บางครั้งการจากลา อาจเจ็บปวดน้อยกว่าอยู่ด้วยกัน
ช่วงหลังเลิกเรียนมักจะมีความวุ่นวาย ของบรรดานักศึกษาชายหญิง ยิ่งสถาบันการศึกษาที่อยู่ติดกันด้วย แต่ยังดีที่สองสถาบันนี้ไม่มีเรื่องกระทบกระทั่งกัน เพราะเป็นการแยกระหว่างชายหญิงเลยก็ว่าได้ สถาบันแห่งหนึ่งเป็นวิทยาลัยเทคโนการช่างที่ส่วนใหญ่มีแต่ผู้ชาย ส่วนอีกแห่งเป็นวิทยาลัยพาณิชย์ที่ส่วนใหญ่มีแต่ผู้หญิง ผู้ชายก็มีแต่เป็นส่วนน้อย และเป็นส่วนน้อยที่ไม่มีการทะเลาะวิวาทกับสถาบันอื่น
และการจราจรหน้าสถาบันสองแห่งนี้ ก็เริ่มติดขัด เพราะบรรดานักศึกษาเริ่มทยอยกลับบ้าน เฉกเช่นเดียวกับอ้นนักศึกษาพาณิชย์ปี3 ที่ค่อยๆขับมอเตอร์ไซค์ออกจากวิทยาลัยและขับผ่านหน้าวิทยาลัยเทคโนการช่าง ที่มีแต่กลุ่มเด็กช่างจับกลุ่มคุยกัน เสียงดังแข่งกับเสียงรถที่แล่นผ่าน
อ้นพยายามที่จะไม่มองสองฝากฝั่ง เพราะกลัวเด็กช่างหาว่ามองหน้า เดี๋ยวจะถูกรุมทำร้ายโดยไม่รู้ตัว ซึ่งบรรดาหนุ่มในอาชีวะรู้ข้อนึ้เป็นอย่างดีทุกคน
อ้นได้ขับรถมอเตอร์ไซค์เลยวิทยาลัยเทคโนการช่างมาพอสมควร เขาจึงเริ่มเบาใจแต่แล้วกลับมีสิ่งที่ทำให้เขาตระหนกตกใจจนได้ เพราะหนุ่มเทคโนวิ่งตัดหน้ารถมอเตอร์ไซค์ของเขา อ้นเบรครถกะทันหัน จึงทำให้ล้อหลังปัดจนเกือบล้ม แต่ก็ยังดีที่รีบนำขาลงยันพื้นไว้
ส่วนหนุ่มเทคโนที่วิ่งตัดหน้ารถของอ้น เขาหยุดวิ่งหันมองหน้าอ้นแว่บหนึ่ง และหันกลับไปมองข้างหลังซึ่งสิ่งที่เขาเห็น คือคู่อริห้าถึงหกคนกำลังจะวิ่งข้ามถนนมาหาเขาเพื่อทำร้ายร่ายกาย ในช่วงเวลานั้นหนุ่มเทคโนคิดหาทางหนี พอเขาหันหน้ากลับมา ก็เห็นอ้นกำลังจะเร่งเครื่องรถขับออกไป หนุ่มเทคนิคจึงรีบเดินอ้อมไปข้างรถมอเตอร์ไซค์ของอ้น และคร่อมท้ายรถทันทีส่วนสองมือจับที่บ่าอ้นไว้
"ขับออกไปเลยเร็วๆ" หนุ่มเทคโนพูดเสียงดังจนนนท์ทำอะไรไม่ถูก
"ลงไปจะขึ้นมาทำไม"อ้นไม่ยอมขับรถออกไป
"ไม่ลง พาหนีไปทีถ้าไม่พาไปกูจะบอกพวกนั้นมึงเป็นเพื่อนกู" ใจของหนุ่มเทคโนร้อนรน เพราะคู่อริใกล้ประชิดเข้ามา
ส่วนอ้นทั้งตื่นตระหนกและกลัวจนทำอะไรไม่ถูก หนุ่มเทคนิคเห็นท่าไม่ดีเพราะอ้นนิ่งเฉยไม่ยอมออกรถสักที เขาจึงตัดสินใจเขยิบร่างดันให้อ้นไปข้างหน้า ส่วนสองมือของเขาเอื่อมไปจับที่คันเร่งและบิดออกไปอย่างรวดเร็ว
อ้นเจอหนุ่มเทคโนดันร่างจนเกือบตกเบาะ และแผ่นอกหนุ่มเทคโนประชิดแผ่นหลังเขา
"ก้มหัวลงหน่อย"หนุ่มเทคโนสั่งด้วยเสียงห้วน
อ้นทำตามอย่างว่าง่าย และเขาต้องบีบร่างกายให้เล็กลงอีก เพราะตัวของอ้นอยู่ในวงแขนของหนุ่มเทคโนที่โอบเขาไว้ ยิ่งหนุ่มเทคโนขับเร่งความเร็วขึ้นมากเท่าไร อ้นใจหายใจคว่ำจนเกือบจะช็อค
"ขับช้าๆหน่อยๆเดี๋ยวรถล้ม"อ้นตะโกนแข่งกับเสียงรถ
"หุบปากถ้าไม่อยากเจ็บตัว"
อ้นถึงกับหุบปากทันทีด้วยความกลัว และยิ่งมาเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก ส่วนหนุ่มเทคโนมองดูที่กระจก และเขาไม่เห็นคู่อริแล้วจึงเริ่มผ่อนความเร็วรถลง แต่เขาก็ยังไม่วางใจซะทีเดียว และคิดว่าคืนนี้จะยังไม่กลับหอพัก เพราะกลัวคู่อริรอบดักทำร้ายตอนที่เขากลับหอพัก เขาจึงพยายามคิดหาวิถีทางเพื่อหลบซ่อนตัวสักคืน
"พวกนั้นไม่ตามมาแล้ว "อ้นพูดขึ้นหลังจากมองที่กระจกรถ และไม่เห็นคนกลุ่มนั้นตามมา
"มึงพักที่ไหนเดี๋ยวขับไปส่ง"หนุ่มเทคโนพูดโดยลดความห้วนลง
"ไม่ต้องก็ได้ จอดตรงนี้แหล่ะเดี๋ยวกลับเอง"
"กูบอกว่าจะไปส่งฟังไม่รู้เรื่องเหรอ"
อ้นคิดในใจรถก็ของเขา และหนุ่มเทคโนมีสิทธิ์อะไรจะไปส่งเขา แต่ด้วยความกลัวอ้นจึงยอมและบอกทางกลับห้องพักของเขา ในระหว่างทางหนุ่มเทคโนได้คิดไว้ ถ้าเกิดอ้นให้พักด้วยจะดีทีเดียว เขาก็จะขออาศัยสักคืนหนึ่ง รุ่งเช้าค่อยกลับ
เมื่อหนุ่มเทคโนมาถึงที่หมายตามที่อ้นบอก เขาก็รู้ได้ทันทีว่าอ้นอยู่หอพัก หนุ่มเทคโนจึงเริ่มคิดแผนการณ์ทันที่ เมื่อจอดรถหน้าหอพักของอ้น ซึ่งเป็นตึกสามชั้น มียามเฝ้าประตูและน่าจะมีคีย์การ์ด ซึ่งจะปลอดภัยมากสำหรับเขา
"ถึงแล้ว นายกลับไปเลย"อ้นรีบลงรถเพื่อออกจากอ้อมแขนของหนุ่มเทคโน
"มึงพักคนเดียวเหรอ"
"ถามทำไม"
"ก็อยากรู้นี่"หนุ่มเทคโนเริ่มเสียงอ่อนลง เพราะเขาเริ่มสังเกตุอ้นเพิ่มขึ้น และได้เห็นว่าอ้นเป็นผู้ชายสไตส์น่ารัก ผิวขาวหน้าใสๆการพูดจาเรียบร้อย และข้อสำคัญเป็นนักศึกษาพาณิชย์ที่ผู้ชายจริงๆเรียนไม่มากนัก
"จะรู้ไปทำไม ส่งเสร็จก็กลับได้แล้ว"
"ยังกลับไม่ได้ ไม่รู้ว่าพวกนั้นดักรอตรงไหนบ้าง ต้องดึกๆก่อนค่อยกลับ"ในความคิดของหนุ่มเทคโนอยากจะค้างสักคืนหนึ่ง
"แล้วแต่นาย เราจะขึ้นห้อง"อ้นรีบล็อครถและหันหลังกลับ เพื่อที่จะเข้าไปในหอพักของเขา
"เดี๋ยวก่อน"หนุ่มเทคโนเดินไปดักหน้า
"มีอะไรอีก"
"อยากรู้จักชื่อ"หนุ่มเทคโนแกล้งยิ้ม
"อ้น"อ้นคิดในใจว่าจะถามทำไมเดี๋ยวก็ไม่ได้เจอกันแล้ว แต่ที่ตอบไปเพื่อตัดความรำคาญ
"เราชื่อเอ ขอบใจมากนะที่ช่วยไว้"
"ฮือ"อ้นพยักหน้าแล้วเบี่ยงตัวเดินหลบเอหนุ่มเทคโน และรีบเร่งฝีเท้าเพื่อเข้าหอพัก
ส่วนต้นก็กำลังใช้ความคิดอย่างหนักที่จะใช้วิธี ที่จะขอนอนค้างกับอ้นสักคืน เพราะเขาต้องใช้วิธีหว่านล้อมจะมาใช้การขู่บังคับก็ไม่ได้ เพราะเป็นถิ่นของอ้น แค่ตะโกนคำเดียวยามก็พร้อมวิ่งมาช่วยอ้น
"อ้น"เอ ตะโกนเรียกพร้อมวิ่งตาม ส่วนอ้นก็หันหน้ามาพร้อมความรำคาญ
"อะไรอีก"
"คือเรา"เขาหยุดใช้ความคิดและรีบเปลื่ยนสรรพนาม เพราะถ้าใช้มึงกู อ้นคงยากที่จะให้พักด้วย
"มีอะไรก็พูดมา"อ้นรู้สึกแปลกใจกับน้ำเสียงที่เปลื่ยนไป เพราะมีนนุ่มขึ้นและการแทนตัวเองก็น่าฟัง
"คือเราอยากหลบที่นี่สักพัก พอดึกๆเดี๋ยวเราก็กลับ"เอพยายามพูดให้น้ำเสียงอ่อนหวานให้มากที่สุด
"ไม่ได้ เราไม่เคยรู้จักกัน จะมาขออยู่ได้อย่างไง"อ้นรีบปฎิเสธทันที เพราะกลัวจะมีปัญหาตามมา
"ถ้านายไม่ให้เราหลบอยู่ที่นี่ เราไปก็ได้แต่ถ้าเราโดนพวกนั้นทำร้ายจนบาดเจ็บหรือตาย นายก็มีส่วนด้วยแหล่ะ "อ้นแกล้งหันหลังกลับและค่อยๆเดิน ในใจก็คิดว่าเมื่อไรจะเรียกซะที
ส่วนอ้นยืนครุ่นคิด ถ้าเกิดเอเป็นอะไรไป เขาก็จะรู้สึกผิดทันที ที่ไม่ช่วยต้นให้ตลอดรอดฝั่ง และข้อสำคัญเขาเป็นคนพาต้นขึ้นรถมา ถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้นเรื่องวุ่นๆก็จะตามมา
"เอ"อ้นตะโกนเรียกและเดินไปหาเอ
"อะไร"เอหยุดเดินและอมยิ้ม หลังจากนั้นเขาก็หันหน้ามาอย่างช้าๆ พร้อมตีหน้าเศร้าหงอยเหงา
"คืนนี้พักกับเราก็ได้ พรุ่งนี้เช้าค่อยไป"อ้นฝืนพูดและไม่มีรอยยิ้มใดๆเกิดขึ้นบนใบหน้า ถึงแม้ต้นจะเปลื่ยนตีหน้าเศร้าเป็นยิ้มหวานก็ตาม
ถึงอ้นจะไม่ยิ้มตอบแต่เอก็ไม่สน เพราะคืนนี้มีที่หลบคู่อริแล้ว เขาจึงรีบเดินไปข้างๆอ้น และพยายามชวนอ้นคุยแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจนกระทั้งเข้าไปในห้องจึงได้ยินเสียงของอ้น
"ตามสบายนะ"อ้นพูดขึ้น
"ขอบใจมากนะ"เอมองไปรอบๆห้องที่ดูสะอาดตา ที่มีเตียงนอนพอนอนได้สองคน มีตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้งพร้อม ส่วนทีวีอยู่ปลายเตียง ตู้เย็นอยู่ตรงข้างประตูทางเข้า และมีระเบียงไว้ตากผ้าหรือนั่งเล่นก็ได้ ซึ่งแตกต่างจากห้องของเขาที่อยู่กับเพื่อนสามคน แต่ในห้องไม่มีอะไรเลยนอกจากพัดลมขนาดเล็กตัวเดียว
"ห้องน่าอยู่มากเลย"เอพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้โต๊ะเครื่องแป้ง ซึ่งในระหว่างนั้นอ้นก็นำน้ำเปล่ามาให้เอดื่ม ส่วนตัวของเขาก็นั่งลงบนเตียงนอน
"ขอบใจมากนะ"เอยิ้มหวานให้อีกครั้ง แต่ก็ยังไร้รอยยิ้มตอบกลับ
"นายกับพวกนั้นไปมีเรื่องอะไรกัน"อ้นชำเลืองมองต้น
"เราไม่ได้มีเรื่องกับมันหรอก แต่พวกมันมีเรื่องกับเพื่อนเรา และพวกมันตามมาหาเรื่อง"
"เพื่อนนายหายไปไหน"อ้นถามด้วยความสงสัย
"ก็ไม่รู้ต่างคนต่างหนี"
"ดีหนอ"อ้นทำน้ำเสียงประชด
"แหม ลูกผู้ชายก็แบบนี้แหล่ะ"
"ไม่จำเป็น ต้องทำแบบนี้หรอกลูกผู้ชายน่ะ"
"แล้วจะให้ทำแบบไหนล่ะเอจ้องมองอ้นด้วยสายตาฉ่ำวาว
"มองอะไร"อ้นรู้สึกแปลกๆที่เจอสายตาของต้นจ้องมองเป็นเวลานาน
"มองคนน่ารัก"
อ้นรู้สึกเขินนิดหน่อยที่ถูกชมต่อหน้า แต่เขาก็แสร้งแก้เขินโดยการลุกขึ้นยืน
"เราจะซักผ้าแล้วนะ นายจะซักไหมพรุ่งนี้จะได้มีเสื้อผ้าใส่ไปเรียน"นนท์เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า เพื่อนำเสื้อผ้าและผ้าเช็ดมาให้ต้นเปลื่ยน
"เอ้า เสื้อกับกางเกงเอาไว้เปลื่ยน แล้วก็ไปอาบน้ำเราจะซักผ้า" อ้นยื่นเสื้อผ้าให้เอ
"ไม่ต้องเปลื่ยนก็ได้ อยู่ห้องเราก็แก้ผ้านอนทุกคืนอยู่แล้ว"เอยิ้ม
"นั้นมันห้องนายนี่มันห้องเราถ้าไม่ใส่ก็กลับไป"ในใจของอ้นตอนนี้รู้สึกว้าวุ่นอย่างบอกไม่ถูก ลึกๆของเขาแล้วก็อยากเห็นผู้ชายแก้ผ้าต่อหน้าเหมือนกัน
"ได้สิ แล้วแต่คำสั่ง"เมื่ออ้นรับเสื้อกางเกงมาก็นำมาวางไว้ บนเก้าอี้โต๊ะเครื่องแป้งส่วนนนท์ก็วุ่นเก็บเสื้อผ้าที่ใส่แล้วเพื่อที่จะนำไปปั่นเครื่องหยอดเหรียญ ที่อยู่ชั้นล่างของหอพัก
เมื่ออ้นเก็บเสื้อผ้าใส่ตะกร้าเรียบร้อยแล้ว ก็จะหันมาบอกเอว่า ที่เขาจะลงไปซักผ้าชั้นล่างของหอพัก แต่ก็ต้องสะดุดตาสะดุดใจ กับร่างกายเปลือยท่อนบนที่มีมัดกล้ามพอประมาณ ส่วนท่อนล่างมีเพียงกางเกงในตัวจิ๋วห่อหุ้มอยู่ อ้นรีบหันข้างและชำเลืองมองบริเวณส่วนที่พองนูน ส่วนเอพอสังเกตเห็นอากัปกิริยาของอ้น เขาจึงแกล้งเดินมาตรงหน้าของอ้น
"ซักกางเกงในให้ด้วยไหมเราจะถอดให้"
*ไม่ต้องนายซักเองซิ"อ้นรีบเดินไปหยิบเสื้อกางเกงที่ต้นกองไว้กับพื้น นำมาใส่ไว้ในตะกร้า
"เราจะไปซักผ้าข้างล่างนะ แล้วเราจะไปซื้อข้าวด้วย "อ้นพูดจบก็รีบเดินไปเปิดประตู และออกจากห้องไปในทันที ส่วนเอก็ยืนกอดอกอมยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไปในห้องน้ำ
รักแล้วไม่กลัวเจ็บ แต่ต้องเก็บเป็นความลับ เพราะไม่สามารถเปิดเผยรักที่แท้จริงได้ จึงต้องฝืนทนกล่ำกลืนรักที่แสนรันทัด แต่ถึงกระนั้นทั้งคู่ก็ไม่กลัวที่จะได้รักกัน ถึงแม้จะเป็นรักที่เจ็บๆแต่จริงใจและห่วงใย
สุดท้ายเราก็รักกันไม่ได้ ถึงแม้ถ่ายไฟเก่าจะลุกขึ้นจนมอดไหม้ ไม่มีเหลือชิ้นดี
ชายหนุ่มผู้เดินตามความฝัน ซึ่งในระหว่างทางต้องพบเจออุปสรรคมากมาย กว่าจะเจอรักแท้ที่โหยหามานาน
คุณท่านเสียว คุณชายยอดเยี่ยมที่โด่งดังในเมือง B ได้แต่งงาน แต่มีข่าวลือว่าเจ้าสาวมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดและมีฐานะต่ำต้อย สามปีมานี้ เขาปฏิบัติกับเธออย่างเย็นชาและทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เจียงซิงซิงอดทนกับความเย็นชาอย่างเงียบ ๆ เธอยังคงรักเขาอย่างสุดหัวใจ เสียสละความนับถือตนเองและยอมละทิ้งตัวตนของเธอเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง สุดที่รักของเขากลับประเทศ เขได้สารภาพว่าเขาแต่งงานกับเธอเพียงเพื่อช่วยชีวิตคนรักในใจของเขาเท่านั้น เจียงซิงซิงเสียใจและผิดหวังมาก เธอจึงเซ็นเอกสารหย่าและจากไปด้วยความเศร้าใจ สามปีต่อมา เจียงซิงซิงผู้สวยงามจนน่าทึ่งกลับมาอีกครั้ง ได้กลายมาเป็นศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดและเป็นยอดฝีมือด้านเปียโน อดีตสามีรู้สึกเสียใจ และกอดเธอแน่นท่ามกลางสายฝน เสียงของเขาสั่นเครือ "ที่รัก คุณเป็นของผม..."
เกิดใหม่ในชาตินี้ นางแค่ต้องการอยู่อย่างสงบสุขปกป้องครอบครัวจากเรื่องร้ายที่จะเกิดขึ้น นางไม่อยากตกอยู่ในบ่วงรักอันทำให้ครอบครัวต้องพบกับวิบัติอีกต่อไปแล้ว... คำเตือน นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักโรแมนติก ดราม่า มีฉากความรุนแรง ฉาก NC และมีฉากเศร้าสะเทือนใจ โปรดพิจารณาก่อนดาวโหลดนะคะ กราบขอบพระคุณค่ะ
เพียงดื่มน้ำชาจอกแรกที่ผู้เป็นมารดาเลี้ยงมอบให้ซุนฮวาก็กลายเป็นสตรีร้ายกาจ ปีนขึ้นเตียงท่านอ๋องผู้เป็นคู่หมายของน้องสาวจำใจกล้ำกลืนสถานะพระชายาตัวแทนเป็นเพียงเงาของผู้อื่นในสายตาของสวามี
นางเจ็บปวดปางตายเมื่อเขาโยนร่างบอบช้ำทิ้งไว้หลังจวนโดยไม่แยแส เมิ่งลี่เฟยน้ำตาไหลพรากทว่ากลับไม่ทำให้คนที่เพิ่งเหยียบย่ำร่างกายเล็กเห็นใจแต่ประการใด"เฝ้านางเอาไว้ให้ดีอย่าให้ออกมาทำเรื่องชั่วอีก"
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
เรื่องราวของใบหม่อนที่ทะลุมิติไปยังโลกสุดแปลกและสุดแสนจะแฟนตาซี ที่สำคัญดันไปเกิดใหม่ในตอนที่กำลังจะคลอดลูก ในชีวิตที่แล้วแม้แต่แฟนยังไม่มีแต่ทำไมพอได้เกิดใหม่ทั้งที ถึงให้เกิดมาในตอนที่กำลังจะคลอดลูกพอดี แล้วสาวโสดอย่างเธอจะทำยังไงดี คลอดลูกออกมาเป๋นแฝดสามว่าลำบากแล้ว แต่ครอบครัวนี้กลับยากจนข้นแค้น นี่ไม่ใช่ว่าพระเจ้ากลั่นแกล้งเธอเหรอ เธอไปทำอะไรให้พระเจ้าโกรธเคืองกัน