‘ผู้หญิงที่คาถาเลือก คือผู้หญิงที่ถูกกลั่นกรองมาแล้วว่าเป็นผู้หญิงที่สวยสมบูรณ์ที่สุด ดังนั้นเธอควรดีใจที่ตัวเองไม่มีจุดบกพร่องและควรทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี’
‘ผู้หญิงที่คาถาเลือก คือผู้หญิงที่ถูกกลั่นกรองมาแล้วว่าเป็นผู้หญิงที่สวยสมบูรณ์ที่สุด ดังนั้นเธอควรดีใจที่ตัวเองไม่มีจุดบกพร่องและควรทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี’
“ณิ วันนี้ตอนเย็นจะได้ย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหญ่แล้วใช่มั้ย?” เสียงสาวรุ่นๆ เอ่ยถามร่างบางที่นั่งปลูกดอกไม้อยู่บริเวณสวนหน้าบ้าน เธอเงยหน้าขึ้นไปมองเพื่อนพร้อมพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปล้างมือ
“ฉันไม่อยากไป”
“ไม่ได้หรอก”
“ทำไมเธอถึงไม่ไป…”
“เขาไม่ได้เรียกฉัน คัดตัวรอบที่แล้วเธอเป็นคนเดียวที่ผ่านส่วนพวกเราเดี๋ยวก็แยกย้ายกันกลับแล้ว” นิ่มบอกด้วยรอยยิ้ม “ฉันกับคนอื่นๆ ช่วยกันเก็บของใส่กระเป๋าไว้ให้แล้ว”
“ฉันให้นิ่มไปแทน ฉันไม่อยากไปแล้ว”
“รู้ว่าไม่คิดจะไปอยู่ที่นั่นแล้วจะเสนอตัวมาทำไม เธอก็รู้ว่าถ้าคุณคาถาเลือกใครก็ต้องป็นคนนั้นไม่มีตัวตายตัวแทนทั้งนั้น”
“ถ้าไม่คิดอยากไปอยู่กับเขาจะมาเสนอตัวเล่นๆ ให้เสียโอกาสคนอื่นทำไม” ผู้หญิงอีกคนเดินมาหยุดข้างนิ่มพร้อมเอ่ยดวยน้ำเสียงติดตำหนิ
“ฉันไม่ได้เต็มใจมา บอกหลายครั้งแล้ว”
“ช่างเถอะ กฏก็มีนะให้ใช้ความสามารถของตัวเองเราอาจจะมีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกใจคุณคาถาเขาถึงไม่เลือก” นิ่มหันไปบอกแพงเพราะไม่อยากให้ทั้งคู่มีปากเสียงกันเนื่องจากการมาพักอยู่ที่นี่ต่างมีกฏข้อบังคับต่างๆ ที่ต้องปฏิบัติตาม
“ไปล้างไม้ล้างมืออาบน้ำแต่งตัวรอไป คุณคาถาเขาจะมารับเธอด้วยตัวเองนะ” นิ่มพูดจบก็เดินกลับเข้าไปในบ้าน คณิกาจึงหยัดกายลุกขึ้นยืนมองไปรอบบ้านสองชั้นขนาดกลาง
ก่อนหน้านี้เคยมีหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเธออยู่เกือบยี่สิบกว่าคนซึ่งต่างล้วนสมัครเข้ามาอยู่ที่นี่เพื่อรอการคัดเลือกและถูกคัดออกไปหลายคนจนเหลือเพียงห้าคนและเมื่อหลายวันก่อนเป็นการคัดตัวครั้งสุดท้ายและคณิกาคือผู้หญิงที่ผ่านการคัดเลือกครั้งนี้
การคัดเลือกที่ว่าคือการคัดเลือกหญิงสาวที่จะไปอยู่ใช้ชีวิตกับชายหนุ่มทายาทเศรษฐีพันล้านเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในวัยสามสิบต้นๆ คาถา พันธุ์วิเศษ คือชื่อของเขาที่เหล่าสาวๆ ต่างรู้จัก ชายหนุ่มรูปหล่อพ่อรวยที่อยู่ในวัยทำงานและกำลังเลือกหาภรรยาจากการคัดกรองทุกๆ อย่างด้วยตัวเอง
เพราะอยู่ในช่วงวัยทำงานจึงทำให้เขาไม่มีเวลามามองหาหญิงสาวที่ถูกใจ จึงต้องเปิดรับสมัครสาวโสดที่บริสุทธิ์มาคัดกรองด้วยตัวเองผ่านทางเลขาที่คอยดูแลเรื่องให้ คัดจากเหล่าผู้สมัครทั้งหมดให้เหลือเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าคนนั้นต้องตรงตามคุณสมบัติที่เขาวางไว้
“ถอยไม่ได้ เดินต่อก็ไม่รู้จะไปได้ถึงไหน” หญิงสาวรำพึงกับตัวเองแล้วเดินตรงเข้าไปในบ้านขึ้นไปบนห้องนอนส่วนตัวถอดเสื้อผ้าลงตะกร้าแล้วเดินไปเปิดน้ำใส่อ่างตามด้วยลงไปนอนแช่น้ำ
หญิงสาวคนอื่นที่มาสมัครนั้นต่างมาด้วยความเต็มใจที่จะได้เป็นผู้หญิงของคาถา ต่างจากเธอคณิกาผู้หญิงที่ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะต้องไปอยู่กับผู้ชายที่ไม่เคยรู้จักมักหน้ากันมาก่อน
คณิกาหรือณิ หญิงสาววัยยี่สิบปีที่เพิ่งเรียนจบจากต่างประเทศ กลับมาบ้านได้เพียงวันเดียวแม่แท้ๆ ก็ปรี่เข้ามาบอกว่าบ้านเราล้มละลายมีหนี้ท่วมหัวหากอยากสบายนี่คือทางเลือกที่ดีที่สุดที่แม่หาให้ได้ในตอนนี้ และมันไม่ใช่แค่เธอจะสบายแต่ครอบครัวจะสบายด้วยนี่คือสิ่งที่แม่เธอบอกมา
แม่ไม่ได้เสนอทางเลือกให้อย่างเดียว แม่ยังบีบบังคับเธอด้วยคำพูด (ขู่) ต่างๆ ยกสารพัดเรื่องมากล่าวอ้างกับเธอรวมถึงเรื่องการทดแทนบุญคุณ
เธอที่เพิ่งเรียนจบไม่ได้มีเงินพอจะไปสร้างตัวได้แถมพวกท่านยังส่งเสียเธอเรียนจนจบ เธอไม่มีทางเลือกอื่นและนี่ก็คงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแม้จะไม่เต็มใจก็ตาม
“ณิ ทำอะไรอยู่” นอนคิดอะไรเพลินๆ ไปราวสิบนาทีก็มีเสียงดังมาจากห้องนอน แกร่ก! สักพักประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมร่างของนิ่มที่เดินมาหยุดข้างอ่างอาบน้ำ
“…”
“คุณคาถามาถึงแล้วนะ เขาบอกว่าจะขึ้นมาหา…” นิ่มพูดจบพอดีกับที่มีผู้ชายร่างสูงเดินเข้ามาในห้องน้ำ คณิกายกมือขึ้นมาปิดหน้าอกกับนั่งยกขาตั้งชันทันที ดวงตากลมใสจ้องมองชายหนุ่มที่เดินเข้ามาด้วยสายตาหวาดหวั่นยิ่งโดนเขาจ้องก็ยิ่งประหม่า
“ออกไป” เขาปัดมือไล่นิ่มที่ก็ยอมเดินออกไปอย่างว่าง่าย ส่วนตัวเขาเดินมานั่งยองข้างอ่างอาบน้ำที่คณิกานั่งแช่ตัวอยู่ “วันนี้ผมว่างพอดี เลยอยากมารับคุณด้วยตัวเอง”
“อ่อ” พยักหน้ารับเบาๆ มือยังคงปิดส่วนนั้นของตัวเองอยู่ ใจดวงน้อยเต้นแรงขึ้นเมื่อได้จ้องมองใบหน้าของเขาใกล้ขนาดนี้ เธอเคยเห็นคาถามาแล้วแต่ส่วนมากจะเห็นจากการวิดีโอคอลหรือรูปภาพมากกว่านับว่านี่เป็นครั้งแรกที่เจอตัวจริง
“ตัวจริงคุณน่ารักกว่าในกล้องอีกนะ” นี่ก็เป็นครั้งแรกของเขาที่ได้เห็นเธอตัวจริงเช่นกัน มือหนายื่นไปจับปอยผมที่หล่นมาปรกหน้าคณิกาขึ้นทัดใบหูให้เธอ
“ขอบคุณค่ะ”
“เราจะนั่งคุยกันอยู่แบบนี้เหรอครับ?”
“คุณคาถาช่วยออกไปก่อนได้มั้ยคะ ณิขออาบน้ำแปปเดียว”
“ถ้าผมบอกว่าไม่ได้ล่ะครับ”
“ณิคงต้องนั่งอยู่แบบนี้จนกว่าคุณจะออกไป”
“แบบนั้นคุณคงตัวเปื่อย แต่ผมจะออกไปรอข้างล่างนะครับเพื่อความสะดวกและความสบายใจของคุณ” พูดพร้อมบีบแก้มนุ่มๆ ของเด็กสาวอย่างเอ็นดูก่อนจะลุกขึ้นยืนเดินออกจากห้องไป คณิกาถอนหายใจออกมาแรงๆ แล้วรีบลุกขึ้นไปยืนอาบน้ำถูตัวใต้ฝักบัวแทน
แต่งตัวเรียบร้อยเป็นชุดเดรสสายเดี่ยวกระโปรงยาวคลุมเข่าสีขาว เป็นชุดที่ถูกบังคับว่าต้องใส่หากได้รับคัดเลือกเป็นผู้หญิงของคาถาและแน่นอนว่าเป็นชุดที่เขาซื้อและส่งมาให้เธอเอง คณิกาเลือกที่จะปล่อยผมลงมา ปะแป้งที่หน้า ทาผิว พรหมน้ำหอมเล็กน้อยแล้วจึงเดินลงไปยังชั้นล่าง
“สวัสดีค่ะ…” ลงมาชั้นล่างก็พบว่าคาถากำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่ เธอจึงเอ่ยทักทายเขาเพราะก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ทักทาย ชายหนุ่มพยักหน้ารับพร้อมตบลงบนโซฟาข้างกาย คณิกาจึงเดินไปหย่อนสะโพกนั่งลงข้างเขาอย่างว่าง่าย
“เดินทางวันนี้เลยพร้อมมั้ย?”
“ณิพร้อมค่ะ แต่ว่าคุณคาถาจะไม่เหนื่อยเอาเหรอคะเพิ่งมาถึงเองนะ” เขานั่งเครื่องบินมาจากกรุงเทพฯ เพื่อมารับเธอเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องขึ้นเครื่องต่อจึงกลัวว่าเขาจะเหนื่อยจากการเดินทางหากจะกลับไปตอนนี้
“งั้นผมต้องนอนค้างที่นี่สักคืนสินะ” ขยับแขนไปโอบเอวบางไว้
คณิกาสะดุ้งเล็กน้อยเพราะไม่ชินกับการถูกมือผู้ชายแตะตัว แต่เธอก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรเพียงแต่หันไปมองหน้าเขา “ณินอนกับผมนะครับ” คาถาพูดต่อ ขยี้มวนบุหรี่ใส่จานด้านหน้าจนมันดับแล้วหันกลับมามองหญิงสาวในอ้อมแขน
“ค่ะ” มายืนอยู่จุดนี้แล้ว เธอคงไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธความต้องการของเขา คณิกายิ้มอ่อนๆ ให้คาถาที่กำลังมองหน้าเธออยู่ ฝ่ามือหนาขยับขึ้นมากดท้ายทอยเธอไว้ก่อนจะประกบปากลงไปอย่างไม่เปิดโอกาสให้เด็กสาวได้ตั้งตัวเลยแม้แต่น้อย
หลังจากแต่งงานมาสามปี เสิ่นเนียนอันคิดว่าตนเองสามารถเอาชนะใจโฮ่วอวินโจวได้ แต่กลับพบว่าเขามีเพียงคนรักแรกอยู่ในใจ "ฉันจะปล่อยเธอไปหลังจากที่เธอคลอดลูก" ในวันที่เสิ่นเนียนอันมีปัญหาในการคลอดบุตร โฮ่วอวินโจวได้พาผู้หญิงอีกคนออกจากประเทศด้วยเครื่องบินส่วนตัว "ไม่ว่าคุณจะชอบใครก็แล้วไป สิ่งที่ฉันเป็นหนี้คุณ ฉันคืนให้หมดแล้ว" หลังจากที่เสิ่นเนียนอันจากไป โฮ่วอวินโจวก็เสียใจ "กลับมาหาฉันอีกครั้งได้ไหม"
หนานอันพริตตี้สาวสู้ชีวิตอายุยี่สิบปีแอบชอบผู้ชายคนหนึ่งอย่างหนักและอยากได้เขามาเป็นแฟนใจจะขาด แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจเธอ หญิงสาวได้ไปดูดวงแม่หมอคนนั้นจึงบอกให้เธอมาขอพรที่ศาลเจ้าเล็ก ๆ ในอำเภอแห่งหนึ่งที่ห่างไกลเพื่อให้เธอสมหวังและต้องไปในวันที่ฟ้ามืดที่สุดของเดือนในอีกสองวันข้างหน้าถึงจะเห็นผล หนานอันเชื่อแม่หมอเพราะอยากได้ผัว เธอจึงไม่รอช้ารีบคว้ากระเป๋าเป้เดินทางมายังศาลเจ้าทันที เมื่อหนานอันเข้าไปภายในศาลเจ้าก็พบว่า มีสตรีสูงวัยคนหนึ่งอายุราวหกสิบกว่าปีกำลังกวาดศาลเจ้าอยู่ ...... "ได้ของสิ่งนี้ไปต้องสมหวังอย่างแน่นอน" คุณยายพูดพร้อมกับรอยยิ้ม น้ำเสียงนี้ฟังดูเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง หนานอันยิ้มให้คุณยายจู่ ๆ ขนแขนของเธอก็ตั้งชันขึ้นมา เธอกำลังจะลุกขึ้นในตอนนั้นก็เกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา หนานอันหวีดร้องด้วยความตกใจทว่าเมื่อหันไปมองคุณยายเธอไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว หนานอันประหลาดใจมากร้องเรียกคุณยายอยู่หลายคำ แต่ว่าในตอนนี้เธอก็ไม่มีเวลาให้คิดสิ่งใดแล้วเพราะเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นเมื่อฟ้าผ่าลงมาที่ศาลเจ้าเข้าอย่างจังหนานอันที่อยู่ด้านในจึงถูกฟ้าผ่าไปด้วยและสติดับวูบลงไปทันใด ไม่รู้ว่านานเท่าใดที่หนานอันตกอยู่ในความมืดมิด และเมื่อเธอตื่นขึ้นมาทุกอย่างรอบกายของเธอก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...
เมื่อสองปีที่แล้ว เพื่อช่วยคนรักในใจ พระเอกถูกบังคับให้แต่งงานกับนางเอก ในใจของเขา เธอเป็นคนน่ารังเกียจและแย่งคนรักของคนอื่น เขาเลยเย็นชาต่อเธอมาตลอด แต่กลับอ่อนโยนและเอาใจใส่กับคนรักในใจถึงเป็นเช่นนี้ เธอยังคงรักเขาอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลาสิบปี ต่อมาตอนที่เธอรู้สึกเหนื่อยและอยากจะท้อแท้นั้น เขากลับตื่นตระหนก... เมื่อเธอกำลังจะตายขณะตั้งท้องลูกของเขา ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าผู้หญิงที่เขายอมเอาชีวิตตัวเองไปแลกนั้นก็คือเธอโดยตลอด
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
หยางซูมี่บุตรีคนโตแห่งจวนเสนาบดี จำต้องแต่งเข้ามาเป็นพระชายาของอ๋องทมิฬตามบัญชาของฮ่องเต้แต่ในเมื่อนางแต่งเข้ามา สามีเฉยชา ไม่สนใจนาง ทั้งยังแต่งชายารองเข้ามา ทำไมนางต้องเอาชีวิตไปผูกกับเขาด้วย
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
© 2018-now MeghaBook
บนสุด