เธอรักเขาคือเรื่องจริง แต่เขาโกรธเกลียดเธอคือเรื่องจริงเช่นกัน ในเมื่อความรักมันเหนื่อยนัก เธอก็ขอพักใจ ถอยห่างออกมา รอวันหย่าขาดจากพ่อของลูกที่ไม่เคยรักเธอเลย
เธอรักเขาคือเรื่องจริง แต่เขาโกรธเกลียดเธอคือเรื่องจริงเช่นกัน ในเมื่อความรักมันเหนื่อยนัก เธอก็ขอพักใจ ถอยห่างออกมา รอวันหย่าขาดจากพ่อของลูกที่ไม่เคยรักเธอเลย
1
ภัสรินตื่นขึ้นมาจากเตียงในตอนเช้าตรู่ด้วยความรู้สึกไม่ค่อยสดชื่นนัก เธอตะแคงไปอีกด้านของเตียงก็พบแต่ความว่างเปล่า รวิศผู้เป็นสามีไม่ได้นอนร่วมเตียงกับเธอมานานมากแล้ว
เขานอนห้องอื่น หรือไม่ก็ออกไปนอนที่อื่น ในวันนี้ภัสรินรู้สึกเหนื่อยล้ากายใจเป็นที่สุด หลายปีแล้วที่เธอรักเขาข้างเดียวมาตลอด แต่เขากลับเย็นชาไร้หัวใจ
เขาคงไปหาน้องสาวของเธอ เพราะญาตาวีกลับมาหลายเดือนแล้ว ช่วงนี้พวกเขาใช้เวลาอยู่ด้วยกัน
ญาตาวีคือรักแรกของรวิศ ส่วนเธอแค่แอบรักเขา เพราะเขาเคยช่วยชีวิตของเธอเอาไว้จากพวกอันธพาลและการจมน้ำ หลังจากนั้นเธอก็แอบปลื้มเขามาตลอด แต่เพราะรู้ดีว่าเขารักน้องสาวของเธอ เธอจึงแอบเก็บเขาเอาไว้ในหัวใจ ไม่เคยเปิดเผยให้ใครได้รับรู้ เพราะไม่อยากโดนหาว่าแย่งคู่หมั้นน้องสาวตัวเอง
แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เขากับเธอถูกวางยาในงานเลี้ยง แล้วมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน ทำให้เขาต้องรับผิดชอบแต่งงานกับเธอ ในวันนั้นญาตาวีเข้ามาเห็นเหตุการณ์เหมือนกับทุกคน เธอจึงขอเลิกกับรวิศ อีกทั้งไดอารี่สารภาพรักที่เธอแอบเขียนความรู้สึกที่มีต่อรวิศก็ถูกพบเข้าเพราะสาวใช้ในบ้านเข้าไปซอกแซกกับของใช้ส่วนตัวของเธอ ทำให้ทุกคนรู้ว่าเธอแอบชอบรวิศ พี่ชายข้างบ้านที่เป็นคู่หมั้นกับน้องสาวตัวเอง ดังนั้นทุกคนจึงสรุปว่าที่รวิศโดนวางยาเป็นฝีมือของเธอ และเพื่อให้แนบเนียนว่าตัวเองเป็นเหยื่อจึงวางยาตัวเองด้วย
เธอโดนกล่าวหาว่าที่ทำไปทั้งหมดเพราะแอบรักรวิศมานาน จึงอยากแย่งรวิศมาจากน้องสาวซึ่งเป็นทายาทตัวจริงของตระกูล แต่เธอเป็นแค่ลูกสาวบุญธรรมจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่บิดามารดาเก็บมาอุปการะเลี้ยงดูเอาไว้ ตามความเชื่อที่ว่าหากเอาเด็กมาเลี้ยง ลูกอิจฉาจะมาเกิด
เธอสัมผัสได้ถึงความรักของบิดามารดาบุญธรรมอยู่บ้าง แต่พอพวกเขามีลูกเป็นของตัวเอง ความรักทั้งหมดก็ถูกทุ่มเทไปให้ญาตาวีจนหมด เธอจึงเป็นเพียงเงาไร้ค่าในบ้านเท่านั้น
“คุณแม่ คุณแม่ครับ” ร่างของลูกชายตัวน้อยโถมเข้ามาหามารดาทั้งตัว ทำให้สองแม่ลูกล้มลงไปบนเตียง
“โอ๊ย! เด็กอะไรตัวหนักจัง” เธอจับแก้มยุ้ยๆ ของอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะตบแก้มเบาๆ ด้วยมือทั้งสองข้างด้วยท่าทีเอ็นดู
“หิวจังเลยครับ อยากกินอาหารฝีมือคุณแม่จัง” เด็กชายตัวน้อยอ้อนมารดา
“ได้สิครับ อยากกินอะไรให้บอกมาเลย แม่จะทำให้กินทุกอย่างเลย”
“อยากกินขนมปังหน้าหมูครับ”
“งั้นรอแม่ประเดี๋ยวเดียว รับรองว่าได้กินแน่นอนครับ”
ภัสรินลุกขึ้นจากเตียง พาลูกชายตัวน้อยไปห้องน้ำ เธออุ้มเจ้าตัวซนขึ้นเก้าอี้เล็กเพื่อแปรงฟัน ล้างหน้า และอาบน้ำให้สะอาด กลิ่นสบู่หอมอ่อน ๆ ลอยอบอวลอยู่ในห้องน้ำ เสียงหัวเราะใส ๆ ของลูกชายทำให้หัวใจที่เหนื่อยล้าของเธออบอุ่นขึ้นเล็กน้อย
“น้ำอุ่นไหมครับคนเก่ง” เธอถามพลางใช้ฝักบัวรินน้ำผ่านเรือนผมเด็กน้อย
“อุ่นครับ คุณแม่สระผมให้ด้วยนะครับ” เด็กชายยิ้มตาหยี หยดน้ำเกาะตามขนตา
หลังเช็ดตัวและแต่งชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นให้ลูกชายเรียบร้อย สองแม่ลูกก็จูงมือกันลงมายังชั้นล่าง กลิ่นแดดยามเช้าส่องลอดหน้าต่างห้องครัวเข้ามาเป็นลำ ทำให้บรรยากาศดูอบอุ่นอย่างประหลาด
ภัสรินเริ่มจัดเตรียมอาหารเช้า ขนมปังถูกทาด้วยหมูสับหมักปรุงรสแล้วนำไปทอดจนเหลืองกรอบ เสิร์ฟพร้อมนมอุ่น ๆ หอมละมุนสำหรับลูกชายตัวน้อยที่เธอรักมากที่สุด ส่วนเธอเตรียมข้าวต้มทรงเครื่องใส่หมูสับ เห็ดหอม และต้นหอมซอย กลิ่นน้ำซุปหวานอ่อน ๆ ลอยคลุ้งไปทั่วครัว
“ว้าว! น่ากินจังเลยครับคุณแม่” เด็กชายยิ้มกว้าง นั่งรออย่างตื่นเต้น
“กินให้อิ่มนะครับ จะได้มีแรง” เธอยื่นจานขนมปังหน้าหมูให้ ก่อนจะตักข้าวต้มใส่ถ้วยของตัวเอง
เสียงหัวเราะของลูกชายดังคลอไปกับเสียงช้อนกระทบจาน เป็นเช้าที่เธออยากเก็บไว้ในความทรงจำ แม้ว่าชีวิตครอบครัวของเธอจะไม่สมบูรณ์เหมือนดังหวัง แต่สำหรับเธอ แค่ได้เห็นลูกมีความสุขในทุกเช้า ก็เพียงพอแล้ว อดนึกไปถึงลูกสาวอีกคนเสียไม่ได้ ขานั้นติดพ่อเสียยิ่งกว่าอะไร อ้อนพ่อขอโน่นขอนี่ เมื่อก่อนเคยอ้อนเธอเหมือนกัน แต่หลังจากที่ญาตาวี น้องสาวของเธอกลับมาจากต่างประเทศ อีกฝ่ายก็หันไปอ้อนว่าที่แม่ใหม่ในทันที
ผ่านไปไม่นาน รวิศก็ก้าวเข้ามาในห้องโถง อุ้มอาริศาหรือหนูศา ลูกสาวตัวน้อยเอาไว้ในอ้อมแขน ด้านหลังมีญาตาวีเดินตามมาพร้อมกับจูงมือเด็กชายตัวเล็กที่มีใบหน้าซีดเซียว ธเนศลูกชายของหล่อนนั่นเอง
สายตาของภัสรินที่กำลังนั่งทานอาหารเช้าอยู่กับลูกชายหันไปมองในทันที พวกเขาเหมือนครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ พ่อแม่ลูกชายและลูกสาว ความเย็นชาของรวิศยังคงเหมือนเดิม สีหน้าที่เขามองเธอยังนิ่งเฉยและเรียบสนิทเหมือนเดิม
“ธเนศไม่สบาย ฉันเลยต้องช่วยวีดูแลลูก” เขาพูดเสียงเนิบนาบ แต่คล้ายเป็นการอธิบายกลาย ๆ
ภัสรินยิ้มบาง ๆ แต่แฝงด้วยความน้อยใจจนด้านชา ตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่ชัดถ้อยชัดคำ
“ไม่สบายก็พาไปหาหมอสิคะ เพิ่งรู้ว่าพี่เป็นหมอ”
บรรยากาศเงียบกริบขึ้นมาในทันที รวิศเองก็อึ้งไปเหมือนกัน ปกติแล้วภัสรินไม่เคยมีปากเสียงกับเขา หรือตอกหน้าเขาแบบนี้ ถ้าไม่พอใจเธอก็เลือกที่จะเงียบเสียมากกว่า นั่นทำให้ตลอดหลายปีมานี้เขาเริ่มใจอ่อน แม้ว่าในอดีตเธอจะมีแผนร้ายวางยาเขาก็ตามที
ญาตาวีเห็นท่าทีของรวิศ เธอจึงรีบขยับเข้าไปใกล้ พลางจับมือของภัสรินเอาไว้ด้วยทำทีเป็นอ่อนโยน เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
“พี่ริน อย่าโกรธเลยนะคะ พี่วิศก็แค่ห่วงลูก เลยรีบไปดูแล วีเองก็เกรงใจ แต่พี่วิศอยากให้เห็นกับตาว่าตาเนศไม่ได้เป็นอะไร ถึงจะสบายใจ เป็นความผิดของวีเองที่ไม่รู้จะโทร. หาใคร เลยโทร. หาพี่วิศน่ะค่ะ”
ญาตาวีแกล้งทำเสียงอ่อนเสียงหวาน มือที่จับเริ่มบีบแรงขึ้นโดยไม่ให้ใครสังเกต ภัสรินขมวดคิ้ว ริมฝีปากเม้มแน่น ก่อนจะสะบัดออกด้วยความเจ็บ ญาตาวีแกล้งเซถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก่อนจะล้มลงอย่างจงใจ
“โอ๊ย!” เสียงของหล่อนร้องขึ้นมาเหมือนเจ็บ
รวิศหันขวับมามอง สายตาวาวโรจน์
“นี่เธอทำร้ายคนอื่นอีกแล้วเหรอ”
“ฉันไม่ได้ทำ” เธอตอบสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ไม่หลบสายตา
“นี่เธอ! ทำไมถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้” รวิศง้างมือขึ้นทำท่าจะลงโทษ แต่ก็ต้องชะงักเพราะถึงจะโกรธขนาดไหน เขาก็ไม่เคยลงไม้ลงมือกับเธอเลยสักครั้ง
ภากรเข้ามาขวางบิดาเอาไว้ พร้อมทั้งอ้าแขนออกเพื่อปกป้องมารดา
“แต่งเพราะหนี้ อยู่ต่อเพราะหัวใจ” ภควัตแต่งงานตามใจมารดา หวังบีบให้ปิ่นมุกขอหย่า แต่ยิ่งเมินยิ่งเห็นว่าเธออยู่ได้อย่างมีความสุข และทำให้ “บ้าน” อบอุ่นขึ้น จนดึงดูดเขาอย่างประหลาด
เมื่อโชคชะตาบังคับให้เขาและเธอซึ่งเป็นคู่กัดต้องกลายเป็นคู่แต่งงานแบบสายฟ้าแลบ! ระหว่างอดีตที่เต็มไปด้วยการปะทะคารม กับปัจจุบันที่ต้องใช้ชีวิตร่วมชายคา... เรื่องวุ่น ๆ จึงเริ่มต้นขึ้น ตั้งแต่แปรงสีฟันยันหัวใจ เขา...ผู้ชายเจ้าเล่ห์ ขี้แกล้ง และขี้หวงอย่างหนัก เธอ...หญิงสาวปากแข็ง ขี้ประชด แต่แอบอ่อนโยนในทุกความใส่ใจ จากบ้านไม้ริมคลอง กลายเป็นสนามรักและสงครามขนาดย่อม ที่ไม่มีใครยอมใคร แต่หัวใจสองดวงกลับเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิด... เพราะบางที...โชคชะตาอาจไม่ได้บังคับ แต่มันอาจกำลังพาเขาและเธอ... กลับมายังที่ที่เรียกว่า "บ้าน" ด้วยกัน
“เขาคือเจ้าพ่อที่ใครต่างหวาดกลัว แต่กลับยอมสยบให้หญิงสาวที่ทั้งโลกเคยมองว่าไร้ค่า...” เมื่อเธอถูกตราหน้าว่าเป็นเพียงหมากในเกมหมั้นหมาย เขากลับเห็นแสงในตัวเธอ และเลือกจะปกป้องด้วยทั้งชีวิตและหัวใจ ท่ามกลางไฟแค้น อำนาจ และความลับของตระกูล หัวใจของคนสองคนค่อย ๆ สานพันธะรักที่ไม่มีใครลบล้างได้ “เธอคือของฉัน ต่อให้โลกทั้งใบต่อต้าน...ฉันก็จะไม่มีวันปล่อยเธอไป”
เมื่อข่าวฉาวบิดเบือนเปลี่ยนหญิงสาวให้กลายเป็นคนที่เขาเกลียด และเมื่อคำสัญญาเก่าของผู้ใหญ่ พาเธอกลับมาในฐานะ ‘คู่หมั้น’ ที่เขาไม่ต้องการ ลลิล สาวสวยผู้สง่างามและเข้มแข็ง ต้องเผชิญแรงกดดันจากคนในครอบครัว รวมถึง กวิน ชายหนุ่มผู้เย็นชา ผู้มองเธอด้วยสายตาดูแคลน…แต่ไม่อาจละสายตาได้เลย ในความเงียบงันระหว่างพวกเขา...กลับมี ‘หัวใจ’ ที่ค่อย ๆ เรียนรู้กันอย่างไม่รู้ตัว จากความเข้าใจผิด กลายเป็นความผูกพัน จากการดูแคลน กลายเป็นการปกป้อง และจาก ‘คู่หมั้นไร้เสน่หา’ กลายเป็น ‘ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารัก’
"เราเคยสัญญากัน...ใต้ดาวดวงนั้น ว่าจะไม่ทิ้งกันไปไหน แต่บางครั้ง...การจากลาไม่ได้เกิดจากคนที่อยากไป และเมื่อเราได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง คำสัญญานั้น...ยังจะมีความหมายอยู่ไหม"
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
เมื่อผู้หญิงที่เพื่อนๆ ตั้งสมญานามว่าแม่ชีอย่างเธอจับพลัดจับผลูต้องมาเจอกับผู้ชายหน้านิ่งที่เอะอะกอด เอะอะจูบอย่างเขา อา…แล้วพ่อคุณก็ดันเป็นโรคนอนไม่หลับ จะต้องนอนกอดเธอเท่านั้นด้วย แบบนี้เธอจะเอาตัวรอดได้ยังไงล่ะ “ชอบอาหารเหนือไหม” “ชอบมากเลยคุณ ให้กินทุกวันยังได้เลย” “มากพอจะอยู่ที่นี่ไหม” “แค่กๆๆ” …………… …………………………………………………………………………………………………………………………. “คุณ! เอากระบอกไฟฉายออกไปวางที่อื่นก่อนได้ไหม มันดันหลังฉัน ฉันนอนไม่หลับ” คนที่ใกล้จะหลับบอกเสียงอู้อี้ “เอ้อ! ไม่มีนี่” เขาบอกเสียงอึกอัก “มันจะไม่มีได้ไง ก็มันดันหลังฉันอยู่เนี่ย” เธอมั่นใจว่ามีแน่ๆ ก็หลักฐานมันทนโท่ขนาดนี้ “อืม! นอนเถอะ ไม่มีหรอก” “จะไม่มีได้ไง ก็นี่ไง” คุณเธอยืนยันด้วยการคว้าหมับเข้าให้ พร้อมหันกลับมา หวังงัดหลักฐานที่อยู่ในมือมาพิสูจน์ให้ได้เห็นกันจะๆ คาตา แต่… ตึก ตึก ตึก อา…! ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่คาตา แต่ยังคามือเธอด้วย เธออ้าปากตาค้างราวกับกำลังตกตะลึงสุดขีด ก่อนจะก้มมองไอ้ที่คิดว่าเป็นกระบอกไฟฉายในมือสลับกับเงยหน้ามองเขา จากนั้นก็… “กรี๊ด…!” เธอร้องลั่นพร้อมกับยื่นเท้าถีบออกไปสุดแรง ตุบ! คนไม่ทันตั้งตัวร่วงตุ้บลงไปบนพื้น ครั้นพอจะลุกขึ้น คุณเธอก็ตะโกนเสียงดังลั่นขึ้นมาอีก “หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะไอ้คนลามก คนเลว คุณมันทุเรศที่สุด คุณให้ฉันจับไอ้นั่นของคุณ มัน…อี๋…! เธอพูดพลางทำท่าขยะแขยง แล้วมาส่องกระบอกไฟฉายพ่อเลี้ยงพร้อมกันนะคะ
ทุกคนต่างรู้ดีว่าเจียงว่านหนิงรักเย่เชินมานานหลายปี เธอที่มักจะว่านอนสอนง่ายและน่ารักเสมอ ได้สักลายเพื่อเขาและยอมทนอยู่ใต้อำนาจผู้อื่น เมื่อเธอถูกทุกคนใส่ร้ายจนโดนตำหนิ เขากลับนิ่งเฉยและยังถึงขั้นให้เธอคุกเข่าให้แฟนเก่าของเขาอีกด้วย เธอที่รู้สึกอับอาย ในที่สุดก็หมดหวัง หลังจากยกเลิกการหมั้น เธอก็หันไปแต่งงานกับทายาทพันล้านทันที คืนนั้นเอง ใบทะเบียนสมรสของทั้งคู่ก็กลายเป็นข่าวฮิตบนโลกออนไลน์ เย่เชินที่เคยคิดว่าตัวเองเก่งกาจที่สุดก็เริ่มวิตกและพูดออกมาด้วยความโกรธว่า "อย่าเพ้อฝันไปเลย นายคิดว่าเธอรักนายจริงๆ งั้นเหรอ เธอแค่ต้องการใช้พลังอำนาจของตระกูลฟู่เพื่อแก้แค้นฉันเท่านั้นเอง" ฟู่จิงเซินจูบหญิงสาวในอ้อมกอดและตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจว่า "แล้วจะเป็นไรไปล่ะ ก็พอดีว่าฉันมีทั้งเงินและอำนาจนี่"
กลางวันอ่อนหวาน กลางคืนร้อนแรง นี่คือคำที่ลู่เยียนจือใช้เพื่อบรรยายถึงเธอ แต่หานเวยบอกว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ไม่ถึงครึ่งปี ลู่เยียนจือกลับไม่ลังเลที่จะขอหย่ากับสือเนี่ยน “แค่ปลอบใจเธอไปก่อน ครึ่งปีข้างหน้าเราค่อยแต่งงานใหม่” เขาคิดว่าสือเนี่ยนจะรออยู่ที่เดิมตลอด แต่เธอได้ตาสว่างแล้ว น้ำตาแห้งสนิท หัวใจสือเนี่ยนก็แตกสลายไปแล้วด้วย การหย่าปลอมๆ สุดท้ายกลายเป็นจริง ทำแท้งลูก เริ่มต้นชีวิตใหม่ สือเนี่ยนจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก แต่ลู่เยียนจือกลับเสียสติ ต่อมา ได้ยินว่าคุณชายลู่ผู้มีอิทธิพลนั้นก็อยู่นิ่งๆ ต่อไปไม่ได้ ขับรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ไล่ตามเธออย่างบ้าคลั่ง เพียงเพื่อขอให้เธอเหลือบมองเขาอีกครั้ง...
ชูจี้ถูกเก็บไปอุปการะตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งถือเป็นความฝันของเด็กกำพร้าทั่วไปอย่างชูจี้ แต่ชีวิตหลังจากนั้นมันไม่ได้มีความสุขดั่งที่ชูจี้คิดฝันไว้เลย เธอต้องอดทนถูกเย้ยหยันและการทำทารุณจากแม่บุญธรรมของเธอ แต่ก็ยังโชคดีที่เธอได้รับความเมตตาจากคนใช้สูงวัยคนหนึ่งในบ้านหลังนั้น ชึ่งเป็นคนคอยดูแลและเอาใส่เธอเหมือนแม่แท้ ๆ ของเธอ จนกระทั่งคนใช้จากไปด้วยอาการป่วย ชูจี้ก็ถูกบังคับให้แต่งกับผู้ชายที่ไม่เอาการเอางานแทนลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อแม่บุญธรรมของเธอเพื่อชดใช้ค่ารักษาพยาบาลของคนใช้ เรื่องราวจะเป็นเช่นเดียวกับซินเดอเรลล่าหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยนั้นไม่เหมือนเจ้าชายเลยสักนิดนอกจากรูปร่างหน้าตาของเขาที่สามารถเทียบเท่ากับเจ้าชายได้เท่านั้นเอง ลู่เหยี่ยนเป็นลูกชายนอกสมรสของครอบเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง เขาใช้ชีวิตไปวันๆ (พอลอดไปด้วยค่ะ)มาโดยตลอด ที่เขาตกลงแต่งกับชูจี้ก็เพราะอยากจะทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของแม่ของเขาสมหวังเท่านั้น แต่ในคืนวันแต่งงาน เขากลับพบว่าเจ้าสาวคนนี้มีพฤติกรรมที่ผิดกับที่เคยได้ยินได้ฟังมา โชคชะตาจะบันดาลให้พวกเขาเป็นอย่างไร และลู่เหยี่ยนจะเป็นดั่งที่เราคิดหรือไม่ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือลู่เหยี่ยนมีหลายอย่างที่คล้ายๆ กับมหาเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้อย่างพิลึก สุดท้ายแล้ว ลู่เหยี่ยนจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าชูจี้ คือเจ้าสาวจำเป็นที่ต้องได้แต่งงานแทนพี่สาวของเธอ การแต่งงานของพวกเขาจะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวสุดโรแมนติกหรือวิบากกรรมของชีวิต โปรด ติดตามและค้นหาชีวิตและเรื่องราวของทั้งสองคนด้วยกันเถอะ
“ก่อนทำเรื่องนี้พี่ขอถามน้องภาสักข้อได้ไหม” ธาวิศพูดแล้วก้าวเท้าเข้าไปหาคนบนเตียง “ได้ค่ะ” นิภาก้มหน้ายามตอบ ธาวิศทิ้งสะโพกลงนั่งด้านข้าง พร้อมกับดันปลายคางของหญิงสาวให้ขึ้นมองหน้าเขา “น้องภาเต็มใจใช่ไหม” แววตาของคนถูกถามสั่นระริกไปมา ปากจิ้มลิ้มก็ขยับขึ้นลงเหมือนคนคิดไม่ออกว่าควรตอบอย่างไร “น้องภาพี่ถามว่าเต็มใจใช่ไหม หรือว่าถูกคุณยายบังคับ” คราวนี้ธาวิศเน้นน้ำหนักเสียงมากขึ้นกว่าเดิม “ภาเต็มใจค่ะ” หญิงสาวตอบเขาแล้ว แต่เป็นคำตอบที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจในตัวเอง “ไม่ได้ถูกบังคับแน่นะ” “ค่ะ ภาไม่ได้ถูกบังคับ ภาเต็มใจค่ะพี่ภูมิ” ธาวิศกัดฟันกรอดในคำตอบที่เขาไม่ปรารถนาจะได้ยิน ออกแรงผลักหน้าอกนิภาจนล้มลงไปนอนอยู่บนเตียง ปลดกระดุมเสื้อนอนของตนเองออกทีละเม็ด โดยที่สายตาก็ยังจดจ้องอยู่กับคนตรงหน้า “ระหว่างเรามันจะไม่มีความผูกพันอะไรกันทั้งนั้น เราทำเรื่องนี้ก็เพื่อคุณยาย เสร็จจากนี้ไปพี่ก็จะกลับกรุงเทพฯ ไปใช้ชีวิตกับคนรักของพี่ตามเดิม ภายังรับได้อยู่ใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดจบก็ทิ้งเสื้อนอนลงบนพื้น คนบนเตียงก็ยังเม้มริมฝีปากตัวเองเอาไว้แน่น คำตอบไม่มาสักทีเขาเลยต้องเลิกคิ้วขึงตาใส่ “ค่ะภารับได้” คำพูดที่เปล่งออกมาช่างเบาหวิว คงไม่ต่างไปจากอารมณ์ของคนพูด “รับได้ก็ดี อย่ามาเรียกร้องอะไรทีหลังก็แล้วกัน ไม่งั้นพี่เอาตายแน่” ธาวิศทาบร่างตัวเองลงบนลำตัวของนิภา มองจุดหมายแรกที่จะเริ่มต้นทำรัก ประทับจูบลงบนริมฝีปากนุ่มนิ่มของหญิงสาว สัมผัสแรกของทั้งคู่ช่างตราตรึงในความรู้สึก จากที่จะจูบเพียงแผ่วเบากลายเป็นแทรกลึกดูดดื่มขึ้นตามอารมณ์ (รักซ้ำรอย)
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY