คู่หมั้นต่างวัย “ชัชวินและอารยา” หนุ่มใหญ่วัยย่างสี่สิบกับสาวที่เพิ่งจะพ้นวัยมหาวิทยาลัยมาหมาดๆ จุดเริ่มต้นของทั้งคู่ไม่ได้มาจากใจสองดวงที่ตรงกันแต่เกิดจาก “หนี้” ทว่าหนี้ที่ว่านั้นกลับนำพาทั้งคู่ไปสัมผัสกับความหวานที่ผสมผสานไปด้วยความเร่าร้อนดูดดื่มของ “รสรักอันสุดแสนหวาน” ตัวอย่างในเรื่อง “อาจะบอกความลับของอาให้นะ ว่าอาเป็นคนเซ็กซ์จัด โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่อาถูกใจ อาจะมีเซ็กซ์ด้วยแบบรุนแรงและอาเรียกร้องไม่หยุด ท่าโปรดของอาก็คือ ยกขาของคู่นอนขึ้นพาดบ่ากับจับขาคู้แบะออกแล้วเสยกระแทกเข้าไปแรงๆ แบบสุดกำลัง และอาก็เสร็จยากมาก กระแทกเป็นร้อยครั้งกว่าจะถึงจุดสุดยอด คงรู้นะว่าคนที่ถูกอาอึ๊บจะเมื่อยขาและต้องอึดแค่ไหน เพราะฉะนั้นถ้าเอยไม่อยากให้ขาสวยๆ ของเอยถ่างเวลาเดินเหิน ก็อย่าทำให้อาตบะแตกก่อนเวลา” อารยาเกือบจะหน้าแดง แต่ก็ควบคุมตัวเองเอาไว้ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วลองต่อกรกับเขาแบบจริงๆ จังๆ สักยกจะเป็นไรไป “เอยก็อยากรู้เหมือนกันค่ะว่าอาชัชจะเซ็กซ์จัดได้เท่ากับที่เอยต้องการหรือเปล่า อีกอย่างเอยก็อยากลองเปลี่ยนท่าเดินดูเหมือนกัน เดินเรียบร้อยมานานแล้ว ลองเปลี่ยนเป็นเดินขาถ่างบ้างก็น่าจะได้ฟีลไปอีกแบบ” “อย่ามาทำตัวก๋ากั่นกับอา” เขาขู่เสียงเข้มแต่พร่ากระเส่าอย่างฟังได้ชัด “เอยเปล่า แต่เรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอคะ” อารยาบอกแบบหัวสมัยใหม่ และทำเหมือนเรื่องที่เขาพูดเป็นเรื่องธรรมดาอย่างพวกที่พอจะมีประสบการณ์มาแล้ว “เอยจะบอกอาว่าเคยมาแล้วงั้นสิ” “ถ้าไม่เคย เอยจะกล้าชวนอาชัชขึ้นห้องเหรอคะ” อารยาสวมรอยและแอบดีใจที่ทำให้เขาเข้าใจผิดแบบนั้นได้ “เคยเมื่อไหร่ กับใคร?” “ก็...กับแฟนเก่า ตั้งแต่ยังไม่หมั้นกับอา เพราะฉะนั้นเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเอย...” มือเล็กโน้มคอเขาลงมาหา ปากเผยอขึ้น ตาหรี่ลงอย่างเชื้อเชิญ ยอมรับกับตัวเองอย่างไม่อายว่ากำลังยั่วเขา “จูบเอยสิคะ... “ “เธอท้าอา” “ไม่ได้ท้า เอยแค่อยากจูบกับอา สิคะ” “อารยา...” เขาครางได้แค่นั้น ปากหนาก็กระแทกลงมาบดจูบเรียวปากอิ่มของคู่หมั้นสาวช่างยั่วอย่างรวดเร็ว ลิ้นหนาแทรกผ่านไรฟันซี่เล็กๆ ของเธอเข้าไปโรมรันกับลิ้นนุ่มในอุ้งปากนุ่มชื้นที่เมื่อครู่นี้ท้าทายเขาเหลือเกิน
ห้องนอนขนาดกลางตกแต่งด้วยสีสันและข้าวของโทนสีชมพูขาว บ่งบอกชัดว่าเจ้าของห้องเป็นหญิงสาวในวัยดอกไม้ที่กำลังอยู่ในช่วงเบ่งบาน ความเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศซึ่งทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และเงียบจนแทบจะไม่ได้ยินเสียงครางของมัน ไม่ได้ทำให้ความร้อนรุ่มในกายของ ‘อารยา’ หญิงสาววัยย่างยี่สิบสองลดลงเลยแม้แต่น้อย
ร่างบางนั่งหอบหายใจสะท้านอยู่ปลายเตียง เพราะตอนนี้ฮอร์โมนสาวในร่างกายกำลังพลุ่งพล่านอย่างหนัก หลังจากผ่านกิจกรรมอันสุดวาบหวามแบบไม่สุดกับคู่หมั้นหนุ่มหล่อมาหมาดๆ
แหวนหมั้นถูกสวมที่นิ้วนางข้างซ้ายตั้งแต่สองปีที่แล้ว ตอนนั้นอารยาเรียนอยู่ปีสาม บิดาเอ่ยปากว่าจะยกเธอให้แต่งงานกับ ‘ชัชวิน’ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้และเป็นเพื่อนรุ่นน้องของพ่อ โดยจะหมั้นหมายเอาไว้ก่อน หลังจากเธอเรียนจบจึงจะมีพิธีแต่งงาน อารยาตอบรับแบบไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ แม้แต่นิด ซ้ำยังหัวใจเต้นแรงโลด เพราะตัวเองแอบพึงพอใจในตัวชัชวินมาก่อนหน้านี้แล้ว เรียกได้ว่าตกหลุมรักเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเลยก็ว่าได้
ชัชวินเป็นผู้ชายที่หล่อเหลาชนิดหาตัวจับยากคนหนึ่ง แม้จะไม่ขาวสะอาดเหมือนพวกดารานายแบบ แต่อารยาเห็นว่าเขามีเสน่ห์ความเป็นชายที่ดึงดูดเธอและผู้หญิงอื่นๆ อย่างรุนแรง เขาเป็นเจ้าของไร่แห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี อายุย่างสี่สิบแล้ว ทว่าเธอกลับไม่คิดว่าเขาแก่สักนิด ตรงกันข้ามชัชวินเป็นผู้ชายที่เซ็กซี่มากจนเธอใจสั่นทุกครั้งเวลาที่อยู่ใกล้ๆ รูปร่างของเขาสูงใหญ่บึกบึน ใบหน้าคมคร้ามสมชาย จมูกโด่ง ผิวสีแทนตามแบบคนทำงานกร้านแดดกร้านฝน แต่นั่นยิ่งทำให้เขาดูดุดัน เป็นผู้ชายเต็มตัวและมีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามอย่างเข้มข้น
อารยาเดาใจชัชวินไม่ออกแม้แต่นิด ไม่รู้ว่าเขาคิดหรือรู้สึกลึกซึ้งกับเธอมากน้อยแค่ไหน เพราะตลอดเวลาที่หมั้นกัน แม้ชัชวินจะเทียวไปเทียวมาบ้างเดือนละครั้งสองครั้ง ทว่าเขาก็ไม่เคยเอ่ยปากฝากรักใดๆ ให้ได้ชื่นใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว เวลาที่ไปไหนด้วยกันสองต่อสองเขาก็ดำรงความเป็นสุภาพบุรุษกับเธอเป็นอย่างดีมาตลอด แม้ช่วงหนึ่งเดือนหลังที่ผ่านมา เขาเริ่มมีการกอดจูบบ้าง แต่ก็ไม่เคยล่วงเกินลึกซึ้งจนถึงขั้นทำให้เธอต้องเสียสาว
‘จูบแรก’ ระหว่างเธอกับชัชวินเกิดขึ้นในลิฟต์ แต่จูบที่อารยาจำรสสัมผัสอันแสนวาบหวามเร่าร้อนจากลิ้นอันสากหนาและว่องไวช่ำชองของเขาได้ดีคือจูบครั้งที่สอง พอคิดถึงคราใดก็เหมือนมีคลื่นความรัญจวนอันมากมายมหาศาลแล่นวาบเข้ามาในท้องน้อยทุกที
วันนั้นเป็นวันที่เธอสอบปลายภาคเสร็จ พอดีกับที่ชัชวินเข้ามาทำธุระที่กรุงเทพฯ เขาจึงแวะมาเยี่ยมครอบครัวของเธออย่างเคย
อารยาออกจะตื่นเต้นเหมือนเช่นทุกครั้ง เมื่อแม่บ้านขึ้นมาบอกว่าคู่หมั้นของเธอมา
ร่างบางซึ่งนอนเล่นอยู่บนเตียงดีดตัวลุกขึ้นแล้วรีบขยับไปยืนหน้ากระจก มองสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองอย่างละเอียดยิบไม่ยอมให้พลาดส่วนไหน เพราะอยากจะดูดีที่สุดในสายตาของชัชวิน คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าตัวเองผมยุ่งซึ่งเป็นผลมาจากการนอนเมื่อครู่นี้ มือเล็กจึงหยิบหวีมาแปรงผมจนเรียบ จากนั้นหยิบที่คาดผมที่ทำจากผ้าลูกไม้สีขาวมาคาด โดยปล่อยปอยผมลงข้างหูทั้งสองข้าง เติมลิปมันให้ปากชุ่มชื่นอีกนิดหน่อย จึงค่อยออกจากห้อง ลงไปยังห้องรับแขกที่คนสำคัญของตัวเองรออยู่
เมื่อไปถึงก็เห็นว่าชัชวินกำลังนั่งคุยอยู่กับพ่อและแม่ของตนดังเช่นทุกครั้งที่เขามา หญิงสาวเดินไปทรุดตัวนั่งลงที่โซฟาอีกตัว ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้ทักทายเขา
“สวัสดีค่ะอา”
“ได้ข่าวว่าสอบเสร็จแล้วเหรอ” ชัชวินถามขึ้น เสียงยังคงหล่อทุ้มน่าฟังเช่นเดิม แม้จะราบเรียบไปหน่อยจนแทบจับความรู้สึกไม่ได้แต่นั่นก็เป็นไปตามบุคลิกของเขา
“ค่ะอา วันนี้เอยสอบวันสุดท้าย”
“มั่นใจหรือเปล่าว่าจะจบ”
“มั่นใจสิคะ ถึงผลการเรียนของเอยอยู่ในระดับกลางๆ แต่ก็ไม่เคยตกค่ะ เทอมนี้ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร” อารยาบอกเสียงนุ่ม หัวใจเต้นแรงยามที่ช้อนตามองใบหน้าหล่อเหลาดุดันของคู่หมั้นตัวเอง
“งั้นไปแต่งตัว อาจะพาออกไปหาอะไรกินข้างนอก เลี้ยงฉลองที่เรียนจบ” เขาบอกกับคู่หมั้นสาว ก่อนจะหันไปทางพ่อแม่ของเธอ “ขออนุญาตนะครับพี่อัศพี่วิ ทานข้าวเสร็จแล้วจะรีบพามาส่ง”
“ตามสบายเถอะชัช” อัศวินพยักหน้าอย่างไม่มีปัญหาอะไร
ความจริงชัชวินไม่จำเป็นต้องขออนุญาตอะไรอัศวินก็เต็มใจ เพราะอยากจะให้ทั้งคู่ได้ใกล้ชิดกันมากกว่าที่เป็นอยู่อยู่แล้ว แม้ชัชวินจะหมั้นหมายกับลูกสาวของตนมาระยะหนึ่ง แต่ก็ไม่มีใครดูออกว่าชัชวินรู้สึกอย่างไรกับอารยากันแน่ เนื่องจากการหมั้นหมายเกิดจากปัญหาหนี้สินที่ตัวเขาเองไปกู้ยืมมาเพื่อพยุงกิจการเล็กๆ ของครอบครัวและซื้อบ้านหลังใหม่ การเปิดโอกาสให้ชัชวินได้อยู่ใกล้ชิดกับอารยาบ่อยๆ จึงน่าจะเป็นเรื่องที่ดี ชัชวินจะได้เห็นความน่ารักของลูกสาวเขาและมอบใจให้ พอตบแต่งกันไปอารยาจะได้มีความสุขมากที่สุด
เธอ...รักอย่างภักดีและเจียมใจ เขา...จ้องแต่จะทำลาย เลยทำทุกอย่างเพื่อหลอกให้รัก สุดท้าย...สิ่งที่เธอได้รับการตอบแทน จากรักที่แสนภักดีก็คือคำว่า ง่าย ที่เขาตะโกนใส่หน้าอย่างไม่คิดแม้แต่จะสงสาร
ศาสตรา ภูวเดชาธร คือผู้ชายที่ ภัคธีมา บอกตัวเองว่าเขาช่างร้ายกาจสมกับชื่อ ผู้ชายคนนี้พร้อมจะฟาดฟันให้เธอย่อยยับแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทั้งๆ ที่เธอคือว่าที่น้องสะใภ้ หรือเขารังเกียจว่าเธอจน ไม่คู่ควรกับคนในตระกูลภูวเดชธรเจ้าของไร่ที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ เขาจึงกีดกันเธอกับน้องชายเขาทุกวิถีทาง แม้ภัคธีมาพยายามจะไม่ข้องแวะกับเขา หากทว่าในที่สุด โชคชะตาก็กลั่นแกล้ง ให้ต้องตกไปอยู่ในบ่วงพันธนาการของเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ภัคธีมาจึงได้แต่นับวันรอ… รอวันที่กริชผู้แข็งกร้าวอย่างเขาจะปลดปล่อยเธอให้เป็นอิสระ แต่ครั้นเมื่อถึงเวลาจริงๆ มันกลับไม่ง่ายเลย เพราะหัวใจที่แสนอ่อนไหวถูกบ่วงเสน่หาร้อยรัดเอาไว้อย่างแน่นหนา
ร่างบางดำดิ่งลึกลงเรื่อยๆ ร่างกายทุรนทุรายเพื่อความอยู่รอด แต่ใจเธอยอมแพ้แล้ว มันอึดอัด มันหนาวเหน็บ นี่สินะความตาย ความตายของเธอที่พี่อิสร์ต้องการ เอมทำให้แล้วนะคะ หวังว่าการกระทำของเอมในครั้งนี้ จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เอมทำให้พี่อิสร์มีความสุข ขอให้ความรักความแค้นระหว่างเราจบลงแค่นี้ เอมเจ็บ เจ็บจนไม่อยากจะหายใจแล้วเช่นกัน ขอบคุณที่บอกให้เอมมาตาย มันน่าจะเป็นหนทางดับทุกข์ที่ดีที่สุดของเอมแล้ว ลาก่อนค่ะพี่อิสร์...
เมื่อเด็กที่อยู่ในอุปการคุณของผู้เป็นบิดาทำท่าว่าจะเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นแม่เลี้ยงของเขา ภาคิม วัชรอาชา ผู้ชายที่แสนจะหยิ่งยโสจึงยอมไม่ได้ สู้ให้บิดามีนางบำเรอเป็นร้อยเหมือนกับนางในฮาเร็มของสุลต่านยังจะดีเสียกว่าให้เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างนั้นมาร่วมสกุล เขาสลัดคู่ควงทุกคนทิ้งแทบจะทันทีแล้วหันมามุ่งมั่นกับการกำจัดว่าที่แม่เลี้ยงและจัดการลงทัณฑ์ผู้หญิงไม่เจียมตัวให้รู้สำนึกว่าอย่างมากเธอก็เป็นได้แค่ ‘นางบำเรอ’ เท่านั้น วิโรษณา ดุษยา เพื่อตอบแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณ สาวน้อยไร้เดียงสาจึงต้องยอมตกเป็น ‘เมียบำเรอ’ ของผู้ชายกักขฬะไร้หัวใจโดยไม่ยอมปริปากบ่น และไม่แม้แต่จะเรียกร้องความสมเพชใดๆ จากเขา เพราะรู้ว่าในสายตาของซาตานร้าย ผู้หญิงข้างถนนอย่างเธอมีค่าไม่ต่างอะไรกับขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น “คุณภาคิม ได้โปรดอย่าทำกับปุ้มแบบนี้” “ฉันมีสิทธิ์ลงโทษเธอตามวิธีของฉันวิโรษณา” เสียงเขาแหบกระเส่า วิโรษณาดิ้นอย่างกระสับกระส่าย ทำไมเขาไม่ลงโทษเธอด้วยการเฆี่ยนตี หรือให้อดข้าวอดน้ำ ขังไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันก็ได้ เขาไม่รู้หรือไงว่าทำแบบนี้ร่างกายของเธอปั่นป่วนและกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยความทรมานอันแสนวาบหวาม ลิ้นร้อนดั่งไฟนาบจุมพิตทั่วทุกอณูเนื้อของดอกไม้แสนฉ่ำหวาน ก่อนจะแทรกลิ้นชื้นเข้าไปรุกรานความอ่อนนุ่มที่นิ้วเรียวของเขาได้สัมผัสมาแล้วก่อนหน้านี้ สาวน้อยพยายามตั้งสติไม่ปล่อยการกระทำไปตามอารมณ์เร่าร้อนที่กำลังรู้สึกอยู่ แต่ลิ้นอุ่นจัดของคนแสนชำนาญก็แทรกลึกเข้าไปในความอ่อนนุ่มกลางกายด้วยจังหวะอันร้ายกาจอย่างไม่หยุดหย่อน ใบหน้าสวยแดงซ่านด้วยอารมณ์ร้อนแรง มือเล็กจิกลงบนที่นอนและขยุ้มจนยับย่นเพื่อระบายความซ่านสยิวที่กำลังโรมรันกายสาวอย่างหน่วงหนัก ร่างบางกระตุกไหว คิ้วสวยขมวดนิ่วด้วยอารมณ์สะท้านซ่าน หลงใหลไปกับสัมผัสของเขาจนเผลอยกสะโพกขยับไปมาเบาๆ ปลายลิ้นหนาลากถูไถขึ้นลงตามกลีบกุหลาบแสนสวยที่เปียกชุ่มไปด้วยความฉ่ำหวาน สองขาเรียวสั่นระริกๆ เมื่อชายหนุ่มเริ่มออกแรงกดปลายลิ้นแตะต้องแรงขึ้น
เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับว่าที่เจ้าบ่าวในคืนแต่งงาน ทำให้พรรษรดาต้องเข้าพิธีกับน้องชายของเจ้าบ่าวแทน แม้วิวาห์ครั้งนี้จะเป็นเพียงวิวาห์สมมติในความรู้สึกของเขาและเธอ หากทว่าความรู้สึกที่เก็บซ่อนไว้ข้างในนั้นต่างหากที่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เธอจะกล้าบอกความในได้อย่างไร ว่าแท้จริงแล้วผู้ชายที่เธอมีใจใฝ่ปองและอยากแต่งงานด้วยจริงๆ ก็คือเขา ในเมื่อผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าสามี เอาแต่เฉยเมยเย็นชาใส่ ซ้ำยังเอ่ยปากขอหย่าอยู่หลายครั้ง พรรษรดาจะจัดการปัญหาหัวใจครั้งนี้อย่างไรดี ในเมื่อยิ่งเขาทำให้เจ็บ หัวใจไม่รักดีก็ยิ่งรักเขามากขึ้นๆ เธอควรรั้งเขาไว้ให้เป็นสามีในนามเพื่อทรมานใจกันเล่นๆ หรือว่าปล่อยเขาไปให้สมรักกับผู้หญิงอื่นตามที่เขาร้องขอ ***ตัวอย่าง*** “ฉันรักเธอพรรษรดา ฉันรักเธอ รักเธอคนเดียว” เขาสารภาพออกมาเสียงแหบห้าว นัยน์ตาหม่นมัวไปด้วยแรงรักแรงปรารถนาที่อัดแน่นอยู่ข้างใน “คุณภู...” “หัวเราะสิ หัวเราะเยาะฉัน หัวเราะไอ้ผู้ชายหน้าโง่ที่มันเป็นทาสรักของเธออย่างโงหัวไม่ขึ้นมาตลอดหลายปี หัวเราะเยาะไอ้ผู้ชายหน้าโง่ที่ตัดใจไม่ได้เสียที” คำสารภาพของเขาเหมือนระลอกคลื่นยักษ์ที่กระแทกโครมเข้าใส่หัวใจดวงน้อยของพรรษรดา เธอถึงกับร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะแบกรับความรู้สึกอันท่วมท้นนั้นไม่ไหว “ฉันมันคงน่าสมเพชมากสินะ” ร่างใหญ่ขยับตัวเหมือนจะถอดถอนออกไป แต่พรรษตวัดขารัดรอบเอวสอบไว้แน่น ทำให้เขาดำดิ่งเข้ามาฝังลึกอยู่ในช่องสาวอีกครั้ง “อย่าบังอาจลุกจากตัวพรรษ” เธอแหวใส่เขาเสียงดังลั่น ตัวสั่นเทาเพราะความรัญจวนและความเต็มตื้นในหัวใจ “พรรษรดา...” “อย่าคิดว่าจะผลักไสพรรษง่ายๆ อีก รู้มั้ยว่าพรรษรอนานแค่ไหน รู้ไหมว่าต้องเสียน้ำตาไปกี่ครั้งเมื่อคิดว่าตัวเองรักคุณภูข้างเดียว อย่ามาบอกรักพรรษ ล้อเล่นกับหัวใจพรรษแล้วหนีไปง่ายๆ อีก พรรษไม่ยอมอีกแล้ว คราวนี้พรรษจะตามรังควานไปตลอดชีวิตเลย อย่าหวังว่าจะได้มีโอกาสมีความสุขกับผู้หญิงคนไหน อย่าหวังว่าจะได้บอกรักใครอีก เพราะคำว่ารักของคุณภูจะเป็นของพรรษคนเดียวตลอดไป”
ในเมื่อเธอเป็นเมียที่ได้มาจากการทรยศ ความรู้สึกเดียวที่เธอจะได้รับจากเขาก็มีแค่ ความชัง เท่านั้น อย่างหวังว่า เขาจะเลิกชัง อย่าหวังว่า เขาเหลียวแล อย่าหวังว่า จะได้แม้แต่เศษเสี้ยวความรักของเขา นภัทรบอกตัวเองเช่นนั้น อย่างหนักแน่นอยู่เสมอ แต่ความเกลียดชังโกรธแค้นของเขามันน้อยลงตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือเป็นเพราะนัยน์ตาเศร้าๆ ซื่อๆ ของเด็กคนนั้น ที่มันค่อยๆ เขย่าความเย็นชาในหัวใจเขา ให้กลายเป็นความรู้สึกอื่น
เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่เคยสนใจ แต่ก็ยังดึงดันอยากจะอยู่ใกล้ ต่อให้เธอเป็นเมียแต่งเขาก็คงไม่มีวันเปลี่ยนใจ เพราะเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจจากไปในคืนแต่งงาน "จากนี้ไปเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก" 🥀
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
ว่าที่ลูกสะใภ้ไฟแรงสูงเธอต้องเข้ามาอยู่ร่วมบ้านกับว่าที่พ่อผัวหม้ายร้างเมียมานายอรมปี
เพิ่งหย่ากับอดีตสามีไปไม่นานแต่ปรากฏว่าตัวเองท้อง จะทำอย่างไรดี? หรือจะให้อดีตสามีรับผิดชอบ แต่ก็ไม่คิดว่าอดีตสามีมีคนรักใหม่ไปแล้ว ชีวิตของถังชีชีนั้นช่างสับสน ช่างน่าวิตกกังวลและไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เธอต้องคอยระวังไม่ให้คุณเฟิงรู้เรื่องการตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย แต่ไม่คิดว่าจะถูกเขาบังคับถึงเพียงนี้ "เราหย่ากันแค่สี่เดือน แต่เธอกลับตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว บอกมาดี ๆ ว่า ลูกเป็นของใคร!"
หลังจากแต่งงานกันมาสองปี สามีของเธอไม่เคยเหยียบเข้าไปในบ้านและมองดู 'ภรรยาขี้เหร่' ของเขาเลย แถมเขาก็มีเรื่องอื้อฉาวกับดาราหน้าใหม่หลายคนทุกวัน ซูเหว่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอตัดสินใจปล่อยเขาไป ต่อไปก็ต่างคนต่างไปเลย แต่เมื่อเธอเสนอเรื่องหย่า... ฟู่เหยียนอันพบว่านักออกแบบในบริษัทนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ เขาค่อยๆ ทำความรู้จักกับเธอเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอเข้า เขาเสียใจแล้ว
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน