ความเลือดเย็นอำมหิตของเขายังไม่จบแค่นั้น
เขาปฏิเสธว่าไม่รู้จักฉันหลังจากที่การ์ดของเขากระทืบฉันจนสลบกลางห้างสรรพสินค้า
เขาขังฉันไว้ในห้องใต้ดินมืดๆ ทั้งที่รู้ดีว่าฉันเป็นโรคกลัวที่แคบอย่างรุนแรง ปล่อยให้ฉันเผชิญกับอาการแพนิกกำเริบเพียงลำพัง
แต่ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ทุกอย่างขาดสะบั้นคือตอนที่ถูกลักพาตัว
เมื่อคนร้ายบอกให้เขาเลือกว่าจะช่วยใครได้แค่คนเดียวระหว่างฉันกับอรอินทร์... เดชไม่ลังเลเลยแม้แต่วินาทีเดียว
เขาเลือกผู้หญิงคนนั้น
เขาทิ้งให้ฉันถูกมัดติดกับเก้าอี้เพื่อรอรับการทรมาน ขณะที่เขาพาดิลล้ำค่าของเขาไป
เมื่อฉันนอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาลเป็นครั้งที่สอง ในสภาพใจสลายและถูกทอดทิ้ง ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจโทรหาเบอร์ที่ไม่ได้โทรมาห้าปีแล้ว
“คุณป้าเอมอรคะ” ฉันพูดเสียงสะอื้น “เอวา... ขอไปอยู่ด้วยได้ไหมคะ”
คำตอบจากทนายความที่น่าเกรงขามที่สุดในกรุงเทพฯ ดังขึ้นทันที
“ได้สิจ๊ะหลานรัก เครื่องบินส่วนตัวของป้าพร้อมสแตนด์บายอยู่แล้ว แล้วก็นะเอวา... ไม่ว่าเรื่องอะไร เดี๋ยวเราจัดการเอง”
บทที่ 1
มุมมองของเอวา
เป็นครั้งที่สิบเจ็ดแล้วที่คุณทวี ทนายความของเดช เลื่อนเอกสารหย่ามาตรงหน้าฉันบนโต๊ะกินข้าว
ผิวไม้โอ๊คขัดมันเย็นเฉียบใต้แขนของฉัน ช่างแตกต่างจากความร้อนรุ่มของความอัปยศอดสูที่คุกรุ่นอยู่ในใจ
สิบเจ็ดครั้ง
นั่นคือจำนวนครั้งที่ฉันถูกขอให้ลบตัวเองออกจากชีวิตของเดชอย่างถูกกฎหมายตลอดหกเดือนที่ผ่านมา
ครั้งแรก ฉันกรีดร้องจนคอแทบพัง
ครั้งที่ห้า ฉันฉีกกระดาษทุกแผ่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างใจเย็น มือสั่นเทาด้วยความโกรธที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน มันทั้งแปลกหน้าและน่ากลัว
ครั้งที่สิบ ฉันเอาเศษจานที่แตกจ่อข้อมือตัวเอง แล้วพูดด้วยเสียงกระซิบที่เยียบเย็นไร้ชีวิตชีวา บอกทนายของเขาว่าถ้าอยากได้ลายเซ็น ก็ต้องง้างปากกาไปจากมือศพของฉันเท่านั้น
วันนั้นทนายของเขา คุณทวี ชายผู้มีดวงตาสีเทาไร้ชีวิตชีวาราวกับท้องฟ้าในฤดูหนาว ถึงกับหน้าซีดเผือดแล้วรีบถอยออกจากบ้านไป
แน่นอนว่าเขาโทรหาเดช
เดชรีบกลับบ้านทันที ใบหน้าของเขาฉาบด้วยความกังวล เขาเข้ามากอดฉันไว้หลายชั่วโมง กระซิบคำสัญญาข้างหูฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คำสัญญาที่ว่าทั้งหมดนี้เป็นแค่เรื่องชั่วคราว เป็นเพียงพิธีการเพื่อให้นักลงทุนพอใจ และฉันจะเป็นภรรยาของเขาเสมอ เป็นภรรยาเพียงคนเดียว
ฉันเชื่อเขา ฉันเชื่อเขาเสมอมา
แต่ตอนนี้ ขณะที่จ้องมองเอกสารฉบับเดิมเป็นครั้งที่สิบเจ็ด ความเหนื่อยล้าที่ว่างเปล่าและลึกซึ้งก็เข้าเกาะกุมไปถึงกระดูก ฉันเหนื่อยเหลือเกิน
เหนื่อยที่จะสู้ เหนื่อยที่จะกรีดร้อง เหนื่อยที่จะเชื่อ
“คุณเอวาครับ” คุณทวีพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่ฝึกฝนมาอย่างดีเพื่อปลอบประโลม “เราคุยกันเรื่องนี้แล้วนะครับ มันเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจ การหย่าชั่วคราวเพื่อเอาใจบอร์ดบริหารก่อนที่บริษัทจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงระหว่างคุณกับคุณเดชจริงๆ”
ฉันไม่ได้มองเขา
สายตาของฉันจับจ้องอยู่ที่โทรทัศน์บนผนังห้องนั่งเล่น ซึ่งมองเห็นได้จากด้านหลังของเขาพอดี
เสียงถูกปิดไว้ แต่ภาพนั้นชัดเจนแจ่มแจ้ง
เดช... เดชของฉัน... อยู่บนหน้าจอ รอยยิ้มของเขาสดใสเจิดจ้าเหมือนแสงแฟลชของกล้องที่ระเบิดอยู่รอบตัว
เขายืนอยู่บนเวที แขนข้างหนึ่งโอบรอบเอวของผู้หญิงอีกคนอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ
อรอินทร์
นักลงทุนสาวสวยผู้ปราดเปรื่องจากบริษัทที่นำการลงทุนในรอบล่าสุดของบริษัทเขา
ผู้หญิงที่สื่อขนานนามว่าเป็นอีกครึ่งหนึ่งของคู่รักทรงอิทธิพลคู่ใหม่แห่งวงการเทค
รอยยิ้มของเธอดูสง่างาม ท่าทางของเธอก็สมบูรณ์แบบ
เธอคู่ควรที่จะอยู่ตรงนั้น ใต้แสงไฟระยิบระยับ ข้างกายชายที่โลกกำลังเฉลิมฉลองในฐานะอัจฉริยะที่สร้างตัวเองขึ้นมา
“เขาจะกลับมาแต่งงานกับคุณทันทีที่บริษัทมั่นคง” คุณทวีพูดต่อ เสียงของเขากลายเป็นเสียงพึมพำที่น่ารำคาญจนแทบคลั่ง “นี่มันแค่... ธุรกิจ ครอบครัวของคุณอรอินทร์มีอิทธิพลมหาศาล การปรากฏตัวต่อสาธารณะของพวกเขาร่วมกันเป็นการรับประกันความสำเร็จของ IPO”
การรับประกัน
ส่วนฉันคือความเสี่ยง
ภรรยาลับๆ จากอดีตที่ยากจน เป็นของที่ระลึกจากชีวิตที่เขาอยากจะลืมให้หมดสิ้น
ฉันได้ยินประโยคเหล่านี้มานับครั้งไม่ถ้วนจนมันหมดความหมายไปแล้ว
มันเป็นเพียงแค่เสียง เป็นอากาศว่างเปล่าที่ถูกปั้นแต่งเป็นคำพูดซึ่งควรจะควบคุมฉันได้ ทำให้ฉันเงียบและยอมทำตามในเงามืดของชีวิตที่ฉันช่วยสร้างขึ้นมา
ฉันก้มมองเอกสาร
ชื่อของฉัน เอวา พิมพ์อยู่ข้างๆ เส้นว่าง
ชื่อของเขา เดช เดย์ ถูกเซ็นไว้แล้ว ลายเซ็นที่คุ้นเคยและทะเยอทะยานของเขาเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพในการทำงานของเขา
“ได้” ฉันได้ยินตัวเองพูด
คำพูดนั้นเบาและไร้อารมณ์เสียจนชั่วขณะหนึ่งฉันไม่แน่ใจว่าตัวเองได้พูดออกไปจริงๆ
คุณทวีถึงกับกะพริบตา หน้ากากแห่งความเป็นมืออาชีพของเขาสั่นคลอน
“อะไรนะครับ”
ฉันหยิบปากกาที่เขาวางเตรียมไว้อย่างดีขึ้นมา มันหนักอึ้งราวกับสลักมาจากหิน
“ฉันบอกว่า ได้ ฉันจะเซ็น”
แววตาตกตะลึงฉายวาบขึ้นบนใบหน้าของเขา ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความโล่งใจอย่างไม่ปิดบัง
เขาคงคาดหวังว่าจะต้องมีการต่อสู้อีกครั้ง มีการสร้างสถานการณ์อีกหน หรือมีการแสดงออกอย่างสิ้นหวังและน่าสมเพชจากภรรยาที่ไม่สะดวกใจคนนี้อีก
เขาคงมีเบอร์ของเดชเตรียมพร้อมไว้ในโทรศัพท์ เพื่อรายงานอาการคลุ้มคลั่งครั้งล่าสุด
แต่ในตัวฉันไม่มีอะไรเหลือให้คลุ้มคลั่งอีกแล้ว
ฉันเป็นเพียงเปลือกที่กลวงโบ๋
มือของฉันไม่สั่นเลยขณะที่เซ็นชื่อลงไป
หมึกไหลลื่นดุจสายน้ำสีดำที่ตัดขาดสายสัมพันธ์สิบปี
ตัวอักษรแต่ละตัวคือความตายเล็กๆ
เอ-ว-า
มันดูเหมือนชื่อของคนแปลกหน้า
ทันทีที่ปลายปากกายกขึ้นจากกระดาษ คุณทวีก็คว้าเอกสารไปราวกับกลัวว่าฉันจะเปลี่ยนใจ
เขาเก็บมันใส่กระเป๋าเอกสารหนังอย่างปลอดภัย เสียงตัวล็อกที่ดังขึ้นสะท้อนก้องในบ้านที่เงียบสงัดราวกับเสียงปืน
“คุณตัดสินใจได้ถูกต้องแล้วครับคุณเอวา เป็นการตัดสินใจที่ฉลาดมาก” เขาพูดพลางถอยหลังไปยังประตู งานของเขาจบลงแล้วอย่างน่าโล่งใจ “คุณเดชจะต้องพอใจมากแน่ๆ”
เขาปิดประตูตามหลัง ทิ้งให้ฉันอยู่คนเดียวในบ้านหลังใหญ่มโหฬารที่ไม่เคยให้ความรู้สึกเหมือนบ้านจริงๆ เลย
ชั่วครู่หนึ่งฉันไม่ขยับเขยื้อน
จากนั้น ราวกับว่ากระดูกของฉันละลายหายไป
ร่างของฉันทรุดลง หน้าผากพิงกับพื้นผิวที่เย็นชาและไร้ความปรานีของโต๊ะ
ฉันเป็นเหมือนสมอเรือที่ถูกตัดเชือกในที่สุด จมดิ่งลงสู่มหาสมุทรแห่งความสิ้นหวังอันเงียบงันที่ไร้ก้นบึ้ง
บนจอโทรทัศน์ การแสดงเงียบๆ ยังคงดำเนินต่อไป
นักข่าวกำลังสัมภาษณ์เดช
เขาสดใส มีเสน่ห์ เป็นผู้ชายที่ฉันเคยตกหลุมรัก
เขาโน้มตัวเข้าหาไมโครโฟน สายตาของเขามองหาอรอินทร์ในกลุ่มคน
คำบรรยายปรากฏขึ้นที่ด้านล่างของหน้าจอ
“ผมเป็นหนี้บุญคุณคนคนหนึ่ง” ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเดชพูดกับคนทั้งโลก “อรอินทร์ เธอไม่ใช่แค่นักลงทุนหลักของผม แต่เธอคือแรงบันดาลใจ คือคู่ชีวิต และคือผู้หญิงที่ผมรักที่สุดในชีวิต ผมอยากจะขอบคุณเธอที่เชื่อมั่นในตัวผม ในวันที่ไม่มีใครเลย”
คำพูดเหล่านั้นค้างอยู่บนหน้าจอ เป็นเหมือนคำจารึกบนหลุมศพดิจิทัลสำหรับตัวตนทั้งหมดของฉัน
เชื่อมั่นในตัวเขา ในวันที่ไม่มีใครเลย
เสียงหัวเราะที่ขมขื่นและไร้เสียงเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของฉัน
ฉันนึกถึงอพาร์ตเมนต์ห้องนอนเดียวแคบๆ ที่มักจะมีกลิ่นกาแฟเก่าๆ และมาม่าต้มยำกุ้ง
ฉันนึกถึงการทำงานสามจ๊อบ ทั้งพนักงานเสิร์ฟ แม่บ้านทำความสะอาดออฟฟิศ และบาร์เทนเดอร์ มือของฉันหยาบกร้านและร่างกายปวดร้าว เพียงเพื่อให้เขามีเงินจ่ายค่าเล่าเรียนปริญญาโทบริหารธุรกิจ
ฉันนึกถึงการขายสร้อยล็อกเก็ตรูปคุณย่า ของดูต่างหน้าชิ้นเดียวที่ฉันมีจากท่าน เพื่อจ่ายค่าเซิร์ฟเวอร์ตอนที่บริษัทสตาร์ทอัพของเขากำลังจะล้มละลาย
ฉันนึกถึงวันที่เราไปจดทะเบียนสมรสกันที่สำนักงานเขต มีแค่เราสองคน
เขาไม่มีเงินซื้อแหวนจริงๆ เลยให้แหวนเงินเกลี้ยงๆ ที่ซื้อจากแผงลอยมาแทน
“สักวันหนึ่งนะเอวา” เขากระซิบ ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยน้ำตาที่คลอหน่วยขณะที่เขาสวมมันลงบนนิ้วของฉัน “พี่จะซื้อเกาะให้เอวา พี่จะให้โลกทั้งใบกับเอวา นี่เป็นแค่การเริ่มต้น สำหรับเรา”
ตอนนี้ คำสัญญาว่าจะให้โลกทั้งใบของเขากำลังถูกมอบให้กับผู้หญิงอีกคน ผ่านการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ ให้ทุกคนได้เห็น
โลกของฉันเพิ่งจะจบสิ้นลง
นิ้วของฉันที่ชาและงุ่มง่าม คลำหาโทรศัพท์
ฉันเลื่อนดูรายชื่อติดต่อที่ไม่ได้ดูมาหลายปี ผ่านชื่อที่ให้ความรู้สึกเหมือนภูตผี
ฉันเจอชื่อที่กำลังมองหา
เอมอร ลินด์ซีย์
คุณป้าที่ห่างเหินของฉัน หุ้นส่วนอาวุโสที่น่าเกรงขามและเป็นที่นับถือในสำนักงานกฎหมายชั้นนำของกรุงเทพฯ
นิ้วโป้งของฉันค้างอยู่บนปุ่มโทรออก
เราไม่ได้คุยกันมาห้าปีแล้ว นับตั้งแต่การทะเลาะกันอย่างรุนแรงเรื่องเดช ผู้ชายที่คุณป้าเรียกว่าไอ้โรคจิตเจ้าเสน่ห์ตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอ
ฉันกดปุ่ม
เธอรับสายในกริ๊งที่สอง เสียงของเธอเฉียบคมและแม่นยำเหมือนที่ฉันจำได้
“เอวาเหรอ”
เสียงสะอื้น ซึ่งเป็นเสียงจริงๆ เสียงแรกที่ฉันเปล่งออกมาทั้งวัน หลุดออกจากอก
“คุณป้าเอมอรคะ” ฉันพูดเสียงเครือ “เอวา... ขอ... ขอไปอยู่ด้วยได้ไหมคะ”
ไม่มีการลังเล ไม่มีคำว่า ‘ป้าบอกแล้วใช่ไหม’
มีเพียงความอบอุ่นที่พลันแทรกผ่านม่านหมอกอันเยือกเย็นในเส้นเลือดของฉัน
“ได้สิจ๊ะหลานรัก ตอนนี้ป้ากำลังประชุมอยู่ แต่ใกล้จะเสร็จแล้ว เครื่องบินส่วนตัวของป้าพร้อมสแตนด์บายอยู่แล้ว เดี๋ยวป้าจะให้ไปรับในอีกสามชั่วโมง แค่เก็บกระเป๋า เก็บทุกอย่างที่อยากจะเก็บไว้นะ”
เสียงของเธอสงบและทรงอำนาจ เป็นเหมือนเชือกชูชีพในซากปรักหักพัง
“แล้วก็นะเอวา ไม่ว่าเรื่องอะไร เดี๋ยวเราจัดการเอง ป้ากำลังไป”
---