จ้าวหมิงหมิงได้รับเป็นวิทยากรสัมภาษณ์ นักธุรกิจค้าหยกที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศ เมื่อพบหน้ากันอีกฝ่ายก็บอกว่าเธอภรรยาของเขาในอดีต จ้าวหมิงหมิงคิดว่าเป็นเรื่องตลก จนกระทั่งตัวเองได้ย้อนเวลากลับไปอีกครั้ง เธอจะสามารถแก้ไขชะตาของตัวเองที่ได้รู้ล่วงหน้าหรือไม่ หรืออาจจะไม่อาจทำอะไรได้เลย
เมืองเทียนจิน มหาวิทยาลัยนานไค
จ้าวหมิงหมิง เป็นนักศึกษาคณะอัญมณีศาสตร์ชั้นปีที่ 3 เธอเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการดูหยกและแกะสลักหยกเป็นพิเศษ อีกทั้งยังเป็นตัวเต็งในบรรดานักศึกษาทั้งหมดในชั้นปีที่จะได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทองเมื่อจบการศึกษาหากยังสามารถรักษาผลการเรียนเช่นนี้ได้ในอีกหนึ่งปีข้างหน้า
ส่วนอีกสิ่งหนึ่งที่จ้าวหมิงหมิงเชี่ยวชาญคือการส่งอาหารแบบเดลิเวอรี่ ด้วยความเป็นคนสมองดีทำให้ไม่ว่าตรอกซอกซอยเล็กน้อยตรงจุดไหนในเมืองเทียนจินเธอล้วนจำได้จนขึ้นใจทั้งสิ้นคล้ายมีแผนที่อยู่ในหัว การส่งอาหารของหญิงสาวจึงเร็วกว่าพนักงานส่งเจ้าอื่น ประกอบกับเจ้าสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าสีเขียวสดคู่ใจที่เธอตั้งชื่อให้ว่าเจ้า ‘ไป๋ช่าย’[ ผักกาดขาว (Chinese cabbage)] นั้นมีขนาดกะทัดรัดจึงทำให้สามารถเดินทางได้คล่องตัว
วัน ๆ หนึ่งจ้าวหมิงหมิงจึงหาเงินจากการส่งอาหารได้หลายร้อยหยวน หญิงสาวถือคติว่า
‘ขอเพียงตัวเราขยันขันแข็ง โชคชะตาย่อมรับใช้เรา’ [ มาจากสุภาษิตจีน 只要自己努力, 命运会为你效劳的。]
ซึ่งเป็นคำสอนของทวด ทวดสอนพ่อ พ่อก็จำเอามาสอนเธอออีกทีเป็นทอด ๆ
วันนี้จ้าวหมิงหมิงจึงออกมาวิ่งงานในช่วงเช้าก่อนกลับเข้าคณะเพื่อไปเป็นพิธีกรในงานประชุมวิชาการประจำปีของมหาวิทยาลัย
วันนี้เธอได้รับหน้าที่ให้สัมภาษณ์คุณ เซิ่นหวินเผิง นักธุรกิจชื่อดังระดับโลกที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการอัญมณีตั้งแต่ยุค 70 เขาประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจเครื่องประดับโดยเฉพาะการส่งออกหยกจนหินชนิดนี้กลายเป็นสินค้าสำคัญของประเทศตั้งแต่อายุเพียงสามสิบเท่านั้น และใช้ชีวิตอย่างยาวนานจนอายุย่างเข้าเจ็บสิบในปีนี้
จ้าวหมิงหมิงตื่นเต้นมากที่จะได้สัมภาษณ์คนที่เธอยกให้เป็นต้นแบบในการทำงาน อีกทั้งผลงานของเขายังเป็นแรงบันดาลใจให้เธอมาเรียนที่คณะอัญมณีศาสตร์แห่งนี้ด้วย
หญิงสาวทำการบ้านเกี่ยวกับประวัติของเซิ่นหวินเผิงโดยละเอียดและเตรียมคำถามจนดึกดื่น วันนี้เช้าจึงต้องซัดกาแฟไปถึงสองแก้วกว่าจะขุดตัวเองขึ้นจากเตียงออกมาส่งอาหารได้
อีกหนึ่งชั่วโมงจะต้องขึ้นเวทีจ้าวหมิงหมิงจึงรีบบึ่งเจ้าไป๋ช่ายน้อยไปทางหอประชุมใหญ่ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใจกลางมหาวิทยาลัย แต่แล้วหางตาของเธอก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนเธอไม่ผิดเพี้ยนราวกับเป็นคนคนเดียวกัน!
ต่างกันแค่เพียงผู้หญิงคนนั้นสวมชุดฉีผาว หรือชุดกี่เพ้าสีเขียวใบไผ่ ผมที่ยาวถึงกลางหลังเปียแกละสองข้างพาดอยู่บนหน้าอก เธอยิ้มอ่อนให้จ้าวหมิงหมิงพร้อมชี้ไปทางหอประชุม
แต่พอจ้าวหมิงหมิงกะพริบตาผู้หญิงคนนั้นก็หายไปแล้วเหลือเพียงเจ้าหมาน้อยตัวขาวขนปุยที่ยืนหน้าแป้นอยู่กลางถนนทำเอาเธอหักรถหลบเกือบไม่ทัน
“ว๊าย!”
โครม!
รถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าของจ้าวหมิงหมิงล้มเค้เก้อยู่บนพื้นทับขาข้างซ้ายของเธอเต็ม ๆ จนเป็นแผลบาดยาวเลือดไหลเป็นทาง หญิงสาวกัดฟันยกรถขึ้นเธอรู้สึกเจ็บจี๊ดจนหน้าเบ้
“เธอเป็นอะไรไหม ฉันขอโทษจริง ๆ นะที่ปล่อยให้หมาหลุดมายืนอยู่กลางถนน” นักศึกษาสาวที่คงเป็นเจ้าของหมาน้อยตัวนั้นรีบมาขอโทษขอโพย
“ไม่เป็นไร” แม้ขาจะเต็มไปด้วยเลือดแต่จ้าวหมิงหมิงก็ยังไม่โกรธตามนิสัยที่เป็นคนโกรธยาก หายง่ายมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
“ให้ฉันพาไปทำแผลที่ห้องพยาบาลนะ”
“ไม่เป็นไร ฉันมีสัมภาษณ์นักธุรกิจที่หอประชุมต้องรีบไป” พิธีกรสาวปฏิเสธ
“แต่เธอก็ไม่สามารถขึ้นเวทีทั้ง ๆ ที่ขาโชกเลือดแบบนี้ได้อยู่ดีไม่ใช่เหรอ คนในหอประชุมคงตกใจกันแย่เลย”
...ก็จริงของเพื่อนนักศึกษา
สุดท้ายจ้าวหมิงหมิงก็จำต้องให้เจ้าของสุนัขตัวน้อยประคองไปทำแผลที่ห้องพยาบาลแต่โดยดี กว่าหญิงสาวจะมาถึงเวทีก็เหลือเวลาอีกเพียงห้านาทีเท่านั้นก็จะถึงคิวของเธอ เธอจึงไม่มีเวลาพอที่จะตระเตรียมซักซ้อมคำถามกับแขกที่จะสัมภาษณ์เหมือนที่เคยทำกับท่านอื่น ๆ ที่เธอเคยผ่านมา
“ฉันนึกว่าเธอจะมาไม่ทันแล้วหมิงหมิง ทีมงานใจหายใจคว่ำกันหมด” เพื่อนชายที่รับหน้าที่เป็นผู้กำกับเวทีพูดอย่างโล่งใจ “ว่าแต่ขาของเธอเป็นอะไรมากไหม เดินขึ้นเวทีไหวหรือเปล่า”
“ไหวสิ โชคดีที่วันนี้เป็นการนั่งสัมภาษณ์ ฉันจึงคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร...แล้วคุณเซิ่นหวินเผิงล่ะอยู่ที่ไหน” พิธีกรสาวถามเมื่อไม่เห็นว่าแขกมาสแตนบายที่ข้างเวทีด้วยกัน
“คุณหวินเผิงอายุมากแล้ว ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเลยให้รออยู่ที่ห้องพักด้านในกับผู้ดูแล ระหว่างที่ท่านยังเดินมาไม่ถึงเธอก็ช่วยพูดถ่วงเวลาไปก่อนแล้วกัน”
“ได้สิ”
เมื่อได้รับสัญญาณจ้าวหมิงหมิงก็ก้าวขึ้นเวทีอย่างมั่นใจด้วยท่าทางไม่ต่างจากพิธีกรมืออาชีพในรายการโทรทัศน์
“สวัสดีค่ะ คณาจารย์และเพื่อนนักศึกษาทุกท่าน” เธอกล่าวทักทายเสียงดังฟังชัดเพื่อเรียกความสนใจของผู้ชมทุกคนให้มารวมอยู่ที่เธอเป็นจุดเดียว “ดิฉันจ้าวหมิงหมิง รับหน้าที่เป็นพิธีกรของทุกท่านในช่วงสัมภาษณ์อันมีค่านี้ค่ะ”
เสียงปรบมือดังกระหึ่มขึ้นทั่วทั้งห้องประชุมหญิงสาวก้มหัวรับ ก่อนเล่าประวัติคร่าว ๆ ของแขกที่เธอศึกษามาเพื่อซื้อเวลาจนกว่าเขาจะเดินมาถึง
“คุณเซิ่นหวินเผิง เป็นนักธุรกิจชาวจีนคนแรก ๆ ที่ก่อตั้งบริษัทเพื่อทำการส่งออกหยกเนื้อดี อันถือเป็นอัญมณีที่มีค่าควรเมืองของเราไปเป็นสินค้ายังต่างประเทศ ท่านทำหน้าที่เป็นดั่งตัวแทนทางวัฒธรรมของประเทศชาติเรา อีกทั้งยังเป็นหัวเรือใหญ่ที่ทำให้หยกได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ช่วยกอบกู้เศรษฐกิจที่ตกต่ำหลังสงครามให้กลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง ดังนั้นท่านจึงถือว่าเป็นผู้มีคุณูปการกับวงการอัญมณีของเราเป็นอย่างมาก...
นอกเหนือไปจากนั้นคุณเซิ่นหวินเผิงยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ทำงานอย่างเต็มที่ไม่มีวันย่อท้อ สอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า...ขอเพียงตัวเราขยันขันแข็ง โชคชะตาย่อมรับใช้เรา...”
ชายชราที่แม้จะอายุมากแล้วแต่ท่าทางยังดูภูมิฐาน ใบหน้าเรียวเล็ก ดวงตายาวรีซ่อนอยู่ใต้กรอบแว่นทรงเหลี่ยมสีทอง แม้ผิวหนังจะเหี่ยวย่นตามเวลาที่ผันผ่านไปแต่ก็ยังเหลือเค้าความหล่อเมื่อวัยหนุ่ม
“เมื่อกี้แม่หนูบนเวทีเธอพูดว่าอะไรนะ” เซิ่นหวินเผิงถามเสียงเบาหวิว...ต่อให้เวลาผันผ่านไปนานแค่ไหนเขาก็ไม่มีวันลืมประโยคนั้นไปจากใจได้
“น่าจะพูดสุภาษิตเกี่ยวกับความขยันครับท่าน เมื่อกี้ผมไม่ได้ตั้งใจฟังเลยจำไม่ค่อยได้” บุรุษพยาบาลผู้รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยหนุ่มบอก
“ขอเพียงตัวเราขยันขันแข็ง โชคชะตาย่อมรับใช้เรา...เธอพูดแบบนี้ใช่ไหม” ชายชราถามย้ำ
“ใช่ครับใช่ ประโยคนี้เลย”
เซิ่นหวินเผิงน้ำตาคลอ ความหวังในใจกลับมาลุกโชน...ประโยคนั้นเป็นประโยคติดปากที่ภรรยาของเขามักหยิบยกขึ้นมาพูดเสมอเวลาเหนื่อยล้ากับการทำงานเพื่อให้กำลังใจทั้งเขาและตัวเธอเอง
ชายชราแทบรอเวลาที่จะขึ้นไปบนเวทีไม่ไหว กระทั่งพิธีกรสาวประกาศเรียกชื่อเขาให้ขึ้นไป
“ขอเสียงปรบมือต้อนรับคุณเซิ่นหวินเผิงค่า” จ้าวหมิงหมิงประกาศก่อนปรบมือรับ
ชายชราเกาะแขนผู้ช่วยเดินขึ้นไปบนเวทีกว้าง เขารู้สึกมีเรี่ยวแรงมากกว่าทุกวัน ยิ่งเดินเข้าไปใกล้หญิงสาวที่ยืนรอเขาอยู่ใต้แสงไฟตรงกลางเวทีดวงใจที่แห้งแล้งมานานนับทศวรรษก็กลับมาเต้นแรงอีกครั้งหนึ่ง
เหมือน...ช่างเหมือนเหลือเกิน...เซิ่นหวินเผิงตะโกนก้องอยู่ในใจ
“สวัสดีค่ะคุณเซิ่นหวินเผิง เชิญนั่งค่ะ” พิธีกรสาวผายมือไปยังโซฟาตัวใหญ่ที่ดูนั่งสบาย
“หมิงหมิง เป็นคุณจริง ๆ เหรอ” ชายชราถามเหมือนคนละเมอ ดวงตาใต้กรอบแว่วจ้องไปที่พิธีกรสาวแทบไม่กะพริบ
“คะ?” หญิงสาวรับคำอย่างแปลกใจที่จู่ ๆ นักธุรกิจระดับโลกก็เรียกเธออย่างสนิทสนมทั้ง ๆ เพิ่งเคยพบกันครั้งแรก แต่ด้วยความเจนเวทีเธอจึงปรับสีหน้าและดำเนินรายการต่อได้อย่างไม่สะดุด “ค่ะดิฉันจะรับหน้าที่เป็นผู้สัมภาษณ์คุณเซิ่นในวันนี้ค่ะ”
“ขาของเธอ” เขาชี้ไปที่ผ้าปิดแผลสีขาวขนาดใหญ่ที่ติดอยู่ตรงขาข้างซ้าย...เป็นบริเวณเดียวกันกับที่ภรรยาผู้ล่วงลับของเขามีแผลเป็นไม่มีผิดเพี้ยน!
“อ้อ ฉันประสบอุบัติเหตุเล็กน้อยค่ะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ขอบคุณคุณเซิ่นที่เป็นห่วง...เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเรามาเริ่มพูดคุยกันเลยดีไหมคะ”
เซิ่นหวินเผิงไม่ได้ฟังคำถาม เขาเอาแต่พินิจใบหน้าของนักศึกษาสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าห่างกันเพียงเอื้อมมืออย่างละเอียด ไฝที่ใต้ตาขวาก็เป็นตำแหน่งเดียวกันกับอดีตภรรยา...เป็นเธอไม่ผิดแน่ เธอปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้งที่นี่ ในปีนี้อย่างที่เคยบอกเอาไว้จริง ๆ
ความรู้สึกโหยหา คิดถึงจนใจแทบขาดทำให้ชายชราลืมเลือนทุกอย่างรอบตัวไปสิ้น เขาค่อย ๆ พยุงตัวลุกขึ้นแล้วเดินช้า ๆ ไปกอดเธอเอาไว้แน่น
“หมิงหมิง เป็นคุณจริง ๆ ผมคิดถึงคุณเหลือเกิน”
ทุกคนในหอประชุมต่างตกใจกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้น ตัวจ้าวหมิงหมิงเองก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเช่นเดียวกัน แต่ก่อนที่เธอจะทันปัดป้องเซิ่นหวินเผิงที่ร่างกายไม่แข็งแรงเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็เป็นลมทรุดลงไปบนตักของหญิงสาวนั้นเอง!
เจียซินที่อยู่ในชีวิตปั่นปลายนั้น กลับต้องรู้สึกเสียใจที่เลือกเส้นทางรักผิด เมื่อเลือกหนทางใหม่ได้ เธอก็จะเลือกหนทางที่ดีที่สุด และเขาชายที่เธอเคยละทิ้งไปก็กลายมาเป็นคู่ชีวิต ที่พร้อมจะร่ำรวยไปด้วยกัน
ชมดาวต้องทนรับสภาพสถานะเลขาของเจ้านายและสถานะบนเตียงมาตลอดห้าปี เธอคิดว่าอีกไม่นานเขาก็จะขอเธอแต่งงาน หากแต่ว่าเขากลับเห็นเธอเป็นเพียงสถานะรองเท่านั้น จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ต้องแต่งงาน ไม่ใช่กับเธอแต่เป็นคนอื่น เธอจะเลือกจำยอมอยู่ในความลับต่อไป หรือเลือกที่จะเดินออกมาพร้อมกับเด็กในท้อง!!
ลู่เจียหง นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในยุคปัจจุบัน จับผลัดจับพลูลงลิฟต์ก็โผล่ไปยังยุคโบราณ แถมยังอยู่ในชุดเจ้าสาวอีก ถ้าประหลาดแค่นั้นไม่พอคงไม่เป็นไร ถ้าไม่พบว่าตัวเองกำลังถูกตามล่าจากว่าทีสามีที่ยังไม่ทันเข้าหอ งานนี้นางถือคติไม่ยุ่งเกี่ยวต่างคนต่างอยู่ แต่ท่านอ๋องผู้นั้นก็เอาแต่วนเวียนอยู่ข้างตัวนางไม่หยุด แบบนี้นางจะหย่าสำเร็จได้ตอนไหนกัน!!
จ้าวเหม่ยซื้อนิยายมาอ่าน พระเอกของเรื่องเป็นทรราชที่ได้รับการยกย่อง บ้าไปแล้วเป็นทรราชจะดีได้อย่างไร ปากบ่นไปสมองก็ด่าไปดันถูกเครื่องทำน้ำอุ่นช็อตตายไป ฟื้นมาอีกทีก็กลายเป็นสนมของทรราชผู้นั้น!! งานนี้เธอจะสามารถกลับออกจากนิยายได้ไหม หรือว่าต้องอุ้มให้ทรราชผู้นั้นตลอดไป ไปลุ้นกันค่ะ ****************** จบดีมีความสุขค่ะ
นราเป็นเพียงหญิงสาวยากชน ต้องทำงานแลกเงินแต่เธอก็มีตุลย์แฟนหนุ่มที่มีฐานะดีคอยช่วยเหลือตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งเธอก็พบว่าตัวเองตั้งครรภ์ ในขณะที่อีกฝ่ายก็มีคนที่ดีพร้อมไว้ข้างกายเช่นกัน เพราะรักจึงยอมเลิก เธอจึงเลือกที่จะหอบลูกในท้องจากไปเพื่อให้เขามีอนาคตที่ดีขึ้น ดีกว่าที่จะอยู่กับคนแบบเธอแม้หัวใจจะเจ็บปวดมากเท่าไรก็ตาม
เพิ่งหย่ากับอดีตสามีไปไม่นานแต่ปรากฏว่าตัวเองท้อง จะทำอย่างไรดี? หรือจะให้อดีตสามีรับผิดชอบ แต่ก็ไม่คิดว่าอดีตสามีมีคนรักใหม่ไปแล้ว ชีวิตของถังชีชีนั้นช่างสับสน ช่างน่าวิตกกังวลและไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เธอต้องคอยระวังไม่ให้คุณเฟิงรู้เรื่องการตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย แต่ไม่คิดว่าจะถูกเขาบังคับถึงเพียงนี้ "เราหย่ากันแค่สี่เดือน แต่เธอกลับตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว บอกมาดี ๆ ว่า ลูกเป็นของใคร!"
ในสายตาของเขา เธอเป็นคนขี้โกหก ในสายตาของเธอ เขาเป็นคนไร้หัวใจ เดิมทีถังหว่านคิดว่าเธอคือคนพิเศษหลังจากอยู่กับเสิ่นติงหลานมาสองปี แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นที่สามารถทิ้งได้อย่างตามใจเมื่อไม่มีค่าอีกต่อไป จนกระทั่งถังหว่านเห็นว่าเสิ่นติงหลานพาคนรักของเขาไปตรวจครรภ์ เธอจึงยอมแพ้แล้ว เธอหยุดติดตามเขาอีก แต่จู่ๆ เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไป "ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไปล่ะ?" ชายผู้เคยหยิ่งยะโสขนาดนั้น ตอนนี้ก้มหัวลงและขอร้องว่า "หวานหว่าน ฉันผิดไปแล้ว โปรดอย่าทิ้งฉันไป"
ผมต้องทำงานนอกเวลาทุกวันเพื่อหารายได้ประคองชีวิตและจ่ายค่าเรียนมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง เนื่องจากฐานะครอบครัวยากจนและไม่สามารถส่งเสียผมเข้ามหาวิทยาลัยได้ และตอนเรียนที่มหาวิทยาลัย ผมก็ได้พบกับเธอ-สาวแสนสวยที่หนุ่มๆ ทุกคนในชั้นเรียนต่างก็ใฝ่ฝันถึง ไม่เว้นแม้แต่ผมเอง แต่ผมก็รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเธอ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผมก็รวบรวมความกล้าสารภาพกับเธอจนได้ สุดท้ายผมนึกไม่ถึงว่าเธอจะยอมตกลงเป็นแฟนกับผม เธอบอกกับผมว่าอยากได้ของขวัญเป็นไอโฟนรุ่นล่าสุด ผมก็ไปรับงานซักเสื้อผ้าให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนเพื่อพยายามเก็บเงินซื้อให้เธอจนได้ และในที่สุดหนึ่งเดือนต่อมา ผมก็ซื้อมาได้จริง ๆ แต่ขณะที่ผมกำลังห่อของขวัญเพื่อนำไปมอบให้เธอ ก็พบว่าเธอกำลังมีอะไรกับหัวหน้าทีมฟุตบอลในห้องล็อกเกอร์ เธอเหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งผมไม่เคยรู้จักเลย เธอหัวเราะเยาะความโง่เขลาของผม เหยียดหยามศักดิ์ศรีของผม ปล่อยให้เขาซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นแฟนใหม่ของเธอไปแล้ว ทุบตีผม ผมนอนเจ็บอยู่บนพื้นอย่างสิ้นหวัง ต่อมา จู่ ๆ ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพ่อ ตั้งแต่วันนั้น ชีวิตของผมก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างกับหนัามือเป็นหลังมือ ใครจะไปรู้ว่า ผมเป็นลูกชายของมหาเศรษฐี
ถึงจะโกรธ เกลียด เคียดแค้นแค่ไหน แต่หัวใจไม่อาจต้านรักได้ ----------------------------------------- ไรยาค่อยๆ คลานไป ทันทีที่เจ้าบ่าวหันหน้ามา เพื่อจะยื่นมือให้เธอจับ จะได้ไม่ล้มนั้น ยิ่งจะทำให้เธอเกือบล้มไปเพราะเขาแล้ว ในหัวสมองก็ประมวลผลออกมาได้คำตอบทันที ว่าคนที่เธอเฝ้าครุ่นคิดว่าเป็นใครมาตลอดสองอาทิตย์นั้น แท้จริงก็คือใครกันแน่ในที่สุด ‘Mr. H. Hhemmhawattana ก็คือหรัญญ์ เหมวัฒน์’ ‘หรือพี่ฮั้นท์ของสาวๆ ที่เธอมักจะได้ยินเรียกขานกันนี่เอง’ ‘เขากลายมาเป็นเจ้าบ่าวเธอได้ยังไง’ ‘เขาจะมาแต่งงานกับเธอทำไม’ เท่าที่รู้มา เขาไม่ได้ร่ำรวยระดับร้อยล้านพันล้านแน่ๆ แล้วเขาไปทำอะไรมา ถึงได้มีเงินมากมายขนาดเอามาทุ่มซื้อหุ้นบริษัทของพ่อเธอได้ ไหนจะไถ่บ้านคืนให้ และอีกหลายต่อหลายอย่างที่เขาจ่ายไป รวมทั้งแหวนเพชรน้ำงามและไม่น่าจะต่ำกว่าห้ากระรัตบนพานดอกไม้ตรงหน้าเธออีก ---------------------------------------------------------------------------------------- ฮั้นท์ (หรัญญ์ เหมวัฒน์) นักธุรกิจหนุ่ม ผู้มีชีวิตที่พลิกผันจากเลวร้ายกลับกลายเป็นดี ซึ่งเขาเองก็ตั้งตัวไม่ทัน แต่ทั้งหมดนั้น มาจากความดี ความขยันหมั่นเพียรของเขา บวกกับโชคช่วย ถึงเวลาที่เขากลับมายืนอยู่จุดเดิม ในฐานะใหม่ ที่ใครต่อใครต่างงุนงง โดยเฉพาะเพื่อนๆ หรือแม้แต่กับผู้หญิงที่เคยเมนเขามาแล้ว และเขาก็จะทำให้ผู้หญิงพวกนั้นได้รู้ ว่าไม่ควรเมินเขาจริงๆ ---------------------- ย้า (ไรยา เจริญรัตชตะ) ทายาทนักธุรกิจหลายร้อยล้าน ที่ชีวิตพลิกผัน จากดีกลายเป็นเลวร้ายในไม่กี่ปี จนเธอกับครอบครัวก็ตั้งตัวไม่ติด รับภาวะย่ำแย่แทบไม่ทัน และถึงเวลาที่เธอจะต้องเลือก ระหว่างช่วยกู้ทุกอย่างของครอบครัวคืน กับทิ้งทุกอย่างไปแบบไม่เหลียวหลัง เพื่อไปเลียแผลหัวใจจากชายที่เธอรักแทบตาย สุดท้ายเธอจะเลือกทางเดินยังไง จะไปต่อหรือพอแค่นี้ ---------------------------------------------------------------------------------------- เมียแต่งท่านประธาน Chairman's Wife ตอนแรกคิดว่าจะให้นิยายที่เรื่องนี้มีแค่ชื่อภาษาอังกฤษเท่านั้นค่ะ ที่เหลือให้รี้ดไปตีความเอาเอง ว่าควรจะใช้ภาษาไทยว่าอะไรดี ระหว่าง แรงรัก - รั้งรัก - รังรัก และใช้นามปากกาพิมรภัค แต่สุดท้ายก็คิดชื่อใหม่ได้แล้วค่ะ และตัดสินใจใช้นามปากกาหลัก นั่นคือ กันเกราค่ะ เพราะแว้ปไปเขียนอวตารหลายเรื่องแล้ว และไม่ได้ออกนามปากกานี้นานแล้ว ส่วนแนวก็จะเพิ่มดราม่าเข้าไปอีก ซึ่งจะเป็น Signature ของกันเกราอยู่แล้ว รี้ดอยากได้มาม่าเจ้มจ้นแค่ไหน บอกกันได้เด้อ ----------------------------------------------------------------------------------------
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
"นางเป็นบุตรีผู้สูงศักดิ์ของฮูหยินเอกของจวนเสนาบดี นางมีหน้าตาโดดเด่น ทั้งอ่อนโอนและมีน้ำใจไมตรีต่อผู้อื่น แต่... นางทำดีต่อป้าของนาง นางกลับฆ่าแม่ของนางตาย นางรักเอ็นดูน้องสาวของนาง แต่น้องสาวกลับแย่งสามีของนางไป นางคอยสนับสนุนและดูแลสามีของนางอย่างสุดหัวใจ แต่สามีกลับทำให้นางตายทั้งกลม...ตระกูลฝ่ายมารดาของนางก็ถูกประหารชีวิตทั้งตระกูลด้วย นางตายตาไม่หลับและสาบานว่าหากมีชาติหน้า นางจะไม่เมตาตาต่อใครอีก ใครก็ตาม กล้ามาทำร้ายข้า ข้าจะล้างแค้นด้วยชีวิตทั้งตระกูลของพวกเจ้า เมื่อเกิดใหม่อีกครั้ง นางอายุได้สิบสี่ปี นางสาบานว่าจะต้องเปลี่ยนชะตากรรมและแก้แค้นชาติก่อน ป้านางใจ้ร้าย นางจะใจร้ายกลับยิ่งกว่านาง นางคิดจะได้ครองตำแหน่งฮูหยินงั้นเหรอ บอกเลยไม่มีทาง! ส่วนน้องสาวชอบผู้ชายชั่ว ๆ นักไม่ใช่หรือ ได้!ข้าจะยกให้เลย ส่วนชายชั่วนั่น ข้าจะทำให้เจ้าไม่สามารถมีทายาทได้อีกตลอดทั้งชาติ!แต่ข้าจะแก้แค้น เหตุใดเจ้าต้องมาช่วยข้าด้วย?"