สัมผัสบนหัวไหล่จากมือใหญ่ทั้งสองข้าง และการขยับเข้ามายืนซ้อนแผ่นหลังของร่างสูงใหญ่ ธวัลยาแทบจะไม่ได้สนใจเลย เพราะมัวแต่ตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า รูปเหมือนตัวเธอราวกับส่องกระจก ในชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์ ข้างกันคือหนุ่มหล่อในชุดสูททักสิโด้โก้หรูยืนเคียงคู่งามสง่า ทั้งสองถูกคั่นกลางด้วยกรอบข้อความรูปหัวใจข้างในเขียนว่า 'Navinda Adirut..Love Never Dies' "ได้โปรดเถอะคนดี...ช่วยเชื่อผม และไว้ใจผมเหมือนเดิมได้ไหม...ไม่ต้องจำผม หรือจำเรื่องราวในอดีตของเราได้ก็ได้ แต่ช่วยเชื่อว่าเราเป็นของกันและกัน และให้โอกาสผมได้ดูแลคุณเหมือนที่ผ่านมา ผมสัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุด...ผมขอแค่นี้เท่านั้น" เขาขอแค่นี้... ทุกภพทุกชาติ
"ยาหยี..ยาหยี ตื่นได้แล้วคนดี เดี๋ยวไม่ทันเครื่องครับ"
เสียงนุ่มทุ้มฟังแผ่วหวิวราวกับลอยละล่องมาจากที่ไกลแสนไกล ไม่ได้มีผลใดๆ กับร่างแบบบางบนเตียงใหญ่ที่กำลังนอนหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอเลยแม้แต่น้อย ยันผลให้ผู้เฝ้ามองส่ายหน้าไปมาช้าๆ หากรอยยิ้มละมุนยังติดตรึงอยู่บนเรียวปากหยักสวยไม่จางหาย...
สายตาคมกริบที่กำลังทอดมองคนนอนหลับหรือก็อ่อนโยนระคนเอ็นดูไม่เปลี่ยนแปลง
"เด็กขี้เซา"
"อืม"
เสียงอืออาผ่านริมฝีปากสีชมพูอ่อนจางออกมาให้รอยยิ้มบนริมฝีปากหยักลึกได้รูปแยกแย้มมากขึ้นอีกเล็กน้อย...
ใบหน้าคมสันก้มต่ำ จงใจเป่าลมอุ่นๆ จากปากรินรดใบหน้ากระจ่างใส หวังปฏิกิริยาตอบสนองจากคนนอนหลับตาพริ้ม
"เบบี๋ สายแล้วครับ ไม่มีเวลาแล้ว"
"อือ...อีกนิดแด๊ด"
เจ้าของเสียงเรียกได้ส่ายหน้าทั้งยิ้มอีกครั้ง มองจ้องร่างระหงที่ขยับพลิกตัวหนีการรบกวนด้วยแววตาอ่อนโยนยิ่งยวดไม่ต่างจากเดิม เหมือนเมื่อครั้งที่เคยได้เฝ้ามองมาหลายปีดีดัก
"ผมอดิรุต ไม่ใช่แด๊ด...ผมมาหาแทบจะทุกวัน เมื่อไหร่จะจำผมได้เสียที"
"อดิรุต?"
เสียงงึมงึมผ่านริมฝีปากสีหวานออกมา แม้จะฟังเลื่อนลอยเพราะยังตกอยู่ในนิทรารมย์ แต่ก็ทำให้เจ้าของชื่อพอใจไม่น้อย
"ใช่ อดิรุต"
"อ๋อ..คุณจอมป่วนนั่นเอง"
คำตอบที่ได้รับ ไม่ได้ทำให้รอยยิ้มจางหายไปเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าใบหน้าคมสันจะส่ายไปมาก็ตาม
"ผมรอคุณอยู่นะ"
"รอ?"
"ใช่..รอ นานเหลือเกิน...แต่ในที่สุด มันก็สิ้นสุดลงแล้ว...อีกไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น"
"หมายความว่ายังไง"
"ถ้าอยากรู้ก็รีบตื่นขึ้นมา"
"ตื่นเหรอ"
ตอนนี้เธอก็ตื่นอยู่ไม่ใช่เหรอ ไม่อย่างนั้นเธอจะคุยกับเขาได้ยังไง
พึลึกคน
"ไม่ต้องมาว่าผมเลย"
พอประโยคดังกล่าวลอยล่องเข้ามากระทบโสตประสาทหู อาการค้อนขวับทั้งปากอ้าตาโตก็เหมือนจะออกมาโดยอัตโนมัติ และมันก็ถูกส่งไปให้เจ้าของรอยยิ้มสว่างไสว ที่กำลังทำหน้าเป็นให้เห็นแบบปัจจุบันทันด่วน ก่อนเจ้าตัวจะฉุกใจนึกขึ้นได้
"ทำไมคุณรู้ล่ะ"
เธอแค่นึกอยู่ในใจนะ
"ผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคุณนั่นแหละ...รู้มากกว่าที่คุณคิดซะอีก"
"รู้ทุกอย่างเหรอ"
"รู้ใจด้วย"
เป็นอีกครั้งที่คำพูดดังกล่าวทำให้คู่สนทนาของชายหนุ่มตาโต และท่าทางนั้นก็นำความเอ็นดูมาสู่หัวใจของอดิรุตสุดกำลัง
"แต่ตอนนี้ต้องรีบลุกขึ้นมาอาบน้ำก่อน"
ชายหนุ่มบอกราวกับรู้ว่าหญิงสาวจะถามอะไร ซึ่งก็เล่นเอาคนเตรียมตั้งท่าอ้าปากจะถาม ปากอ้าค้างอยู่ในท่านั้น
"อยากรู้อะไรเดี๋ยวค่อยถามตอนถึงบ้านแล้ว"
"ถึงบ้าน?"
"บ้านของเรา...ผมจะรอคุณอยู่ที่นั่น...ที่บ้านของเรา"
ผมจะรอคุณอยู่ที่นั่น
เสียงสะท้อนก้องอยู่ในหัวนั้นราวดั่งคลื่นพลังมหาศาลฉุดหญิงสาวลุกขึ้นมาจากที่นอน ให้ลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อพบกับ 'ความว่างเปล่า' รอบตัว
"ฝันอีกแล้วเหรอเนี่ย"
"เบบี๋"
เสียงเรียกลอดผ่านบานประตูเข้ามาให้ได้ยิน แม้จะคุ้นเคยและคุ้นชินเป็นอย่างดี แต่ก็ทำให้คนถูกเรียกสะดุ้งโดยไม่รู้ตัว เนื่องเพราะความฝันที่เพิ่งประสบพบพานมาหมาดๆ และมันก็ทำให้อดเหลียวมองไปรอบๆ ห้องไม่ได้จนแล้วจนรอด
"คุณเป็นใครกันแน่ คุณอดิรุต"
คำถามเดิมๆ หลังออกมาจากห้วงความฝัน ธวัลยาเฝ้าถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งที่ไม่เคยได้คำตอบให้กับตัวเอง
"เบบี๋...แด๊ดเข้าไปนะ"
เสียงของบิดาดึงธวัลยาออกมาจากภวังค์ความคิด และกลับมาอยู่กับความจริงตรงหน้าอีกครั้ง
"แด๊ด"
"เพิ่งตื่นเหรอ"
คนเป็นพ่อเอ่ยถาม จมูกโด่งตามสัญชาติจรดแนบหน้าผากนูนเนียน
"มอร์นิ่งคนสวย"
"มอร์นิ่งค่ะ...กี่โมงแล้วคะ"
"จะเจ็ดโมงแล้ว...แม่รอทานข่าวอยู่ เดี๋ยวจะได้เดินทางกัน"
"อิจฉาน่ะ"
แผนการเดินทางไปเปิดโรงแรมแห่งใหม่ในบาหลีที่เพิ่งสร้างเสร็จ และถือโอกาสฮันนีมูนไปในตัว ทำให้มีคำพูดสัพยอกจากลูกสาวคนสวยออกมา
"ไม่ต้องมาพูดเลย ถ้าอิจฉาจริงก็คงไม่เลือกเดินทางไปเมืองไทย แทนที่จะไปกับแด๊ดกับแม่หรอก"
คนเป็นพ่อสัพยอกลูกสาวกลับ และด้วยความที่เป็นบุตรสาวคนเดียว และเคยตามใจกันมาตั้งแต่เด็ก พอลูกสาวแจ้งความประสงค์ ขออาสาไปจัดการธุระแทนมารดา หลังมีหนังสือแจ้งเรื่องทรัพย์มรดกที่ญาติยกให้กับมารดามาจากเมืองไทย คนเป็นพ่อแม่ก็เลยตามใจอีกตามเคย
"เดี๋ยวญ่าตามไปไงคะ แด๊ดอย่าเพิ่งพาแม่กลับก่อนก็แล้วกัน"
เพราะโรงแรมในเครือที่บิดาบริหารงานอยู่ กระจายอยู่ในหลายเมืองทั่วโลก จึงทำให้มีการเดินทางอยู่ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่เคยรู้สึกว่าขาดความรักความอบอุ่นแต่อย่างใด เพราะไม่ว่าบิดามารดาจะอยู่ส่วนไหนของโลก การติดต่อสื่อสารหากันยังคงมีสม่ำเสมอ
และอีกคนที่อยู่ในความฝันมานานปี
'ผมจะรอคุณอยู่ที่นั่น...ที่บ้านของเรา'
พอคิดถึง เสียงก้องสะท้อนในความฝันก็กลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง และอาการส่ายหัวก็ออกมาโดยไม่รู้ตัว พอกันกับคิ้วเรียวสวยที่ขมวดมุ่นให้บิดาเกิดความสงสัย
"เป็นอะไรหรือเปล่าเบบี๋"
"เป็นอะไร...อ๋อ เปล่าค่ะ พอดีคิดอะไรนิดหน่อย"
ลูกสาวกลบเกลื่อนด้วยการเข้าโอบกอดบิดาเอาไว้หลวมๆ เพราะเรื่องของความฝันและคนในฝัน ยังคงเป็นความลับกับผู้ให้กำเนิดทั้งสอง
ชารีดา พิมพร อิสมาอีล อาห์เม็ด อุมัร : เพื่อคุณชายวังกุหลาบขาว เธอยอมทำทุกอย่าง หม่อมราชวงศ์เตชิษฏ์ ปารเมศ : เพื่อให้ได้เธอมา มารยา เล่ห์เหลี่ยมใดในโลกหล้า เขาก็พร้อมขุดมาใช้ ---------------------- “อย่าทำแบบนี้เลยนะคะ” ชารีดาขอร้องเสียงอ่อน เมื่อเขายอมเงยหน้าขึ้นมาสบตา แล้วก็เป็นฝ่ายรั้งเขาลงมาหาเสียเอง โอบกอดเขาเอาไว้ แนบริมฝีปากกับปากหยักสวยของเขา บดเบียดเงอะงะ ขบเม้มสเปะสปะลงบนริมฝีปากบนและล่างอย่างที่เขาเคยสอนอย่างไม่ประสีประสา หากเพียงเท่านั้นก็ทำให้คนเศร้าเสียใจส่งเสียงครางฮือในลำคอได้ไม่ยากเลย โดยเฉพาะเมื่อริมฝีปากอิ่มเผยอออกต้อนรับปลายลิ้นอุ่นนุ่มที่แทรกผ่านเข้าไปในโพรงปากชุ่มชื้น ดูดซับเอาลมหายใจและความฉ่ำหวานเอาไว้เต็มๆ ปลุกอารมณ์หลากหลายในตัวให้ปั่นป่วนพลุ่งพล่านจนไม่อาจยับยั้ง กลิ่นฮอร์โมนเพศชาย กลิ่นกุหลาบขาวหอมกรุ่นจากร่างนุ่มนิ่มของคนใต้ร่าง กลิ่นความรักและความโหยหา กลิ่นตัณหาและความมึนเมาเย้ายวนอยู่รอบตัวสองหนุ่มสาว จนไม่คิดว่าจะมีอะไรมาหยุดยั้งไว้ได้แล้วในตอนนี้.... ชารีดาโน้มใบหน้าคมสันลงแนบชิดยิ่งขึ้น หลังปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายรุกมากว่าห้านาที.... ประสบการณ์สดๆ ร้อนที่เขาเพิ่งสอนไป ถูกนำมาใช้อย่างกระตือรือร้นเมื่อได้สัมผัสและรู้จักกับรสชาติของการจูบอย่างถึงแก่น...เรียวปากอิ่มประกบติดปากได้รูปสวยของเขาอย่างไม่อาจห้ามใจเอาไว้ได้ ละเลียดชิม เลาะเลม ดูดเม้มริมฝีปากบนและล่างของเขาอย่างกระตือรือร้นปนตื่นเต้น ก่อนจะส่งลิ้นนุ่มออกมาเลียไล้แผ่วหวิวจนคนได้รับการเยียวยาครางกระหึ่มด้วยความถูกใจ พอทนไม่ไหว ก็ส่งลิ้นอุ่นนุ่มออกมาเกี่ยวกระหวัด สำรวจกันและกันอย่างไม่มีใครยอมใคร.... สัมผัสความหวานล้ำ ดื่มด่ำ หลงวนอยู่กับความฉ่ำชื้นแสนหวานปานน้ำผึ้งนานตราบเท่าที่ต้องการ จนกระทั่งร่างเล็กสั่นระริกอ่อนระทวย นอนซบร่างแกร่งหนาอย่างคนหมดแรงเมื่อเขาพลิกตัวลงรองรับ โอบกอดเอาไว้แน่นหนาราวกับกลัวว่าเธอจะหนีจาก
สำหรับทิพย์วารีแล้ว เจ้าชายทาริซ วัฟซาลัม อิสมาอีล อาห์เม็ด อุมัร เปรียบดั่งแผ่นฟ้ากว้างใหญ่ สูงไกลสุดเอื้อมถึง แต่เธอจะทำเช่นไร เมื่อฟ้าที่คิดว่าสูงสุดเอื้อม อยากหลอมรวมดวงใจให้แผ่นฟ้าจรดผืนน้ำ...ตลอดไป ------------------ “คนเราถ้าลองได้รักใครสักคน เวลามันไม่สำคัญไปกว่าเรารู้ว่าใจของเราคิดและรู้สึกอย่างไรหรอก...รักก็คือรัก แค่ได้มองสบตา เราก็รู้แล้วว่าใช่ และเราก็ไม่ควรถามหาเหตุผลกับความรักด้วย เพราะเมื่อไหร่ที่เราถามหานั่นหมายความว่าใจของเราเริ่มไม่มั่นคง และเราก็จะไม่มีทางได้คำตอบจากมัน เพราะเราจะคอยหาเหตุผลนั่นนี่มาเข้าข้างตัวเองจนลืมฟังเสียงของหัวใจ...สำหรับเราสองคน ถึงเราเพิ่งรู้จักกัน แต่ผมก็อยากให้น้ำเชื่อใจผม ว่าผมจะไม่เปลี่ยนใจไปจากน้ำแน่ เพราะผมถูกสอนมาตลอดชีวิตว่าเมื่อไหร่ที่ผมเอ่ยคำพูดใดออกไป นั่นหมายความว่ามันจะต้องเป็นไปตามนั้น เพราะฉะนั้นถ้าผมไม่มั่นใจผมจะไม่พูดเด็ดขาด....ผมบอกว่าจะรอ จะให้โอกาสน้ำก็จริง แต่ผมก็จะไม่อยู่เฉย ถ้าหากว่ามีคนอื่นเข้ามาในชีวิตของน้ำ แล้วเวลาไม่กี่วันที่น้ำว่า ผมก็ได้แสดงตัวตนที่แท้จริง และเปิดเผยทุกอย่างกับน้ำจนหมดเปลือก....ถึงตอนนี้ ก็อยู่ที่น้ำแล้ว ว่าจะกล้าวางชีวิตและหัวใจให้ผมดูแลหรือเปล่า” “...ช่วยกอดหน่อยสิคะ” “หือ?”
ชารีฟ อิสมาอีล อาห์เม็ด อุมัร กิวาซ ถูกภรรยาขอหย่าเพราะไม่สามารถมีลูกได้ แต่เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่งกลับทำให้เขารู้สึกสะกิดใจเข้าอย่างจัง เขาก็เลยต้องหาทางพิสูจน์... ไม่ใช่กับใครที่ไหน แม่ของหนูน้อยแชรีที่หน้าตาถอดแบบมาจากเขาราวกับแกะนั่นแหละ! -------------- “คุณว่ามันเป็นเรื่องน่าอายไหม ที่ผู้ชายคนหนึ่งรู้ว่าตัวเองเป็นหมัน” “เป็นหมัน!” เสียงแหบแห้งเพราะโดนพิษไข้เล่นงานอุทานออกมาเสียงดังเท่าที่จะดังได้ หญิงสาวยันตัวลุกขึ้นนั่งจ้องหน้าเขาหน้าตื่น เขาแข็งแรง แข็งแกร่ง สมบูรณ์ไปหมดทุกสัดส่วน และเขาก็เป็นผู้ชายที่มีใบหน้าหล่อเหลาและรูปร่างสวยงามมาก แต่พระเจ้า! เขาบอกว่าเขาเป็นหมัน หมายความว่าจะไม่ใครสามารถสืบต่อกรรมพันธุ์แสนเพอร์เฟกต์นี้ได้อีกต่อไปแม้กระทั่งลูกของเธอ ที่เธออุตส่าห์หมายหมั้นปั้นมือ และเลือกเฟ้นมาแล้วเป็นอย่างดีว่าจะต้องเป็นเขา “อย่ามองผมแบบนี้ แล้วก็ไม่ต้องสงสารผมด้วย” ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจในยามจ้องมองทำให้ชายหนุ่มต้องเอาตัวหญิงสาวลงนอนพิงอกกว้างอีกครั้ง “ทำไมคะ” “ที่ผมเป็นหมันน่ะเหรอ” “ค่ะ” “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะผมเคยประสบอุบัติเหตุก็เป็นได้” “คุณพูดเหมือนไม่มั่นใจ” หญิงสาวท้วง “แล้วใครเป็นคนบอกคุณคะ” “ผมถูกภรรยาขอหย่าเพราะว่าไม่สามารถมีลูกได้ และหมอก็ยืนยันแบบนั้น” “คุณแต่งงานแล้ว” “เคยแต่ง แต่ตอนนี้เราหย่ากันแล้ว” ชารีฟบอกไม่เดือดร้อน “เพราะว่าคุณไม่สามารถมีลูกได้แค่นั้นเองเหรอคะ” ชาลินีเหมือนจะลืมเรื่องของตัวเองไปชั่วคราว เมื่อรู้เรื่องของเขา เขาถามว่าน่าอายไหม สำหรับเธอมันไม่ใช่เรื่องน่าอายเลย แต่น่าสงสารมากกว่า ผู้ชายที่เพียบพร้อมเพอร์เฟกต์ขนาดนี้ถูกภรรยาขอหย่าเพียงเพราะว่าไม่สามารถมีลูกได้ แล้วแบบนี้จะเรียกว่าความรักและการร่วมชีวิตได้อย่างไร "เพราะแบบนี้ผมถึงบอกว่าคุณสบายใจได้ คุณไม่มีทางท้องแน่นอน” เขาย้ำถึงความเป็นจริง โดยไม่เห็นว่าหญิงสาวหน้าซีดเพียงใดเมื่อได้ยินคำยืนยันจากปากของเขา ไม่มีอะไรให้สงสัยอีกต่อไป... เธอเสียตัวฟรีแน่แล้ว!!
"หนูดีเกลียดพี่ธิษณ์" "ไม่จริงหรอก พี่รู้ว่าในโลกใบนี้จะหาใครที่รักพี่ได้เท่าหนูดีไม่ดีอีกแล้ว" คนรู้ใจบอกอย่างรู้แจ้งเห็นจริงให้คนได้ครอบครองหัวใจพูดอะไรไม่ออก "นาทีนี้พี่ตามใจหนูดีทุกอย่างนั่นแหละ หนูดีจะว่าพี่รักพี่หลงไม่ลืมหูลืมตา หรือจะมองว่าพี่ไม่มีเหตุผล เป็นคนเห็นแก่ตัว หรือว่าเอาแต่ใจยังไงก็ได้ แต่พี่ไม่อยากอยู่คนเดียวอีกแล้ว พอกันทีกับความทรมานที่ผ่านมา" พิมดาวพูดอะไรไม่ออกอีกครั้งเมื่อคู่หมั้นจัดเต็มและจริงจังกับการเปิดเปลือยความรู้สึกมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา จากที่โกรธที่ไม่พอใจก็กลายเป็นว่าต้องเก็บคำพูดของเขามาคิด แล้วเธอล่ะ ต้องการอะไร
สัญญาในวัยเด็กนำเขาและเธอกลับมาเจอกันอีกครั้ง "นี่ยายฟันกระต่าย หัดเป็นคนคิดมากตั้งแต่เมื่อไหร่หือ...ทีแต่ก่อนขี่คอผมชมสวนทุกวัน ไม่เห็นจะคิดมากเลย" เขาจงใจเท้าความหลังให้อีกฝ่ายเกิดปฏิกิริยา "...ก็ตอนนั้นยังเด็กไง" "อ้อ! ตอนนี้โตแล้ว มีตัวเลือกเยอะ ก็เลยจะถีบหัวส่งเพื่อนวัยเด็กอย่างผม" คีรินทร์จงใจใช้คำพูดยั่วยุเต็มที่ ขณะที่หัวใจก็รู้สึกสดชื่นกระชุ่มกระชวยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ชีวิตของเขาจากนี้คงจะหายเหงาไปเยอะเลยล่ะ หากได้ปะทะคารมกับยายฟันกระต่ายทุกวัน ซุปเปอร์สตาร์คนดังคิดอย่างครึ้มใจ
"ลิลลี่เป็นผู้หญิงนะคะ แล้วก็เป็นสาวแล้ว จะให้เที่ยวมานอนบ้านผู้ชายได้ยังไง" โรมต้องยิ้มบ้าง ไม่ได้เอะใจเลยว่าฝ่ายนั้นกำลังกระตุ้นเตือนตนกลายๆ ว่าให้เขามองเธอเป็นผู้ใหญ่เสียที "พี่ก็ไม่ได้ว่ายังไม่เป็นสาว" ก็เพราะว่าเธอโตเป็นสาวสวยแล้วนี่แหละ จากความเอ็นดูในหัวใจมันถึงได้กลับกลายเปลี่ยนแปลงเป็นความทรมานแทน ที่ได้แต่แอบรัก และเฝ้ามองดอกลิลลี่แสนสวยเติบโตขึ้นทุกวันๆ หลังจากเลี้ยงต้อยเธอด้วยสายตามานานปี
คนอื่นเขาข้ามมิติมาเป็นนางร้ายแล้วได้กับพระเอก ทว่าหวางเสี่ยวเหยาเข้าร่างนางร้ายแล้ววิ่งตามตัวประกอบชายแสนจืดจาง เพื่อตามเขามาปลูกผักซะงั้น…
นางเจ็บปวดปางตายเมื่อเขาโยนร่างบอบช้ำทิ้งไว้หลังจวนโดยไม่แยแส เมิ่งลี่เฟยน้ำตาไหลพรากทว่ากลับไม่ทำให้คนที่เพิ่งเหยียบย่ำร่างกายเล็กเห็นใจแต่ประการใด"เฝ้านางเอาไว้ให้ดีอย่าให้ออกมาทำเรื่องชั่วอีก"
เซิ่งหนานหยินเกิดใหม่แล้ว ชาติที่แล้ว เธอถูกชายชั่วหักหลัง ถูกชายเสแสร้งใส่ร้าย โดนครอบครัวสามีเล่นงาน จนทำให้เธอล้มละลายและเป็นบ้าไป ในท้ายที่สุด เธอเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ 9 เดือน แต่คนร้ายกลับทำเงินได้มากมาย และใช้ชีวิตทั้งครอบครัวอย่างมีความสุข เกิดใหม่ครั้งนี้ เซิ่งหนานหยินคิดตกอล้ว อะไรที่ว่าพระคุณช่วยชีวิต คนรักในใจอะไรกัน ล้วนไม่ต้องไปสน เธอจะจัดการชายชั่วหญิงร้าย สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลเก่าของตนเองขึ้นมาใหม่อีกครั้งและนำตระกูลเซิ่งไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ คนที่หยิ่งมาตลอดในชาติที่แล้ว กลับเป็นฝ่ายริเริ่มมาหาเธอ "เซิ่งหนานหยิน การแต่งงานครั้งแรกผมไม่ทัน การแต่งงานครั้งที่สองก็ต้องถึงคิวผมแล้วสินะ"
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
ในช่วงสามปีที่หลูเฉียนหนิงอยู่ข้างๆ เขา โจวเป่ยจิ้งคิดอยู่เสมอว่าเธอเป็นเพียงผู้ช่วยพิเศษ เธอต้องการเงินเพื่อรักษาอาการป่วยของแม่ และจะไม่มีวันจากตนเองไป ครั้งแล้วครั้งเล่า ให้เงินแลกกับความต้องการอย่างชัดเจน ในที่สุด เมื่อเขาเกือบจะหลงใหลนั้น หลูเฉียนหนิงก็ไม่อดทนอีกต่อไป "มีคนรักในใจแล้ว ยังนอนกับฉันทุกวัน คุณชั่วชัดๆ" เมื่อข้อตกลงการหย่าถูกโยนต่อหน้าต่อตา โจวเป่ยจิ้งก็ตระหนักว่าภรรยาลึกลับที่เขาแต่งงานเมื่อหกปีที่แล้วกลับคือเธอ? จากนั้นเป็นต้นมา เขาก็ขึ้นชื่อเป็นชายเจ้าชู้อละตามจีบภรรยาทั้งยังเอาเปรียบเธอ! เขาอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนด้วยทัศนคติที่เผด็จการและเอาใจเธออย่างเต็มที่ เมื่อทุกคนรังเกียจที่เธอมีภูมิหลังที่ต่ำต้อย เขาก็มอบทรัพย์สินและหุ้นของตระกูลทั้งหมดอย่างตรงๆ และเข้าไปอยู่บ้านของตระกูลหลู จู่ๆ เธอก็กลายเป็นประธานหลู ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินนับไม่ถ้วน และทุกคนอิจฉา แต่โจวเป่ยจิ้งกลับตกลงไปในวังวนที่ใหญ่กว่านั้น...
เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่เคยสนใจ แต่ก็ยังดึงดันอยากจะอยู่ใกล้ ต่อให้เธอเป็นเมียแต่งเขาก็คงไม่มีวันเปลี่ยนใจ เพราะเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจจากไปในคืนแต่งงาน "จากนี้ไปเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก" 🥀