การไม่ต้องพบเจอกันเป็นเรื่องดีที่สุด จะได้ไม่ต้องเพิ่มความทรงจำ เพราะคนที่จำ เจ็บเสมอ...
การไม่ต้องพบเจอกันเป็นเรื่องดีที่สุด จะได้ไม่ต้องเพิ่มความทรงจำ เพราะคนที่จำ เจ็บเสมอ...
รัมภาดาในชุดเจ้าสาวเปิดประตูแล้วก้าวเท้าออกจากตัวรถ ร่างเล็กเดินตรงไปยังบ้านหลังใหญ่ที่ก่อสร้างใกล้จะเสร็จในอีกไม่ช้า แล้วมันก็กำลังจะกลายเป็นเรือนหอของเธอ...
ดวงตากลมโตจ้องไปยังสิ่งปลูกสร้างสูงสามชั้นนั้นแล้วกัดฟันกรอด รวบชายกระโปรงสีขาวที่ยาวเฟื้อยขึ้นสูงเพื่อจะได้เดินถนัด ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปด้านใน
“ฉันมาแล้ว... ต้องการอะไรก็บอกมา...” หญิงสาวกดสวิตช์เปิดไฟจนด้านล่างของบ้านสว่างโร่ สายตากวาดมองไปรอบๆ แต่กลับไม่เป็นอย่างที่ใจคิด เธอจึงมองขึ้นไปยังชั้นบนที่ยังมืดสลัว แล้วตะโกนเรียกหาใครบางคนอีกครั้ง
“แกอยู่ไหน ออกมาเดี๋ยวนี้ ฉันไม่มีเวลาเล่นตลกกับแกมากนักหรอก ไอ้เศษสวะ” แต่ทุกอย่างยังเงียบสงัด ประหนึ่งว่าเธอกำลังอยู่เดียวดายในบ้านหลังใหญ่ และใครคนที่นัดพบกับเธอนั้น เขาไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง
รัมภาดายิ่งออกอาการโกรธจัด กระทืบเท้าขึ้นบันไดไปยังด้านบน ไล่เปิดไฟทุกดวง ส่งเสียงก่นด่าเกรี้ยวกราด และเดินไปทั่วด้วยความร้อนใจ จนรู้สึกเหนื่อย... แต่ไม่มีอะไรตอบสนองกลับมาเลย ทำให้หญิงสาวคิดว่าตัวเองคงกำลังถูกปั่นหัวเข้าให้เสียแล้ว มันทำให้เธอยิ่งเป็นฟืนเป็นไฟ
“ไอ้สารเลว... มันหลอกเรา เสียเวลาจริงๆ” คิดได้ดังนั้นเธอก็ไม่นึกอยากจะขึ้นไปสำรวจยังชั้นสามของบ้านต่อ แต่ตัดสินใจเดินลงบันไดด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียด โดยไม่ได้ปิดไฟแม้แต่ดวงเดียว
สองมือเล็กผลักประตูบ้านด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว แต่มันกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย นั่นทำให้เธอรู้สึกแปลกใจ และออกแรงผลักอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้น... ทำไมประตูเปิดไม่ออก” คราวนี้เธอลองใช้กำปั้นทุบจนเจ็บมือทั้งสองข้าง แต่ก็ยังไม่ได้ผล ดรุณีน้อยเริ่มหวั่นใจ ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่เรื่องปกติเสียแล้ว เหมือนกับมีใครล็อกประตูบ้านจากด้านนอก ทำให้ไม่สามารถเปิดออกได้
“แกใช่ไหมไอ้บ้า... เปิดประตูให้ฉันเดี๋ยวนี้นะ เปิดเดี๋ยวนี้!” รัมภาดาตะโกนลั่น แต่ก็ยังคงได้ยินเพียงเสียงของตัวเอง เธอเริ่มเครียดกับสงครามประสาทของอีกฝ่าย
“กระเป๋ากับโทรศัพท์ก็อยู่ในรถ โธ่เอ๊ย...” เพราะความใจร้อนทำให้ตอนออกจากรถมาเธอไม่ได้หยิบอะไรติดมือมาด้วยเลย และคิดว่าทุกอย่างคงจะจบง่ายๆ เพียงแค่การเจรจาเรื่องเงินๆ ทองๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้นเสียแล้ว คนที่นัดเธอมากำลังยั่วโมโหให้เธอเป็นบ้า
โครม!
“กรี๊ด!” แล้วจู่ๆ ของบางอย่างจากชั้นบนก็ล้มลงกระทบกับพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่นติดๆ กันหลายครั้ง รัมภาดาเต้นเร่า กรีดร้องอยู่ตรงหน้าประตูบานนั้นด้วยความตกใจและตื่นกลัว... ใช่... ตอนนี้เธอกลัวจนหายใจแรงและหัวใจเต้นผิดจังหวะ ด้วยไม่ได้คาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์บ้าๆ อย่างนี้เกิดขึ้น
“แกจะทำอะไร... อยากได้เงินไม่ใช่เหรอ ออกมาสิ... ออกมาคุยกัน ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นของแกนะ” สายตาหวาดหวั่นมองไปรอบๆ ด้วยความหวาดระแวง สองมือกอดตัวเองเอาไว้โดยอัตโนมัติ ตามสัญชาตญาณของคนที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ไม่น่าไว้ใจ
เธอลองผลักประตูอีกครั้ง เมื่อยังไม่ได้ผล หญิงสาวจึงตัดสินใจวิ่งกลับขึ้นไปบนชั้นสอง เพราะลนลานจนทำอะไรไม่ถูก คิดว่าหากขึ้นไปหลบในห้องคงจะปลอดภัยกว่าอยู่ในตัวบ้านโล่งๆ แบบนี้ แต่แล้ว...
“กรี๊ด!”
ไฟทุกดวงพลันดับพรึ่บลงเมื่อเธอพ้นบันไดขึ้นไปถึงชั้นสองของบ้านอย่างที่ตั้งใจ หญิงสาวนั่งทรุดลงกับพื้นด้วยความตกใจกลัว ก่อนจะรีบรวบรวมสติเพื่อหาทางเอาตัวรอดจากเหตุการณ์นี้ไปให้ได้
กึก... กึก... กึก...
เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา หญิงสาวหันกลับไปมองและหยุดชะงัก ในตอนนี้เธอไม่ควรเปิดเผยตัว ไม่ควรอยากพบกับใครแล้ว ต่อให้มีความจำเป็นแค่ไหนก็ตาม เพราะอีกฝ่ายอาจตลบหลัง คิดปองร้ายเธออยู่ก็ได้ ถึงได้สร้างสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมา เธอกำลังตกอยู่ในอันตรายมากกว่าจะเป็นผู้ต่อรอง...
รัมภาดาพอจะจำได้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ตรงจุดไหน ก็รีบคลำหาตู้โชว์ใบใหญ่แล้วค่อยๆ เดินย่องไปนั่งหลบอยู่หลังตู้ใบนั้น นึกโกรธตัวเองที่รีบร้อนออกจากโรงแรมมา ทั้งที่กำลังลองชุดแต่งงานครั้งสุดท้ายยังไม่เสร็จด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายถึงขนาดอาจทำให้งานแต่งวันพรุ่งนี้มีปัญหาได้ จึงอยากเคลียร์ให้จบๆ ไป
เพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำของไอ้คนสารเลวคนนี้ ก็อาจสร้างความปั่นป่วนให้กับครอบครัวของเธอได้หากทำนิ่งเฉย... แล้วสักวัน เธอจะต้องกำจัดเสี้ยนหนามที่คอยเสียดแทงใจให้กลัดหนองนี้ออกจากชีวิตให้ได้
แต่เธอคงคิดง่ายเกินไปว่าเรื่องจะจบลงด้วยการจ่ายเงิน ดูเหมือน ‘มัน’ จะต้องการมากกว่านั้น ถึงได้พยายามทำให้เธอกลัว และมันก็ได้ผล ตอนนี้จิตใจของเธอสั่นคลอนไปหมด
บ้านทั้งหลังมืดมิด ประตูบ้านถูกปิดจากด้านนอกจนเธอไม่สามารถหาทางออกไปได้ โทรศัพท์ก็อยู่ในรถ ไม่ได้นำติดตัวมาด้วย จึงไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากใคร ทุกอย่างประจวบเหมาะราวกับถูกวางแผนเอาไว้ ในตอนนี้ที่ทำได้ก็คือต้องซ่อนตัวให้รอดพ้นไปจนถึงวันพรุ่ง หรือจนกว่าจะติดต่อใครได้สักคน
เสียงฝีเท้านั้นเดินผ่านไปแล้ว และ ‘มัน’ ก็กำลังตามหาตัวเธออยู่
ต้องรอ... บอกกับตัวเองให้ใจเย็นๆ ในบ้านหลังใหญ่ที่มืดสลัวทุกทิศทาง อีกฝ่ายก็คงมีปัญหากับการมองเห็นเช่นกัน เพียงซ่อนตัวไม่ให้ถูกพบจนกว่าจะหาทางออกไปจากที่นี่ได้ ทุกอย่างก็เรียบร้อย รัมภาดา... ทุกอย่างจะต้องจบลงด้วยดี... “โทรศัพท์...” เธอพึมพำกับตัวเองด้วยความงุนงง เมื่อจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียกเข้าซึ่งแน่ใจว่ามาจากโทรศัพท์มือถือของเธอเอง “เป็นไปได้ยังไง ก็เราวางไว้ในรถ...” เธอไม่ได้หลงลืมไปแน่ๆ จนกระทั่งเสียงนั้นเงียบไปแล้ว หญิงสาวก็ยังนั่งอยู่ที่เดิมจนแน่ใจว่าเสียงเดินของผู้บุกรุกหายลับไปทางอื่นแล้ว จึงลุกย่อง ค่อยๆ คลำทางไปยังห้องนอนอันเป็นที่มาของเสียง ก่อนจะเปิดประตูแล้วรีบมองหา พยายามคิดในแง่ดีว่าคนงานที่มาทำบ้านอาจลืมโทรศัพท์ทิ้งไว้ แต่ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ของใคร มันก็เป็นทางรอดของเธอในเวลานี้
“อยู่ตรงไหนกันนะ...” ขณะนั้นเสียงโทรเข้าก็ดังขึ้นอีก เธอกวาดสายตามองไปตามเสียง “ตรงนั้นเอง ที่ระเบียง...” ร้องออกมาด้วยความดีใจ แล้วรีบก้าวเดินตรงไปยังอุปกรณ์สื่อสารที่เป็นที่มาของเสียง
ยังไม่ทันถึงที่ ทันใดนั้นลมก็พัดโชยเข้ามากระทบผิวเนื้อจนเย็นเฉียบ ร่างเล็กในชุดเจ้าสาวชะงักเล็กน้อย เพราะสิ่งทำให้เธอแปลกใจ ไม่ใช่เรื่องที่ว่าทำไมประตูระเบียงห้องนอนถึงเปิดค้างอยู่ แต่เป็นเพราะโทรศัพท์ที่วางอยู่บนพื้นระเบียงเครื่องนั้นเป็นโทรศัพท์ของรัมภาดาจริงๆ
ทำไมมันจึงไปอยู่ที่นั่นได้...
หญิงสาวไม่มีเวลาจะสงสัยอีกต่อไป สองเท้ารีบก้าวตรงไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่หน้าจอยังส่องแสงสว่างวาบ พร้อมกับเสียงเรียกเข้าที่บรรเลงอย่างต่อเนื่อง
แต่เมื่อได้เห็นเบอร์โทรที่ปรากฏอยู่บนนั้น ดวงตากลมโตก็ต้องเบิกโพลง ก่อนสัญชาตญาณจะสั่งให้หันหลังกลับไปมองเงาร่างของคนที่มายืนซ้อนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“แก! ไอ้...”
ตุ้บ!
แรงปะทะที่หนักหน่วง กระแทกเข้าหาอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้ในหัวของรัมภาดาอึงอลไปหมด ก่อนจะรู้สึกตัวว่าร่างกายของเธอกำลังพลิกหงายไปทางด้านหลัง
“กรี๊ด!”
ในค่ำคืนอันมืดมิด... เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวสุดขีดดังก้องอยู่กลางอากาศเวิ้งว้าง ร่างในชุดเจ้าสาวลอยละลิ่วลงมากระแทกพื้นอย่างแรง ก่อนจะกระตุกสองสามครั้งด้วยความเจ็บปวดแล้วแน่นิ่งไป ปล่อยให้เลือดค่อยๆ ไหลออกมานองพื้น จนชุดแต่งงานสีขาวเปรอะเปื้อนเป็นสีแดงฉาน ไม่มีโอกาสได้สวมใส่มันอีกครั้ง ในวันสำคัญที่แท้จริง ตลอดกาล...
"ไสหัวจากบ้านฉันซะ! แล้วไม่ต้องกลับมาอีกที่นี่ไม่ต้อนรับกาลกิณีที่มีเลือดชั่วๆ อย่างเธอ" "พี่อาร์ม...ปล่อยนะคะพี่อาร์มเป็นบ้าไปแล้วเหรอ นี่มันดึกแล้วจะให้จันทร์เจ้าไปไหนคะ" หล่อนรู้ดีว่าเขาพูดจริงทำจริง ใจดวงน้อยแปลบปลาบหวิวเหมือนจะหลุดลอยไปตามแรงลากดึง อุตส่าห์หลบลี้หนีหน้าไม่ออกไปให้เขาเห็นวายยังถูกตามรังควาญจนได้ และที่สำคัญเขากำลังผลักไสหล่อนออกไปทิ้งข้างถนนหน้าบ้าน "อย่ามาเรียกฉันว่าพี่...ฉันไม่เคยคิดจะนับญาตินับเชื้อกับผู้หญิงกาลกิณีอย่างเธอ อย่าคิดว่ามีคุณแม่ให้ท้ายแล้วจะตีเสมอเป็นเจ้าของบ้านคนนึงได้นะ เพราะต่อไปนี้เธอ! ไม่ต้องเข้ามาเหยียบบ้านฉันอีกแล้ว จะไปไหนก็ไป!!!" ปัง! "ว้าย! พี่อาร์ม!!" ร่างเล็กถูกเหวี่ยงจนกระเด็นติดประตูรั้วที่ยังปิดสนิท แล้วยืนเท้าสะเอวทะมึงถึงจ้องหล่อนราวเป็นสัตว์เดรัจฉานน่ารังเกียจนักหนา "ออกไปซะ...ไม่มีเธอสักคนที่นี่คงสงบสุขมากขึ้น อีกหน่อยฉันจะแต่งงานพาเมียมาอยู่ที่นี่! ฉันไม่เห็นความจำเป็นว่าจะต้องเลี้ยงลูกเมียน้อยอย่างเธอไว้เป็นหอกข้างแคร่ทำไม" พรพระจันทร์น้ำตาไหลทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจจะร้องไห้ หัวอกของหล่อนแน่นจุกกับคำถาถางด่าทอต่างๆ นาๆ ที่เขาสรรหามาพ่นพูด ชายหนุ่มจะรู้บ้างไหมว่าหล่อนก็ไม่ได้อยากเกิดมาเป็นแบบนี้ ถ้าเลือกได้หล่อนคงไม่อยากมีชีวิตอยู่เป็นภาระ เป็นตัวปัญหาของใครหรอก....
"รัก" คำที่ไร้ซึ่งตัวตนไม่สามารถจับต้องได้แต่กลับสร้างความสะท้านสะเทือนให้กับทุกคนที่หลงเข้าสู่ห้วงวังวนนั้น ไม่ได้ต่างจากเธอ หญิงสาวซึ่งถูกลวงล่อผูกมัดให้หลงอยู่กับความงดงามเพริดแพร้วหฤหรรษ์ โดยหารู้ไม่ว่าอีกด้านของมันที่มืดมิดทมิฬและเต็มไปด้วยการทำลายล้างจะเผาผลาญเธอให้เหลือเพียงเถ้าธุลีในวันหนึ่ง... เมื่อปฐมบทแห่งการล้างแค้นเปิดฉากขึ้น ความรักอันสวยหรูหวานล้ำ เสน่หาที่ตรึงใจไว้กับร่างกายซึ่งเคยหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกลับกลายเป็นเพียงมายาที่ไร้ซึ่งความความจริงใจ ความเจ็บปวดรวดร้าวจึงมาเยือน "อรุโณรีย์ วรวงค์นุเดช" หญิงสาวผู้บริสุทธิ์ เพราะเธอเป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่ถูกชายหนุ่มรูปงามนามทอเลเมียส นิโคไลคัส หลอกใช้เป็นเครื่องมือให้คอยประหัตประหารบิดาของเธอเอง ท่ามกลางความพยาบาทที่ร้อนระอุ แม้แต่เสน่หาที่เคยเพียรป้อนให้กันก็ไม่สามารถดับกระหายความแค้นที่ทับถมอยู่ในใจของชายหนุ่มให้บรรเทาเจือจาง
ผมไม่มีเหตุผลว่าทำไมถึงรักคุณ หัวใจสั่งให้รัก ผมก็รัก ...หรัญย์... ____________ ว่ากันว่า...หากหญิงสาวคนใดได้รับช่อดอกไม้เจ้าสาว หรือช่อบูเก้ในงานแต่งจะได้สละโสดเป็นคนต่อไป แต่ไม่เคยมีใครบอกหล่อนเลยว่า ผู้หญิงที่รับช่อบูเก้ของหล่อนได้ จะได้ว่าที่ผัวหล่อนไปด้วย!! ชีวิตต้องพลิกผันในชั่วข้ามคืน เมื่อเจ้าสาวหม้ายขันหมากอย่างณธิดาต้องหอบหิ้วหัวใจอันบอบช้ำอุ้มขวดเหล้าทั้งชุดเจ้าสาวซัดเซพเนจรหนีอดีตคนรักสุดโฉดที่ไม่โสดอย่างปากว่า เพราะมีทั้งเมียทั้งลูกมาเดินร่อนรื่นในงานแต่งที่หล่อนควรเด่นหรูที่สุด แต่กลับถูกแย่งซีนจนชุดแพงหมดแสงออร่า แล้วใครจะทน! ความเมาและบ้าบิ่นทำให้ณธิดาพบชายรูปงามท่ามกลางแสงดาวแสงเดือนและคลื่นทะเล หล่อนจึงบอกเขาว่าเมาจนความจำเสื่อมเพื่อให้เขาเอ็นดูอุปการะ ตั้งใจหันหลังให้รักครั้งเก่าที่น้ำเน่าจนเหม็นเขียว หลบลี้หนีหน้าผู้คนมาซบอกพ่อค้าผู้น่ากินกว่าลูกชิ้นปิ้งที่เขาขาย แต่กลายเป็นว่าหล่อนกลับถูกเขากิน! นัวๆ และตั้งชื่อใหม่ตามสินค้าหน้าร้านให้ว่า ‘ลูกชิ้น’ หรัญย์เป็นผู้ชายใจดี รักหมารักแมวและรักโลก ที่สำคัญ...เขาชอบกินลูกชิ้นเป็นชีวิตจิตใจ
เนื้อทองเป็นกำพร้าแม่ตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ พออายุได้สามขวบพ่อก็พาเข้ามาทำงานที่ไร่ของนายจ้างเก่าซึ่งผันตัวเองจากผู้รับเหมามาทำปลูกผลไม้ปลูกพืชเกตษรส่งออก เด็กสาวถูกเลี้ยงดูโดยผู้ชายตัวโตๆ ก็คือพ่อเพียงลำพัง ได้รับความเมตตาจาก 'นายใหญ่' และ 'นายผู้หญิง' เป็นอย่างดีเพราะเป็นเด็กฉลาด ช่างพูด พออายุได้หกขวบเจ้าของไร่ก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่ อัศเวทย์หรือนายแทนลูกชายคนเดียวจึงต้องกลับมาจากเมืองนอกกลางคันทั้งที่ยังเรียนไม่จบเพื่อสานต่อความตั้งใจของบิดามารดา ดูแลไร่แห่งนี้ในฐานะเจ้าของไร่คนใหม่อย่างเต็มตัว เนื้อทองเติบโตมาท่ามกลางสังคมของชาวไร่ชาวสวนที่เป็นผู้ชายเสียส่วนใหญ่ หล่อนจึงไม่ใคร่เรียบร้อยนัก กะโหลกแก่นแก้ว แต่ก็มีความอดทนสูงเหมือนพ่อ หล่อนเรียนรู้ทุกอย่างมาจากผู้ให้กำเนิด จนกระทั่งเมื่ออายุได้สิบสองปี พ่อก็พาหล่อนระหกระเหินไปยังถิ่นฐานอื่นอีกครั้ง เนื้อทองไม่อยากจากไร่ ไม่อยากจากทุกคนที่หล่อนรักไปเลย แต่ก็จำใจต้องตามบิดาที่มีเหตุผลส่วนตัวในการจากไปหนนั้น แต่แล้วหกปีต่อมา 'นายแทน' ก็ตามหาตัวหล่อนและพ่อให้กลับมาทำงานในตำแหน่งหัวหน้าคนงานอีกครั้ง ...พ่อก็ยอมเพื่ออนาคตของหล่อน กลับมาคราวนี้อะไรหลายๆ อย่างเปลี่ยนไป นายแทนแต่งงานกับอดีตพยาบาลสาวสวยชื่อพี่หม่อน พี่สาวใจดีที่นิสัยต่างจากนายราวฟ้ากับเหว พี่หม่อน...คือนางฟ้าแสนดีสำหรับเนื้อทอง แต่พี่หม่อนสุขภาพไม่ค่อยดีนายจึงหวงและเป็นห่วงมาก นายรักพี่หม่อน พี่หม่อนก็รักนาย ส่วนเนื้อทอง...เป็นเด็กที่สร้างแต่ความรำคาญหูรำคาญตาให้นายอยู่เสมอจนถูกดุอยู่ร่ำไป แต่ก็ได้พี่หม่อนคอยปกป้องเสมอ การมีพี่หม่อนเป็นช่วงชีวิตที่เนื้อทองรู้สึกมีความสุขที่สุด แต่ความสุขสำหรับหล่อนมันไม่เคยยั่งยืน วันหนึ่งพี่หม่อนก็จากไป...พร้อมๆ กับความเกลียดชังของนายแทนที่มีต่อหล่อนก็ได้ก่อตัวขึ้น เขาพร้อมที่จะทำลายหล่อนเพื่อบรรเทาความคับแค้นในใจอยู่ทุกเวลา... -------------- -------------- “ท้องไส้อยู่ไม่ใช่เหรอ ทำตัวเป็นลิงเป็นค่างให้ดีเถอะ ลูกฉันเป็นอะไรขึ้นมาเธอเดือดร้อนแน่เนื้อทอง” “...” หล่อนอ้าปากค้าง ใจเต้นระส่ำกับคำพูดของแทน เมื่อคืนหล่อนไม่ได้ถามหมอพงศ์ว่ามีใครบ้างที่รู้เรื่องการตั้งครรภ์ของหล่อนบ้าง แต่ตอนนี้คงไม่ต้องหาคำตอบแล้ว เพราะนอกจากแทน...ก็ไม่มีใครน่ากังวลอีก หรือจะมีก็คงเป็นพ่อของหล่อน ซึ่งเนื้อทองยังไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไรดีเมื่อพ่อกลับมา “ถ้ารอดจากกระท่อมร้างท้ายสวนนั้นมาได้...ก็คงไม่เป็นไรแล้วล่ะค่ะ” แม้จะเป็นประโยคสั้นๆ แต่มันก็แฝงไว้ด้วยความขมขื่นมากมาย ตลอดสามเดือนที่หล่อนต้องอดทนอยู่ที่นั่น มันเหมือนกับโลกอีกโลกหนึ่งที่ถูกตัดขาดจากทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนหล่อนไม่ใช่คน... “...” แทนมองด้วยสายตาไม่พอใจนัก แต่ไม่ได้ตอบโต้อะไร “อีกอย่างนะคะนาย ลูกเป็นของเนื้อทองคนเดียวค่ะ” พูดจบหล่อนหันหลังให้เขาแล้วเดินออกจากไป แต่แทนก็คว้าต้นแขนรั้งเอาไว้เสียก่อน “ถึงจะไม่ได้นอนกับเธอแบบนับไม่ถ้วน แต่ฉันก็มั่นใจว่าที่ลูกไปอยู่ในท้องเธอได้เพราะฉันทำ และฉันไม่ใช่คนไร้ความรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นอย่าแม้แต่คิดทำอะไรโง่ๆ เพราะฉันไม่ยอมแน่”
เมื่อเพื่อนรักที่ไว้ใจแอบทรยศคบกับชายที่ตนรัก และชายที่ตนรักกลับรังเกียจตนจนไม่แม้แต่จะแตะต้องเนื้อตัวเธอ สิ่งที่เธอทำได้คือต่างคนต่างอยู่ แต่ในวังหลังแห่งนี้เธอจะทำอย่างนั้นได้จริงหรือ? ตัวอย่างเนื้อเรื่อง “เจ้ามีอันใดจะกล่าวหรือไม่... สนมหลี่กุ้ยเฟย” น้ำเสียงราบเรียบก่อนจะเน้นที่ละคำในประโยคท้ายอย่างหนักแน่น “ฮองเฮาแน่ใจแล้วหรือเพคะ ว่าจะให้หม่อมฉันทูลทุกอย่างต่อหน้าข้าราชบริพารเหล่านี้ หากมีข่าวแพร่ออกไปอีก ฮองเฮาทรงทนฟังคำนินทาเหล่านั้นได้หรือไม่” หลี่ฟางซินกล่าวพร้อมยิ้มอ่อนๆ หลี่ฟางซินย่อมรู้ดีว่าเย่วลี่อิงคงได้ยินคำนินทาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้วจึงได้พูดเน้นย้ำ หวังจะกระตุ้นให้นางลงมือทำร้ายตน “คำนินทาเรื่องใดกัน เรื่องที่เจ้าเป็นนางอสรพิษนะหรือ เหตุใดเราจะทนฟังไม่ได้เล่า” เย่วลี่อิงตรัสพร้อมยักไหล่อย่าไม่แยแส มีหรือเย่วลี่อิงจะดูไม่ออกว่า ข่าวลือที่แพร่ออกไปนั้นมาจากผู้ใด หากเป็นแต่ก่อนนางย่อมไม่คิดว่าเป็นสหายคนสนิทของนางเป็นแน่ แต่บัดนี้นางรู้แล้วว่าหญิงที่ยืนตรงหน้านางหาใช่สตรีอ่อนหวานแสนดีอย่างที่นางรู้จักไม่ “หม่อมฉันเป็นนางอสรพิษตั้งแต่เมื่อใดกันเพคะ หม่อมฉันและฝ่าบาทมีใจรักใคร่กันมาเนิ่นนาน หากไม่ใช่เพราะฮองเฮาใช้ความดีของท่านแม่ทัพทูลขอให้ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานงานแต่ง วันนี้ตำแหน่งฮองเฮาก็ไม่แน่ว่าจะเป็นของใคร” “เจ้านางแพศยา หากเจ้ามีใจให้ฝ่าบาท แล้วทำไมไม่บอกข้า ยังแสดงแกล้งเป็นแม่สื่อนำของที่ข้ามอบให้ฝ่าบาท ฝากผ่านพี่ชายเจ้าช่วยมอบของให้ฝ่าบาทแทนข้า” เย่วลี่อิงเริ่มพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง “ของอันใดกันเพคะ หม่อมฉันไม่เคยนำของ ของพระองค์มอบให้ฝ่าบาทเลยนะเพคะ ยิ่งให้พี่ชายช่วยส่งแทนให้ยิ่งมิเคย” น้ำเสียงเยาะเย้ยบวกกับรอยยิ้มยียวนของหลี่ฟางซินทำให้เย่วลี่อิงหัวเสียมากขึ้น “นี้เจ้าเอาของของเราไปทิ้งอย่างนั้นหรือ” “ฮองเฮาพูดถึงเรื่องอะไรเพคะ หม่อมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย พระองค์อย่าได้ใส่ความหม่อมฉันสิเพคะ” “นี้เจ้า”
นางเจ็บปวดปางตายเมื่อเขาโยนร่างบอบช้ำทิ้งไว้หลังจวนโดยไม่แยแส เมิ่งลี่เฟยน้ำตาไหลพรากทว่ากลับไม่ทำให้คนที่เพิ่งเหยียบย่ำร่างกายเล็กเห็นใจแต่ประการใด"เฝ้านางเอาไว้ให้ดีอย่าให้ออกมาทำเรื่องชั่วอีก"
เมื่อผู้หญิงที่เพื่อนๆ ตั้งสมญานามว่าแม่ชีอย่างเธอจับพลัดจับผลูต้องมาเจอกับผู้ชายหน้านิ่งที่เอะอะกอด เอะอะจูบอย่างเขา อา…แล้วพ่อคุณก็ดันเป็นโรคนอนไม่หลับ จะต้องนอนกอดเธอเท่านั้นด้วย แบบนี้เธอจะเอาตัวรอดได้ยังไงล่ะ “ชอบอาหารเหนือไหม” “ชอบมากเลยคุณ ให้กินทุกวันยังได้เลย” “มากพอจะอยู่ที่นี่ไหม” “แค่กๆๆ” …………… …………………………………………………………………………………………………………………………. “คุณ! เอากระบอกไฟฉายออกไปวางที่อื่นก่อนได้ไหม มันดันหลังฉัน ฉันนอนไม่หลับ” คนที่ใกล้จะหลับบอกเสียงอู้อี้ “เอ้อ! ไม่มีนี่” เขาบอกเสียงอึกอัก “มันจะไม่มีได้ไง ก็มันดันหลังฉันอยู่เนี่ย” เธอมั่นใจว่ามีแน่ๆ ก็หลักฐานมันทนโท่ขนาดนี้ “อืม! นอนเถอะ ไม่มีหรอก” “จะไม่มีได้ไง ก็นี่ไง” คุณเธอยืนยันด้วยการคว้าหมับเข้าให้ พร้อมหันกลับมา หวังงัดหลักฐานที่อยู่ในมือมาพิสูจน์ให้ได้เห็นกันจะๆ คาตา แต่… ตึก ตึก ตึก อา…! ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่คาตา แต่ยังคามือเธอด้วย เธออ้าปากตาค้างราวกับกำลังตกตะลึงสุดขีด ก่อนจะก้มมองไอ้ที่คิดว่าเป็นกระบอกไฟฉายในมือสลับกับเงยหน้ามองเขา จากนั้นก็… “กรี๊ด…!” เธอร้องลั่นพร้อมกับยื่นเท้าถีบออกไปสุดแรง ตุบ! คนไม่ทันตั้งตัวร่วงตุ้บลงไปบนพื้น ครั้นพอจะลุกขึ้น คุณเธอก็ตะโกนเสียงดังลั่นขึ้นมาอีก “หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะไอ้คนลามก คนเลว คุณมันทุเรศที่สุด คุณให้ฉันจับไอ้นั่นของคุณ มัน…อี๋…! เธอพูดพลางทำท่าขยะแขยง แล้วมาส่องกระบอกไฟฉายพ่อเลี้ยงพร้อมกันนะคะ
เนี่ยหลิง ตายแบบ งงๆ และได้ไปเกิดใหม่แบบ งงๆ ในโลกลมปราณของผู้ฝึกตนและพร อีก สอง ข้อ พร้อมธนู และลูกธนูหนึ่งชุด แหวนมิติเก็บของหนึ่งวง อย่าถามหา เหตุผล ว่าทำไม เนี่ยหลิงก็ไม่รู้เช่นกัน หวังว่า มันจะดี
อดีตนักฆ่าสาวอันดับหนึ่ง ผู้มีใจคอโหดเหี้ยมได้ทะลุมิติอยู่ในร่างสาวน้อยรูปโฉมอัปลักษณ์ ที่ทุกคนต่างสาปส่งและรังแกสารพัด!
หนูน้อย"อ้ายหลาน"เกิดมาพร้อมกับพลังพิเศษไม่เหมือนใคร แม้นางจะเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ แต่นางก็มีพลังมหาศาลสามารถยกกระสอบข้าวด้วยมือเดียว ก้อนหินสิบคนโอบนางก็สามารถยกทุ่มได้อย่างง่ายดาย และจมูกนางไวต่อกลิ่นยิ่งนักแม้สิ่งนั้นจะอยู่ไกลเพียงใดโดยเฉพาะอาหาร นางมีจมูกที่พิเศษสามารถแยกแยะสิ่งมีพิษและไม่มีพิษได้
© 2018-now MeghaBook
บนสุด