“คุณหนู ยินดีด้วยเจ้าค่ะ ข้า ข้าดีใจจนพูดอะไรไม่ออกเลยเจ้าค่ะ” หญิงชรากล่าวขึ้นด้วยท่าทีดีอกดีใจจนไม่อาจเก็บอาการของตนไว้ได้
“ข้าก็ดีใจ ถ้าท่านพี่รู้ต้องดีใจมากแน่ๆ พวกเรารอลูกคนนี้มาสองปีเต็มในที่สุด ในที่สุดเขาก็มา” หญิงสาวใบหน้าเปี่ยมสุขนั่งอิงแอบบนเตียงเอ่ยออกมา ด้วยเสียงอันสั่นเครือนัยน์ตาเคลือบไปด้วยน้ำใสๆ ที่ไม่อาจกลั้นเก็บ มือบางลูบไล้ไปที่หน้าท้องแบนราบอย่างเบามือ รู้สึกถึงเด็กน้อยในครรภ์ที่นางต้องโอบอุ้มต่อจากนี้ เพียงนึกถึงนางก็มีความสุขมากล้นเสียเหลือเกิน
“จิวเอ๋อร์ พ่อจะได้เป็นท่านตาแล้วจริงรึ พ่อได้รู้เป็นคนแรกหรือนี่ ดีนักที่เจ้ามาเยี่ยมบ้านในวันนี้ แถมยังมาพร้อมกับข่าวดีเช่นนี้อีก ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าจะได้เป็นท่านตาแล้ว แม่นมสั่งคนให้ไปตุ๋นน้ำแกงมาให้จิวเอ๋อร์เร็ว” หญิงสาวจ้องมองบิดาของตนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อเห็นถึงความดีอกดีใจจนออกนอกหน้าของบิดาของตน เป็นภาพที่สร้างความสุขให้นางอย่างเหนือคณานับ
“ท่านพ่อ อีกไม่นานท่านก็จะมีหลานตัวน้อยๆ มาเรียกท่านพ่อว่าท่านตาแล้วนะเจ้าคะ” ผู้เป็นบุตรสาวเอ่ยกระเซ้าบิดาของตนด้วยรอยยิ้ม
ภาพเหล่านี้นับเป็นภาพแห่งความสุขที่ครอบครัวนี้รอมานกว่าสองปีเต็ม หลังจากลู่จิ้นจิวแต่งงานไปกับสามีเมื่อสองปีก่อน หลังจากผ่าฟันอุปสรรคที่บิดาไม่ยอมรับจนสามารถครองคู่กันมานานนับสองปี นี่นับเป็นครั้งแรกที่บิดาของนางยิ้มกว้างได้มากมายขนาดนี้
ว่าด้วยสามีของนางเดิมทีเป็นเพียงบัณฑิตยากจน เตรียมสอบรับราชการแต่มีหน้าตาจัดว่าหล่อเหลา ทั้งสองพบรักกันระหว่างที่ลู่จิ้นจิวไปขอพรไหว้พระในวันเกิดครบสิบเจ็ดปีของนาง การได้พบกับเขาเหมือนรักแรกพบที่ลู่จิ้นจิวไม่เคยพานพบนับตั้งแต่เกิดมา แต่ด้วยนางเป็นบุตรสาวคนเดียวที่พร้อมด้วยรูปสมบัติอันสมบูรณ์ ทั้งหน้าตาที่จัดว่างามไม่แพ้ใคร มารยาทเรียบร้อยอ่อนหวาน อีกทั้งยังฉลาดเฉลียว ชอบศึกษาใฝ่หาความรู้ใส่ตัว บิดาเป็นขุนนางขั้นหกที่ถือว่าอยู่ในขั้นล่างค่อนไปขั้นกลางของระดับขุนนางที่มีทั้งหมดเก้าขั้น แต่ด้วยพื้นที่ที่นางอยู่เป็นชนบทขุนนางขั้นหกก็ถือว่าเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของพื้นที่นี้แล้ว
บิดาของนางเมื่อทราบเรื่องก็ขัดขวางความรักของคนทั้งคู่ แต่ด้วยการพิสูจน์ตนเองของเขาจึงทำให้หนึ่งปีต่อมา บิดาของนางจึงยินยอมให้พวกเขาตบแต่งกันให้ทั้งคู่ได้สมปรารถนา จนกระทั้งสองปีให้หลังเขาก็สามารถสอบเข้ารับราชการได้เป็นขุนนางขั้นเจ็ด แถมตอนนี้ยังมีข่าวดีเช่นเรื่องนี้ขึ้นมาอีกจะไม่ให้บิดาของนางปีติยินดีได้อย่างไร
กลางดึกสงัดไร้ซึ่งเสียงพูดคุยมีเพียงเสียงหมู่แมลงกลางคืนเท่านั้นที่กำลังขับขานเสียงเพลงกล่อมให้ผู้คนหลับใหล การดึกเช่นนี้ควรเป็นเวลาพักกายของทุกผู้คน ใครไหนเลยจะคิดว่านี่จะเป็นคืนสุดท้ายของคนตระกูลลู่ ใครไหนเลยจะคิดว่าเพียงข้ามคืนตระกูลลู่ ตระกูลขุนนางชั้นผู้ใหญ่จะสิ้นชื่อลงในกองเพลิง ไม่มีผู้ใดเหลือรอดแม้แต่คนเดียวรวมไปถึงบุตรสาวที่แต่งออกไปแล้ว ที่เวลานี้กลับมาเยี่ยมบ้านก็มีอันต้องสิ้นชีพลงในครานี้เช่นกัน
“ที่นี่ที่ไหน? มีใครอยู่บ้าง? นี่เกิดอะไรขึ้น? ท่านพ่อ! แม่นม! มีใครอยู่บ้าง?” หมอกขาวลอยคลุ้งไปทั่วทำให้ลู่จิ้นจิว ไม่สามารถมองเห็นภาพเบื้องหน้าไปไกลกว่าระยะก้าวเดินของนางได้เลย
ลู่จิ้นจิวค่อยๆ เดินช้าๆ ไปเบื้องหน้าอย่างระมัดระวัง แม้นางจะตะโกนไปมากเท่าใดก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาเลย ภาพเบื้องหน้าล้วนขาวโพลนอากาศในที่แห่งนี้ก็หนาวเหน็บจนนางต้องกระชับอ้อมแขนของตนไว้แนบอกเพื่อคลายความเย็นที่เข้าปะทะกาย “ถึงเวลาแล้ว” เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางหมอกหนาเพียงเสียงนั้นดังขึ้นมา หมอกสีขาวโพลนเหล่านั้นก็ค่อยๆ จางหายไปเหมือนไม่เคยมีหมอกเหล่านั้นเกิดขึ้นมาก่อน
เสียงนั้นเป็นของบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งใบหน้าจัดว่าหล่อเหลา ท่าทีสุขุมเสื้อผ้าอาภรณ์ดูเรียบง่ายแต่ทรงภูมิในมือยังมีตำราไม้ไผ่มัดหนึ่งถืออยู่ด้วย ลู่จิ้นจิวจ้องมองบุรุษวัยกลางคนผู้นั้นอย่างสงสัยว่าคนผู้นี้เป็นใครกัน แล้วที่แห่งนี้เหตุไฉนจึงไม่มีใครเลยจะมองไปทางใดก็ไม่คุ้นตา แถมบุรุษเบื้องหน้าเหตุใดถึงจ้องมองนางไม่ละสายตาเช่นนี้ ช่างน่าแปลกคนพิลึก
“ท่านเป็นใคร แล้วที่นี่ที่ใด ท่านพอทราบหรือไม่” ลู่จิ้นจิวเอ่ยถามขึ้นด้วยความข้องใจแม้จะไม่รู้จักแต่จะให้ถามผู้อื่นอีกก็ไม่มี ได้แต่เอ่ยถามบุรุษตรงหน้านี้เท่านั้น เผื่อบางทีเขาอาจจะทราบบ้างว่าที่แห่งนี้คือที่ใดกัน
“ข้าคือ เทพชะตา ที่นี่คือดินแดนระหว่างโลกมนุษย์และภพภูมิเบื้องหน้าอีกนับพันนับหมื่นภพภูมิ ลู่จิ้นจิว บัดนี้เจ้าได้สิ้นอายุไขแล้ว ต่อไปเจ้าจะต้องไปในภพภูมิที่สมควร จงไปกับข้า” ผู้ที่อ้างตนเองว่าเป็นเทพชะตากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่มีวี่แววว่าคำพูดของเขาเป็นเพียงเรื่องตลกใดๆ
“ข้าสิ้นอายุไขแล้วเช่นนั้นรึ ไม่จริงเป็นไปไม่ได้ เมื่อครู่ข้ายังดีๆ อยู่เลย ข้าพึ่งรู้ว่าข้ากำลังจะมีลูก ท่านล้อข้าเล่นเช่นนี้ไม่ได้ ข้าจะตายได้อย่างไร เมื่อครู่นี้ข้ายังอยู่ที่จวนตระกูลลู่อยู่เลย ข้าจะตายได้อย่างไร ข้าไม่เชื่อ ท่านอย่าหลอกลวงข้า ไม่! ไม่! ไม่จริง!” ลู่จิ้นจิวก้าวถอยหลังอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่นางพึ่งได้ยิน มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน นางจะตายลงทั้งๆ แบบนี้ได้อย่างไร นางจะตายด้วยสาเหตุใดกัน นางยังหาเหตุผลการตายของตนเองไม่พบเสียด้วยซ้ำไป
“ชะตาของเจ้าช่างน่าสงสารนัก เพื่อให้ไปอย่างหมดห่วงข้าจะพาเจ้าไปดูว่าเจ้าตายเพราะเหตุใด” เมื่อเปิดตำราออกมาดูเทพชะตาผู้นี้กลับส่ายหน้าไปมา ด้วยความรู้สึกเห็นใจในชีวิตของนาง ใบหน้าหล่อเหลาแสดงความเห็นอกเห็นใจจนนางรับรู้ได้เช่นกัน
เมื่อสิ้นเสียงของเทพชะตาทั้งคู่ก็หายไปจากที่แห่งนั้นทันที ปรากฏตัวอีกทีที่หน้าจวนตระกูลลู่ที่ตอนนี้กำลังตกอยู่ในกองเพลิง เปลวเพลิงสีแดงฉานลุกลามไปทั่วราวกับไม่มีวันดับสิ้น ผู้คนต่างมามุงดูเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนี้อย่างแตกตื่น แต่ด้วยเปลวเพลิงที่โหมกระพืออย่างรุนแรง จึงไม่มีใครสามารถเข้าไปช่วยคนในจวนได้แม้แต่คนเดียวจวนตระกูลลู่ทั้งตระกูลไม่มีใครหลงเหลือ แม้แต่จวนตระกูลลู่บัดนี้ก็เหลือเพียงกองซากขนาดมหึมาเท่านั้น ที่ยังคงหลงเหลือไว้ให้คนได้นึกถึงว่าในพื้นที่นี้เคยมีตระกูลลู่ดำรงอยู่
“น่าสงสารนัก ได้ยินว่าไม่มีใครเหลือรอดเลย แม้แต่คุณหนูลู่ที่กลับมาเยี่ยมบ้านก็ตายในกองเพลิง ช่างน่าเวทนานัก” เสียงชาวบ้านพูดคุยกันไปมาพลางทอดถอนใจให้นึกสงสาร ลู่จิ้นจิวทราบในตอนนี้เองว่าเรื่องทั้งหมดที่เทพชะตาผู้นี้กล่าวมาล้วนเป็นความจริง คนทั้งตระกูลรวมถึงท่านพ่อของนางก็ล้วนตกตายในกองเพลิงแล้วทั้งสิ้น
ลู่จิ้นจิวร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้นพร้อมทั้งทรุดตัวลงกองกับพื้นอย่างน่าเวทนา บิดาของนาง ตระกูลลู่ของนาง ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลย แม้แต่นางเองตอนนี้ก็ตกตายลงพร้อมกับลูกน้อยนางจะทำอย่างไรดี เป็นเช่นนี้แล้วสามีของนางเหล่าเขาจะเป็นเช่นไร
“ถึงเวลาแล้ว ตอนนี้เจ้าควรไปยังภพภูมิต่อไปได้แล้ว” เทพชะตาเอ่ยขึ้น “ท่านเทพข้าขอร้อง ข้าตกตายไปเช่นนี้สามีของข้าจะอยู่เช่นไร ข้าขอร้องท่านพาข้าไปหาสามีของข้าเป็นครั้งสุดท้ายได้หรือไม่ ข้าขอร้องท่านให้ข้าได้เห็นหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเถิด ท่านเทพ ข้าขอร้อง” ลู่จิ้นจิวร่ำไห้ปานจะขาดใจก้มลงโขกศีรษะไม่หยุด เพื่อให้นางได้ไปลาสามีของนางเป็นครั้งสุดท้าย
“ถ้าข้าให้เจ้าไปพบกับสามีของเจ้ารับรองได้เลยว่าจะเจ้าจะต้องเสียใจ เจ้าจะไม่อาจละทิ้งห่วงต่างๆ แล้วจากไปได้ ที่ข้ากล่าวมาเจ้าจะยินดีรับความเจ็บปวดที่กำลังจะเกิดได้เช่นนั้นรึ” ท่านชะตาเพ่งมองลู่จิ้นจิวอย่างแน่วแน่เพราะเขาทราบดีว่าชะตาของนางที่ต้องจบชีวิตลงเพราะเหตุใด
ลู่จิ้นจิวไม่ได้คิดสงสัยในคำของเทพชะตาแม้แต่น้อย นึกเพียงว่าเทพชะตากล่าวออกมาเช่นนี้หมายถึง ถ้านางเห็นสามีอันเป็นที่รักอีกครั้งนางจะไม่อาจตัดใจจากสามีของนางไปได้เพราะความรักที่นางมีให้ต่อสามีนั้นมากมายนัก
“ข้าจะไม่เสียใจ ท่านเทพข้าขอร้องเจ้าค่ะ ให้โอกาสข้าสักครั้งเถิดนะเจ้าคะ” เทพชะตาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อทนเห็นสายตาเว้าวอนของนางไม่ไหว
“ก็ได้”สิ้นเสียงทั้งสองปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่ห้องๆ หนึ่งภายในจวนหลังหนึ่ง ห้องนี้คือห้องนอนของลู่จิ้นจิวและสามีของนาง หลังจากที่สามีของนางได้ตำแหน่งขุนนางขั้นเจ็ดเขาเองก็ได้ย้ายเข้ามาจวนหลังนี้พร้อมกับนาง จวนหลังนี้นับเป็นสมบัติชิ้นแรกที่เขาสร้างมาด้วยความมุมานะของเขาเอง นับเป็นความภาคภูมิที่นางมีต่อสามี
“ท่านพี่ มีคนมารายงานแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ” เสียงสตรีนางหนึ่งดังเล็ดลอดออกมาจากห้องนอน ลู่จิ้นจิวขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยว่าเหตุไฉนจึงมีเสียงสตรีดังออกมาจากห้องนอนของนางในยามดึกเช่นนี้ นางค่อยๆ เดินเข้าไปอย่างช้าๆ ด้วยกลัวว่าสิ่งที่นางกำลังคิดอยู่จะเป็นจริงขึ้นมา
“ใช่ ทุกอย่างเรียบร้อยดีไม่มีใครสงสัยว่าเป็นฝีมือข้าอย่างแน่นอน ใครกันจะคิดว่าผู้ที่เป็นลูกเขยอย่างข้า จะเป็นคนลงมือเผาจวนพ่อตาจนไม่เหลือชิ้นดี ฮ่าฮ่าฮ่า” เสียงนี้นางจำได้ดีว่าคือเสียงสามีของนางอย่างแน่นอน และสิ่งที่เขาพึ่งกล่าวออกมาทำให้นางต้องหยุดชะงักฝีเท้าลง น้ำตาที่แห้งเหือดไปเมื่อครู่กับมาไหลเอ่ออีกครั้งด้วยความเสียใจอย่างถึงที่สุด
“ใครจะคิดว่าท่านจะลงมือกับภรรยาสุดที่รักได้ลงคอ อีกอย่างใครจะคิดว่าของขวัญที่ท่านให้ภรรยานำกลับไปจะกลายเป็นสิ่งที่ใช้สังหารคนในจวนไม่มีเหลือก่อนที่จะถูกวางเพลิงเสียด้วยซ้ำ” ลู่จิ้นจิวพลันนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้สามีของนางได้ให้นางนำของขวัญจำพวกไม้มงคลกลับไปให้บิดาของนางที่จวน อย่าบอกนะว่าต้นไม้มงคลพวกนั้นมีพิษ ‘ไม่จริง!ทำไมกัน? ทำไมท่านต้องสังหารท่านพ่อของข้า คนในตระกูลของข้า รวมถึงข้าท่านก็ลงมือสังหารได้ลงคอ มันเพราะเหตุใดกัน?’
ลู่จิ้นจิวเดินเข้าไปในห้องนอนของตนเองและสามีภาพที่นางเห็นทำให้นางแทบไม่เชื่อสายตา ตอนนี้สามีของนางกำลังตระกองกอดอยู่กับสตรีนางหนึ่งในสภาพเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ปิดบังกาย ทั้งกำลังนอนทอดกายอยู่บนเตียงของนาง เตียงที่นางกับสามีเคยใช้ร่วมกัน ความเจ็บปวดที่พึ่งทราบว่าการตายของตนเองและบิดาเป็นฝีมือของสามียังไม่เท่าความเจ็บปวดต่อภาพเบื้องหน้า ความเจ็บปวดที่สามีนอกใจโดยที่นางไม่เคยระแคะระคายมาก่อน ตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมานางไม่เคยเลยสักครั้งที่จะระแวงในตัวสามีของนาง นางเชื่อมั่นเสมอว่าความรักที่มีต่อกันไม่อาจมีสิ่งใดมาสั่นคลอนได้แต่นี่มันอะไรกัน แล้วภาพนี้มันอะไรกัน
“ถ้าไม่ใช่เพราะฐานะของบิดานางมีรึข้าจะสนใจ ในเมื่อตอนนี้ข้าได้เป็นขุนนางขั้นเจ็ดแล้วไยต้องเก็บนางและบิดาไว้อีก อีกอย่างตอนนี้ข้ามีเจ้าแล้วข้าจะไม่ยอมให้เจ้าอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ให้เสียเกียรติบุตรสาวท่านเจ้าเมืองเด็ดขาด หลังจากนี้อีกหนึ่งเดือนข้าจะตบแต่งเจ้าเข้าจวนให้ถูกต้องอย่างแน่นอนอย่าห่วงไปเลย” สิ่งที่ลู่จิ้นจิวพึ่งได้ยินจากปากสามีอันเป็นที่รัก ทำให้นางแทบสิ้นสติทุกอย่างตลอดสามปีที่ผ่านล้วนเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งสิ้น ความรักที่นางเฝ้ารักเฝ้าทะนุถนอมมาตลอดล้วนเป็นแผนการที่เขาวางเอาไว้ ไม่เคยมีเลยความรักที่นางเฝ้าฝันมาตลอด เขาไม่เคยมี
“หลวนชุน เจ้ามันต่ำช้าสารเลวนัก! หลอกลวงข้ายังไม่พอ ยังสังหารบิดาของข้าและคนตระกูลลู่จนไม่มีผู้ใดเหลือรอด เจ้า! นางหญิงเพศยารู้ว่าเขามีภรรยาอยู่แล้วยังมานอนทอดกายให้เขาเชยชม ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก! หญิงโฉดชายชั่วช่างเป็นคู่สร้างคู่สมกันเสียจริง!” ลู่จิ้นจิวเอ่ยขึ้นด้วยความเคียดแค้นชิงชังแต่ถึงกระนั้นดวงหน้าของนางก็ยังคงเต็มไปด้วยความหมองเศร้าน้ำตายังคงไหลอาบแก้มไม่มีวี่แววว่าจะหยุดลง แววตาแดงก่ำเกิดจากแรงโทสะที่โหมกระพือขึ้นจากหัวใจอันเจ็บปวด
ลู่จิ้นจิวเดินออกมาจากห้องนอนที่คนทั้งสองกำลังอิงแอบแนบชิดกันจนแทบจะหาสิ่งใดมาแทรกกลางไม่ได้ ความเจ็บปวดความเคียดแค้นเหนือคณา นางไม่รู้เลยว่าตอนนี้นางจะทำเช่นไร ในเมื่อตอนนี้นางได้ตายลงไปแล้วถึงมีความแค้นมากมายเพียงใดนางจะจัดการความแค้นนี้ได้อย่างไรกัน
“ท่านเทพ ท่านบอกข้าทีเถิด ข้าทำสิ่งใดผิดหรือถึงได้ต้องมีชะตาชีวิตเช่นนี้ เหตุใดชายโฉดหญิงชั่วทั้งสองยังคงมีชีวิตที่สุขสบายแต่ข้าต้องมาจบชีวิตลงเช่นนี้ เพราะเหตุใดกันท่านเทพช่วยตอบข้าทีเถิด” ลู่จิ้นจิวกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงและแววตาแห่งการตัดพ้อต่อว่าโชคชะตาของตนเอง ตลอดการมีชีวิตนางไม่เคยคิดร้ายต่อใคร ไม่เคยทำร้ายผู้ใดให้ต้องเจ็บปวด เพราะเหตุใดกันนางถึงต้องมาเจ็บปวดเช่นนี้
“ชะตาของลู่จิ้นจิวต้องจบลงไม่ว่าอย่างไรนั้นคือชะตา จะให้ข้าเมตตาสงสารเพียงใดข้าก็ไม่อาจแก้ไขชะตาของลู่จิ้นจิวได้ เทพชะตามีหน้าที่ดูแลชะตาของผู้คนแต่ไม่อาจเปลี่ยนอายุไข การที่ข้าให้เจ้ามารับรู้เรื่องที่ไม่ควรมันก็เกินขอบเขตของลู่จิ้นจิวที่สามารถรับรู้ได้แล้ว” เทพชะตาตอบตามความจริงเขาเองสามารถแก้ชะตาของผู้คนได้ แต่ไม่อาจแก้อายุไขของใครตามใจชอบ
“ข้าจะต้องตายเช่นนี้หรือ ท่านเทพท่านก็เห็นว่าข้ามีชะตาชีวิตเช่นไร ท่านช่วยให้ข้ามีชีวิตต่อไปด้วยเถิด ท่านเทพไม่สงสารข้าหรือ ข้าถูกสามีหักหลัง ทั้งคบชู้ ฆ่าล้างตระกูลข้า แถมยังสังหารข้ากับบุตรในครรภ์ได้ลงคอ ท่านเทพข้าขอร้องช่วยข้าด้วยเถิด ไม่ว่าต้องแลกด้วยสิ่งใดข้าก็ยอม เพียงให้ข้ามีชีวิตต่อไปด้วยเถิด” ลู่จิ้นจิวโขกศีรษะกับพื้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่ได้มีความรู้สึกเช่นเดิมอีกต่อไป ความรักที่เคยมีแปรเปลี่ยนเป็นความแค้นที่ไม่อาจลืมเลือนไปเสียแล้ว
“จริงคือลวง ลวงคือจริง ถ้าเจ้าคิดว่าข้าศึกมีทางเลือกเพียงสองทาง จงแน่ใจได้ว่าเขาจะเลือกทางที่สาม สุภาษิตนี้เจ้าเคยได้ยินหรือไม่” ลู่จิ้นจิวเพ่งมองเทพชะตาอย่างสงสัยว่าเขาต้องการกล่าวสิ่งใดกันแน่ “ข้าเคยได้ยิน ท่านเทพท่านหมายความว่าเช่นไรกัน”
“ทางแรกเจ้าต้องไปยังภพภูมิต่อไปตามชะตาของลู่จิ้นจิว ทางที่สองคือการที่ข้าปล่อยให้เจ้าอยู่ที่นี่ต่อไปซึ่งทางนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อสองทางแรกมีทั้งทำไม่ได้และไม่ยอมทำดังนั้นข้าจึงมีทางที่สามให้เจ้าเลือก” ลู่จิ้นจิวจ้องมองเทพชะตาอีกครั้งอย่างต้องการคำตอบที่ชัดเจน
“ในอดีตข้ามีคู่หมั้นอยู่ แต่ด้วยนางนึกสนุกอยากลองไปเกิดเป็นมนุษย์โลกสักสิบห้าปี แต่ดันเกิดข้อผิดพลาดบางประการจึงทำให้นางต้องอยู่โลกมนุษย์ถึงหกสิบปี ชะตาของลู่จิ้นจิวนั้นหมดอายุไขไปแล้วไม่อาจกลับคืนมาได้ ในเมื่อเจ้าอยากที่จะกลับไปมีชีวิตต่อข้าจะให้เจ้าไปใช้ชีวิตแทนคู่หมั้นของข้าแต่ชีวิตของนางมีเรื่องให้ต้องปวดหัวอยู่บ้าง เจ้าจะยินดีหรือไม่” เทพชะตากล่าวออกมาราวกับนี้ไม่ใช่เรื่องที่เขาพึ่งคิดขึ้นมาเมื่อครู่นี้
“ข้ายินดี ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดข้าก็ยินดีทั้งนั้น” ลู่จิ้นจิวรีบตอบรับทันทีราวกับกลัวว่าเทพชะตาจะเปลี่ยนใจ
“ดี แต่ข้าขอเตือนไว้ข้อหนึ่งชีวิตที่เจ้ากำลังจะไปถือครองและดำรงอยู่อีกหลายสิบปีต่อจากนี้ไม่ใช่ชีวิตของลู่จิ้นจิวอีกต่อไป จงใช้ชีวิตในฐานะคนใหม่ เริ่มต้นชีวิตใหม่ มีชีวิตที่มีความสุข ชีวิตใหม่นี้มีอายุไขถึงหกสิบปี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเจ้าก็จะไม่มีวันตายก่อนอายุหกสิบปี ชะตาชีวิตต่อจากนี้ไปข้าจะไม่ขีดเส้นให้ มีเพียงตัวเจ้าเองที่จะลิขิตมัน” ลู่จิ้นจิวพยักหน้ารับอย่างเข้าใจในสิ่งที่เทพชะตาต้องการจะสื่อออกมาเป็นอย่างดี