แม็กซิมัส ซาเมนดอฟ จำใจแต่งงานกับผู้หญิงแพศยาที่เผลอมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วยเพียงแค่ครั้งเดียว เขาเกลียดหล่อนมาก เกลียดผู้หญิงที่ยอมเอาตัวเข้าแลก เพื่อจับผู้ชายอย่างหล่อนเข้าไส้ เขาจึงกระทำกับหล่อนอย่างหยาบคาย ป่าเถื่อน ปฏิบัติกับหล่อนเยี่ยงโสเภณี พร้อมพาคนรักเก่ามาเหยียบหน้าถึงที่ครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ในเมื่อหล่อนอยากได้เขานัก หล่อนก็จะได้ แต่ได้แค่ทะเบียนสมรสนะ เพราะความรักเขาให้หญิงอื่นไปหมดแล้ว ปั้นหยา แอบรักแม็กซิมัส... แอบรัก แอบมองมานานแสนนาน และยินดีที่ได้เห็นเขามีความสุขกับญาติผู้น้องของตนเองอย่างจริงใจ แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลก หล่อนไม่รู้ว่าตนเองหล่นตุ๊บลงบนเตียงของเขาได้ยังไง และไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เกิดความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างกันขึ้น หล่อนพร่ำบอกกับเขาว่าไม่รู้เรื่อง แต่เขาไม่เคยเชื่อเลย แถมยังยัดเยียดข้อกล่าวหาร้ายแรงใส่มือมาอย่างไร้เมตตา "เราหย่ากันเถอะค่ะ" หล่อนบอกทั้งน้ำตา หลังจากเพิ่งถูกแม็กซิมัสข่มขืนอย่างป่าเถื่อนไปสองครั้งติด "ยอมแพ้แล้วหรือคนเก่ง" เขาถามเสียงหยันเยาะ พร้อมหยิบธนบัตรสีเทาจำนวนห้าใบปาใส่หน้าหล่อน เหมือนที่เคยกระทำทุกครั้งหลังจากเสร็จกิจกับกายสาวที่เขาเฝ้าบอกว่าเกลียดแสนเกลียด ปั้นหยานิ่งเงียบ น้ำตาตกใน หัวใจเจ็บจนชาชิน กัดฟันพาร่างกายที่บอบช้ำจากการถูกชำเราจากผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีลุกขึ้นนั่ง ทุกอณูเนื้อกรีดร้องเจ็บปวดแสนสาหัส "ตอบสิ เงียบทำไม" "ฉันต้องการหย่า" หล่อนย้ำความต้องการของตัวเองออกไปอีกครั้งด้วยเสียงเบาหวิวปานเสียงของลมหายใจ "ได้สิ อยากหย่าเมื่อไหร่บอกมาเลย" น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความลิงโลดยินดี เมื่อกำลังจะได้รับอิสรภาพที่ถวิลหา จนคนฟังเช่นหล่อนปวดหนึบไปทั้งดวงใจ "เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ค่ะ" เขาปรายตามองหล่อนอย่างชิงชังขยะแขยงไม่คิดปิดบัง "แต่ถ้าเธอกำลังฝันหวานถึงสินสมรสละก็... เลิกฝันซะ เพราะฉันจะไม่ให้แม้แต่เหรียญเดียว" หล่อนไม่ได้ตอบเขา กัดฟันเดินหนีเข้าห้องน้ำทั้งน้ำตา พร้อมกับเก็บเรื่องลูกในท้องเอาไว้เป็นความลับ และคนใจร้ายอย่างเขาจะไม่มีวันรู้ตลอดกาล
ร่างสูงเกือบหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรของ แม็กซิมัส ซาเมนดอฟ ก้าวเข้ามาภายในไนต์คลับหรูใจกลางเมืองหลวง เพื่อมาตามนัดของเหล่าเพื่อนสนิทอีกสามคนที่นานๆ จะมีโอกาสได้เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาเสียที
พวกเขาทั้งสี่คนแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตนเองหลังจากเรียนจบจาก Princeton University ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยในกลุ่ม IVY LEAGUE ของประเทศสหรัฐอเมริกา
“เฮ้...”
แม็กซิมัสยกมือขึ้นโบกทักทายกลุ่มเพื่อน เมื่อเห็นพวกเขาทั้งสามคนในระยะไม่ไกลนัก สองเท้ารีบก้าวเดินเข้าไปหา
“โทษทีนะที่มาสาย พอดีเพิ่งไปส่งอันนาที่บ้านน่ะ”
แม็กซิมัสอธิบายเหตุผลที่ตนเองมาช้ากว่าเวลานัดกับเพื่อนของตนเองด้วยความไม่สบายใจนัก
“เฮ้ย ไม่ต้องขอโทษหรอก พวกฉันก็เพิ่งมาถึงไม่นานเหมือนกัน”
เคลวิน แม็คคลาเรน เจ้าของไร่ชาใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของเมืองไทยเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม ขณะใช้สายตาคมเข้มสีน้ำตาลของตนเองมองเพื่อนสนิทที่ไม่ค่อยได้เจอกันนักอย่างสำรวจตรวจตรา ก่อนจะพบว่าหนึ่งในสี่จตุรเทพแห่งปริ้นซ์ตันหล่อเหลาขึ้นมาก และกาลเวลาไม่อาจจะทำร้ายได้เลย
ดวงตาของแม็กซิมัสที่อยู่ใต้คิ้วหนาดกเป็นสีเขียวจัด จมูกโด่งเป็นสันอย่างผู้ดี ริมฝีปากบางเฉียบหยักสวยน่ามอง แต่หากยามที่แม็กซิมัสไม่มีรอยยิ้ม ใบหน้าของเขาจะดูกระด้างไม่ต่างจากก้อนหินดีๆ นี่เอง ส่วนผิวกายและผิวหน้าออกสีแทนน้ำผึ้ง รูปร่างใหญ่โตล่ำสัน บ่ากว้างมาก เส้นผมถูกตัดแต่งตามสมัยนิยมด้วยความประณีต โดยรวมแล้วแม็กซิมัสไม่ต่างจากเทพบุตรเลยแม้แต่น้อย
“ขอบใจ”
แม็กซิมัสกล่าวขอบคุณเพื่อน ก่อนจะหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ และเอ่ยถามถึงเพื่อนอีกคนที่ยังไม่ปรากฏตัว
“แล้วนี่ไอ้อเล็กยังมาไม่ถึงหรือ”
อเล็กซิส โอคอนเนอร์ อีกหนึ่งหนุ่มในกลุ่มจตุรเทพแห่งปริ้นซ์ตัน เขาคือทายาทแสนล้านของโรงแรมระดับเจ็ดดาวที่มีสาขาอยู่ทั่วโลก
อเล็กซิสมีดวงตาสีฟ้ากระจ่าง รอยยิ้มของเขากระชากใจสาวน้อยใหญ่จนทำให้มีผู้หญิงมากมายเข้ามาในชีวิต แต่ชายหนุ่มก็เหมือนของต้องห้ามจากอิสตรี เพราะเขาไม่เคยปรารถนาจะให้หญิงใดครอบครองหัวใจ
เขาสามารถแตะต้องและสนุกกับการไล่ล่าผู้หญิงได้ แต่ผู้หญิงเหล่านั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะมาแตะต้องหัวใจของเขา
“ยัง แต่มันส่งข้อความมาบอกแล้วว่าจะเข้ามาสายหน่อย เพราะต้องไปส่งคู่หมั้นที่บ้านน่ะ”
คราวนี้ ชาร์ลี เฮนเดอร์สัน เป็นผู้ตอบ ซึ่งชาร์ลีก็คือหนึ่งในสี่จตุรเทพแห่งปริ้นซ์ตันเช่นกัน แต่ชาร์ลีพิเศษกว่าเพื่อนคนอื่นหน่อยก็เพราะว่าเขามีสายเลือดของเจ้าชายอยู่ในกายด้วยครึ่งหนึ่ง
“คู่หมั้นคนไหนวะชาร์ลี?”
แม็กซิมัสถามชาร์ลี ขณะไล่สายตาสำรวจเพื่อนสนิทอย่างพิจารณา ซึ่งก็พบว่าชาร์ลียังคงหล่อเหลา และสง่าสมกับมีสายเลือดของราชินิกุลเหมือนเมื่อครั้งก่อนไม่ผิดเพี้ยน
ใบหน้าของชาร์ลีเป็นรูปสี่เหลี่ยม หน้าผากกว้าง ดวงตารียาวหวานฉ่ำ สีของนัยน์ตาคือสีทองอำพัน จมูกโด่งเป็นสันสวยงาม ริมฝีปากหยักสวยอิ่มราวกับอิสตรี ผิวกายเป็นสีขาวอมชมพู ในขณะที่เรือนร่างสูงใหญ่ กำยำ เพราะชาร์ลีเป็นผู้ชายที่รักการออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจ
“ก็แม่เจนจิราอะไรนั่นไง ที่ครอบครัวมันหมั้นหมายเอาไว้ตั้งแต่เด็กน่ะ” ชาร์ลีตอบอย่างรู้จริง เพราะอเล็กซิสเล่าให้ฟัง
“อ้าว ก็ไหนไอ้อเล็กมันบอกว่าไม่ชอบแม่นั่นไงล่ะ” แม็กซิมัสแย้งขึ้น
“มันก็คงขัดพ่อแม่มันไม่ได้นั่นแหละ” คราวนี้เป็นเคลวินที่ตอบขึ้นมาบ้าง ก่อนที่เขาจะพูดต่อ
“แล้วนายเป็นไงบ้างล่ะ ไอ้แม็ก”
แม็กซิมัสสบตากับเคลวิน เขายิ้มน้อยๆ ให้กับเพื่อน
“ฉันก็สบายดีนะ กับอันนาก็เข้ากันได้ดี แล้วตอนนี้ฉันก็กำลังคิดถึงเรื่องแต่งงานอยู่ แต่ยังไม่ได้บอกน้องอัน อยากทำเซอร์ไพรส์น่ะ”
เคลวินเบิกตากว้าง ก่อนจะถามซ้ำออกมา
“นายแน่ใจแล้วหรือว่าอันนาคือผู้หญิงที่ใช่สำหรับนาย ฉันว่านายควรจะดูใจเธอไปอีกสักพักนะ”
“นั่นสิ ข่าวเธอก็ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่”
ชาร์ลีสนับสนุนความคิดเห็นของเคลวิน แต่แม็กซิมัสไม่สนใจ เพราะอันนาเป็นผู้หญิงที่ดีในสายตาของเขาเสมอ
“ฉันไม่เคยเชื่อข่าวเหลวไหลพวกนั้นหรอก และที่สำคัญอันนาเป็นคนดี แถมยังมีชีวิตน่าสงสารมาก ฉันอยากจะช่วยให้เธอหลุดพ้นจากนรกที่เรียกว่าครอบครัวเสียที”
“ความรักนะโว้ยไอ้แม็ก ไม่ใช่ความสงสาร”
เคลวินยังทักท้วงไม่เลิก แต่เขาพูดเพราะหวังดีซึ่งแม็กซิมัสก็เข้าใจ
“ฉันก็คิดว่าฉันรักอันนานะ”
ชาร์ลีส่ายหน้าไปมา ก่อนจะแสดงความคิดเห็นอีกครั้ง
“ถ้าฉันเป็นนายนะ ฉันจะเลือกคบหากับญาติของอันนาแทน”
“ฉันก็เหมือนกัน เธอชื่ออะไรนะ...”
เคลวินพยายามนึก แต่นึกไม่ออก แม็กซิมัสจึงต้องเอ่ยชื่อนั้นขึ้นมาแทน
“ปั้นหยา”
“เออ ใช่... ปั้นหยา คุณปั้นหยา”
แม็กซิมัสยิ้มหยัน เมื่อได้ยินชื่อของผู้หญิงที่เขาไม่ถูกชะตาด้วยเลยแม้แต่น้อย
“เห็นหน้าซื่อๆ แบบนั้น แอบกลั่นแกล้งอันนาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว พวกนายรู้ไหม”
เคลวินกับชาร์ลีหันมองหน้ากัน ก่อนจะส่ายหน้าดิกพร้อมๆ กันอย่างเหลือเชื่อ
“ไม่จริงมั้ง”
“นั่นสิ หน้าตาซื่อ ไร้เดียงสาอย่างคุณปั้นหยาจะไปกลั่นแกล้งใครได้ นี่ถ้าบอกว่าแฟนนายกลั่นแกล้งคุณปั้นหยา ฉันยังว่าน่าเชื่อกว่าเลย จริงไหมชาร์ล”
“ถูกต้อง”
แม็กซิมัสถอนใจแรงๆ และก็ไม่อยากจะเถียงกับเพื่อนๆ ด้วยเรื่องส่วนตัวของตนเองอีก
“แต่ฉันรักอันนา และพวกนายก็ต้องเคารพการตัดสินใจของฉัน จริงไหม”
“คร้าบบบ คุณแม็กซิมัส”
ทั้งชาร์ลีและเคลวินต่างพยักหน้าพร้อมกัน
แม็กซิมัสยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม เบ้หน้าเล็กน้อยเมื่อรสชาติของแอลกอฮอล์บาดคอ
“แล้วนายเป็นไงบ้างล่ะเคน ไร่ชาไปได้สวยไหม”
เคลวินไหวไหล่กว้างบึกบึนของตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะตอบออกมา
“กำลังไปได้สวยเลยว่ะ นี่ฉันกำลังมองหาที่ดินเพิ่ม กะว่าจะซื้อเพื่อขยายไร่ชาให้มากขึ้น”
“ฉันดีใจด้วย แล้วคุณณิล่ะ สบายดีไหม”
แม็กซิมัสถามถึงณิชา ซึ่งเป็นคนรักของเคลวินมาตั้งแต่ตอนที่เรียนในมหาวิทยาลัยไอวี่ลีกด้วยกัน ทั้งคู่คบหากันมายาวนานมาก แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลั่นระฆังวิวาห์ในเร็วๆ นี้
“ณิสบายดี แต่วันนี้มาเจอพวกนายไม่ได้ เพราะต้องไปงานเลี้ยงกับพ่อของเธอน่ะ”
“แล้วเมื่อไหร่นายจะแต่งงานวะเคน”
“ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอก เพราะฉันยังสนุกกับการทำงานอยู่ ยังไม่อยากถูกขังอยู่ในอุ้งมือของผู้หญิงน่ะ”
“เดี๋ยวคุณณิก็หนีไปแต่งกับคนอื่นหรอก”
แม็กซิมัสเตือนเพื่อน แต่เคลวินไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก และเปลี่ยนไปคุยเรื่องชาร์ลีแทน
“เรื่องของฉันจบแล้ว ถามนายบ้างดีกว่าชาร์ลี นายเป็นยังไงบ้าง”
ชาร์ลีที่นั่งจิบเหล้าอยู่ระบายยิ้ม “ฉันสบายดี แต่ชีวิตก็วุ่นวายกับงานเหมือนพวกนายนั่นแหละ”
“แล้วเรื่องนายกับไลลาน้องสาวบุญธรรมล่ะ พ่อกับแม่นายรู้หรือยังว่าพวกนายรักกัน” แม็กซิมัสเอ่ยถามอย่างอยากรู้ความคืบหน้าของเพื่อนสนิท
ศีรษะทุยสวยของชาร์ลีส่ายเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าตอนนี้เคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ฉันปิดไม่ให้พ่อกับแม่รู้ เพราะไม่อย่างนั้นไลลาอาจจะถูกส่งตัวไปอยู่ที่อื่น”
“นายนี่ก็แปลกนะชาร์ลี ผู้หญิงสวยๆ มีให้เลือกเป็นแสนเป็นล้านคนบนโลกนี้ แต่นายกลับเลือกที่จะรักน้องสาวบุญธรรมของตัวเองซะงั้น”
ชาร์ลีจ้องหน้าแม็กซิมัสเจ้าของคำถามแทงใจดำ
“ความรักมันห้ามไม่ได้หรอกว่าจะเกิดขึ้นกับใคร คนไหน”
“แล้วนายแน่ใจหรือว่านายรักไลลาจริงๆ ไม่ใช่แค่เพราะความผูกพันน่ะ” คราวนี้เป็นเคลวินบ้างที่เอ่ยถาม
ชาร์ลีนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะฝืนยิ้มตอบ
“คงทั้งรักทั้งผูกพันนั่นแหละ”
แล้วชาร์ลีก็ยกแก้วเหล้าขึ้นจิบอีกครั้ง พร้อมกับนั่งเงียบๆ ในขณะที่แม็กซิมัสกับเคลวินพูดคุยกันต่อเนื่อง
“เด็กที่นายอุปการะเอาไว้โตเป็นสาวหรือยังเคน” แม็กซิมัสเอ่ยถามเรื่องของเฌอปรางเมื่อนึกขึ้นได้
“โตแล้ว ปีนี้ก็น่าจะสิบแปดแล้วล่ะ นายถามถึงเฌอปรางทำไมหรือ” เคลวินย้อนถามกลับด้วยความแปลกใจ
“เปล่า ก็แค่อยากรู้เฉยๆ ทำไมนายจะต้องทำท่าหวงก้างแบบนี้ด้วยวะ”
“เปล่าสักหน่อย ฉันจะไปหวงก้างอะไรกันวะ ฉันไม่เคยมีความคิดอยากเป็นสมภารสักหน่อย”
“ให้มันแน่เถอะ”
“มันแน่อยู่แล้ว ฉันไม่ชอบเด็ก ยิ่งอายุห่างกันเกือบยี่สิบปีแบบนี้ ฉันยิ่งไม่เอาใหญ่เลย”
“ทำไมวะ มีเมียเด็กกระชุ่มกระชวยหัวใจดีออก”
แม็กซิมัสแซวเพื่อนขำๆ
“เพราะฉันเอาดุไง กลัวเด็กมันจะตายคาเตียง”
เสียงหัวเราะของหนุ่มหล่ออย่างแม็กซิมัสและชาร์ลีดังกังวานขึ้นหลังจากได้ยินคำตอบของเคลวิน
“เอ่อ... แล้วนี่ไอ้อเล็กมันจะมาไหมเนี่ย”
หลังจากนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระไปเกือบชั่วโมง เคลวินก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมองเวลา
“นี่ๆ มันโทรเข้าเครื่องฉันพอดี” ชาร์ลีตอบเพื่อน ก่อนจะรีบกดรับสายของอเล็กซิส
“ว่าไงอเล็ก”
“ฉันคงไปไม่ทัน นี่แม่บังคับให้ฉันนั่งคุยกับคนบ้านนี้ต่อ ปวดหัวชะมัดว่ะ”
“เออๆ ไม่เป็นไร เอาไว้นัดเจอกันครั้งหน้าก็ได้” ชาร์ลีตอบเพื่อนไปตามสาย
“ขอให้สนุกนะอเล็ก”
“สนุกกะผีอะไรวะ รำคาญจริตผู้หญิงพวกนี้จะตาย แค่นี้ก่อนนะ แม่เรียกแล้ว”
อเล็กซิสตัสสายสนทนาไปแล้ว ชาร์ลีก็วางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะข้างแก้วเหล้า ก่อนจะรายงานเพื่อนอีกสองคนที่นั่งรอฟังอย่างใจจดจ่อ
“มันมาไม่ทันว่ะ”
เคลวินถอนใจออกมา “ว่าแล้วเชียว ไอ้อเล็กนี่มันเชื่อฟังแม่ยังกับอะไรดี”
“ไม่เป็นไรหรอก เอาไว้เจอกันพร้อมหน้าอีกทีตอนงานแต่งฉันก็ได้” แม็กซิมัสพูดอย่างอารมณ์ดี
“สรุปนี่นายจะแต่งเร็วๆ นี้จริงหรือไอ้แม็ก” เคลวินถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ
“ไม่ใช่ภายในปีนี้ แต่ก็ไม่เกินปีหน้านี่แหละ พวกนายคอยฟังข่าวจากฉันก็แล้วกัน”
เคลวินกับชาร์ลีมองหน้ากัน และก็ได้แต่ถอนใจออกมายาวเหยียด
เมื่อ คิมหันต์ ชายหนุ่มหล่อ รวย ทายาทคนเดียวของตระกูล ถูกใจ พอฤทัย นักกายภาพบำบัดที่คุณย่าจ้างมา เขาคิดว่าหล่อนง่าย แต่หล่อนกลับไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดเลย หล่อนสวย แต่ยาก และนั้นก็ยิ่งทำให้เขากระหาย ยิ่งอยากได้หล่อนจนใจจะขาด ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ประตูห้องยังไม่ทันจะปิดสนิท คิมหันต์ก็ดึงคนตัวเล็กเข้ามาประกบปากจูบดูดดื่ม ราวกับว่าถ้ารออีกนิดเดียวเขาจะขาดใจตาย "คุณคิมหันต์ อย่าค่ะ...คุณปวดเอวอยู่ไม่ใช่เหรอ?" หล่อนจับมือที่บีบขยำนมออก แต่เขาก็เอาขึ้นมาบีบใหม่ ก้มหน้าลงกระซิบข้างหู "ปวดก็ต้องซ้ำครับ จะได้หายปวด" พูดจบก็อุ้มร่างบางขึ้นแนบอกทันที พอฤทัยรู้ว่าโดนหลอก ก็โมโหเอาฟันกัดที่หัวไหล่เขาไปทีหนึ่ง แล้วก็รู้ว่าตัวเองทำผิดพลาดครั้งใหญ่ เมื่อได้ยินประโยคที่เขาพูดออกมา "ที่แท้คุณก็ชอบความรุนแรงนี่เอง ได้เลยครับเมียจ๋า...เดี๋ยวผัวจัดให้" เขาเดินก้าวยาว ๆ จนมาถึงเตียง วางร่างบางบนที่นอน จากนั้นก็ถอดเหมือนกระชากชุดของหล่อนออกจากร่าง ตามด้วยเสื้อผ้าของตัวเอง แล้วทาบทับลงไป "เห็นคุณชอบความรุนแรงแบบนี้ แสดงว่าต้องชอบแบบจูบแรกของเราด้วยใช่ไหม?" เขาเคลื่อนหน้าลงมาถาม หล่อนถลึงตาใส่เขา เมื่อนึกถึงจูบรุนแรง ที่มีแต่ความเจ็บตรงหน้าห้องน้ำ "ก็ลองทำอีกสิ คราวนี้ฉันจะกัดลิ้นคุณให้ขาดเลย" เขาได้ยินก็หัวเราะเสียงร่วนออกมา ก่อนจะก้มหน้าลงไปจูบกลีบปากอิ่มอ่อนโยน และเปลี่ยนเป็นร้อนแรงขึ้นในเวลาต่อมา
นนท์ปวิธคือคุณหมอหนุ่มรูปงามและใจดี และมีเพียงแค่เธอคนเดียวเท่านั้นที่ได้เห็นมุมมืดของผู้ชายคนนี้ มุมมืด... ที่เขาสร้างเอาไว้เพื่อทำร้ายเธอเพียงคนเดียว +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ "นอนกับฉัน แล้วฉันจะยอมช่วยลูกสาวของเธอ" นี่คือข้อเสนอของนายแพทย์นนท์ปวิธ อริณวัฒน์ ศัลยแพทย์หัวใจชื่อดังของเมืองไทย เขาคือเทพเจ้าแห่งการผ่าตัดหัวใจ เพราะคนไข้ทุกคนที่ผ่านมีดผ่าตัดของเขาจะประสบความสำเร็จทุกราย ทุกคนต่างชื่นชมในฝีมือและความมีน้ำใจของคุณหมอหนุ่มหล่อคนนี้มาก เขาคือเทพบุตร คือเทวดาสำหรับคนไข้และญาติๆ แต่ในมุมมืดของเขามีเพียงแค่หล่อนคนเดียวที่ได้เห็น แน่ล่ะ... เขาสร้างมุมมืดเอาไว้เพื่อทำร้ายหล่อนแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น "ตกลงค่ะ" รอยยิ้มหยันเกลื่อนใบหน้าหล่อเหลาของนายแพทย์นนท์ปวิธ ขณะที่เคลื่อนเรือนร่างสูงโปร่งหกฟุตสามนิ้วเข้ามาหยุดใกล้ๆ "งั้นก็คืนนี้เลย" "ตาว... ขอเวลา..." "ลูกสาวของเธอ มีเวลาเหลือเยอะสินะ" "เอ่อ..." "ฉันต้องการเอาเธอคืนนี้..." แล้วเท้าใหญ่ก็ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีก จนตอนนี้ร่างกายอยู่ห่างกันแค่เพียงฟุตเดียวเท่านั้น กลิ่นหอมเฉพาะตัวของเขาโชยฟุ้งเข้ามาในจมูก ทำให้รจิตราตัวสั่นเทา หล่อนช้อนตาขึ้นมองคนตัวสูง ซึ่งเขาก็ลดสายตามองลงมามองพอดี ดวงตาสองดวงสบประสานกัน โลกทั้งใบหยุดหมุน ความทรงจำเมื่อห้าปีก่อนย้อนกลับเข้ามาราวกับสายน้ำไหลหลาก ความทรงจำที่หล่อนไม่เคยลืม... และใช้มันหล่อเลี้ยงหัวใจมากว่าห้าปี
ในสายตาของทุกคน คชาวุฒิเก่งฉลาด สุภาพเรียบร้อย และสุดเนิร์ด คงมีเพียงแค่เธอคนเดียวเท่านั้น ที่รู้ว่าใต้แว่นตาหนาของเขาซ่อนความร้อนแรงเอาไว้มากแค่ไหน ไม่รู้จะอวยยศให้อาจารย์ฟิสิกส์คนนี้ยังไงดี แต่รับประกันว่าอาจารย์แซ่บมาก แซ่บฉ่ำแฉะ^^ +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ "ตรงไหนดี..." หล่อนควรต่อต้านสิ ควรผลักไส เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ควรเกิดขึ้นเลย แต่... แต่ร่างกายของหล่อนมันอ่อนระทวยไม่มีแรงเลย "ตรงไหนดีเด็กน้อย..." เขากระซิบถามเสียงกระเส่า "ถ้าคุณไม่ตอบ ผมจะเลือกเองนะ..." "อาจารย์... หนู... หนู..." ใบหน้านวลแดงระเรื่อ ตอนนี้สมองของหล่อนขาวโพลนไร้ความคิดชั่วคราว รอยยิ้มจากปากหยักสวยของอาจารย์ฟิสิกส์สุดหล่อช่างบาดใจเหลือเกิน เขาค่อยๆ ย่อตัวลง และคุกเข่าลงกับพื้น ขณะที่สายตาช้อนขึ้นมาสบประสานกับหล่อนตลอดเวลา ไฟร้อนๆ ในดวงตาของเขากำลังแผดเผาให้หล่อนมอดไหม้ "อา... จารย์..." นี่เขากำลังจะทำอะไรน่ะ เขาคุกเข่าทำไม
พระเอกเรื่องนี้แรกๆ จะออกแนวปากหมา ใจร้าย ชอบทำนางเอกช้ำใจ แต่หลังจากเห่าหอนเป็นแล้ว ก็จะกลายเป็นหมาโบ้คลั่งรักสุดๆ เลยค่ะ ไรต์นอนยันเลย 555+++ คำเตือน... พระเอกเรื่องนี้โบ้ซ้ำโบ้ซ้อนโบ้ไม่ปรานีใคร 55 ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ "คุณ... ภาม... เป็นอะไรคะ..." คำถามของหล่อนตะกุกตะกักจนแทบฟังไม่เป็นคำ "หึ... ยังจะมีหน้ามาถามอีกหรือคาลิสา!" เขายื่นมาบีบคอของหล่อน และนั่นก็ทำให้หล่อนตกใจแทบช็อก "คุณภาม... ครีม... กลัว..." ทำไมเขาทำแบบนี้ ทำไมภาวินทร์ถึงบีบคอหล่อนล่ะ แม้จะไม่ได้บีบแรงนัก แต่ก็ทำให้หล่อนกลัวจนแทบหยุดหายใจ "เธอนี่มันเลี้ยงไม่เชื่อง" "คุณภาม... พูดอะไรคะ ครีมไม่เข้าใจ... อ๊ะ..." นิ้วยาวของเขาบีบเค้นลงกับลำคอขาวผ่องของหล่อนแรงขึ้น จนหล่อนเกือบจะหายใจไม่ออก "ยังจะมีหน้ามาถามอีกเหรอ เธอไปทำอะไรเอาไว้ล่ะ" "ครีม... ครีมเปล่า..." "เลิกตอแหลเถอะ ฉันรู้เรื่องจากน้องอัญหมดแล้ว" "..." "เธอจงใจละเมิดข้อตกลงของเรา" "ครีมเปล่านะคะ คุณอัญเธอรู้อยู่แล้ว... เธอรู้จากคุณภามไม่ใช่เหรอคะ..." หล่อนพยายามจะอธิบายในมุมของตัวเอง แต่ชายหนุ่มไม่ยอมรับฟัง "เธอเดือดร้อน ฉันก็ช่วย ให้ข้าวให้น้ำ ให้เงิน เซ็กซ์ดีๆ ฉันก็ให้ งานก็มีให้ทำ แล้วเธอยังต้องการอะไรจากฉันอีก อยู่เงียบๆ อยู่ในที่ตัวเองไม่ได้หรือไง หื้อ!" "ครีม... ฮืออออ..." "แล้วเธอยังมีหน้าไปโกหกน้องอัญว่าท้องกับฉันอีกเหรอ เธอกล้าดียังไงพูดแบบนั้นออกไป คาลิสา!" หากหล่อนบอกออกไปว่าตัวเองกำลังตั้งท้องลูกของเขาจริงๆ ภาวินทร์ก็คงจะไม่เชื่อ ใช่... เขาไม่มีทางเชื่อหรอก ตอนนี้เขาเชื่อคำพูดของคู่หมั้นคนสวยของเขาคนเดียวเท่านั้น "ตอบมาสิ... เธอท้องลูกของฉันจริงหรือเปล่า" ใบหน้าที่เปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตาส่ายไปมา ก่อนจะตอบเสียงสะอื้น "ไม่... ไม่ได้ท้องค่ะ..." "หึ... นึกอยู่แล้วเชียว เธอมันก็แค่ผู้หญิงมารยา ที่ต้องการทำให้ฉันเดือดร้อนเท่านั้นเอง" เขาหยุดบีบคอของหล่อน และผลักร่างของหล่อนออกห่าง แสดงท่าทางรังเกียจออกมา "เราเลิกกันเถอะ"
เรื่องนี้พระเอกเป็นพวกชอบวิ่ง ตอนแรกวิ่งหนี ตอนหลังวิ่งชนจนมดลูกน้องแทบอักเสบ ฝากติดตามเป็นกำลังใจให้ไรต์ด้วยค่ะ เลิฟ เลิฟ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ "พี่วิศ... ทำไมพี่เปลี่ยนไปแบบนี้คะ... อื้อ... อย่าทำแบบนี้สิคะ... " แม้จะพยายามขัดขืน แต่เสียงก็แผ่วเบา และอ่อนแรงเหลือเกิน "แล้วชอบพี่แบบนี้ไหมล่ะครับ... อืมม หอมจัง" ปลายจมูกของเขาซุกไซ้อยู่ที่ลำคอ ในขณะที่ฝ่ามืออบอุ่นลูบไล้ซุกซน "พี่ชอบก้นของเธอจัง นุ่มนิ่มมาก" "พี่วิศ..." "และพี่ก็ชอบเสียงครางของเธอด้วย ฟังแล้วยิ่งมีอารมณ์..." เขาเงยหน้าขึ้นจากลำคอของหล่อนที่ดูดเม้มจนแดงช้ำ ดวงตาสบประสานกัน ก่อนที่ปากหยักสวยจะแนบชิดลงมาหา เขาจูบเบาๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะกระซิบเสียงแปร่งพร่า "ให้พี่เอานะ... พี่หิว..."
เพราะแอบรักจึงยอมทุกอย่าง ยอมแม้กระทั่งเป็นคนในความลับ อยู่เงียบๆ ในเงามืดชั่วนิรันดร์ กฎของเขาก็คือ มีอะไรกัน นอนด้วยกัน สนุกกัน แต่ห้ามบอกใคร ห้ามให้ใครรู้ว่ามีความสัมพันธ์กันแบบไหน ในที่ทำงานเขาคือท่านประธาน และเธอก็คือพนักงานคนหนึ่งในบริษัทเท่านั้น เมื่อเจอกันก็ทักทายกันบ้างแบบเจ้านายกับลูกน้อง ห้ามแสดงท่าทางหรือแสดงความเป็นเจ้าของ ห้ามโพสต์สถานะในโซเชียล แม้จะไปเที่ยวด้วยกัน ไปถึงไหนต่อไหนด้วยกันก็แล้วแต่ห้ามเปิดเผยทั้งนั้น ซึ่งด้วยความรักที่มีต่อเขา ทำให้เธอตกลงยอมเป็น คนในความลับของเขาอย่างเต็มใจ +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ "มามี๊ขา..." วชิรวัฒน์มองเด็กหญิงตัวน้อยที่อายุน่าจะไม่ถึงสามขวบวิ่งเข้ามาสวมกอดฟาริดาด้วยความประหลาดใจและตกใจในเวลาเดียวกัน เขามองใบหน้ากลมๆ ของเด็กหญิงคนนั้น สลับกับใบหน้าของฟาริดา ซึ่งก็พบว่าหญิงสาวกำลังหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด "นี่มันอะไรกัน น้องฟาง... เด็กคนนี้... เป็น..." เขายังพูดไม่ทันจบ ฟาริดาก็ดันร่างของเด็กหญิงไปไว้ด้านหลัง ก่อนจะตอบเขาด้วยสุ่มเสียงดังฟังชัด "ลูกสาวของฟางเองค่ะ" วชิรวัฒน์ถึงกับอึ้ง เขาหันไปมองสบตากับอภิวัฒน์ ก็พบว่าเลขาฯ หนุ่มก็อึ้งไม่ต่างกัน หลังจากตั้งสติอยู่ชั่ววินาที เขาก็หันกลับมาจ้องหน้าฟาริดาเขม็ง "เด็กคนนี้เป็นลูกของใครครับ" เขาพยายามที่จะถามเสียงสุภาพ ทั้งๆ ที่ภายในในเต็มไปด้วยเพลิงไฟกัลป์ เพราะอย่างนี้เองเหรอ ฟาริดาถึงได้หนีจากเขาไป เพราะหล่อนท้อง... แล้วหล่อนท้องกับใครล่ะ นอกจากเขาแล้ว หล่อนยังแอบมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่นอีกอย่างนั้นเหรอ บ้าชิบ! นี่หล่อนกำลังจะทำให้เขาโมโหจนเป็นบ้าอยู่แล้วนะ! "ลูกของใครก็ช่างเถอะค่ะ แต่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพี่โรมแน่นอน"
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
เรื่องราวของใบหม่อนที่ทะลุมิติไปยังโลกสุดแปลกและสุดแสนจะแฟนตาซี ที่สำคัญดันไปเกิดใหม่ในตอนที่กำลังจะคลอดลูก ในชีวิตที่แล้วแม้แต่แฟนยังไม่มีแต่ทำไมพอได้เกิดใหม่ทั้งที ถึงให้เกิดมาในตอนที่กำลังจะคลอดลูกพอดี แล้วสาวโสดอย่างเธอจะทำยังไงดี คลอดลูกออกมาเป๋นแฝดสามว่าลำบากแล้ว แต่ครอบครัวนี้กลับยากจนข้นแค้น นี่ไม่ใช่ว่าพระเจ้ากลั่นแกล้งเธอเหรอ เธอไปทำอะไรให้พระเจ้าโกรธเคืองกัน
ในการแต่งงานที่ทำข้อตกลงไว้ เจียงหว่านเป็นฝ่ายที่มีใจให้อีกฝ่ายก่อน แต่ตอนที่เธอต้องการเผยเสี้ยนมากที่สุด เขากลับอยู่เคียงข้างคนรักในใจของเขา ในท้ายที่สุด เจียงหว่านก็ตัดสินใจหย่า และเริ่มต้นชีวิตใหม่ เมื่อเผยเสี้ยนรู้สึกตัวขึ้นมา เธอก็จากไปแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่เข้าคิวเพื่อรับป้ายหมายเลข เผยเสี้ยนหยิบเงินร้อยล้านออกมาและพูดว่า "หว่านหว่าน คู่รักก็ต้องเป็นคู่เดิมเราแต่งงานใหม่อีกครั้งได้ไหม"
วิญญาณแพทย์นิติเวชที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 21 ได้เข้ามาอยู่ในร่างคุณหนูของจวนเสนาบดีอย่างบังเอิญ ผู้คนกล่าวหาว่านางไม่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และทำให้บุตรชายของแม่ทัพตาย ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้ต้องการฆ่านางเพื่อให้คำอธิบายกับแม่ทัพ! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนหยิ่งยโสและเจ้ากี้เจ้าการ ทุกคนเกลียดนาง และครอบครัวของนางต้องการไล่นางออก! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนเลวทรามและไร้ความปรานี วางยาน้องสาว และพ่อของนางต้องการโบยนางจนตาย! ในความเป็นจริงหากอยากจะกล่าวหาผู้ใดสักคน มันก็หาข้ออ้างได้ทั่ว แต่นางเป็นคนไม่ยอมใคร นางผอมบางนางหนึ่งปลุกปั่นโลกด้วยความสามารถอันทรงพลังตนเอง ท่านอ๋องกล่าวว่า หากได้เจ้ามาครอบครอง ข้ายอมทรยศทุกคนในโลก นางกล่าวว่า เพื่อท่าน ต่อให้ทุกคนในโลกเกลียดข้า ข้าก็ยอม
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
นางเจ็บปวดปางตายเมื่อเขาโยนร่างบอบช้ำทิ้งไว้หลังจวนโดยไม่แยแส เมิ่งลี่เฟยน้ำตาไหลพรากทว่ากลับไม่ทำให้คนที่เพิ่งเหยียบย่ำร่างกายเล็กเห็นใจแต่ประการใด"เฝ้านางเอาไว้ให้ดีอย่าให้ออกมาทำเรื่องชั่วอีก"