เป็นเพียงขยะไร้ค่าของตระกูลจะสู้หลานชายสุดที่รักของคุณปู่ได้อย่างไร ติณณ์เดินออกจากตระกูลไปยังประเทศเกรย์ดัชตามคำบอกเล่าของเพื่อนสาว แต่เข้าประเทศเขาวันแรกดันปากดีใส่องค์รัชทายาทจนโดนหมายหัว
เป็นเพียงขยะไร้ค่าของตระกูลจะสู้หลานชายสุดที่รักของคุณปู่ได้อย่างไร ติณณ์เดินออกจากตระกูลไปยังประเทศเกรย์ดัชตามคำบอกเล่าของเพื่อนสาว แต่เข้าประเทศเขาวันแรกดันปากดีใส่องค์รัชทายาทจนโดนหมายหัว
อึดอัด
แม้จะเผชิญกับเหตุการณ์แบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่สำหรับติณณ์แล้ว...เขาไม่ชินกับมันเอาเสียเลย
“คุณพ่อคะ ไตรเขาทำแผนงานนี้ได้สำเร็จอย่างสวยงามเลยค่ะ กำไรเพิ่มมากขึ้นเกือบ 5%”
“จริงรึ! หลานทำได้ขนาดนั้นเลยรึ!”
“แถมบริษัทนี้ยังเป็นบริษัทที่ปกติเลือกแต่งานของบริษัทคู่แข่งเราด้วยนะครับคุณพ่อ ไม่รู้ไตรใช้วิธีอะไรถึงสามารถดึงพวกเขามาบริษัทเราได้”
“เก่งมากหลานรักของปู่!”
“คุณปู่ก็อย่าไปฟังคุณพ่อกับคุณแม่นักเลยครับ เรื่องแค่นี้เอง ไม่ได้ลำบากอะไรเลย”
หากมองจากมุมมองภายนอกแล้ว ภาพที่อยู่ตรงหน้าช่างเป็นการรับประทานอาหารของครอบครัวที่สุขสันต์เสียเหลือเกิน ประกอบไปด้วยผู้เป็นผู้นำตระกูลในปัจจุบัน จิรเดช ศรัณย์รัชต์ ที่ตอนนี้ยกบริษัทให้ลูกชายเป็นผู้ดูแล อย่างจิรกานต์ ศรัณย์รัชต์ โดยมีภรรยาแสนสวยประกบเคียงข้าง พร้อมกับหลานชายคนโปรดอย่างไตรภพ ศรัณย์รัชต์
จิรเดชนั้นมีบุตรชายทั้งหมดสามคน โดยจิรกานต์เป็นบุตรชายคนสุดท้อง ด้วยความเป็นคนสุดท้องจึงไม่ได้มีบทบาทภายในตระกูลมากนัก แต่อาจจะต้องขอบคุณภรรยาของเขา เขมิกา ที่คลอดลูกชายแสนฉลาดอย่างไตรภพออกมา
ไตรภพเติบโตมาอย่างมีคุณภาพ ต่อยอดธุรกิจ และสานต่อในส่วนงานของบิดาจนโดดเด่น ดึงดูดสายตาของจิรเดชผู้เป็นปู่ให้หันมามอง เมื่อเขาเห็นศักยภาพของไตรภพจึงลองให้อีกฝ่ายเข้ามามีบทบาทในบริษัทแม่ที่ยิ่งใหญ่ของตระกูล
และไตรภพก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง เขาประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้จิรเดชยิ่งประทับใจ สุดท้ายเขาก็เริ่มมองเห็นบุตรชายคนเล็กอย่างจิรกานต์ขึ้นมาบ้าง จึงไม่แปลกที่จิรกานต์ และเขมิกาจะเชิดชูไตรภพสุดหัวใจ
โดยลืมไปเลยว่ายังมีบุตรชายอีกคนอย่างติณณ์ ศรัณย์รัชต์อยู่
ติณณ์เป็นบุตรชายของจิรกานต์ และเขมิกาเช่นกัน เขามีรูปร่างสูงทว่าเพรียวบาง แม้จะไม่ได้อ้อนแอ้นแต่ก็ไม่ได้มาดแมนสมชายชาตรีอย่างไตรภพผู้เป็นพี่ชาย ถึงอย่างนั้นเขาก็มีนิสัยอ่อนโยนแตกต่างจากไตรภพ เพียงแต่ว่าสำหรับตระกูลศรัณย์รัชต์ผู้เป็นเจ้าของบริษัทจิวเวลรี่ชั้นนำของโลกแล้วนั้น ช่างเป็นนิสัยที่ไร้ประโยชน์
นอกจากนี้แล้วเขาก็ช่างจืดจางเสียเหลือเกิน ด้วยนิสัยสุภาพ เรียบร้อย ไม่โดดเด่น ทำให้เขาเหมือนเงาที่หลบอยู่เบื้องหลังของไตรภพผู้เป็นพี่ชาย
“แทนที่จะพูดแต่เรื่องของผม คุยเรื่องติณณ์บ้างสิครับ”
ติณณ์ที่กำลังเขี่ยข้าวในจานชะงักมือเมื่อทุกสายตาหันมามองเขาที่นั่งอยู่ในมุมมืดมานาน เขาเม้มริมฝีปากที่แห้งผาก รู้สึกกดดันกับสายตาที่มองมาเขม็ง ทำไมไตรภพจะต้องดึงเขาออกไปด้วย
หากไม่ใช่ว่าเป็นธรรมเนียมที่เวลามาพบผู้นำตระกูลแล้วจะต้องมาให้ครบทุกคนเพื่อเป็นการให้เกียรติละก็ ติณณ์คงไม่มีหน้ามานั่งอยู่ภายในคฤหาสน์ตระกูลหลักนี้แน่นอน
“คุยเรื่องอะไรล่ะ” จิรเดชพูดขึ้น เสียงของชายชราคนนี้ดูยานคางไม่ใส่ใจ ถามพอเป็นพิธีเท่านั้น
“เอ่อ...” เขมิกาที่มักจะคุยจ้อเรื่องบุตรชายกลับไปไม่ถูก อยากจะให้ติณณ์หายไปจากตรงนี้เสียเหลือเกิน เพราะเธอไม่รู้จะพูดกับจิรเดชยังไงดี ก็ลูกชายคนนี้ของเธอมันช่างน่าผิดหวังไปหมด
“ผมไม่มีอะไรจะอวดหรอกครับ” ติณณ์ตอบกลับไป แต่เขาไม่กล้าสบตาปู่ของตัวเองเท่าไหร่นัก เขาไม่ใช่หลานรักที่ท่านจะมองด้วยสายตารักใคร่ มีแต่ความเย็นชา และกดดันเท่านั้น
พอได้ยินเสียงถอนหายใจของผู้เป็นปู่ ติณณ์ก็รู้สึกแย่จนอยากจะอาเจียนออกมา
“ไม่มีอะไรจะอวด?” จิรเดชหันไปมองลูกชายตนเองที่เหมือนจะมีไฟลนก้นนั่งไม่ติดที่ “นี่แกไม่ส่งเจ้าติณณ์ไปทำการทำงานอะไรบ้างหรือไง? หรือเรียนจบแล้วก็มาอยู่สบาย ๆ กินเงินพ่อแม่ไปวัน ๆ หรือจะเกาะบารมีพี่ชายไปตลอดชีวิต?”
ติณณ์อยากจะแย้งว่าเขาก็ไม่ได้อยู่สบาย ๆ เสียหน่อย ทุกงานของไตรภพก็มีเขาช่วยทั้งนั้น บางงานก็เร่งด่วน บางงานก็ทำเกือบทั้งหมด ส่วนไตรภพก็หายหัวไปไหนไม่รู้ ไม่เคยแม้แต่จะสนใจ โผล่มาทีตอนงานเสร็จ และคาบงานไปเป็นของตัวเองตลอด
ติณณ์อยากจะแย้งหรือฟ้องใครสักคน แต่ประสบการณ์ของเขาบอกตัวเองว่า...บอกไปแล้วใครจะเชื่อ เทียบกับไตรภพแล้ว คนอย่างเขามันจะมีค่าสักแค่ไหนกันเชียว เขาจึงปิดปากเงียบมาตลอด
รู้ดีว่าหากต้องเลือก...พวกเขาจะเลือกใคร ระหว่างไตรภพและติณณ์
“ฉันไม่พูดอะไรเพราะเห็นว่าตาไตรเขาทำผลงานได้ยอดเยี่ยม มีขยะสักชิ้นสองชิ้นก็ไม่นับว่ามีค่าอะไร พอจะหลับหูหลับตาได้บ้าง แต่ก็ต้องให้มันพอดี ๆ บ้าง อายุขนาดนี้ ไม่คิดจะมีอะไรเป็นของตัวเองหรือไง?”
คำถามของผู้เป็นปู่ทำให้ติณณ์อยากจะร้องไห้ นัยน์ตาสีดำคู่สวยของเขามีน้ำเอ่อคลอ สองมือกำแน่นอย่างพยายามอดทน
“คุณพ่ออย่าไปสนใจเลยครับ เรามาคุยเรื่องงานที่ไตรทำกันต่อดีกว่า” จิรกานต์รีบเอ่ยทักท้วง ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำเพราะช่วยเหลือลูกชายคนเล็ก เพียงแต่ว่าอยากให้จิรเดชนั้นเห็นศักยภาพของไตรภพมากขึ้น ยิ่งเห็น ก็ยิ่งรัก นั่นหมายถึงทรัพย์สินส่วนแบ่งมากมายที่จิรเดชจะมอบให้ครอบครัวของเขาในตอนสุดท้าย
“ช่างเถอะ ๆ ฉันก็รู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้” จิรเดชโบกมือไปมา ท่าทางของเขาเบื่อหน่ายเต็มทน “เอาจดหมายมาหน่อย”
พ่อบ้านที่ยืนรับใช้อยู่ด้านหลังเดินไปหยิบซองจดหมายสีขาวมายื่นให้กับผู้นำตระกูล ทุกคนต่างมองตามอย่างสงสัย
“ไปแต่งงานซะ”
“!!!” ติณณ์เบิกตาโตเมื่อซองจดหมายนั้นถูกโยนใส่หน้าเขา ซองจดหมายร่วงหล่นลงมา เขาใช้มือที่สั่นเทาหยิบจดหมายนั้นขึ้นมา ก่อนที่เขมิกาที่นั่งข้างกันจะแย่งไปจากมือเพื่อไปเปิดอ่าน
“ตระกูลนี้ต้องการคนไปตบแต่งด้วย แต่พวกหลานสาวก็มีคู่หมั้นกันหมดแล้ว แกก็ไปแต่งแทนซะ ไหน ๆ แกก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากมายกับตระกูลเราอยู่แล้ว”
“คะ คุณปู่...” พูดง่าย ๆ แบบนั้นได้ยังไงกัน ติณณ์อึ้งจนพูดไม่ถูก มันไม่เหมือนการขอให้ไปแต่งงานเลยด้วยซ้ำ หรือจะบอกว่าเป็นการคลุมถุงชน มันก็ไม่ได้น่ารังเกียจแบบนี้ เหมือนไล่หมูไล่หมา...ไม่ใช่เขาที่มีสายเลือดเดียวกัน
“แต่ตระกูลนี้เขาจะยอมรับเหรอคะคุณพ่อ?” เขมิกาถามอย่างสงสัย ทุกคนเหมือนจะงุนงงและอยากรู้ ไม่มีใครสนใจเลยว่าการกระทำนี้มันทำให้ติณณ์เจ็บปวดแค่ไหน “แถมสู่ขอไปให้บุตรชายคนเล็ก? ถึงสมัยนี้การแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่ตระกูลระดับนั้นจะไม่ห่วงเรื่องทายาทเหรอคะ?”
“คุณ...สมัยนี้ผู้ชายก็ทำให้ท้องได้ถ้าบำรุงดี ๆ แถมคนฝั่งนั้นก็เป็นลูกชายคนเล็ก ผมว่าคงไม่ได้มีบทบาทอะไรมากมายนักหรอก ถือว่าดีนะที่เราได้เกี่ยวดองกับตระกูลนั้น”
ติณณ์มองพ่อกับแม่ของตัวเองอย่างผิดหวัง พวกเขากำลังพูดเรื่องที่ลูกชายตัวเองถูกบังคับให้ไปแต่งงานจริง ๆ หรือเปล่า ทำไมพวกเขาเหมือนพูดเรื่องหมาเรื่องแมวอย่างนั้น หรือจริง ๆ ลูกชายคนนี้ก็มีค่าแค่เป็นสัตว์เลี้ยง?
ไม่มีใครสักคนเลยเหรอที่จะหันมาถามความเห็นของเขา ไม่มีสักคนเลยเหรอที่จะหันมาสนใจความรู้สึกของเขา
“จะสนใจอะไรนักหนา! จะมีลูกหรือไม่มีเกี่ยวอะไร! พวกนั้นก็แค่อยากจะเกี่ยวดองกับตระกูลของเรา ฉันจะให้ใครไปมันก็เรื่องของฉัน” จิรเดชพูดเสียงดังอย่างหงุดหงิด
“พอสักทีเถอะครับ!” ติณณ์ลุกขึ้นยืน เขาไม่อาจทนอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ได้อีกต่อไป ที่ผ่านมาต่อให้ถูกเหยียบย่ำ และไม่เห็นหัวมากแค่ไหนเขาก็อดทนมาตลอด แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว พวกนี้ไม่มองว่าเขาเป็นคนเสียด้วยซ้ำ!
จะดูถูก เดียดฉันท์อะไรก็ทำไป แต่จะมาลดคุณค่าเขาไม่ได้!
“ผมไม่แต่ง!”
“ติณณ์!” เขมิกาแผดเสียงร้องมองลูกชายที่แสนจะไร้ค่าของเธออย่างหงุดหงิด ไม่เคยมีอะไรดีแท้ ๆ แต่ง ๆ ไปให้จบ ๆ ก็ดีแล้ว จะมาโวยวายอะไรนักหนา
“ไม่แต่งก็ออกจากตระกูลฉันไปซะ” จิรเดชเอ่ยเสียงขรึม ไม่ได้มีท่าทางตกใจหรืออะไร ราวกับว่าเขาเป็นผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่า คนที่ควรจะคุกเข่าขอร้องคือติณณ์ต่างหาก ไม่ใช่เขา
“คุณปู่ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ!” ไตรภพลุกจากที่นั่งเดินไปนวดไหล่ นวดแขนให้กับปู่ของเขาด้วยท่าทางนอบน้อม แม้รอยยิ้มขบขันจะประดับเต็มใบหน้า แต่เหมือนทุกคนจะตาบอดกันไปหมด ที่คิดว่าไตรภพกำลังช่วยเหลือน้องชายของตนเอง
“ติณณ์ นายก็ใจเย็น ๆ เถอะ ทำตามที่คุณปู่บอกเถอะนะ นายออกจากตระกูลไปตัวเปล่ามีแต่พาตัวเองไปตายเท่านั้นแหละ” ไตรภพกล่าวปลอบเสียงนุ่ม แต่ดวงตากลับปกปิดความสะใจไว้ไม่มิด ส่วนทุกคนต่างก็จ้องติณณ์อย่างกดดัน
คนอย่างแกออกไปจะไปทำอะไรได้ มีแต่เป็นศพข้างถนนอย่างน่าสมเพชน่ะสิ!
ติณณ์ยืนมองทุกคนที่อยู่ตรงหน้า พวกเขาคือครอบครัว...ปู่ พ่อ แม่ พี่ชาย ทุกคนคือบุคคลใกล้ชิดทางสายเลือดมากที่สุด แต่กลับเลือดเย็นกับเขามากที่สุดเช่นเดียวกัน เคยอดทนเพราะเห็นว่าคือญาติสนิทมิตรสหาย แต่เขามันโง่เอง ที่คิดว่าสักวัน...สักวันพวกเขาก็จะหันมารักตัวเอง
“ผมจะออกจากตระกูลนี้”
ได้เวลาที่ติณณ์คนนี้มันจะเลิกโง่ได้แล้ว
ตายด้วยเงื้อมมือของเพื่อนร่วมสาขา เนเน่ เนตรนภา จึงทะลุมิติมาอยู่ในร่างเด็กน้อยวัยสิบหนาวที่ป่วยตาย นามเซี่ยซูเหยา มีบิดา พี่สาว พี่ชายที่เป็นห่วงนางมากกว่าสิ่งใด
ชีวิตของลิลลี่เป็นชีวิตที่ใครหลาย ๆ คนใฝ่ฝันอยาจะเป็นแบบเธอ แต่คนอื่นไม่เคยรู้เลยว่ามันโดดเดี่ยวมากแค่ไหน เกิดในตระกูลหมื่นล้านครอบครัวค่อย ๆ จากไปทีละคน อายุเพียงยี่สิบอาชายผู้ที่เป็นญาติผู้ใหญ่คนสุดท้ายที่เหลืออยู่ดวลจากไป ลิลลี่ ลลิลิล จึงกลายเป็นทายามเพียงคนเดียวของตระกูล มีแล้วอย่างไรสุดท้ายคนเราต้องจากไป มีเงินหมื่นล้านยื้อชีวิตใครไม่ได้สักคน ลิลลี่ในวัยยี่สิบปีเธอรู้ว่าธุรกิจของตระกูลไม่อาจสานต่อได้ ขายหุ้นให้คนอื่นรอรับเพียงเงินปันผลก็เพียงพอ ยี่สิบสามเรียนจบปริญญาตรีด้านแฟชั่นก่อนเรียนต่อปริญาเอก ปริญญาโท ในปีที่สามสิบของชีวิตลิลลี่ประสบความสำเร็จในด้านดีไซเนอร์ เป็นดีไซเนอร์ที่มีชื่อเสียง ยังไม่ทันได้ใช้ชีวิตหลังเรียนจบก็เสียชีวิตจากความเครียดที่สะสมมาตลอด คิดว่าหลังความตายคงจะถูกบรรพบุรุษสาปแช่งที่ดูแลตระกูลไม่ได้ ใครจะรู้ว่าลืมตาแล้วจะมาอยู่ในร่างของคนอื่น วันที่เจ็ดเดือนมกราคมปี 1980 ลิลลี่ตื่นขึ้นในในร่างของลูกสาวคนโตของบ้านฉิน ฉินเสี่ยวหราน มีน้องสาวหนึ่งคน พ่อเป็นทหารหารเพิ่งได้รับเลื่อนขั้นเป้นพันตรี แม่เป็นหญิงในชนบท ฉินเสี่ยวหรานเป็นนักเรียนมัธยมปลายชั้นปีสุดท้าย ส่วนฉินเสี่ยวหลิงเป็นนักเรียนมัธยมต้นชั้นปีสุดท้ายที่จะขึ้นมัธยมปลาย
แป้งร่ำสาวใหญ่วัยสี่สิบ ชีวิตของเธอเต็มไปด้วยงานจนกระทั่งเพิ่งรู้ตัวว่าไม่มีใครเคียงข้าง หลังจากทบทวนชีวิตดีแล้วจึงยื่นขอลาออกจากบริษัท และนับตั้งแต่นั้นมาชีวิตของเธอก็เปลี่ยน ระบบเส็งเคร็งนี่คืออะไร!
แป้งร่ำสาวใหญ่วัยสี่สิบ ชีวิตของเธอเต็มไปด้วยงานจนกระทั่งเพิ่งรู้ตัวว่าไม่มีใครเคียงข้าง หลังจากทบทวนชีวิตดีแล้วจึงยื่นขอลาออกจากบริษัท และนับตั้งแต่นั้นมาชีวิตของเธอก็เปลี่ยน ระบบเส็งเคร็งนี่คืออะไร! .
ซุนลี่เป็นหนึ่งเกรียงไกร แผ่นดินยิ่งยงไพศาล ใต้หล้าสยบชั่วกาล ว่านอี้ครองราชย์...ประชาร่มเย็น ว่านอี้ครองราชย์...ประชาร่มเย็น คำนี้มีความจริงเจือจางอยู่กี่มากน้อยกันแน่? เรื่องเหล่านี้คงเป็นเพียงบทเรียนในวังหลังที่จารึกให้คนท่องจำ ไปอย่างสูญเปล่า เพราะสำหรับตัวนางแล้ว คำกล่าวนี้ดูห่างไกลความจริง จนสุดหล้าทีเดียว
อดีตที่ยากจน แม่เลี้ยงสามีที่เอาเปรียบบ้านใหญ่ บ้านรอง ของพวกเธอต้องชดใช้!
เซิ่งหนานหยินเกิดใหม่แล้ว ชาติที่แล้ว เธอถูกชายชั่วหักหลัง ถูกชายเสแสร้งใส่ร้าย โดนครอบครัวสามีเล่นงาน จนทำให้เธอล้มละลายและเป็นบ้าไป ในท้ายที่สุด เธอเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ 9 เดือน แต่คนร้ายกลับทำเงินได้มากมาย และใช้ชีวิตทั้งครอบครัวอย่างมีความสุข เกิดใหม่ครั้งนี้ เซิ่งหนานหยินคิดตกอล้ว อะไรที่ว่าพระคุณช่วยชีวิต คนรักในใจอะไรกัน ล้วนไม่ต้องไปสน เธอจะจัดการชายชั่วหญิงร้าย สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลเก่าของตนเองขึ้นมาใหม่อีกครั้งและนำตระกูลเซิ่งไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ คนที่หยิ่งมาตลอดในชาติที่แล้ว กลับเป็นฝ่ายริเริ่มมาหาเธอ "เซิ่งหนานหยิน การแต่งงานครั้งแรกผมไม่ทัน การแต่งงานครั้งที่สองก็ต้องถึงคิวผมแล้วสินะ"
เมื่อตอนเด็ก หลินอวี่เคยช่วยชีวิตเหยาซีเยว่ที่กำลังจะตาย ต่อมา หลินอวี่กลายเป็นพืชหลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอแต่งงานเข้าตระกูลหลินโดยไม่ลังเลใจและใช้ทักษะทางการแพทย์ของเธอเพื่อรักษาหลินอวี่ สองปีของการแต่งงานและการดูแลอย่างสุดหัวใจของเธอเพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณ และเพื่อที่เขาจะให้ความสำคัญกับตัวเองบ้าง แต่ความพยายามทั้งหมดของเธอกลับไร้ประโยชน์เมื่อคนในใจของหลินอวี่กลับมาประเทศ เมื่อหลินอวี่โยนข้อตกลงการหย่ามาใส่เธออย่างไร้ความปราณี เธอก็รีบเซ็นชื่อทันที ทุกคนหัวเราะเยาะเธอที่เป็นผู้หญิงที่ถูกครอบครัวใหญ่ทอดทิ้ง แต่ใครจะไปรู้ว่า เธอคือ Moon นักแข่งรถที่ไม่มีใครเทียบได้บนสนามแข่งรถ เป็นนักออกแบบแฟชั่นที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เป็นอัจฉริยะของแฮ็กเกอร์ และเธอยังเป็นหมอมหัศจรรย์ระดับโลก... อดีตสามีของเธอเสียใจมากจนคุกเข่าลงกับพื้นขอร้องให้เธอกลับมา ผู้เผด็จการคนหนึ่งอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า "ออกไป! นี่คือภรรยาของฉัน!" เหยาซีเยว่ "?"
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
หลังจากแต่งงานได้สองปี เซี่ยหนิงซีนอนจมกองเลือดเมื่อเธอคลอดบุตรยาก แต่เธอลืมไปว่าวันนี้เป็นงานแต่งงานของเขากับคนอื่น ฮั่วหนานเซียวพูดว่า "คลอดเด็กออกมา เราไปหย่ากัน" สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือเด็กที่อยู่ในท้องของเธอ แต่ทารกที่เพิ่งเกิดใหม่กลับต้องไปเรียกคนอื่นเป็นแม่ เซี่ยหนิงซียอมตายบนห้องผ่าตัดเสียดีกว่า แต่ปรากฏว่ามีทารกในครรภ์สองคนอยู่ในท้องของเธอ! เมื่อพวกเขาพบกันอีกครั้ง เขาก็ตกหลุมรักเธอ แต่เธอก็จะแต่งงานกับคนอื่นไปแล้ว และมีลูกสองคน ฮั่วหนานเซียวเป็นบ้าขึ้นมาและวิ่งไปในงานแต่งงานของเธอ... "ฮั่วหนานเซียว ฉันตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้ฉันจะเอาชีวิตคุณให้ได้ " เซี่ยหนิงซีทำลายคนรักของเธอด้วยมือของเธอเอง แต่เธอไม่รู้ว่าตอนที่เขารู้ว่าเธอเสียชีวิตนั้น ฮั่วหนานเซียวไม่เปิดใจให้ใครอีกตั้งแต่คืนนั้น เขารอมาตั้งพันกว่าวันด้วยความทุกข์ใจเพียงเพื่อพบเธออีกครั้ง...
หลังจากแต่งงานกันมาสองปี สามีของเธอไม่เคยเหยียบเข้าไปในบ้านและมองดู 'ภรรยาขี้เหร่' ของเขาเลย แถมเขาก็มีเรื่องอื้อฉาวกับดาราหน้าใหม่หลายคนทุกวัน ซูเหว่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอตัดสินใจปล่อยเขาไป ต่อไปก็ต่างคนต่างไปเลย แต่เมื่อเธอเสนอเรื่องหย่า... ฟู่เหยียนอันพบว่านักออกแบบในบริษัทนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ เขาค่อยๆ ทำความรู้จักกับเธอเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอเข้า เขาเสียใจแล้ว
"คุณต้องการเจ้าสาว ส่วนฉันก็ต้องการเจ้าบ่าว ทำไมเราไม่แต่งงานกันล่ะ?" ภายใต้เสียงเยาะเย้ยของทุกคน ถังเลี่ยน ซึ่งถูกคู่หมั้นของเธอทอดทิ้งในพิธีแต่งงาน กลับแต่งงานกับเจ้าบ่าวพิการข้างบ้านที่ถูกรังเกียจ ถังเลี่ยนคิดว่าอวิ๋นเซินเป็นชายหนุ่มที่น่าสงสาร และเธอสาบานว่าจะให้ความรักใคร่แก่เขาและตามใจเขาหลังแต่งงาน ใครจะรู้ว่าเขาแกล้งเป็นแบบนั้น... ก่อนแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "เธอต้องสนใจเงินของผมถึงยอมแต่งงานกับผม ผมจะหย่ากับเธอหลังจากที่ผมใช้ประโยชน์เธอเสร็จ" หลังแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "ภรรยาของผมต้องการหย่าทุกวัน แต่ผมไม่อยากหย่า ทำอย่างไรดีล่ะ"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด