขึ้น “นี้เจ้าเอาของของเราไปทิ้งอย่างนั้นหรือ” “ฮองเฮาพูดถึงเรื่องอะไรเพคะ หม่อมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย พระองค์อย่าได้ใส่ความหม่อมฉันสิเพคะ” “นี้เจ้า”
© 2018-now MeghaBook
บนสุด