"เอาแบบนี้นะ ถ้าตัวเล็กหยุดร้อง พี่สัญญาว่าครั้งหน้าถ้าเราได้เจอกัน หากหนูเจ็บหรือเสียใจพี่จะคอยอยู่ข้าง ๆ จนกว่าจะหายดี จากนั้นเราสองคนค่อยไปหาของอร่อยกินกัน ดีมั้ย^^" "ดีค่ะ พี่สัญญากับหนูแล้วนะ ห้ามผิดคำพูดนะคะ" "อื้ม สัญญาครับ" เราทั้งคู่เกี่ยวก้อยทำสัญญาด้วยรอยยิ้ม แต่คนให้คำมั่นหายไปไม่หวนกลับ นั่นเป็นครั้งแรก และครั้งเดียวที่เราได้เจอกัน เขาจะลืมฉันไปหรือยัง? เขาจะจำคำสัญญาของเราได้หรือเปล่า? เขาจะรู้บ้างไหมความอบอุ่นที่เขามอบให้ มันหยั่งลึกฝั่งแน่นในความทรงจำของเด็กคนนี้ ฉันยังหวัง... หวังว่าสักวัน เราจะได้พบกันอีกสักครั้ง
"คุณยังจำความรู้สึกใจเต้นแรง ตอนมองใครบางคนได้ไหม?"
"คุณเชื่อในเรื่องโชคชะตา ฟ้าลิขิตหรือเปล่า?"
"ส่วนฉันจำมันได้ดี และเชื่อมั่นจึงเฝ้ารอ"
"ให้ความรู้สึกนั้น เกิดขึ้นอีกครั้ง"
ท่ามกลางอากาศปลอดโปร่งโล่งสบายของช่วงฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้ชูช่อผลิดอกออกใบงดงาม สายลมของช่วงตะวันใกล้ลาลับขอบฟ้าให้ความรู้สึกสดชื่นผ่อนคลายยามพัดผ่านผิวกาย แต่นั่นกลับไม่ช่วยให้ความร้อนรนภายในใจ ลดน้อยลงได้เลย...
“พี่ชา! รอด้วย~” หนูร้องเรียกพี่ชายเสียงดัง ขณะกำลังปั่นจักรยานสีหวาน ไล่ตามเขาอยู่บนถนนของสวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่ติดกับทะเล
คนถูกเรียกหันมายิ้มเยาะเมื่อเห็นว่าไม่สามารถตามเขาทัน นั่นทำให้ควันแทบออกหู เร่งฝีเท้าให้ไวขึ้นด้วยกำลังทั้งหมด แต่ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน มันกลับเหมือนยิ่งไกลออกไปทุกที
ให้ตายสิ! ไม่คิดรอกันเลยสินะ
บางทีก็รู้สึกขัดใจกับขาสั้น ๆ ของตัวเองเหมือนกัน ทั้งที่พี่ชายขายาวขนาดนั้น แต่ตัวเองกลับมีเพียงเท่านี้
พระเจ้าช่างไม่ยุติธรรม!
ตอนนี้พวกเราอยู่ในประเทศหนึ่งของแถบซีกโลกเหนือ ครอบครัวเราเดินทางมาถึงเมืองนี้ร่วมสองอาทิตย์แล้ว แม้จะเดินทางระหว่างประเทศบ่อยครั้ง แต่สถานที่นี้หนูเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก
เราไม่ได้มาเที่ยว แดดดี้บอกว่ามาเพื่อเจรจาธุรกิจกับพาร์ทเนอร์ หนูไม่รู้หรอกนะว่าธุรกิจที่ว่าคืออะไร แต่มันคงจะสำคัญมาก เพราะตั้งแต่มาถึงท่านทั้งสองก็ยุ่งหัวหมุน จนไม่มีเวลาพาเราสองพี่น้องออกไปไหน หนูจึงต้องมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพี่ชายขี้แกล้งกันสองคน เหมือนอย่างในตอนนี้
ไม่ยอมแพ้คนแบบนั้นหรอก!
หนูตั้งหน้าตั้งตาออกแรงผ่านขาเล็ก ๆ ทั้งสองข้าง ความสนใจทั้งหมดถูกทุ่มให้คนตัวสูงที่เห็นหลังอยู่ไกล ๆ แต่สิ่งไม่คาดฝันดันเกิดขึ้น
“กรี๊ดดด” ดวงตาเบิกกว้าง กรีดร้องออกมาสุดเสียง มือกำเบรกแน่นด้วยความตระหนก ความเร็วทำให้ไม่สามารถหยุดรถได้ตามตั้งใจ
โครม!
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งคนทั้งรถแหกโค้งพุ่งลงบนพื้นหญ้าสีเขียวข้างทาง ความแรงทำให้ร่างกลิ้งไถลออกจากตัวรถมาไกลพอควร
หนูพยายามตั้งสติดันตัวลุกขึ้นนั่ง
“ฮึก แง~” พยายามจะไม่ร้องแล้วนะ แต่ความเจ็บที่ได้รับทำให้ไม่สามารถห้ามตัวเองได้ เสียงร้องนั้นดังจนคนมากมายที่อยู่รายล้อมหันมามองด้วยความตกอกตกใจ มีคนมองแต่ไม่มีใครเข้ามาช่วยสักคน
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าหนักวิ่งมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า นั่นทำให้หนูต้องแหงนหน้าขึ้นมองว่าเป็นใคร แต่เมื่อได้คำตอบยิ่งทำให้ต้องเบะปากคว่ำมากกว่าเดิม
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไปทำอีท่าไหนสภาพถึงเป็นแบบนี้ โคตรตลกเลยว่ะพริก”นึกว่าจะรีบเข้ามาช่วย ที่ไหนได้ ‘พี่ชานนท์’ กลับหยิบเศษดินเศษหญ้าจากเส้นผมขึ้นมาทำหน้าตาล้อเลียน แถมหัวเราะอย่างสะใจจนต้องยกมือขึ้นกุมหน้าท้อง ทั้งที่อายุห่างกันตั้งหลายปี แต่คนเป็นพี่กลับไม่เคยอ่อนโยนกับน้องคนนี้เลย!
หนูเลิกให้ค่าคนตรงหน้า หันมากวาดสายตาสำรวจร่องรอยบนร่างกาย “แสบจังเลย เจ็บด้วย” ไม่มีเลือดไหลก็จริง แต่บนหัวเข่าและข้อศอกด้านซ้าย มีรอยถลอกขนาดใหญ่นั่นทำให้รู้สึกเป็นกังวล มันจะมีแผลเป็นไหม? จะหมดสวยหรือเปล่า? แล้วจะเป็นนางแบบได้อยู่หรือไม่?
หนูได้แต่ถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาภายในหัว
“ฮือ~” ไม่ว่าจะคิดมากแค่ไหนก็ไร้คำตอบ ทำให้น้ำตาที่เกือบเหือดแห้งไหลอาบแก้มอีกครั้ง
บ้าชะมัด เพราะไอ้พี่บ้าคนเดียวเลย!
ตึก ตึก ตึก
มีเสียงฝีเท้าวิ่งใกล้เข้ามาอีกครั้ง แต่รอบนี้มาจากทางด้านหลัง หนูยกมือปาดน้ำตาทิ้ง หันกลับไปมองตามทิศทางของเสียง คนที่วิ่งตรงเข้ามาหาเป็นผู้ชายท่าทางใจดี เขามีสีผมดำสนิท ผิวเข้มกว่าหนูเล็กน้อยแต่ทว่าสูงกว่ามาก
เขาวิ่งมาหยุดยืนอยู่ข้างกาย แล้วคุกเข่าลงข้าง ๆ
เราไม่รู้จักกัน แต่การกระทำคนมาใหม่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก สายตา ‘เขา’ ดูเป็นห่วงเป็นใยมากกว่าพี่ชายในไส้ของหนูเองเสียอีก
“เจ็บมากมั้ยตัวเล็ก” คำพูดของเขาทำเอารู้สึกอุ่นวาบไปทั่วอก หนูสบตาเจ้าของเสียงอ่อนโยนโดยไร้การตอบกลับ
พี่ชายใจดีเปลี่ยนเป็นนั่งลงเต็มตัว “ไหนดูหน่อยสิ” เขายกขาเปรอะเปื้อนขึ้นพาดบนตักอย่างไม่รังเกียจ
อายจังเลย วันนี้ใส่กระโปรงมาด้วยสิ
“แสบมากมั้ย” พี่เขาละสายตาจากบาดแผล มาจ้องหน้าหาคำตอบด้วยรอยยิ้ม
“...” หนูไม่พูดได้แต่พยักหน้า
พี่ชายหน้าหล่อแถมใจดี หยิบผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินเข้มออกมาจากกระเป๋ากางเกง เทน้ำจากขวดในมือใส่จนเปียกชุ่มแล้วบิดจนหมาด
“ทนหน่อยนะ แค่แป๊บเดียว” เขาบรรจงเช็ดบริเวณหัวเข่าและข้อศอกให้อย่างเบามือจนสะอาด หยิบปลาสเตอร์ยาลายการ์ตูนที่ไม่รู้มาจากไหนแปะให้อย่างดี
“เสร็จแล้ว^^” รอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้า ทำให้ไม่สามารถละสายตาไปมองอะไรได้อีกนอกจากเขา เหมือนทุกอย่างรอบตัวหยุดนิ่งจนเผลอกลั้นลมหายใจ มือกำชายกระโปรงแน่นด้วยความประหม่า
มันช่างสว่างไสวเหมือนมีสปอร์ตไลท์ฉายใส่หน้า
“ไม่เจ็บนะเดี๋ยวก็หาย เพี้ยง” เขาเป่าลมใส่ร่องรอยแผลที่ปกปิดไว้เรียบร้อยแล้ว ลมอุ่น ๆ ทำให้ผิวกายรู้สึกร้อนวูบวาบ และลมนั่นมันคงจะแรงมากไปหน่อย เพราะความร้อนมันลามขึ้นมาถึงใบหน้าเชียวล่ะ
“หนูจะเป็นแผลเป็นมั้ยคะ?” หนูกัดปากช้อนสายตาเอ่อน้ำขึ้นมอง กลั้นใจถามสิ่งค้างคาใจเสียงสั่น น้ำตาพานจะไหลทุกครั้งเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
คนตรงหน้าส่งยิ้มจางๆ ยกมือขึ้นวางบนศีรษะที่ถูกถักเปียไว้สองข้างแล้วลูบเบา ๆ
รู้สึกดีจัง~
“ไม่เป็นหรอก แค่รอยถลอกเองไม่กี่วันก็หายเป็นปกติแล้วล่ะ”
“จริงเหรอคะ พี่ไม่ได้โกหกหนูใช่มั้ย?”
“จริงสิ พี่จะโกหกหนูทำไม”
“แล้วทำไมมันถึงเจ็บจังล่ะคะ ฮึก~” น้ำตาจะไหลอีกแล้ว
“โอ๋ ๆ ไม่ร้องนะ” พี่เขาพูดปลอบพร้อมเป่าลมร้อนลงมาอีกหลายครั้ง มือยังวางที่เดิมไม่ได้ขยับหนีไปไหน
หนูรู้สึกดีมาก แต่ไม่รู้ว่าทำไมยิ่งพี่เขาทำแบบนี้ มันกลับอยากร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม สงสัยที่พี่ชานนท์ชอบล้อว่าขี้แยคงจะเป็นเรื่องจริงเสียแล้วสิ
“เอาแบบนี้นะ ถ้าตัวเล็กหยุดร้อง พี่สัญญาว่าครั้งหน้าถ้าเราได้เจอกัน หากหนูเจ็บหรือเสียใจพี่จะคอยอยู่ข้าง ๆ จนกว่าจะหายดี จากนั้นเราสองคนค่อยไปหาของอร่อยกินกัน ดีมั้ย^^”
“ดีค่ะ พี่สัญญากับหนูแล้วนะ ห้ามผิดคำพูดนะคะ” ตอนนี้ชักอยากได้พี่เขามาอยู่ด้วย แทนคนที่เอาแต่ยืนมองด้วยสายตาประหลาดเสียแล้วสิ
“อื้ม สัญญาครับ” เราสองคนเกี่ยวก้อยทำสัญญา ส่งยิ้มหวานจนตาหยีให้กันและกัน
“แต่ตอนนี้หนูก็เจ็บนะคะ”
“ฮ่า~ พี่ก็อยู่ข้าง ๆ นี่ไงครับ” เสียงหัวเราะเบา ๆ รอยยิ้มบาง ๆ ทำเอาหัวใจดวงน้อยเต้นโครมครามผิดจังหวะ มันแรงเหมือนจะหลุดออกมาจากอกจนต้องยกมือขึ้นมากุม
ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกัน...
“พอ! แยก ๆ มึงอย่ามาโปรยเสน่ห์ใส่น้องกู น้องกูเพิ่งจะเก้าขวบ”
พี่ชานนท์คนใจดำเดินมาแยกพวกเราออกจากกันแต่เมื่อกี้เขาเรียกพี่ชายใจดีว่ามึงเหรอ? ทั้งคู่เป็นเพื่อนกันใช่มั้ย? ถ้าเป็นอย่างนั้นปีนี้พี่เขาก็อายุสิบเจ็ดแล้วน่ะสิ
ว้าว~ ถึงว่าทำไมตัวสูงจัง
“โปรยเสน่ห์ห่าอะไรของมึง กูมาช่วย! ไม่เห็นเหรอว่าน้องบาดเจ็บ แทนที่มึงจะรีบเข้ามาดู กลับเอาแต่ยืนมองแล้วหัวเราะ มีน้องผู้หญิงแทนที่จะดูแลปกป้องให้ดี มีพี่แบบนี้กูว่าไม่มียังดีกว่า” คนฝั่งขวาพูดยาวเหยียด แม้น้ำเสียงติดไม่พอใจแต่กลับน่าฟังไม่เบื่อ หนูอยากให้พี่เขาพูดอีก และพูดอีก
“อยากได้?”
“ให้กูก็เอา บ้านกูอยากมีลูกสาวมึงก็รู้”
“ไม่ให้โว้ย!” พี่ชายใจดีจับข้อมือหนูดึงเข้าหาตัว พี่ชานนท์เองก็ไม่ยอมแพ้ดึงอีกฝั่งกลับด้วยสีหน้าบึ้งตึง
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากไปนะ ต่างกันซะขนาดนี้
“ถ้าไปอยู่กับมึงคงไร้ภูมิคุ้มกันตายห่า แค่ล้มบนหญ้าจะอะไรนักหนา โตมามีเรื่องให้เจ็บมากกว่านี้อีกเยอะ” ส่วนคนนี้หนูอยากให้หยุดพูดไปซะ! แต่ละคำน่าฟังที่ไหน
ขอเปลี่ยนพี่ชายตอนนี้เลยได้ไหม?
“แต่ตอนนี้ตัวเล็กยังเด็กเกินไป”
“ตัวเล็ก? น้องกูชื่อ ‘พริกแกง’ ไม่ใช่ตัวเล็กเรียกให้มันถูก”
“กูพอใจจะเรียกแบบนี้” เท่านั้นแหละทั้งสองเปิดศึกข้ามหัวหนูไปมา ทั้งเตี้ยทั้งขาสั้นเสียเปรียบชะมัด หัวเปียกหมดแล้วมั้งเถียงกันหนักขนาดนี้ เรื่องแค่นี้ไม่รู้จะเถียงกันทำไม โตไปต้องเป็นแบบนี้ไหมเนี่ย?
เถียงกันอยู่สักพักพี่ชานนท์เป็นฝ่ายยอมแพ้ขอแยกตัวออกไป เขายกโทรศัพท์กดหาใครสักคน ถ้าให้เดาก็คงจะเป็นแดดดี้หรือไม่ก็แม่ที่กำลังคุยงานอยู่ร้านอาหารไม่ห่างจากจุดนี้
วางสายไม่ถึงยี่สิบนาทีผู้ชายร่างใหญ่สวมชุดดำก็ปรากฏตัวขึ้น เขาเดินตรงมาทางเราสามคนด้วยความเร่งรีบ
“น้าทอย” หนูวิ่งแจ้นไปหาคนหน้าดุ ทว่าสุดแสนจะใจดีที่เห็นมาตั้งแต่เกิด
“เป็นอะไรมากมั้ยครับคุณหนู” น้าทอยคุกเข่าลงตรงหน้า จับไหล่ทั้งสองข้างแล้วหมุนไปหมุนมาหลายรอบเพื่อสำรวจความเสียหาย เมื่อมั่นใจว่าไม่มีอะไรมากกว่าร่องรอยที่เห็น น้าทอยถึงยืนขึ้นแล้วหันไปคุยกับพี่ชานนท์อย่างนอบน้อม
“คุณชาครับ ผมพาคุณหนูกลับไปรอที่โรงแรมก่อนนะครับ”
“อืม” คนขี้เก๊กเต๊ะท่าตอบ
ช่างไม่น่ารักเอาเสียเลย น้าทอยอายุห่างกับเขาตั้งเกือบยี่สิบปี แต่พี่ชายตัวดีกลับตอบเสียงห้วนสีหน้าไม่แสดงความรู้สึกอะไร
กับลูกน้องคนสนิทของพ่อยังทำเฉยชาขนาดนี้ กับคนอื่นไม่ต้องพูดถึง นอกจากหนูก็เพิ่งจะเห็นมีเพื่อนคนนี้นี่แหละที่พี่พูดคุยด้วยท่าทีสนิทสนม
น้าทอยก้มหัวให้ทั้งสองคนเล็กน้อย ก่อนจะจูงมือหนูเดินออกมา
จากมาเพียงไม่กี่ก้าว หนูนึกขึ้นได้ว่าลืมสิ่งสำคัญ จึงหันกลับไปหาคนทั้งสอง
แต่ไม่ทัน...
ทั้งคู่เดินห่างไปไกลแล้ว มัวแต่ตกใจจนลืมถามชื่อ และขอบคุณพี่ชายคนนั้นเลย จะไปถามพี่ชานนท์คนแบบเขาไม่มีทางบอกหรอก เฮ้อ...
พอถึงโรงแรม หนูรีบวิ่งเข้าห้องส่วนตัวเพื่อมาทำสิ่งสำคัญ
ไดอารี่เล่มใหม่เอี่ยมที่แวะซื้อระหว่างทางกลับถูกวางลงบนโต๊ะ ทุกเหตุการณ์ ทุกประโยคถูกบรรจงเขียนลงในสมุดเล่มหนาสีเดียวกับผ้าผืนนั้นอย่างละเอียด ด้วยความตั้งอกตั้งใจ
หนูเงยหน้าขึ้นมองวิวทิวทัศน์ยามท้องฟ้าทอสีส้มทอง ผ่านหน้าต่างบานใส ด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างออก จึงก้มลงเขียนต่อ
Puppy Love ของหนู
หนูจะไม่มีวันลืมเรื่องราวระหว่างเราเด็ดขาด ต่อไปนี้หนูจะเขียนเหตุการณ์ในชีวิตลงบันทึกทุก ๆ วัน จะเขียนไปจนกว่าเราจะได้พบกันอีกครั้ง หนูอยากให้พี่รู้ว่ากว่าเราจะเจอกัน ระหว่างทางมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง
หรือถ้าหากไม่มีโอกาสนั้น หนูก็จะเขียนไปจนกว่าจะได้เจอคนที่เหมือนกับพี่ใจดีในวันนี้
****************************************************
หนูอยากแต่งงานกับผู้ชายที่เหมือนกับพี่ค่ะ >///<
Phikkaeng
29 มีนาคม 20XX
แม้ไม่มีสิทธิ์ก็อยากรัก แม้เป็นได้แค่ที่พักก็อยากดูแล ขอแค่ได้อยู่ใกล้กันเท่านั้นพอ เพราะเหตุผลบางอย่างทำให้เขาไม่เคยคิดเข้าไปวุ่นวายให้เธอรำคาญใจ แต่ในเมื่อแฟนเธอมันนอกใจแล้วทำไมเขาต้องยอมมัน! "เลิกกับมันสิ อยากได้อะไรจะยกให้" #พระเอกธงเขียว #รักเดียวใจเดียว #คลั่งรัก #ไม่มีนอกกายนอกใจ แนวแอบรักฟิลกู๊ดดราม่าน้อยกว่ามดกัด
เพราะคิดว่าเป็นความฝัน ฉินหร่านจึงร่วมมือบรรเลงเพลงรักอย่างไม่ได้ตั้งใจ ไฉนตื่นขึ้นมาถึงมีสามีเป็นของตัวเอง อีกทั้งสามีนางยังตาบอดอีกด้วย! แต่นั่นไม่น่าตกใจ เท่ากับที่นางมาอยู่ในร่างเด็กสาวในยุคจีนโบราณ ที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ อีกทั้งร่างนี้ถูกขายให้มาเป็นภรรยาของชายตาบอด แต่ไหนๆ ก็มาแล้วจึงจะใช้ชีวิตให้ดี ส่วนสามีนะหรือ หล่อขนาดนั้น แซ่บขนาดนี้ เดินหน้าเกี้ยวสามีสิ จะรออะไร!
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
เสิ่นชิงชิว หลานสาวของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองไห้ คบหาอยู่กับลู่จั๋วมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ความจริงใจของเธอกลับสูญเปล่า ลู่จั๋วปฏิบัติกับเธอเพียงในฐานะหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง และทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน โดยไปหารักแรกของเขา หลังจากเลิกรากันอย่างเด็ดขาด เสิ่นชิงชิวก็กลับมามีสถานะเป็นสาวรวยอีกครั้ง ได้รับมรดกมูลค่าหลายร้อยพันล้าน และเริ่มต้นชีวิตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่แล้วมักจะมีคนโผล่มาทไให้กับเธอหงุดหงิดอยู่เสมอ! ขณะที่เธอกำลังจัดการกับผู้ร้าย คุณชายฟู่ผู้มีอำนาจนั้นก็ปรบมือและโห่ร้องว่า "ที่รักของฉันสุดยอดมากจริงๆ"
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
“หยุดทำบ้าๆ นะพี่สิงห์...อ๊อย...” น้ำผึ้งขนลุกซู่ เขาจูบไซ้ซอกคอของหล่อน ขณะหญิงสาวกำลังยืนส่องกระจกอยู่หน้าอ่างล้างหน้า “พี่ขออีกนิด แค่ภายนอกเท่านั้นนะจ๊ะ ไม่เสียหายอะไรนี่นา...นะครับ” พี่เขยปะเหลาะปะแหละอย่างคนเอาแต่ได้ เสียงออดอ้อนอ่อนหวานเริ่มทำให้น้องเมียใจอ่อนหวามไหว ปล่อยให้มือของเขาเคล้นคลึงสะโพกของหล่อนอย่างนึกมันเขี้ยว สอดท่อนแขนเข้ามาระหว่างง่ามก้น หงายฝ่ามือลูบไล้เข้ามาถึงหนอกเนื้ออุ่นจัดอีกครั้ง ตะล่อมล้วงเข้ามาโอบเนินนูนเหมือนหลังเต่า บีบขยำเบาๆ เหมือนจะประมาณความอวบใหญ่ล้นอุ้งมือ “ของผึ้งใหญ่จัง” มือสัมผัสกลีบเนื้อเป็นพูแน่น โหนกนูนและใหญ่กว่าของเจนนี่มากมาย “อ๊าย...” น้ำผึ้งเสียว กระดกก้นขึ้นโดยอัตโนมัติ สิงหาบีบขยำความเป็นผู้หญิงของหล่อนเป็นจังหวะ หัวใจเต้นแรงกับความอวบใหญ่ที่อัดแน่นอยู่ในอุ้งมือของตน “อย่า...พี่สิงห์...หยุดเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวพี่เจนนี่มาเห็นผึ้งซวยแน่ๆ” น้องเมียร้องห้ามอย่างสับสนใจ ส่ายก้นทำท่าว่าจะดิ้นหนี แต่ช้ากว่ามือใหญ่ของสิงหาอีกข้างที่กดลงบนแผ่นหลังของหล่อนเหมือนจะล็อกกายไม่ให้ขยับหนี
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"