อืม…แต่แค่ทำงานเยี่ยงทาสหรือถูกกลั่นแกล้งมันก็พอทนได้อยู่หรอก เพราะฉันเป็นพวกอึดถึกทนอยู่แล้ว (ความจริงคือไม่มีที่ไป) …แต่การจะให้เด็กสาวอายุ 16 อย่างฉันไปเป็นผู้หญิงอุ่นเตียงที่สอนและให้ประสบการณ์เรื่องอย่างว่ากับคุณชายน้อยนี่สิ…ใครมันจะไปรับได้ แน่นอนว่าจะต้องต่อต้านทุกวิถีทางอยู่แล้ว!
ความจริงฉันอายุน้อยอย่างนี้ก็ควรจะไปเรียนหนังสือ เหมือนกับเด็กวัยเดียวกันในสังคมไม่ใช่หรอ?
ถ้าจะให้เล่าเรื่องราวในชีวิตของฉันคงจะต้องย้อนไปเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว ในตอนที่ฉันวัยเพียง 14 ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต เพราะต้องสูญเสียพ่อกับแม่ผู้เป็นที่รักไปตลอดกาล จากอุบัติเหตุทางรถยนต์
ผู้ที่เป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของฉันทั้งคู่ได้จากฉันไปพร้อมกัน…ตอนยังอยู่พ่อกับแม่ก็รักกันมาก ตอนจากไปยังจากไปพร้อมกันอีก ช่างเป็นความรักที่โรแมนติกเสียจริง ฉันผู้เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวจึงต้องใช้ชีวิตด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่นั้นมา
แต่ด้วยความที่ยังเด็กและเรียนหนังสืออยู่ แถมยังเป็นเด็กสาวที่คนในหมู่บ้านต่างขนานนามว่านางงามน้อย ฉันจึงไม่สามารถที่จะอยู่ในหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยวัยรุ่นผู้ชายที่มีทั้งการเสพ ดื่ม และเกาะกลุ่มกันทำกิจกรรมผิดกฎหมายกันทั้งวันทั้งคืนได้
หมู่บ้านของฉันอยู่บนดอยที่ห่างไกลความเจริญในจังหวัดเชียงราย มันเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ มีคนอาศัยอยู่แค่สองถึงสามร้อยชีวิต ดังนั้นคนในหมู่บ้านก็จะรู้จักและเป็นญาติพี่น้องกันเสียส่วนใหญ่
พอพ่อแม่ฉันเสียไป จึงต้องย้ายไปอยู่กับครอบครัวของ ‘น้าสอางค์’ บ้านน้าอยู่ถัดไปอีก 3 หลัง ครอบครัวของน้ามีอยู่ 4 คน คือตัวน้า ‘น้าบุญเลิศ’ ผู้เป็นสามีและลูกสาวอีกสองคน
แต่อนิจจา…พอย้ายไปแล้ว น้าสอางค์ก็ขายบ้านของฉันที่อยู่มาตั้งแต่เกิดทิ้งทันที โดยให้เหตุผลสวยหรูว่าขายก็เพื่อเอาเงินมาเลี้ยงดูฉัน
แต่นั่นเป็นที่ดินและบ้าน สมบัติเพียงอย่างเดียวที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ฉัน มันเป็นบ้านที่ไม่มีโฉนด แค่ทำสัญญาซื้อขายกันก็ถือว่าจบแล้ว และด้วยความที่ฉันยังเด็กและไม่มีความรู้จึงทำอะไรไม่ได้เลย
ฉันรู้ว่าน้าสอางค์เป็นพวกผีพนันเข้าสิง แกชอบเล่นไพ่และหวยใต้ดินมาก ได้เงินมาเท่าไหร่ก็หมดไปกับเรื่องพวกนี้ตลอด ทุกวันนี้แกก็เป็นหนี้คนทั้งหมู่บ้าน เพราะอย่างนั้นฉันเลยไม่ไว้ใจให้แกถือเงิน
ซึ่งทุกอย่างมันก็เป็นอย่างที่ฉันคิดเอาไว้ พอผ่านไปแค่สัปดาห์เดียวเงินของน้าสอางค์ก็หมดไปกับเรื่องพวกนี้จริงๆ แน่นอนว่าฉันโกรธมากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะต้องอาศัยอยู่กับครอบครัวของน้า ถ้าเถียงก็มีแต่จะโดนตีและด่าทอ เพราะอย่างนั้นเลยเลือกจะเงียบและกล้ำกลืนฝืนทนความทุกข์ระทมและขมขื่นนี้ไว้แค่ในใจ
ฉันใช้ชีวิตอยู่กับน้าสอางค์มาสามเดือน ทุกวันล้วนผ่านไปอย่างยากลำบาก เพราะต้องคอยรับใช้คนในบ้านทุกอย่าง ทำงานหนักเหมือนวัวเหมือนควายก็ไม่ปาน เพราะฉันไม่มีที่พึ่งอื่นแล้ว จึงทำได้แค่กัดฟันอดทน
ที่ผ่านมาไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ไหน ฉันก็ไม่เคยปริปากบ่น พวกเขาให้ทำอะไรฉันทำได้หมดทุกอย่าง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันรับไม่ได้ นั่นก็คือ การกระทำของน้าบุญเลิศ…
ความจริงฉันก็ดูออกตั้งแต่พ่อแม่ยังไม่เสียแล้วว่าน้าบุญเลิศน่าจะคิดไม่ซื่อกับฉัน เพราะตอนอายุ 12 เคยถูกน้าจับก้น ถึงแม้จะทำเหมือนผู้ใหญ่หยอกล้อเด็ก แต่ฉันก็รู้ว่ามันไม่ปกติ และน้ามักจะใช้สายตาหื่นกระหายคอยโลมเลียตามเรือนร่างของฉันอยู่เสมอ เพราะตอนนั้นยังเด็กจึงไม่รู้ความ แต่ก็รู้ว่าไม่ชอบการกระทำแบบนั้นของน้า เลยไปเล่าให้แม่ฟัง ตอนนั้นแม่บอกว่าอย่าไปใกล้น้าบุญเลิศอีก ให้หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ต้องอยู่ตามลำพังกับแก โดยเฉพาะตอนแกเมา อย่าเข้าใกล้โดยเด็ดขาด
ตั้งแต่นั้นมาฉันก็ทำตามแม่บอกโดยตลอด แต่พอมาอยู่บ้านเดียวกันแล้วมันก็หลบไม่ได้ พอเป็นอย่างนั้นฉันจึงมักจะถูกน้าบุญเลิศแทะโลมทางสายตาอยู่บ่อยครั้ง เวลาไม่มีใครอยู่บ้านแกก็ชอบมาจับและลูบไล้ตามร่างกายของฉัน
บอกตามตรงว่าฉันไม่ชอบเลย และรังเกียจมากด้วย เพราะอย่างนั้นจึงพยายามหนีตลอด เมื่อเจอสถานการณ์แบบนั้น
แต่สถานการณ์เลวร้ายที่สุดมันก็เกิดขึ้นจนได้ วันนั้นน้าบุญเลิศแกเมามา ฉันอยู่บ้านคนเดียว สบโอกาสแกคิดจะข่มขืนฉัน ตอนนั้นฉันกลัวมาก เกือบจะเสียตัวให้น้าแกไปแล้ว แต่ก็โชคดีที่คนเมามันควบคุมร่างกายได้ไม่ดีนัก ฉันเลยหนีออกมาได้
พอเอาเรื่องไปเล่าให้น้าสอางค์ฟังแกก็ไม่เชื่อ หาว่าตัวฉันเองนี่แหละที่เป็นคนไปยั่วผัวของแก ตอนนั้นฉันเอาเรื่องไปฟ้องแกที่วงไพ่พอดี เลยทำให้แกหงุดหงิดมาก และไล่ตะเพิดฉันออกมาอย่างกับหมูกับหมา
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาฉันก็เริ่มคิดแล้วว่าจะต้องหนีออกไปจากที่นี่ ฉันไม่มีทางอยู่ร่วมบ้านเดียวกับน้าบุญเลิศได้อีก—ไม่สิ ความจริงฉันจะอยู่หมู่บ้านนี้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน น้าบุญเลิศก็คงจะตามฉันไปได้
แล้วอีกอย่างพวกวัยรุ่นเสเพลในหมู่บ้านหลายคนก็ไม่น่าไว้ใจ การกระทำของคนพวกนั้นไม่ต่างจากน้าบุญเลิศเลย พอเห็นฉันก็มักจะใช้สายตาและคำพูดแทะโลมตลอด ถึงจะเพียงแค่นั้นแต่จะมั่นใจได้ยังไงว่าถ้าพวกเขาสบโอกาสจะไม่ทำกับฉันเหมือนที่น้าบุญเลิศทำ…เหตุการณ์และผู้คนเหล่านี้ทำให้ฉันรู้สึกไม่ปลอดภัยในการใช้ชีวิตเลยสักนิด ฉันกลายเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่มีใครให้พึ่งพิง แต่ละวันผ่านพ้นไปด้วยความรู้สึกหวาดระแวง
ฉันมีความคิดอยากจะหนีออกไปจากที่นี่ทุกวัน ในสมองเต็มไปด้วยวิธีการต่างๆ ที่จะหนีออกไปและใช้ชีวิตยังไงต่อไป แต่ด้วยความที่ยังเรียนไม่จบ ม.3 หนีไปแล้วฉันจะทำอะไรได้ คำนำหน้าก็ยังเป็นเด็กหญิง จะไม่ถูกจับส่งบ้านเด็กเลี้ยงกำพร้าหรอกหรอ ดีไม่ดีถูกส่งกลับมาที่เดิมชีวิตของฉันคงจะจบเห่
เพราะอย่างนั้นจึงตัดสินใจอดทนจนกว่าจะเรียนจบ ม.3 แล้วค่อยหนี ระหว่างนี้ก็คิดแผนการว่าจะหนีไปที่ไหนแล้วทำอะไรต่อ แล้วจะเอาตัวรอดจากน้าบุญเลิศได้ยังไง
ซึ่งฉันก็ทำได้ดีทีเดียว ฉันสามารถเอาตัวรอดจากน้าบุญเลิศได้จนจบ ม.3 จริงๆ แต่ที่แย่คือ ฉันไม่รู้ว่าจะเอายังไงต่อไปกับชีวิตดี ฉันไม่รู้ว่าจะหนีไปที่ไหน และทำอะไรต่อดี วุฒิ ม.3 ที่ได้มาก็ถือว่ายังต่ำมากในยุคที่คนจบปริญญาตรีผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ความจริงฉันเป็นเด็กหัวดี เรียนเก่ง แต่น่าเสียดายที่โรงเรียนบนดอยที่ฉันอยู่มีสอนถึงแค่ ม.3 ถ้าอยากเรียนต่อก็ต้องไปเรียนในตัวอำเภอ แต่น้าฉันคงไม่ยอมแน่ มันเสียทั้งเงินและแรงงาน แกพูดกับฉันตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับแกแล้วว่าถ้าเรียนจบก็ไปทำงานรับจ้างทำไร่ทำสวนเหมือนพ่อกับแม่ของฉัน แล้วก็เอาเงินมาเลี้ยงน้อง ตอบแทนบุญคุณที่แกเลี้ยงฉันมา
…ถ้าฉันทำตามคำพูดของน้าก็บ้าแล้ว มาอยู่ด้วยยังไม่ถึงปีดี ใช้แรงงานฉันยิ่งกว่าทาส แถมยังขายบ้านเอาเงินฉันไปใช้จนหมดอีก บุญคุณก็ว่าตอบแทนหมดแค่นี้แล้ว
เพราะไม่มีที่ไปจึงต้องอาศัยอยู่กับน้า ช่วยแกเลี้ยงลูกน้อยวัย 3 กับ 7 ขวบ ระหว่างที่แกไปเล่นไพ่ แต่การเลี้ยงหลานทั้งสองจึงต้องอยู่บ้านมากขึ้น ทำให้มีโอกาสได้เจอกับน้าบุญเลิศมากขึ้นด้วย
เป็นอย่างนั้นฉันจึงต้องระวังตัวให้มากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ไม่ปล่อยให้ตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องอยู่กับน้าบุญเลิศตามลำพัง
แต่ใครจะไปคิดว่าน้าบุญเลิศแกจะบ้าบิ่นถึงขนาดนี้ ในวันหนึ่งที่แกเมามายกลับบ้านมา พอสบโอกาสแกก็เริ่มลวนลามและใช้กำลังรังแกฉัน ซึ่งครั้งนี้แกทำต่อหน้าเด็กน้อยสองคนผู้เป็นลูกของแกโดยไม่มีความเกรงกลัวหรือสำนึกเลยสักนิด เด็กทั้งสองที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ร้องไห้โวยวายลั่นบ้าน เพราะเห็นฉันกับน้าต่อสู้กันอย่างรุนแรง
ครั้งนี้ไม่รู้ว่าน้าบุญเลิศแกไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ฉันสู้แกไม่ได้เลย หนีก็ไม่พ้น ในตอนนั้นคิดว่าคงไม่รอดแล้ว เพราะน้าแกกระชากเสื้อผ้าของฉันจนหลุดลุ่ย แต่ดูเหมือนฉันจะยังมีโชคอยู่ เพราะในตอนนั้นน้าสอางค์กลับมาเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี ฉันจึงได้รอดตัวไปอีกครั้ง
แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นก็ทำให้ฉันตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดแล้วว่าจะหนีออกจากบ้านหลังนี้ให้ได้ ฉันไม่สามารถทนอยู่ในสถานที่ที่ไร้ซึ่งความปลอดภัยและต้องอยู่แบบหวาดระแวงในทุกๆ วันแบบนี้ได้อีกต่อไป
พอตัดสินใจได้แล้วก็ทำในกลางดึกคืนนั้นเลย ฉันไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเจอกับอะไรบ้าง แต่คิดว่ามันคงจะดีกว่าที่นี่
ซึ่งก็ดูเหมือนโชคของฉันจะยังไม่หมด ในตอนที่เก็บเสื้อผ้า ฉันเปิดดูพวกของที่ระลึกของพ่อแม่ในกล่องคุกกี้เก่าๆ แล้วบังเอิญเห็นกระดาษแผ่นเล็กๆ ในนั้นเขียนชื่อและที่อยู่ของคนคนหนึ่งเอาไว้…เธอชื่อ ‘อรพิน’ เป็นป้าของฉันเอง
ป้าอรพินแกไปทำงานอยู่กรุงเทพฯตั้งแต่ยังสาว น้อยครั้งนักที่จะกลับมาบ้าน ฉันถึงจำแกไม่ค่อยได้ ที่กลับมาล่าสุดก็คือมางานศพพ่อกับแม่ฉัน
ถึงจะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ฉันก็พอดูออกว่าป้าอรพินเป็นคนดี วันนั้นแกร้องไห้เสียใจอย่างหนักที่แม่ของฉัน หรือน้องสาวของแกจากไปอย่างกะทันหัน
ทุกอย่างมันดูลงตัวไปหมด ฉันมาเจอเจ้าสิ่งนี้ในวันที่ฉันคิดจะหนีออกจากบ้าน ฉันคิดว่าวิญญาณของพ่อแม่น่าจะดนใจให้ฉันได้เจอมัน พวกท่านคงจะสงสารลูกสาวที่รักเพียงคนเดียวจะต้องระหกระเหินเร่ร่อนไปอย่างไร้จุดหมาย จึงทำให้ฉันได้เจอกับชื่อและที่อยู่ พ่วงด้วยเบอร์ติดต่อของป้าอรพินมาให้
และในกลางดึกคืนนั้น ฉันก็ได้หนีออกจากบ้านของน้ามา ในหมู่บ้านจะมีรถของคนในหมู่บ้านขนผักไปขายในตัวอำเภอช่วงตี 4 ทุกวัน ฉันใช้โอกาสนี้ไปขอขึ้นรถกับพวกเขา
เจ้าของรถเป็นลุงกับป้าที่พ่อแม่ของฉันเคยทำงานให้ พวกเขาทั้งเอ็นดูและสงสารฉันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และรู้ว่าฉันถูกกระทำจากครอบครัวของน้าสอางค์ยังไงบ้าง พอรู้ว่าฉันจะหนีไปหาป้าที่กรุงเทพฯ จึงยินดีให้ฉันติดรถมาด้วย
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น ฉันหนีจากครอบครัวนั้นมาได้สำเร็จ ตอนจากลุงกับป้าขายผัก พวกเขาใจดีให้เงินค่ารถในการเดินทาง แต่ฉันไม่ได้รับไว้ เพราะฉันขโมยเงินของน้าสอางค์มาจำนวนหนึ่ง ปกติฉันไม่ใช่เด็กขี้ขโมย แต่เงินที่น้าสอาค์ขายบ้านของพ่อแม่ฉันไป ฉันยังไม่ได้สักบาท จึงถือเสียว่านี่เป็นส่วนแบ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ฉันควรจะได้รับ บวกกับเงินที่ฉันเก็บจากการช่วยครูทำงานที่โรงเรียนอีกเล็กน้อย คิดว่ามันคงจะเพียงพอสำหรับเดินทางไปหาป้าอรพิน
การเดินทางไปกรุงเทพฯ ของฉันเป็นไปอย่างทุลักทุเล ด้วยความที่ไม่เคยเดินทางไกลแบบนี้มาก่อน จึงทำให้ฉันขึ้นรถผิดสายบ้าง ใช้เวลาในการเดินตามหารถนานไปบ้าง จนเกือบจะตกรถก็มี ร่างกายของฉันมันไม่ได้พักผ่อน ทำให้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แต่กำลังใจของฉันยังดี เพราะคงไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการได้หลุดพ้นจากบ้านหลังนั้นมาแล้ว
ถึงการเดินทางจะค่อนข้างทุลักทุเลเพียงใดแต่ในที่สุดฉันก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านที่ป้าอยู่ได้อย่างปลอดภัย ถึงจะใช้เวลาถึง 2 วันก็เถอะ… เพราะขึ้นรถผิดสาย ทำให้เสียเวลาไปมาก แทนที่จะเดินทางมาถึงหมู่บ้านที่ป้าอยู่ในช่วงเย็นของวันนั้นเลย แต่เพราะหลงทางทำให้เดินทางมาถึงประมาณช่วงเที่ยงของอีกวัน ทำให้สภาพของฉันค่อนข้างอิดโรย ถึงจะลำบากหน่อย แต่อย่างน้อยก็เดินทางมาถึงแล้ว ทำให้สบายใจไปได้อีกเปลาะหนึ่ง
ถึงจะมาถึงหมู่บ้านที่ป้าอยู่ได้อย่างปลอดภัย แต่ฉันก็ไม่ได้เจอกับป้าเลยในทันที เพราะยังมีอุปสรรคอยู่อย่างหนึ่ง—นั่นก็คือการรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้านแห่งนี้ มันความเข้มงวดมากเกินไป…ฉันจึงไม่สามารถเข้าไปหาป้าได้
แต่โชคดีที่มีเบอร์ป้าอยู่ จึงขอยืมโทรศัพท์ของคุณ รปภ. เพราะฉันไม่มีโทรศัพท์
หลังจากโทรบอกป้าแล้ว ป้าก็ดูจะตกใจไม่น้อยจึงรีบมาหาฉันทันที พอป้ามาถึงฉันก็ได้เล่าเรื่องทุกอย่างที่ครอบครัวของน้าทำกับฉันให้ป้าฟังอย่างละเอียด
ป้าอรพินเป็นคนดีอย่างที่คิดไว้ หลังจากฟังเรื่องของฉันจบ แกก็ร้องห่มร้องไห้ เพราะสงสารและเวทนาในโชคชะตาอันอาภัพของฉัน แกไม่สงสัยสักนิดว่าฉันจะโกหก แถมยังต่อว่าสองน้านั่นไปอีกหลายประโยค
ในตอนนั้นฉันก็อุ่นใจแล้วว่าคงได้ที่พึ่งพิงที่สามารถพึ่งพาได้จริงๆ —แต่น่าเสียดายที่มันไม่เป็นอย่างนั้น เพราะที่ที่ป้าแกทำงานอยู่คือ คฤหาสน์มหาธนกิตต์ ไม่ใช่สถานที่ที่จะพาใครเข้าไปก็ได้
เพราะอย่างนั้น ป้าอรพินจึงต้องให้ฉันรออยู่ที่ป้อมรักษาความปลอดภัยก่อน ส่วนป้าจะไปขอความเมตตาจากคุณหญิงของบ้าน ว่าจะพอให้ฉันพักอยู่ที่นั่นได้ไหม ฉันจึงได้แต่เฝ้ารอป้าด้วยความหวัง
***
ArrowRightt :ตอนแรกเกริ่นนำชีวิตของซานก่อน ตอนต่อไปเนื้อเรื่องจะเริ่มเข้มข้นและน่าติดตามขึ้นเรื่อยๆ ถ้าชอบอย่าลืมกดติดตามนิยายเรื่องนี้ไว้ เมื่อลงตอนต่อไปท่านผู้อ่านจะได้รับแจ้งเตือนจากนิยายนะจ๊ะ👍