เพราะชอบเธอเป็นทุนเดิมอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเกิดอุบัติเหตุจนเธอความจำเสื่อม โดยมีตนเองเป็นต้นเหตุ หมออย่างเขาก็ไม่รีรอที่จะรับเธอไปดูแลในฐานะคนรัก
เพราะชอบเธอเป็นทุนเดิมอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเกิดอุบัติเหตุจนเธอความจำเสื่อม โดยมีตนเองเป็นต้นเหตุ หมออย่างเขาก็ไม่รีรอที่จะรับเธอไปดูแลในฐานะคนรัก
เสียงเบรกของรถยนต์ดังลั่นก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงกระแทกดังโครมแล้วความโกลาหลก็เกิดขึ้นบริเวณหน้าโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง
คนขับรถรีบวิ่งลงมาดูคนเจ็บจากนั้นเขาก็ตะโกนให้คนที่อยู่ใกล้ๆ วิ่งไปตามพนักงานรับส่งผู้ป่วยที่หน้าโรงพยาบาล
ไม่นานนักพนักงานแปลก็เข็นรถมาพร้อมกับพยาบาลที่แผนกห้องฉุกเฉินเพื่อมารับผู้ป่วยที่นอนหมดสติอยู่ บริเวณข้างๆ กันมีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งล้มอยู่ ชายหนุ่มเจ้าของรถยนต์จับมันขึ้นมาจอดข้างทาง แล้วรีบหยิบกระเป๋าถือที่หล่นอยู่ก่อนจะวิ่งตามเข้าไปในโรงพยาบาล
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณหมอ” พยาบาลอีกคนรีบวิ่งออกมารับรถเข็นคนเจ็บ
“ผมขับรถชนผู้หญิงคนเมื่อกี้ ฝากด้วยนะครับ”
เขารีบบอกกับพยาบาลจากนั้นคุณหมอประจำห้องฉุกเฉินก็รีบเข้าไปดูคนเจ็บส่วนตัวเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องก็เลยนั่งรออยู่ด้านหน้าห้องฉุกเฉิน
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงคุณหมอภายในห้องฉุกเฉินก็ออกมาแจ้งข่าว
“ใครเป็นญาติคนไข้ครับ” คุณหมอประจำห้องฉุกเฉินถาม
“ผมยังไม่ได้ติดต่อญาติเธอเลย”
“หมอซันรู้จักเธอเหรอครับ”
“เปล่าครับแต่ผมเป็นคนขับรถชนเธอครับ”
“ใครก็ช่วยติดต่อญาติเธอด้วยนะ”
“เธอไม่มีญาติที่ไหนหรอกค่ะ” พยาบาลคนหนึ่งพูดขึ้น
“อ้าว...แล้วรู้ได้ไง” คุณหมอประจำห้องฉุกเฉินถาม
“ก็คนที่นอนอยู่นั่นคือน้องอัญที่อยู่แผนกผู้ป่วยนอกไงคะ”
“นั่นอัญเหรอผมไม่ทันได้สังเกตเลย” หมอเอกอาทิตย์มัวแต่ตกใจจนไม่ทันสังเกตว่าเธอคือเพื่อนร่วมงานของตนเอง
“ทีนี้จะเอายังไงกันดีล่ะหมอซัน”
“ผมรับเป็นเจ้าของไข้เองก็ได้ครับคุณหมอ คนไข้เป็นยังไงบ้างครับ”
“ศีรษะเธอน่าจะกระแทกอะไรสักอย่างผมว่าจะพาเธอไปทำซีทีสแกนเพื่อดูว่าไม่มีเลือดออกตรงไหนบ้าง ส่วนบริเวณข้อเท้าข้างซ้ายน่าจะมีกระดูกร้าวพรุ่งนี้จะตามหมอกระดูกมาดูอีกที ว่าแต่หมอเถอะบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“ไม่หรอกครับไม่ได้ผมไม่ได้ชนแรงขนาดนั้น”
เมื่อจัดการเรื่องคนไข้เสร็จแล้วตำรวจสองคนก็เดินเข้ามาในห้องฉุกเฉินพอดี
“ไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของรถคันที่เกิดอุบัติเหตุครับผม”
“ผมเองครับ”
“เราคงต้องขอตรวจปริมาณแอลกอฮอล์และเชิญคุณไปให้ปากคำที่โรงพัก”
“ไม่มีปัญหาครับคุณตำรวจ”
“หมอไม่ได้เมาใช่ไหมคะ” พยาบาลคนหนึ่งมองหน้าหมอเอกอาทิตย์สลับกับหน้าตำรวจแล้วถามขึ้น
“ไม่หรอกครับพี่ ผมฝากจัดการเรื่องคนไข้ด้วยนะมีอะไรติดต่อผมได้เลยได้นะครับ” เขาบอกพี่พยาบาลที่คุ้นหน้ากันดี
“ค่ะคุณหมอ ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงพี่จะรีบโทรติดต่อคุณหมอนะคะ”
หมอเอกอาทิตย์หมอหนุ่มประจำแผนกมะเร็งของโรงพยาบาลเดินตามนายตำรวจสองท่านออกมาขึ้นรถไปยังสถานีตำรวจที่อยู่ใกล้ที่สุด
เขาให้ปากคำและวัดปริมาณแอลกอฮอล์เสร็จแล้วก็กลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้งซึ่งตอนนี้อัญชิสาพยาบาลแผนกผู้ป่วยนอกกำลังถูกพาไปที่ห้องพักฟื้นแล้ว
“อาการตอนนี้ไม่น่าเป็นห่วงครับ เราเอกซเรย์และซีทีสมองดูแล้วไม่มีเลือดออกตรงไหนเลย คาดว่าน่าจะแค่กระทบกระเทือน แต่ระหว่างนี้ต้องคอยสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ผมตามหมอศัลยกรรมสมองแล้วเดี๋ยวท่านจะตามไปดูบนวอร์ดครับ”
“ขอบคุณนะครับคุณหมอ” เอกอาทิตย์กล่าวขอบคุณหมอประจำห้องฉุกเฉินจากนั้นเขาก็เดินตามรถเข็นผู้ป่วยไปยังห้องพัก
“คืนนี้ใครจะเป็นคนเฝ้าน้องพยาบาลคนนี้คะ” พยาบาลแผนกผู้ป่วยในหันมาถามทางคุณหมอหนุ่มที่เดิมตามมา
“เธอไม่มีญาติที่ไหนเลยใช่ไหมครับ” เขาถามพยาบาลแผนกฉุกเฉินที่ตามมาส่งคนไข้
“เท่าที่รู้อัญเพิ่งเสียยายไปเมื่อหลายเดือนก่อนค่ะ เธอพักอยู่หอพักที่โรงพยาบาลแล้ว ตอนนี้ก็คงมีแค่เพื่อนในแผนกเท่านั้นหมอซันจะให้พี่ตามให้ไหมคะ”
“ผมว่าจ้างพยาบาลพิเศษเฝ้าดีไหมครับ ค่าใช้จ่ายผมจัดการเอง”
“แต่พยาบาลพิเศษตอนนี้ไม่มีใครว่างเลยค่ะ”
“คืนนี้ผมเฝ้าก่อนก็ได้แต่พรุ่งนี้คุณช่วยหาพยาบาลให้ผมหน่อยก็แล้วกันนะ”
“ได้ค่ะคุณหมอพรุ่งนี้เวรเช้าจะรีบจัดการให้ ถ้าคุณหมอขาดเหลืออะไรก็เรียกพวกเราได้ตลอดเวลาเลยนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
แม้จะทำงานที่โรงพยาบาลมานานแต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เอกอาทิตย์ต้องมาทำหน้าที่เป็นญาติผู้ป่วย เขายืนคนที่นอนหมดสติรู้สึกเป็นห่วง เมื่อสักครู่เขายอมรับว่าตัวเองเป็นคนผิดที่รีบขับรถออกจากโรงพยาบาลโดยไม่ทันสังเกตว่ามีรถจักรยานยนต์สวนเข้ามา ถึงแม้เขาจะไม่ชนเธออย่างจังแต่มันก็ทำให้หญิงสาวเสียหลักจนล้มหัวไปกระแทกกับพื้นและข้อเท้าของเธอยังมีกระดูกร้าวอีกด้วย เอกอาทิตย์ภาวนาว่าพรุ่งนี้คุณหมอกระดูกมาตรวจแล้วอาการของเธอจะไม่เป็นอะไรมาก แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบเองทั้งหมด เนื่องจากตัวเองเป็นต้นเหตุและประมาทมากเกินไปเพราะไม่คิดว่าจะมีคนเข้ามาในโรงพยาบาลเวลานี้
ความผิดพลาดในคืนนั้นทำให้ชีวิตของวิรัลพัชรเปลี่ยนไปเมื่อรู้ว่าตัวเองตั้งท้อง เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำใครคือผู้ชายคนนั้นเป็นใคร แต่เขาจำได้และเมื่อรู้ว่าเธอกำลังท้องลูกของเขาชายหนุ่มก็ก้าวเข้ามาในชีวิตเพียงเพื่อต้องการลูกของเธอเท่านั้น
นานนับปีแล้วที่อรณิชาไม่ได้รับความสุขจากสามี เขาอ้างว่าเพราะงานแต่จริงๆ แล้วเขามีคนอื่นโดยที่อรณิชาไม่รู้ หญิงสาวจึงให้เวลาเขาและเธอหนึ่งเดือนเพื่อจัดสินใจว่าจะเอายังไงต่อกับชีวิตคู่ หญิงสาวจึงกลับมาที่เมืองไทย และได้เจอกับอดีตคน รักความสุขความผูกพัน ทางใจในอดีตกับกลายเป็นความสัมพันธ์ทางกายในปัจจุบัน ความใกล้ชิดในช่วงเวลาสั้นๆ ทำให้ทั้งสองเผลอใจก้าวข้ามเส้นที่ขีดไว้ไม่สนใจทถูกผิดมองแค่บนเตียงเพียงอย่างเดียว
ความสัมพันธ์ระหว่างนายหัวหนุ่มและนักศึกษาสาว ที่ห่างกันทั้งอายุและระยะทางนายหัวหนุ่มจะทำให้เธอรักเขาได้อย่างที่เขารักเธอหรือไม่คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
ในคืนที่โดนแฟนเอายาปลุกเซ็กซ์ใส่เครื่องดื่ม เธอขอให้ชายคนหนึ่งช่วย พอเช้ามาถึงได้รู้ว่าเขาคือเพื่อนสมัยเรียนเขาขู่ให้เธอยอมเป็นคู่นอนของเขาโดยบอกว่ามีคลิปในคืนนั้นเธอยอมเพราะคำขู่แต่เมื่อรู้ว่าเขาไม่มีคลิปทุกอย่างระหว่างเขากับเธอก็จบแต่เขาไม่ยอมจบเพราะตอนนี้คิดกับเธอมากไปกว่าคู่นอนไปแล้ว
สายตาที่ประสานกันมันบอกอย่างชัดเจนว่าตอนนี้ชายหนุ่มนั้นลืมคำว่าผู้ปกครองกับเด็กในปกครองไปแล้ว **************** หญิงชายสมัยนี้มันเท่าเทียมกันนะบัว เธอคิดว่าจะนอนกับฉันและทิ้งฉันไปง่ายๆ แบบนั้นเหรอ ไม่มีทางหรอก เธอต้องรับผิดชอบทั้งตัวฉันและความรู้สึกของฉัน
เพราะคู่หมั้นของเธอเป็นต้นเหตุทำให้น้องสาวของเขาเสียชีวิต เธอจึงเป็นหมากตัวสำคัญในการแก้แค้นของเขา แต่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่คิด กลายเป็นเขาที่รู้สึกผิดและทำทุกอย่างให้หมากตัวนี้เป็นของตนเอง
เวินอี่ถงได้เห็นความรักอันลึกซึ้งของเจียงยวี่เหิง แต่ก็ได้สัมผัสกับการทรยศของเขาเช่นกัน เธอเผารูปแต่งงานของพวกเขาต่อหน้าเขา แต่เขากลับมัวแต่ง้อชู้ของเขา ทั้งๆ ที่เขาแค่มองดูแวบหนึ่งก็จะเห็น แต่เขากลับไม่สนใจเวินอี่ถงสุดจะทน ตบหน้าเขาอย่างแรง พร้อมอวยพรให้เขากับชู้ของรักกันยืนยาว แล้วเธอก็หันหลังสมัครเข้ากลุ่มวิจัยลับเฉพาะ ลบข้อมูลประจำตัวทั้งหมด รวมถึงความสัมพันธ์การแต่งงานกับเขาด้วย! ก่อนจากไป เธอยังมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เขาอีกด้วยเมื่อถึงเวลาที่จะเข้ากลุ่ม เวินอี่ถงก็หายตัวไป บริษัทของเจียงยวี่เหิงประสบปัญหาล้มละลาย เขาจึงออกตามหาเธอด้วยทุกวิถีทาง แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นใบมรณบัตรที่ต้องสงสัยเขาสติแตก “ฉันไม่เชื่อ ฉันไม่ยอมรับ!”เมื่อพบกันอีกครั้ง เจียงยวี่เหิงต้องตกใจที่พบว่าเวินอี่ถงเปลี่ยนตัวตนใหม่แล้ว โดยข้างกายมีผู้มีอำนาจที่เขาต้องยอมก้มหัวให้เขาอ้อนวอนอย่างสิ้นหวัง “ถงถง ผมผิดไปแล้ว คุณกลับมาเถอะ!”เวินอี่ถงเพียงยิ้มยักคิ้ว จับแขนของผู้มีอำนาจข้างๆ “น่าเสียดาย ตอนนี้ฉันอยู่ในระดับที่นายไม่อาจเอื้อมถึงแล้ว”
หลังจากที่แต่งงานเข้ามาในตระกูลมู่ หลินซีได้ทำหน้าที่เป็นคุณนายมู่ที่ยอมอดทนกับทุกอย่างโดยไม่ปริปากเป็นเวลาสามปี เธอรักมู่จิ่วเซียว จึงยอมอดทนดูแลเขาอย่างเต็มใจ แม้ว่าเขาจะมีคนอื่นอยู่ข้างนอกก็ตามแต่เขากลับไม่เคยเห็นค่าของเธอ เหยียบย่ำความรักของเธอให้แหลกสลาย และถึงขั้นปล่อยให้น้องสาวของเขามอมเหล้าเธอแล้วส่งไปยังเตียงของลูกค้า หลินซีนั้นถึงเพิ่งจะตาสว่างเมื่อรู้ว่าความรักที่มีมานานนั้นช่างน่าขันและน่าเศร้าในใจของเขา เธอไม่ต่างอะไรกับผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เข้ามาเกาะเขา เธอจึงทิ้งข้อตกลงการหย่าไว้แล้วจากไปโดยไม่ลังเล มู่จิ่วเซียวมองดูเธอประสบความสำเร็จ กลายเป็นดวงดาวที่ส่องแสงในสายตาของผู้คนเมื่อได้เจอกันอีกครั้ง เธอเต็มไปด้วยความมั่นใจและสงบเสงี่ยม โดยมีผู้ชายที่มีฐานะสูงส่งอยู่เคียงข้าง มู่จิ่วเซียวมองดูใบหน้าของคู่แข่งหัวใจที่ดูคล้ายกับของเขามาก จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าในสายตาเธอ เขาเป็นเพียงตัวแทนของคนอื่นในมุมแห่งหนึ่ง เขาขวางทางเธอไว้ “หลินซี คุณเล่นตลกกับผมใช่ไหม”
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
ได้ข่าวว่าเจ้าเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มที่ทำให้ครอบครัวลี่ล่มสลาย ถูกขับไล่ออกจากประเทศไปหลายปี… ตอนนี้กลับมาแล้ว คืนนั้น หลี่ เย่ถิงจับเอวเธอแน่นแล้วกดเธอเข้ากับมุมกำแพงอย่างแรง ดวงตาเย็นเยียบมืดลึก “ฉันอนุญาตเธอตั้งแต่เมื่อไหร่?” เฉียวเว่ยยี่ยิ้มเย้ยเย็น “คุณหลี่ คำคนมันน่ากลัวนะคะ เราสองคนจบกันไปนานแล้ว กรุณารักษามารยาทด้วยค่ะ” วันถัดมา เหล่าบรรดาผู้มีอำนาจทั่วทั้งเมืองจิงก็ได้รับบัตรแดงคำเตือนจากครอบครัวลี่ทันทีว่า “คุณนายรองของพวกเราอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ไม่ชอบได้ยินคำซุบซิบนินทา” พวกคนที่นั่งรอให้เฉียวเว่ยยี่ตกต่ำแล้วหนีไปแบบหมดรูป ??? พวกคุณไปจดทะเบียนกันตั้งแต่เมื่อไหร่?
ทุกคนรู้ดีว่า บุตรีคนโตที่ไม่เป็นที่โปรดปรานในจวนโหวอันติ้งแห่งเมืองหลวง ทำให้แม่แท้ๆ ของตนต้องเสียชีวิต เป็นคนที่ถูกมองว่าเป็นตัวโชคร้าย ก่อนแต่งงานก็ทำให้แม่เลี้ยงฝันร้ายอยู่หลายวัน ออกเดินทางไปทำบุญนอกเมืองก็ถูกโจรจับตัวไป แต่ใครจะคิดว่าโชคร้ายกลับกลายเป็นโชคดี นางเปลี่ยนนิสัยไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ยอมให้ใครมารังแกอีกต่อไปที่แท้ซูชิงซวู่ ผู้สุดยอดสายลับที่ทะลุมิติมาเผชิญกับพ่อที่เย็นชา แม่เลี้ยงที่ชั่วร้าย คู่หมั้นที่นอกใจน้องสาวต่างแม่ แต่ไม่เป็นไร คอยดูว่าเธอจะจัดการพวกชั่วช้า และเอาคืนทุกอย่าง ทว่าทำไมท่านอ๋องผู้นั้นถึงมองมาที่เธอด้วยสายตาแปลกๆ นั่นล่ะเผ่ยเสวียนจู: บุญคุณที่ช่วยชีวิต ไม่มีสิ่งใดตอบแทนได้ นอกจากเอาตัวไปแลก
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY