/0/21429/coverbig.jpg?v=69bba27cf55d7a989b8cf34b83dcdb8e)
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
“คุณหนูรองบอกว่ายานั้นมันมีฤทธิ์รุนแรงมากเลยมิใช่หรือ ใส่ไปเพียงแค่ขวดเดียวก็สามารถทำให้หญิงสาวที่ตั้งใจจะถือครองพรหมจรรย์แปรเปลี่ยนไปเป็นหญิงสาวที่มีตัณหาได้เลย เหตุใดนานถึงเพียงนี้แล้วยังไม่เกิดปฏิกิริยาอันใดขึ้นอีกล่ะ?”
ท้องฟ้ามืดมิด ลมพัดกรรโชกแรง เงาต้นไม้พริ้วไหวเริงระบำไปมา
ชายร่างกายกำยำสองคนเปิดกระสอบใบหนึ่งออก แล้วก็ลากหญิงสาวที่หมดสติด้านในคนหนึ่งออกมาราวกับหมูที่ตายแล้วตัวหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
ใบหน้าที่น่าเกลียด เผยออกมาภายใต้แสงจันทร์
เฉินรองเดินเข้าไปเพื่อตรวจสอบและพูดขึ้นว่า “คงยังไม่ตายหรอกใช่หรือไม่?”
ลมหนาวพัดผ่านไป ทันใดนั้นหญิงสาวคนนั้นก็ลืมตาขึ้นมากระทันหัน
ทั้งคู่มองสบตากัน
เฉินรองถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่ง นอกจากจะไม่ได้ตระหนักถึงอันตรายใด ๆ แล้ว เขายังหัวเราะขึ้นมาอย่างหื่นกามอีกด้วย “ที่แท้คุณหนูใหญ่ก็ยังไม่ตายนี่เอง”
“ตื่นได้เวลาพอดีเชียว เป็นเช่นนี้จะได้สนุกกันอย่างมีความสุขหน่อย คุณหนูใหญ่โดนยาปลุกเร้าอารมณ์เข้าไปคงจะรู้สึกทรมานน่าดูเลยสิท่า แต่อย่าร้อนใจไปเลย ข้าจะช่วยท่านเอง”
ขณะที่เห็นว่ามืออันอวบอ้วนคู่หนึ่งกำลังจะลงมา
เจตนาฆ่าก็ปรากฏขึ้นมาในแววตาของหญิงสาวผู้นั้น นางทำการงอเข่าขึ้น และกระแทกเข้าที่เป้าของเขาอย่างแรง ขณะที่เขากำลังงอตัว และร้องโอดครวญอยู่นั้นเอง นางก็หยิบก้อนหินที่อยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาและกระแทกไปที่หัวของเขา
หลังจากที่กระแทกไปหนึ่งครั้ง สองครั้ง......
ทันใดนั้น เลือดก็กระเซ็นไปทั่วทุกที่
อุบัติเหตุเกิดขึ้นรวดเร็ว ตอนที่เฉินใหญ่ตั้งสติได้ เฉินรองก็ล้มลงไปกับพื้นและกลายเป็นศพไปแล้ว
หญิงสาวคนนั้นหันหน้าไป ใบหน้าที่เปื้อนเลือดของนางเมื่ออยู่ใต้แสงจันทร์ก็เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างสลับกันไปมา ดวงตาสีดำที่เหมือนหินภูเขาไฟเปี่ยมไปด้วยเจตนาฆ่า ราวกับผีชั่วร้ายที่ต้องการชีวิตคนที่คลานออกมาจากนรกอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้า เจ้าอย่าเข้ามานะ! โอ๊ยโอ๊ยโอ๊ย!” เฉินใหญ่ตกใจมากจนตัวสั่นไปหมด เขาหันหลังกลับเตรียมจะวิ่งหนี
ทว่าหลังจากที่เขาหันหลังไป เงาที่แวบมาตรงหน้าราวกับผีก็ได้ขวางทางเขาเอาไว้
“จะหนีงั้นรึ? จะไม่ถามข้าก่อนหรือว่า ข้าอนุญาตรึเปล่า!” หญิงสาวคนนั้นหัวเราะเยาะเย้ยขึ้นมาและเลิกคิ้ว การเคลื่อนไหวของนางรวดเร็วและไร้ความปรานี
หลังจากเสียง “แกร๊ก” ดังขึ้น คอของเฉินใหญ่ก็หักก่อนที่เขาจะได้ร้องขอความเมตตาด้วยซ้ำ
หลังจากจัดการกับพี่น้องตระกูลเฉินเรียบร้อยแล้ว ความร้อนที่อธิบายไม่ได้ก็แผ่กระจายจากช่องท้องส่วนล่างของนางไปทั่วทั้งร่างกาย ขาทั้งสองข้างของนางอ่อนแรงมาก นางแทบจะคุกเข่าลงไปกับพื้นอยู่แล้ว
นางต้องรีบทำการจิ้มจุดฝังเข็มสำคัญทั้งสองจุดบนหน้าอกของตัวเองอย่างรวดเร็ว เพื่อระงับความกระสับกระส่ายในร่างกายของตัวเองเอาไว้ หลังจากที่สงบลงแล้ว นางก็ทำความเข้าใจกับสถานการณ์ของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว
เธอคือฉู่ว่านยู เดิมทีเป็นทายาทรุ่นที่สิบแปดของตระกูลแพทย์แผนโบราณ เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และยาพิษ อีกทั้งยังมีทักษะศิลปะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม เพียงแต่ตอนที่เธอกำลังอ่านนิยายจนดึกดื่น เธอก็ได้เดินทางข้ามเวลามาเสียอย่างนั้น!
ชื่อของเจ้าของร่างเดิมก็ชื่อว่าฉู่ว่านยูเช่นกัน นางเป็นลูกสาวของเสนาบดีแขวงเซี่ย แล้วก็เป็นสตรีที่น่าเกลียดที่สุดในเมืองจิงด้วย
พ่อผู้ให้กำเนิดไม่โปรดปรานนาง ส่วนแม่เลี้ยงก็ก็รังแกนางต่าง ๆ นา ๆ นางถูกเยาะเย้ยและมองด้วยสายตาที่เย็นชามาตลอดหลายปี การดำเนินชีวิตของนางเลวร้ายยิ่งกว่าคนรับใช้เสียอีก
เดิมทีนางได้หมั้นหมายกับเหยาซื่อจือแห่งจวนผิงหยางโหวเอาไว้แล้ว แต่ฉู่รัวหรานน้องสาวต่างมารดาของนางละโมบอยากจะได้ตำแหน่งพระชายาซื่อจือของนาง จึงทำการวางยานางคืนก่อนวันแต่งงาน โดยตั้งใจที่จะทำลายความบริสุทธิ์ของนางเพื่อให้ตัวเองได้เข้ามาแทน
ผลปรากฏว่ายามีฤทธิ์รุนแรงเกินไป ระหว่างทางที่สองพี่น้องตระกูลเฉินกำลังพานางออกมาจากเมืองจึงโชคร้ายเสียชีวิตอย่างกะทันหันอยู่ในกระสอบ……
หลังจากทำความเข้าใจกับความทรงจำแล้ว ฉู่ว่านยูก็เลียริมฝีปากสีแดงนั้นไปมา นางหรี่ตาลงอย่างน่าหวาดกลัว และพูดขึ้นว่า “ในเมื่อข้ามาครอบครองร่างกายของเจ้าแล้ว ข้าก็จะทำให้คนที่ทำร้ายเจ้า ต้องชดใช้อย่างสาสม...... อื้อ!”
ก่อนที่จะพูดจบ ฤทธิ์ของยาที่กว่าจะควบคุมได้เมื่อกี้นี้ เวลานี้มันได้ออกฤทธิ์ขึ้นมาอีกครั้งแล้ว
ฉู่ว่านยูอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
ยาปลุกเร้าอารมณ์นี้รุนแรงมาก แม้แต่ทักษะการกดจุดฝังเข็มอันเป็นเอกลักษณ์ของนางก็ยังไม่ได้ผลเลย มิน่าล่ะเจ้าของร่างเดิมถึงได้ทนไม่ไหว ดูเหมือนว่าคงจะต้องรีบหาบุรุษมาแก้พิษให้นางเสียแล้ว มิเช่นนั้นด้วยสภาพร่างกายของนางในตอนนี้ เกรงว่าจะอยู่รอดได้ไม่เกินครึ่งชั่วยามเสียด้วยซ้ำ
ฉู่ว่านยูวิ่งโซซัดโซเซลงไปจากภูเขา ทว่าท้องฟ้ากลับมืดมิด ถนนก็สูงชันมาก ประกอบกับมียาปลุกเร้าอารมณ์อยู่ในตัวของนางอีก ทุกย่างก้าวของนางจึงเดินไปอย่างทุลักทุเลมาก ตอนที่เดินผ่านพุ่มไม้ เท้าจึงเผลอไปเหยียบพลาดโดยไม่ทันระวัง
“โอ๊ย ไอ้บ้าเอ๊ย...… อร๊ายยยยยยย!! !”
ขณะที่โลกกำลังหมุนไปเรื่อย ๆ นางก็กรีดร้องออกมาระหว่างที่กลิ้งลงทางลาดชันไป จนสุดท้ายนางได้ตกลงไปในสระเย็น ๆ แห่งหนึ่ง
น้ำในสระเย็นมากจนทำให้ฉู่ว่านยูตื่นตัวได้สติขึ้นมากเลยทีเดียว นางรีบว่ายขึ้นมาบนผิวน้ำอย่างรวดเร็ว แล้วก็ทำการเช็ดหยดน้ำบนใบหน้าอย่างลวก ๆ พอเงยหน้าขึ้นไปอีกทีก็เห็นใครคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนก้อนหินที่อยู่ไม่ไกลนัก
ดวงตาของเขากำลังปิดสนิท สีหน้าดูเย็นชา แสงจันทร์กำลังสาดส่องลงมาบนผิวสีแทนของเขา เผยให้เห็นถึงเค้าโครงของกล้ามเนื้อที่กระชับและเซ็กซี่ ผมสีดำดุจน้ำตกพลิ้วไหวไปตามสายลม แม้จะมีระยะห่างกันอยู่พอสมควรแต่ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของความเย็นชาและเย่อหยิ่งจากร่างกายของเขาอยู่
บุรุษ!
ฉากนี้ราวกับความฝันไม่มีผิด ทำเอาฉู่ว่านยูเห็นแล้วรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง ราวกับว่าได้เห็นโอเอซิสในทะเลทรายไม่มีผิดเลย นางรีบว่ายเข้าไปอย่างไม่รอช้า
ตอนที่เข้าไปใกล้มากขึ้นแล้วถึงได้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของบุรุษผู้นี้อย่างชัดเจน มีไอสีดำจาง ๆ ลอยอบอวลอยู่ เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นสัญญาณของการโดนยาพิษ นอกจากนี้เขายังกำลังใช้ประโยชน์จากสระเย็นนี้เพื่อระงับสารพิษในร่างกายของเขาอยู่ด้วย
“มองพอแล้วหรือยัง?” ใบหน้าของชายคนนั้นดูมืดมน ขนตาของเขายกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรูม่านตาที่ดูว่างเปล่าของดวงตาสีดำคู่นั้น
นี่เขาเป็นคนตาบอดหรือเนี่ย?
หลิวซือซือผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่นอกจากรูปร่างหน้าตาที่สวยหยดย้อยแล้ว แทบจะไม่มีความสามารถหรือความโดดเด่นในเรื่องอื่น และหากจะว่ากันไปหญิงสาวก็เป็นคนที่ค่อนข้างใสซื่อบริสุทธิ์อยู่ไม่น้อย เพราะได้รับการรับเลี้ยงประดุจไข่ในหินจากผู้เป็นพ่อและแม่ที่มีฐานะไม่ธรรมดา เธอรักในอาชีพนักแสดงแม้พ่อแม่จะคัดค้านแต่สุดท้ายก็ตามใจเธอเพราะไม่ต้องการให้ลูกสาวเสียใจ อยู่มาวันหนึ่งด้วยบทบาทที่ต้องแสดงในซีรีส์ย้อนยุค ทำให้พ่อของเธอหาขลุ่ยโบราณเล่มหนึ่งมาให้ ตั้งแต่ได้รับขลุ่ยมาหลิวซือซือก็มักฝันประหลาด ว่าเธอได้พบผู้ชายคนหนึ่งในเขาเป็นแม่ทัพอยู่ระหว่างสงครามอีกทั้งตนเองยังมีโอกาสช่วยเขาหลายครั้ง ที่น่าประหลาดใจคือ ฝันนั้นของเธอเหมือนจะเป็นความจริงไปแล้ว เขาคือใครและเกี่ยวข้องกับเธอด้วยเหตุใด ทำไมเธอจึงมักฝันประหลาดเช่นนี้???
เดิมทีฟางจินซิ่วมีอวกาศติดตัวได้เปิดคลินิกการแพทย์แผนจีนในยุคปัจจุบันและเจริญรุ่งเรือง ไม่มีการแข่งขันหนัก และทำงานมีวันหยุด เธอใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่แล้วมีวันหนึ่งที่เธอตื่นขึ้นมากลับข้ามมิติกลายเป็นชาวนาที่ฟมู่บ้านยากจน อีกทั้งได้เจอภัยแล้ง จากนั้นก็โดนขาย โชคดีที่ครอบครัวที่ซื้อเธอแตกต่างจากที่เธอจินตนาการไว้ เธอไม่ได้ถูกทารุณกรรม แต่ได้รับการดูแลอย่างดี ในยุคแห่งความขาดแคลนอาหาร และมีภัยแล้ง ฟางจินซิ่วตัดสินใจตอบแทนความเมตตาของครอบครัวนี้ แม่สามีป่วยหนัก? สำหรับปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เธอเก็บสมุนไพรและแช่ในสระศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งรักษาเธอให้หายดีภายในไม่กี่นาที ที่บ้านไม่มีอาหาร? ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เธอไปล่าสัตว์กับครอบครัวและโชคก็เข้าข้างเธอ ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน เหยื่อก็จะตกหลุมพรางเสมอ กินแต่เนื้อสัตว์โดยไม่มีผักหรือ? มันเป็นปัญหาเล็กๆ เทน้ำในสระศักดิ์สิทธิ์เพียงหยดเดียว ก็สามารถปลูกพืชได้ทุกชนิดและกินผักและผลไม้อะไรก็ได้ที่พวกเธอต้องการ ญาติที่อิจฉากำลังมาก่อเรื่องเมื่อเห็นว่าพวกเธอใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย สำหรับปัญหาเล็กน้อยนี้ เธอเรียกผู้ชายที่มีความแข็งแกร่งของเธอมาจัดการพวกเขา อะไร คุณถามว่าสามีของฉันทำไมเชื่อฟังได้ขนาดนี้? จงหวี่เดินเข้ามาด้วยสายตาเร่าร้อน "คุณภรรยา ตราบใดเจ้ายอมอยู่เคียงข้างข้าตลอดชีวิต ถึงเอาชีวิตข้าไปข้าก็ยอม"
คิณ อัคนี สุริยวานิชกุล ทายาทคนโตของสุริยวานิชกุลกรุ๊ป อายุ 26 ปี นักธุรกิจหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตร เย็นชากับผู้หญิงทั้งโลกยกเว้นเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น เอย อรนลิน "เมื่อเขาดึงเธอเข้ามาในวังวนของไฟรักที่แผดเผาหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้ไหม้ไปทั้งดวง" "เธอแน่ใจนะว่าจะให้ฉันช่วยค่าตอบแทนมันสูงเธอจ่ายไหวเหรอ?" เอย อรนลิน พิศาลวรางกูล ดาวเด่นของวงการบันเทิงที่ผันตัวไปรับบทนางร้าย เธอสวย เซ็กซี่ ขี้ยั่วกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น "เขาคือดวงไฟที่จุดประกายขึ้นในหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้หลงเริงร่าอยู่ในวังวนแห่งไฟรัก" "อะ อึก จะ เจ็บ เอยเจ็บค่ะคุณคิณ"
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
อวิ๋นเจินอาศัยอยู่ในตระกูลอวิ๋นมาเป็นเวลา 20 ปี กลับพบว่าเธอเป็นลูกสาวปลอม พ่อแม่บุญธรรมของเธอวางยาเธอเพื่ออยากจะได้เงินมาลงทุน หลังจากที่อวิ๋นเจินรู้เรื่องนี้ เธอก็ถูกไล่กลับไปที่ชนบท จากนั้นเธอก็ค้นพบว่าตัวเองคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลเฉียวและมีชีวิตที่หรูหราสุด ๆ หลังจากกลับมา เธอได้รับความรักจากครอบครัวและมีชื่อเสียงโด่งดัง น้องสาวจอมปลอมใส่ร้ายอวิ๋นเจิน แต่เธอไม่คาดคิดว่าอวิ๋นเจินจะมีความสามารถต่างๆ เมื่อต้องเผชิญกับการยั่วยุ เธอได้แสดงความสามารถและทักษะต่างๆ มากมายเพื่อจัดการผู้รังแก มีข่าวลือกันว่าอวิ๋นเจินยังคงโสด และชายหนุ่มชื่อดังแห่งเมืองงก็ผลักเธอไปเข้ากำแพง "คุณนายกู้ ถึงตามราเปิดเผยตัวตนได้แล้วนะ"
ตายด้วยเงื้อมมือของเพื่อนร่วมสาขา เนเน่ เนตรนภา จึงทะลุมิติมาอยู่ในร่างเด็กน้อยวัยสิบหนาวที่ป่วยตาย นามเซี่ยซูเหยา มีบิดา พี่สาว พี่ชายที่เป็นห่วงนางมากกว่าสิ่งใด