เพราะต้องการช่วยเหลือน้องสาวของเพื่อน ทำให้ธราเทพต้องเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับ “เกร็ดแก้ว” เพื่อให้เปรมมิกาได้สมหวังกับคนที่รัก โดยลืมคิดถึงผลที่ตัวเองจะได้รับ เรื่องยุ่งๆ ของเธอและเขาจึงเกิดขึ้น
ตอนที่ 1
ชายหนุ่มร่างหนานามว่า “ธราเทพ” ยืนเอนกายอิงเสาเหล็ก ทอดสายตามองไปยังหญิงสาวร่างสูงโปร่งใส่เดรสสีเงิน ปล่อยชายยาวลงไปตามลำขาเสลา เนื้อผ้าผ่าเล็กน้อย เพื่อคนในจะได้โชว์ผิวนวลลออ บางส่วนของตัวเสื้อและกระโปรงประดับด้วยเพชรเม็ดเล็กเรียงกันเป็นแถวยาว สะท้อนกับแสงไฟที่ส่องมาขับเน้นความสวยและน่ารักของคนใส่
ธราเทพมองเค้าโครงหน้ากระจุ๋มกระจิ๋ม ปากนิดจมูกหน่อยรับกันไปเสียหมด ตั้งแต่พวงแก้มอิ่มเต็มเป็นสีชมพูด้วยผิวเนื้อนาง ดวงตากลมโตล้อมกรอบด้วยขนตายาวงอน จมูกโด่งได้สันรับกับริมฝีปากรูปกระจับอิ่มเต็มเคลือบด้วยลิปสติกสีชมพูระเรื่อ เรียกได้ว่าหนุ่มใดเดินผ่านจะต้องหยุดและเหลียวมองกลับมาทุกราย
มุมปากหนายกขึ้นเล็กน้อย ‘สวยอย่างนี้นี่เอง เปรมมิกาถึงได้ตกกระป๋อง’
ธราเทพปาบุหรี่ทิ้งทั้งที่เริ่มต้นอัดควันร้ายเข้าปอดได้เพียงแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้นเอง ปกติแล้วเขาไม่เคยแตะต้องของเสพติดพวกนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นเหล้ายาหรือบุหรี่ ยกเว้นว่าเครียดจัดจริงๆ ถึงจะใช้มันเพื่อช่วยผ่อนคลายและหาทางออกให้กับตัวเอง ถึงแม้จะรู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งดี แต่บางครั้งก็ช่วยให้เขามีทางออกได้เหมือนกัน
ธราเทพอัดลมหายใจเข้าปอดเต็มรัก ก่อนจะเดินไปหาสาวสวยที่ออกอาการรำคาญหนุ่มจอมเจ้าชู้ที่คอยแทะโลม และความจอแจในห้องโถงของโรงแรมที่ใช้จัดงานโชว์อัญมณีเลื่องลือชื่อของประเทศ ซึ่งคราวนี้เลือกที่จะมาจัดงานยังเกาะภูเก็ต จังหวัดที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในเรื่องของความสวยงามทางทะเลและธรรมชาติ อีกส่วนเพราะต้องการดึงเอานักช็อปให้มาท่องเที่ยวภายในประเทศ
“สวัสดีครับคุณเกร็ดแก้ว”
เมื่อหญิงสาวหันมาตามเสียงเรียก ธราเทพถึงกับตกตะลึง ดูไกลๆ และจากภาพถ่ายที่ได้มา เขาว่าผู้หญิงตรงหน้าสวยแล้ว แต่พอได้เจอหน้าจังๆ เขาถึงกับร้องครางในลำคอ รู้สึกหิวกระหายขึ้นมาอย่างกะทันหัน ผู้หญิงตรงหน้าช่างสวยงามเหมือนกับนางฟ้าที่อยู่บนสวรรค์ ปากคอคิ้วคางช่างเหมาะเจาะกันราวกับรูปปั้นนางอัปสรก็ไม่ปาน
“คะ...คุณเรียกฉันหรือคะ?”
แม้กระทั่งหน้าตามยามที่เธอไม่แน่ใจ คิ้วโก่งได้รูปขมวดเข้าหากัน จมูกโด่งได้รูปเชิดขึ้น ริมฝีปากอวบอิ่มเผยอแย้มน้อยๆ ทำเอาเขาถึงกับกลืนน้ำลายลงคอดังเฮือก ร่างกายเกิดปฏิกิริยาทางอารมณ์ขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน ที่สะกดกลั้นได้อย่างยากเย็นเหลือเกิน
ธราเทพค่อนข้างแปลกใจ ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้ปลุกความต้องการที่หลับใหลอยู่ในตัวเขาขึ้นมาอย่างง่ายดายและรวดเร็ว หรือจะเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้มีอะไรกับผู้หญิงมานาน เกือบจะเป็นปีเห็นจะได้ เพราะมัวแต่ทำงาน แต่...ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะมีผู้หญิงหลายคนหาทางใช้เสน่ห์มารยา ชนิดแอบเข้าไปในห้องนอนเปลื้องผ้าหมายยั่วยวนจับเขาเป็นสามีก็ทำมาแล้ว ความรู้สึกที่เขามีในตอนนั้นคือความรังเกียจและรำคาญ
ชายหนุ่มโกรธตัวเองที่ปล่อยให้อารมณ์เบื้องล่างมามีอำนาจเหนือสติ ขณะที่หญิงสาวเองก็หงุดหงิดจนเก็บอาการไม่ไหว ใบหน้าเริ่มบูดบึ้งหงิกงอ ดวงตาออกแววรังเกียจรำคาญ เหมือนกับเขาเป็นไส้เดือนกิ้งกือ
“คุณเรียกฉันหรือเปล่า”
ถึงเขาจะรู้สึกพึงใจในรูปโฉมที่ชวนมอง สัดส่วนชวนให้เกิดความปรารถนา แต่คำพูดกลับไม่ชวนฟังเลยนิดเดียว
ชายหนุ่มมองใบหน้านวลเนียน เรือนกายโปร่งบาง ก่อนจะสบกับดวงตากลมโตที่เริ่มส่งประกายเกรี้ยวกราดออกมาเรื่อยๆ
ดูท่าผู้หญิงตรงหน้าจะเป็นคนอารมณ์ทั้งร้อนและร้ายใช่ย่อย ดูตาซิ...เขียวปั้ดเชียว ดูงานนี้เขาคงจะต้องรับศึกหนัก ไม่รู้ว่าจะเหนื่อยซะก่อนหรือเปล่า กว่าที่จะปราบแม่เจ้าประคุณจนอยู่หมัด
“เรารู้จักกันหรือคะ” เกร็ดแก้วถามเสียงขุ่น เธอยกมือขึ้นกอดอก รู้สึกแปลกๆ ขนกายลุกชันกับการมองเหมือนไม่ให้เกียรติของชายตรงหน้า เธอถลึงตาใส่ให้รู้ว่ากำลังโกรธนะ แต่ยังไม่อยากด่าให้มันเสียปาก
ธราเทพยิ้มตรงมุมปาก ขนาดแม่เจ้าประคุณขึ้นเสียงใส่เขานะ เสียงยังใสเหมือนกับระฆังเชียว ดีกว่าเสียงแหลมๆ เล็กๆ ราวกับลำโพงงานวัดของผู้หญิงสองสามคนที่คอยตามตื้อเข้าอยู่ที่บ้านเสียอีก
แล้วธราเทพก็เกิดความคิดดีๆ ขึ้น ใบหน้าคมกร้านแดดเพราะทำงานหนักมีรอยยิ้มแต้ม ดวงตาเปล่งประกายวาววับ
อืม...ถ้าเขาทำอย่างที่เพื่อนแนะนำ หากอยากจะไล่พวกสาวน้อยสาวใหญ่ที่หัวใจไม่พึงประสงค์ คนที่ตามติดเหมือนกับแมลงหวี่แมลงวันตามตอมอึพวกนั้นออกไปจากวงจรชีวิตได้ละก็...คุ้มค่าอยู่นะ
“ว่างไงคุณ มัวแต่ยืนยิ้มเหมือนกับคนบ้าอยู่นั่นแหละ ถ้าไม่มีอะไรฉันจะได้ไปเสียที ป่านนี้คนในงานคงจะคอยแย่แล้ว” เกร็ดแก้วถามและบ่นพึมพำไปในตัว
ตอนแรกเข้าใจว่าพี่สตาฟให้ลูกน้องมาตามไปเปลี่ยนชุด เพราะหลังจากเดินแฟชั่นเสร็จ ด้วยความที่เธอมีอาการปวดหัวเป็นไข้อยู่ก็เกิดอาการวิงเวียนศีรษะขึ้นมาอย่างฉับพลัน จนต้องรีบหนีความจ้อกแจ้กจอแจออกมาสูดอากาศภายนอก แต่กลับถูกขัดจังหวะจากใครก็ไม่รู้ ดูท่าทางห่ามๆ และเถื่อนๆ ชอบกล คงเป็นเพราะเค้าโครงหน้าที่ดูเข้มอย่างชายไทยแท้ ไหนจะรูปร่างที่บึกบึนแข็งแกร่งนั่นอีก เล่นเอาใจสั่นไหวอย่างไม่ทันจะรู้ตัว แต่พอพูดขึ้นเท่านั้นแหละ อย่างกับพวกบ้านนอก มีแต่กลิ่นโคลนสาบควายหลงมาในเมืองใหญ่ที่มีแต่ความเจริญ ทำให้ขัดลูกหูลูกตาเสียจริงๆ
“จะรีบไปไหนละครับคุณเกร็ดแก้ว อยู่คุยกับผมสักครู่ก่อนซิครับ”
ธราเทพยื่นมือไปคว้าแขนเรียวยาวและดึงเข้าหาตัว เขาสอดแขนรัดเข้าที่สะเอวเล็กคอด โน้มใบหน้าลงไปปิดเรียวปากอวบอิ่มก่อนที่เกร็ดแก้วจะร้องขอความช่วยเหลือ
“อื้อ...อื้อ... (ไอ้บ้า ปล่อยฉันนะ ไอ้คนสกปรก...) ” เกร็ดแก้วเบี่ยงหน้าหนี แต่ริมฝีปากหนาก็ยังตามติด มือที่ยังไม่ถูกจับเอาไว้พยายามยกขึ้นทุบตีและดันกายแกร่งออก เธอพยายามกระทืบเท้าลงไปบนเท้าใหญ่ แต่ดูเหมือนว่าจะถูกรู้ทันไปเสียทุกทาง ชายหนุ่มสอดขาแข็งแกร่งแทรกระหว่างขาเรียวยาว ชายหนุ่มยังจับมือเรียวไพล่ไปด้านหลัง
‘อืม...หวานดีแฮะ’
ชายหนุ่มขบเม้มกลีบปากนุ่ม พยายามซอกซอนปลายลิ้นล่วงล้ำเข้าไปในโพรงปากหวังจะขอชิมรสหวานนุ่ม แต่เกร็ดแก้วก็ขัดขืนหนัก นอกจากจะพยายามทำร้ายร่างกายเขา เธอยังพยายามเอาคืนด้วย แต่ธราเทพก็ไม่ยอมแพ้ เขามีวิธีการทำให้หญิงสาวยอมเปิดปากได้
ชายหนุ่มลูบไล้แผ่นหลังเนียนนุ่มที่ปราศจากอาภรณ์ปกปิด เพราะชุดที่หญิงสาวใส่นั้นเว้าลงไปจนถึงบั้นท้าย แต่ก็ยังไม่ทำให้เกร็ดแก้วยอมเผยอปาก เขาจึงเคลื่อนมือด้านหน้าอย่างช้าๆ เพียงถึงเนินเนื้ออกสร้าง...
“อื้อ”
ดวงตากลมโตเบิกกว้าง เผลอเผยอปากด้วยตกตะลึง กายสั่นสะท้าน ท้องน้อยเหมือนกับมีลูกไฟร้อนวิ่งวนอยู่ ไม่ใช่ว่าไม่เคยถูกใครจูบมา แต่ไม่เคยรู้สึกเหมือนเจอแสบวับวาวแบบนี้ แต่...เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น เกร็ดแก้วก็รู้สึกอึดอัดเมื่อเจอกับกลิ่นหอมเอียนๆ ที่แตะบนจมูก ทำ มันชวนให้ง่วงนอน ก่อนดวงตากลมโตจะปิดลง กายโปร่งบางตัวอ่อนระทวย เอนหน้าซบกับบ่ากว้าง
ธราเทพมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจเขาและเกร็ดแก้ว ส่วนหนึ่งเพราะมันอยู่ลึกเข้ามาด้านใน และอีกหนึ่งคือทุกคนมัวแต่มองอัญมณีตามแท่นที่วางไว้ เมื่อสบโอกาสเขาก็รีบช้อนร่างโปร่งบางเดินลัดเลาะสุมทุมพุ่มไม้ไปทางด้านหลังของโรงแรมที่ใช้จัดงาน ที่ซึ่งเขาจอดรถแอบซ่อนไว้ จัดแจงวางร่างโปร่งบางทำให้ดูเหมือนหญิงสาวกำลังหลับ
‘ขอโทษด้วยนะเกร็ดแก้ว แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ น้องสาวเพื่อนผมก็ไม่สามารถเคลียร์ปัญหาส่วนตัวได้’
ชายหนุ่มปิดประตูรถและรีบอ้อมไปยังฝั่งคนขับ นำรถออกไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะมีใครมาเห็นว่าเขากำลังจะทำอะไรอยู่และแผนการที่วางไว้ก็จะถูกขัดขวาง
เมื่อเพื่อนถามถึงสถานะ... "พวกแก...เชี่ย! แล้วไหมล่ะ อย่าบอกกูนะไอ้ลูกเต่า ที่มึงพูดไปวันนั้นเป็นเรื่องจริง มึงด้วยไอ้ยอด...มีผัวเป็นตัวเป็นตนกับเขาด้วยใช่ไหม" "ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยชี้แจงเรื่องของมึงสองตัวกับพี่สองคนให้กูฟังหน่อย...เร็ว ๆ อย่าชักช้าร่ำไร" "คนที่นั่งข้าง ๆ กูชื่อพี่คาย...กูอาศัยอยู่กับพี่เขาแล้วก็คอยดูแลซีโร่ให้" ศรวัณบอกสั้น ๆ เพราะยังไม่ค่อยกล้าบอกสถานะของตัวเอง เขากลัวเพื่อนจะรับไม่ได้ "ช่วยบอกสถานะให้กูรู้ด้วย...แค่แฟนหรือเป็นผัวมึง!"
ก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าวันหนึ่งจะพบเจอกับเรื่องแปลก ๆ แต่เมื่ออยู่แล้วไร้ความหมายไม่มีคนที่รักและรักเรา เขาจึงเลือกที่จะแลกทั้งที่ไม่ได้มั่นใจเลยว่าจะได้พบกับคนที่รักจริงหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจเลือกไปแล้ว... “อาซวงเป็นของข้าใช่หรือไม่” ก็มิค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่และคิดว่ามิน่าจะมีอะไรมากมาย เก้าเทียนรุ่ยจึงพยักหน้ารับ “ขอรับ” “ถึงเราจะมิได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเช่นที่ท่านมีกับสหายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ นอนกลางดินกินกลางทรายมาด้วยกันมาอย่างชิงชวนหรือคนอื่น ๆ หากนับตั้งแต่ที่เราได้พบรวมถึงอยู่ด้วยกัน ข้าก็คิดว่าเราผ่านอะไรมามากมายพอที่จะทำให้ข้ารู้ถึงความรู้สึกที่ตนเองมีต่อท่าน” เก้าเทียนรุ่ยมองสบสายตาเสวียนลิ่วหลางที่มองเขาด้วยความงุนงง ในดวงตามีความสับสนระคนมิแน่ใจ คล้ายจะมีคำถามตามติดมาด้วย ทำให้เขาเผลอยิ้มหวานออกไป เสวียนลิ่วหลางได้แต่ยิ้มด้วยความเขินอาย “ข้าก็มิรู้ว่าจะวางตัวเช่นไรดี พึงพอใจอยากให้เจ้าอยู่ชิดใกล้...หากก็มิอยากบังคับหากเจ้ามิเต็มใจ” “แต่ก็มิอาจทำใจได้หากจะต้องปล่อยมือ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยอย่างเข้าใจ “เมื่อยังต้องรอให้อาซวงรู้สึกเช่นเดียวกัน นอกจากข้าจะทำให้ผู้อื่นรับรู้แล้วว่าคนนี้...” เสวียนลิ่วหลางจับมือเก้าเทียนรุ่ยมาจูบขณะมองสบเข้าไปในดวงตากลมใสก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มหากเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ข้าจอง” “ตะเกียบยังต้องอยู่เป็นคู่ถึงจะใช้กินอาหารได้ หยินก็ยังคู่หยางถึงจะสมดุล เมื่อข้าพบคนที่ใช่ เหตุใดถึงต้องปล่อยมือเล่า”
ความรักไม่ผิด...เรารักเขา เขาไม่รักเรา ก็ไม่ผิด แต่การรอคอยมันย่อมมีระยะเวลาสิ้นสุดลงเมื่อ...ใจเราไม่อาจรอรักจากเขาได้อีกแล้ว มันก็ถึงเวลา...สิ้นสุดยุติการรอคอที่เลื่อนลอยไร้จุดหมาย “นั่นสิคะ หนูดาวก็งงอยู่ ทำไมถึงหนีพี่เหนือไม่พ้นสักที ตั้งแต่หนูดาวตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป พี่เหนือทำให้หนูดาวแปลกใจจนงงและสับสนไปหมด” “หือ” “ปกติพี่เหนือจะผลักไสให้หนูดาวไปไกล ๆ ชอบใช้สายตาแบบว่า...ฉันรำคาญเธอนะ เห็นหน้าเธอแล้วมันหงุดหงิดใจมาก จะไปเองดี ๆ หรือจะให้ฉันเตะโด่งเธอไป...ประมาณนี้นะคะ แต่พอหนูดาวเอาแหวนหมั้นไปคืน กลับต้องเจอกับพี่เหนือทุกวัน...และยังอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดทั้งวันเลยด้วย ขนาดคิดหนีมาทำงานที่นี่ สุดท้ายยังหนีพี่เหนือไม่พ้นเลยด้วย” “เราคงเป็นคู่เวรคู่กรรมกันละมั้ง ทำยังไงก็หนีกันไม่พ้น เสร็จงานที่นี่ เห็นทีพี่คงจะต้องจับมัดเราให้หนักกว่าเดิม” พันดาวมองแดนเหนืออย่างตื่นตะลึง เรียวปากสีชมพูอ้าค้าง “นี่พี่เหนือ...”
เพื่อน้องสาว เขาจึงหลอกลวงนำตัวเธอมา “คุณโกรธอะไรใครก็ไปเอาคืนกับคนนั้นสิ มายุ่งกับฉันทำไม ปล่อยฉันนะไอ้วายร้าย!” “เผอิญว่าฉันดันอยากได้เธอด้วยผิง ก็เธอมันขาวอวบยั่วยวนราคะใช่ย่อยนิ แค่จับลูบไล้หน่อยเดียวก็พร้อมจะร้อนเป็นไฟแล้ว” ชายหนุ่มลูบไล้ฝ่ามืออุ่นร้อนบนลำตัวกลมกลึง สะกิดเอากระดุมหลุดออกจากรางทีละเม็ดจนหมด จูบอุ่นร้อนทาบทับซุกไซ้ซอกคอขาวผ่อง “ฉันขอร้องนะคุณใหญ่...ถ้าฉันผิดจริง ฉันยอมให้คุณลงโทษได้ทุกอย่าง คุณจะย่ำยีลงทัณฑ์ฉันยังไงก็ได้ ฉันจะไม่ร้องขอความปราณีแม้แต่นิดเดียว จะไม่หนีอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน จะไม่คิดไม่เคียดแค้นคุณเลย แต่ถ้าฉันไม่ผิด คุณปล่อยฉันไปนะ...ได้โปรด” “รู้อะไรไหมผิง...ไม่มีผู้ชายคนไหนโง่ยอมปล่อยให้ผู้หญิงสวย ๆ เซ็กซี่ แล้วก็ปลุกเร้าอารมณ์ได้อย่างกับน้ำมันราดลงไปกองไฟให้หลุดรอดมือไปหรอกนะ” แต่ใครจะรู้ล่ะ...ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น จะนำสิ่งใดมาสู่เขาบ้าง เรื่องหัวใจก็ยังต้องจัดการ เรื่องการงานก็ต้องตรวจสอบหาความจริง
กฎของหมู่บ้าน ทำให้สองศรีพี่น้องต้องเร่งหา...ผัว! ให้ได้ “ตัวสั่นเชียว กลัวหรือจ๊ะฟองจ๋า” “โถ...น่าสงสารจริง เมียของผัว” มือหนาลูบไล้ผิวเนื้อนวลนุ่มลื่นขณะเดียวกันก็เกี่ยวเอาชายเสื้อของหญิงสาวดึงมันออกไปจากกายสาวก่อนจะแนบฝ่ามือลงบนทรวงอกอวบใหญ่ เสียงหวานแหบพร่าดังออกมาจากกลีบปากเล็ก “ร้องได้เลยจ้ะฟองจ๋า ผัวอยากได้ยินเสียงหวาน ๆ ของฟองที่สุด” “โถ่...จะปิดทำไมละจ๊ะสร้อยจ๋า” แม่เจ้าโว้ย! ใหญ่ฉิบหายเลย ใหญ่จนเขาอยากเห็นใกล้ ๆ อยากได้ลิ้มลองรสชาติในตอนนี้เลย “เดี๋ยวเราสองคนจะไม่เพียงแค่ได้เห็นทุกซอก...ทุกมุมของสร้อยแล้ว เราสองคนจะทั้งจับ...ทั้งเลีย แล้วก็อัดกระแทกให้ร่องสวาทของสร้อยแทบพังไปเลยจ๊ะ” ตรวนสวาทนางไพร : ใครกันแน่ที่เป็นผู้ล่า ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ แน่ใจหรือว่าแพรพลอยคือเหยื่อให้ห้าหนุ่มอย่างพวกเขาเสพสวาทอย่างเร่าร้อน “ไม่เอาอย่างนี้นะโรม...อย่าทำแพรเลยนะ” แพรพลอยร้องห้ามเสียงสั่นพร่าเมื่อรู้ว่าโรมรันจะทำอะไร ไหนจะหนุ่ม ๆ ทั้งสี่ที่ไร้อาภรณ์ปกปิด ทำให้เธอได้เห็นอาวุธของแต่ละคนที่มันช่าง...ใหญ่! ไหนจะคำพูดที่บอกก่อนหน้านี้ที่บอกว่า...จะอัดกระแทกเธอให้ยับ! ทำเอาเธอถึงกับกับหวาดหวั่นไม่ใช่น้อย ยิ่งตอนนี้ทุกคนได้มายืนล้อมรอบเธอแล้วด้วย “พี่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหมจ๊ะ...ที่น้องแพรบอกว่าอย่าช้า ให้พวกเรารีบเอาน้องแพรเร็ว ๆ นะ”
เพียงแค่เห็นหน้า เขาก็ถูกใจแล้ว แม้เธอจะมีลูกติดมา เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อย ยังคงตามเอาใจลูกสาวตัวน้อยและจีบเธออย่างไม่ลดละ “เย้ เย้ แม่เอาอีกหนุก หนุก เอาอีก เอาอีก” โซดาเริ่มลุยน้ำลงไปกอบทรายที่เปียกน้ำใส่ศีรษะอันนิโต้เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด สิมิลันหัวเราะจนท้องแข็ง อันโตนิโอ้เอาคืนคนอารมณ์ดีด้วยการกอบทรายเปียกใส่ร่างบางบ้าง “ว้าย! เล่นอะไรนะคุณสกปรกจะตาย” “อ้าวที่คุณกับลูกทำผมล่ะ นี่แนะ” มือใหญ่ขยี้ผมบนศีรษะสิมิลัน โซดาเริ่มเอาอย่างสองมืออวบขยี้ผมบนศีรษะมารดาและศีรษะตัวเองจนยุ่งเหยิงและเปียกชื่น แล้วยืนหัวเราะเสียงใสแจ๋ว ดวงตาเป็นประกายสดใส ยิ้มจนเห็นฟันในปากแทบทุกซี่ “ไม่เลิกใช่ไหมคุณเอ โซดารุมพ่อเอเลยลูก” สองมือเล็กเรียวผลักร่างใหญ่ลงนอนบนพื้นทราย พร้อมกอบทรายเปียกชื้นละเลงบนกายแข็งแกร่ง สองแรงแข็งขันสองมือรุมกอบทรายละเลงบนกายหนาใหญ่จนเปียกชื้น ยังไม่พอสองนิ้วเล็กๆ จี้ไปเอวหนาจนชายหนุ่มหัวเราะท้องแข็ง โซดาเองก็เอาอย่างคนเป็นแม่ มือใหญ่ทั้งห้านิ้วจี้เอวแข็งแกร่ง อันโตนิโอ้ก็ไม่ยอมแพ้ มือใหญ่จี้เอวสองแม่ลูกกลับบ้าง เสียงหัวเราะของสองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กดังลั่นหาดทรายสีขาว
เซิ่งหนานหยินเกิดใหม่แล้ว ชาติที่แล้ว เธอถูกชายชั่วหักหลัง ถูกชายเสแสร้งใส่ร้าย โดนครอบครัวสามีเล่นงาน จนทำให้เธอล้มละลายและเป็นบ้าไป ในท้ายที่สุด เธอเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ 9 เดือน แต่คนร้ายกลับทำเงินได้มากมาย และใช้ชีวิตทั้งครอบครัวอย่างมีความสุข เกิดใหม่ครั้งนี้ เซิ่งหนานหยินคิดตกอล้ว อะไรที่ว่าพระคุณช่วยชีวิต คนรักในใจอะไรกัน ล้วนไม่ต้องไปสน เธอจะจัดการชายชั่วหญิงร้าย สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลเก่าของตนเองขึ้นมาใหม่อีกครั้งและนำตระกูลเซิ่งไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ คนที่หยิ่งมาตลอดในชาติที่แล้ว กลับเป็นฝ่ายริเริ่มมาหาเธอ "เซิ่งหนานหยิน การแต่งงานครั้งแรกผมไม่ทัน การแต่งงานครั้งที่สองก็ต้องถึงคิวผมแล้วสินะ"
เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"
ตลอดระยะเวลาสามปีของการแต่งงาน เธอรู้สึกสิ้นหวัง ที่ถูกบังคับให้เซ็นใบหย่า ทั้งๆที่เธอกำลังท้อง เธอใจสลายกับความไร้มนุษยธรรมของเขา กระทั่งเธอออกไปจากชีวิตของเขา เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเธอคือรักแท้ของเขา ไม่มีวิธีใดที่จะเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของเธอให้หายขาดได้ เขาจึงมอบความรักทั้งหมดของเขาให้แก่เธอเพื่อชดเชย
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
ตลอดระยะเวลาสามปีที่หยุยเอินแต่งงานกับฝู้ถิงหย่วน เธอพยายามทำหน้าที่ภรรยาให้ดีที่สุด เธอคิดว่าความอ่อนโยนของตนจะสามารถละลายใจที่เย็นชาของฝู้ถิงหย่วนได้ แต่ต่อมาเธอก็รู้ตัวว่าไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน ผู้ชายคนนี้ก็ไม่มีวันจะตกหลุมรักเธอได้ ด้วยความสิ้นหวังของเธอ สุดท้ายเธอตัดสินใจที่จะยุติการแต่งงานครั้งนี้ ในสายตาของฝู้ถิงหย่วน หยุยเอิน ภรรยาของเขาเป็นผู้หญิงที่โง่ ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าภรรยาของเขาจะกล้าโยนใบหย่าใส่เขาต่อหน้าคนมากมายในงานเลี้ยงวันครบรอบฝู้ซื่อ กรุ๊ป หลังจากหย่าร้าง ทุกคนต่างคิดว่าพวกเขาจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป แต่เรื่องราวระหว่างทั้งสองคงไม่ได้จบลงอย่างง่าย ๆ แบบนี้ หยุยเอินได้รับรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และคนที่เป็นผู้มอบถ้วยรางวัลให้กับเธอก็คือฝู้ถิงหย่วน หยุยเอินคิดไม่ถึงว่าผู้ชายที่สูงส่งและแสนเย็นชาคนนี้จะลดตัวลงอ้อนวอนเธอต่อหน้าผู้ชมทั้งหมด"หยุยเอิน ก่อนหน้านี้คือผมผิดเอง ขอโอกาสให้ผมอีกครั้งได้ไหม"หยุยเอินยิ้มด้วยความมั่นใจ"ขอโทษนะคุณฝู้ ตอนนี้ฉันสนใจแต่เรื่องงาน"ชายหนุ่มคว้ามือเธอไว้ ดวยตานั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง หยุยเอินสบัดมือเขาและเดินจากไปโดยปราศจากความลังเลใด ๆ