"รัก" คำที่ไร้ซึ่งตัวตนไม่สามารถจับต้องได้แต่กลับสร้างความสะท้านสะเทือนให้กับทุกคนที่หลงเข้าสู่ห้วงวังวนนั้น ไม่ได้ต่างจากเธอ หญิงสาวซึ่งถูกลวงล่อผูกมัดให้หลงอยู่กับความงดงามเพริดแพร้วหฤหรรษ์ โดยหารู้ไม่ว่าอีกด้านของมันที่มืดมิดทมิฬและเต็มไปด้วยการทำลายล้างจะเผาผลาญเธอให้เหลือเพียงเถ้าธุลีในวันหนึ่ง... เมื่อปฐมบทแห่งการล้างแค้นเปิดฉากขึ้น ความรักอันสวยหรูหวานล้ำ เสน่หาที่ตรึงใจไว้กับร่างกายซึ่งเคยหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกลับกลายเป็นเพียงมายาที่ไร้ซึ่งความความจริงใจ ความเจ็บปวดรวดร้าวจึงมาเยือน "อรุโณรีย์ วรวงค์นุเดช" หญิงสาวผู้บริสุทธิ์ เพราะเธอเป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่ถูกชายหนุ่มรูปงามนามทอเลเมียส นิโคไลคัส หลอกใช้เป็นเครื่องมือให้คอยประหัตประหารบิดาของเธอเอง ท่ามกลางความพยาบาทที่ร้อนระอุ แม้แต่เสน่หาที่เคยเพียรป้อนให้กันก็ไม่สามารถดับกระหายความแค้นที่ทับถมอยู่ในใจของชายหนุ่มให้บรรเทาเจือจาง
“คุณหนู...คุณหนูครับตื่นเร็วเถอะครับ...”
เสียงทุ้มคุ้นเคยดังแว่ว เพราะเหมือนยังอยู่ในห้วงความฝัน ทำให้หนุ่มน้อยที่นอนอยู่บนเตียงหรูหรารู้สึกตัวนิดๆ และกะพริบตามองคนเรียกด้วยอาการสะลึมสะลือ
“น้าทิม...มีอะไรเหรอครับ” เด็กหนุ่มลูกครึ่งเอ่ยถามคนสนิทของบิดา ซึ่งมีท่าทีลุกลี้ลุกลนด้วยความสงสัย ก่อนตัวเขาจะถูกกระชากให้ลุกลงจากเตียงจนเกือบตั้งตัวยืนไม่ทัน
“เร็วครับตามผมมาเราต้องไปกันแล้ว...ไม่มีเวลาแล้วครับ”
“ไปไหน...ทำไมต้องไปด้วย เกิดอะไรขึ้น” เด็กหนุ่มถูกลากออกไปจากทางด้านหลังระเบียงของห้องเสียก่อนทั้งที่ยังงุนงงไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่หลากหลายคำถามที่สงสัยกู่ก้องอยู่ในหัวสมองยังคงไม่ได้รับคำตอบ
“น้าทิมเกิดอะไรขึ้น...” เขาถามอีกครั้ง แต่กลับไม่ได้รับคำตอบ คนถูกถามใช้มือโบกเป็นสัญญาณให้เงียบก่อนขณะที่ยืนอยู่ตรงระเบียงห้องแล้วก้มลงมองดูด้านล่าง แสงไฟนีออนสาดส่องให้เห็นทั่วบริเวณที่ยังคงเงียบสงัด และเด็กหนุ่มก็ไม่เห็นว่าจะมีความผิดปกติอันใดที่จะต้องทำให้คนสนิทของบิดามีท่าทีตื่นกลัวได้ถึงขนาดนี้
“เราต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดครับคุณหนู เดี๋ยวปีนระเบียงนี่ลงไปที่ชั้นสองนะครับแล้วค่อยไต่ระเบียงที่ชั้นสองไปทางสวนหลังบ้าน” ทิมบอก มองดูหน้านายน้อย หน้าที่ของเขาคือดูแลชีวิตของเด็กผู้ชายวัยสิบห้าคนนี้ ให้รอดพ้นไปจากอันตรายที่ย่างกรายมาเยือนให้ถึงที่สุด
“น้าทิมมันเกิดอะไรขึ้นบอกผมหน่อย...” รัชตะ หรืออีกชื่อหนึ่งคือทอเลเมียส เดชดำรงไพศาล เอ่ยคำถามซ้ำ เขาเริ่มค่อยๆ รับรู้ถึงความผิดปกติได้อย่างชัดเจน
ความเงียบ ความวังเวงเงียบงัน...น่ากลัว
“ไปจากที่นี่ก่อนเถอะครับ...” ทิมยังไม่ยอมตอบอะไร เขาดันตัวเด็กชายให้รีบไต่ราวระเบียงและโหนตัวลงไปยังระเบียงของอีกชั้นด้านล่าง คอยดูลาดเลาไปพลางก่อนจะกระโดดตามลงไป ทั้งคู่ลัดเลาะเดินตามแนวระเบียงห้องจากอีกห้องหนึ่ง ไปยังอีกห้อง จนกระทั่งวนมาถึงด้านหลังของคฤหาสน์ รัชตะมองหน้าลูกน้องบิดาแล้วต้องกลืนน้ำลายเฮือก เมื่อทิมพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าให้กระโดดลงไปยังพื้นล่าง มันสูงมาก ตึกนี้เป็นคฤหาสน์ใหญ่สามชั้นและตรงที่เขายืนมันก็สูงจากระดับพื้นดินหลายเมตรเลยทีเดียว
“กระโดดเลยครับคุณหนูพยายามอย่าเกร็งตัวนะครับ ย่อเข่านิดๆ พอถึงพื้นก็ให้สปริงตัวขึ้นจะช่วยรับแรงกระแทกได้ครับ...เร็วครับ...”
รัชตะไม่มีเวลาคิดนานนักเพราะถูกทิมรุกเร้าอยู่ตลอดเวลาเขารีบทำตามคำสั่งผู้อาวุโสกว่าโดยการกระโดด และสปริงตัวขึ้นเมื่อลงถึงพื้นตามที่ได้รับคำแนะนำ แต่เด็กหนุ่มก็ยังทำได้ไม่ดีพอจังหวะที่ลงถึงพื้นดินและกำลังจะสปริงตัว เขาเกิดเสียหลักและล้มลงเสียก่อน ทิมที่กระโดดตามหลังมาติดๆ รีบคว้าตัวเขาพาวิ่งเข้าไปในสวนรกร้างหลังคฤหาสน์
“คุณหนู...หลบอยู่ในห้องน้ำนี่ก่อนนะครับ...”
“น้าทิมบอกผมได้รึยังว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” รัชตะตามเสียงแข็งขณะที่เขาและหนุ่มวัยฉกรรจ์อยู่ในห้องน้ำเก่าคร่ำครึในสวนร้างท้ายคฤหาสน์ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวตึกพอสมควรและไม่ค่อยมีใครได้ย่างกรายเข้ามานักนอกเสียจากพวกแม่บ้านหรือคนสวน “คุณหนูรออยู่ที่นี่นะครับไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามออกไปเด็ดขาดจนกว่าคุณหนูแน่ใจว่าปลอดภัย” “ทำไมครับ...แล้วคุณพ่อคุณแม่ล่ะน้าทิมเล่าให้ผมฟังหน่อยสิว่ามันเกิดอะไรที่บ้านเรา...” คำถามซ้ำๆ เป็นสิบรอบยังไม่ได้รับคำตอบจนน่าหงุดหงิด
“เชื่อผมครับรอผมอยู่ที่นี่....แย่แล้ว...ไม่ทันแล้ว...”
ทิมที่อยู่ในท่าคุกเข่ากำลังบอกให้รัชตะอยู่กับที่ ส่วนตัวเขาก็จะออกไปดูสถานการณ์ข้างนอกอีกครั้งต้องชะงัก เมื่อหันมองลอดผ่านช่องรอยผุผังของผนังไปยังสนามหญ้าหลังตึกที่พวกเขาเพิ่งกระโดดลงมาจากระเบียงเมื่อสักครู่
“คุณพ่อ...คุณแม่...”
“คุณหนูอย่าครับ...อย่าออกไปผมขอร้องให้ผมไหว้ก็ยอมคุณหนูเชื่อผมนะครับ” ทิมรั้งตัวเด็กชายเอาไว้ ใช้มือปิดปากไม่ให้ส่งเสียงดัง
รัชตะพยายามดิ้น แต่ก็สู้แรงของมือขวาของบิดาไม่ได้ ใจเขาสั่นรัวเมื่อมองเห็นผ่านช่องอิฐเห็นว่าทั้งบิดาและมารด ากำลังถูกจับมัดมือไขว้หลังรวมถึงคนอื่นๆ ทั้งแม่บ้าน แม่ครัวคนรับใช้ คนสวน หรือแม้แต่คนขับรถรวมแล้วกว่าสิบชีวิต ดวงตาสีน้ำทะเลด้วยเป็นลูกครึ่งแดงก่ำ อัดเต็มไปด้วยความงุนงงสงสัยและเจ็บปวดกับสิ่งที่ได้เห็น
กลุ่มคนเป็นชายชุดดำประมาณเกือบๆ ยี่สิบคนแต่ละคนมีอาวุธปืนอยู่ในมือ ฉุดกระชากคนในบ้านให้เดินมารวมกัน และผลักให้นั่งลงกับพื้นสนามหญ้า หนึ่งในนั้นที่สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นตัวหัวหน้า ก็คือชายร่างท้วมในชุดสูทสีเทาเข้มยืนดูดบุหรี่ปรายตามองกลุ่มเหยื่อที่ถูกตามมานั่งรวมอยู่ในกลุ่มเดียวกัน แล้วที่เหลือก็แยกย้ายยืนประจำเป็นจุดๆ เพื่อคอยสังเกตการณ์และรับคำสั่งนาย
“คุณหนู...คุณหนูใจต้องเข้มแข็งนะครับเพื่อคุณท่านทั้งสองแล้วก็เพื่อทุกคน ตอนนี้พวกมันยังไม่รู้ว่าคุณหนูกลับมาจากเมืองนอกแล้วก็เลยไม่ได้สนใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคุณหนูก็ต้องอดทนนะครับ” ทิมกัดฟันบอก ดวงตาคมเข้มแดงก่ำด้วยความคับแค้นใจ ภาพที่เพื่อนร่วมงานและเจ้านาย กำลังถูกกลุ่มคนชุดดำดังกล่าวจับมัดแล้วกระชากลากมันบาดลึกไปถึงดวงจิต บอดี้การ์ดซึ่งได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจกลับมาหลบซ่อนตัวขณะที่ทุกคนกำลังอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย มันไม่ใช่วิสัยของเขาแม้แต่น้อย
แต่เมื่อหันมองหน้าทายาทเพียงคนเดียวของนายเหนือหัว เขาก็จำยอมก้มหน้าทำตามคำสั่งสุดท้ายอย่างอดกลั้น ความเจ็บแค้นครั้งนี้จำเป็นต้องมีคนตามสะสาง ทิมปล่อยมือออกจากปากรัชตะ เมื่อเด็กหนุ่มพยักหน้ารับรู้ความตั้งใจ ทิมยังกอดร่างในวัยกำลังโตของนายน้อยไว้แน่น ทั้งคู่กัดฟันข่มอารมณ์เสียใจและความเจ็บปวดไว้สุดฤทธิ์ ด้วยรู้ว่าหากออกไปในตอนนี้คงมีสภาพไม่ได้ต่างจากคนทั้งบ้าน
“จะเซ็นได้รึยังคุณพิภพ...ผมไม่ได้อยากทำอะไรรุนแรงแบบนี้เลยนะ ถ้าคุณให้ความร่วมมือดีๆ ซะตั้งแต่แรก”
ชายร่างท้วมที่กำลังดึงบุหรี่ออกจากปาก พูดด้วยท่าทีสบายๆ ทั้งทิมและรัชตะได้ยินเสียงนั้นเพียงเบาๆ เนื่องจากระยะที่อยู่ห่างกันแถมยังมีพุ่มไม้ขวางกั้นอีกชั้น แต่เขาทั้งสองก็ยังเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างชัดเจน ผ่านผนังกำแพงที่ผุพังเป็นช่องโหว่เท่าสองกำปั้น และมองผ่านพุ่มไม้ระย้าอีกที
“มันชื่อวงศ์ศาสตร์ครับคุณหนู...มันเป็นเพื่อนในสังคมธุรกิจของคุณท่าน ครั้งหนึ่งเคยประสบปัญหาขาดทุน คุณท่านก็เคยยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แต่พอมันเห็นว่าบริษัทขนส่งระหว่างประเทศของคุณท่านมีประโยชน์ จะใช้ทำงานผิดกฎหมายก็เลยมาเจรจาต่อรองให้คุณท่านร่วมมือกับมัน คุณท่านไม่ตกลงและโกรธมากที่มันดูถูกท่านโดยการยัดเยียดงานสกปรกให้ท่านทำ มันก็เลยคิดจะกำจัดคุณท่านเพื่อปิดปากไม่ให้เรื่องเลวๆ ของมันรั่วไหล...”
“คุณพ่อ...นี่หมายความว่ามันจะฆ่าคุณพ่อ คุณแม่แล้วก็คนของเราทั้งบ้านเหรอเนี่ย” รัชตะเอ่ยถามร่างใหญ่ที่คุกเข่าข้างเดียวรั้งตัวเขาอยู่ แล้วก็ได้คำตอบเป็นการพยักหน้ารับ ทั้งที่ดวงตาดุจพญาเหยี่ยวนั้นยังมองเหตุการณ์ไม่กะพริบ
“คุณพิภพอย่าดื้อน่า เราก็คนกันเองแท้ๆ ถ้าคุณยอมเซ็นมอบทุกอย่างให้ผม...ผมสัญญาว่าจะปล่อยทุกคนไป...ตกลงไหม แต่ถ้าไม่เซ็น...”
“อ๊าก!!” ปืนที่ใส่กระบอกเก็บเสียงไว้ด้วยในมือของมันลั่นไกทันที ผู้เคราะห์ร้ายเป็นคนสวนในบ้าน ที่อยู่ใกล้ตัวฆาตกรเลือดเย็นที่สุดล้มลงไปนอนกลิ้งตาเหลือกถลนบนพื้นหญ้า ได้สักพักก็แน่นิ่งไป เลือดสดๆ ไหลเจิ่งนองออกมาจากบาดแผลที่หน้าอกซ้าย พาให้คนที่เหลือกลัวตัวสั่นกอดรวมกลุ่มกันแน่น พลางส่งเสียงร้องไห้กระซิกระงม ฟังดูน่าสลดใจเหลือเกิน
“แกไอ้เลว...แกทำแบบนี้กับคนบริสุทธิ์ได้ยังไง” ดวงตาของพิภพแดงก่ำเป็นสีเดียวกับเลือดที่นองพื้น จ้องคนกระทำด้วยความอาฆาต
แต่วงศ์ศาสตร์ซึ่งกำชัยเหนือกว่ากลับแสยะยิ้มราวกับเป็นเรื่องไร้สาระก่อนจะลั่นไกปืนยิงใส่คนลำดับต่อไป มองคนที่แดดิ้นหมดลมหายใจตรงหน้าเป็นผักปลาไร้ค่าก็มิปาน คนแล้วคนเล่า...ชีวิตแล้วชีวิตเล่าที่ต้องจบลง เพียงเพราะความไม่ได้ดั่งใจของคนชั่วช้า
"ไสหัวจากบ้านฉันซะ! แล้วไม่ต้องกลับมาอีกที่นี่ไม่ต้อนรับกาลกิณีที่มีเลือดชั่วๆ อย่างเธอ" "พี่อาร์ม...ปล่อยนะคะพี่อาร์มเป็นบ้าไปแล้วเหรอ นี่มันดึกแล้วจะให้จันทร์เจ้าไปไหนคะ" หล่อนรู้ดีว่าเขาพูดจริงทำจริง ใจดวงน้อยแปลบปลาบหวิวเหมือนจะหลุดลอยไปตามแรงลากดึง อุตส่าห์หลบลี้หนีหน้าไม่ออกไปให้เขาเห็นวายยังถูกตามรังควาญจนได้ และที่สำคัญเขากำลังผลักไสหล่อนออกไปทิ้งข้างถนนหน้าบ้าน "อย่ามาเรียกฉันว่าพี่...ฉันไม่เคยคิดจะนับญาตินับเชื้อกับผู้หญิงกาลกิณีอย่างเธอ อย่าคิดว่ามีคุณแม่ให้ท้ายแล้วจะตีเสมอเป็นเจ้าของบ้านคนนึงได้นะ เพราะต่อไปนี้เธอ! ไม่ต้องเข้ามาเหยียบบ้านฉันอีกแล้ว จะไปไหนก็ไป!!!" ปัง! "ว้าย! พี่อาร์ม!!" ร่างเล็กถูกเหวี่ยงจนกระเด็นติดประตูรั้วที่ยังปิดสนิท แล้วยืนเท้าสะเอวทะมึงถึงจ้องหล่อนราวเป็นสัตว์เดรัจฉานน่ารังเกียจนักหนา "ออกไปซะ...ไม่มีเธอสักคนที่นี่คงสงบสุขมากขึ้น อีกหน่อยฉันจะแต่งงานพาเมียมาอยู่ที่นี่! ฉันไม่เห็นความจำเป็นว่าจะต้องเลี้ยงลูกเมียน้อยอย่างเธอไว้เป็นหอกข้างแคร่ทำไม" พรพระจันทร์น้ำตาไหลทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจจะร้องไห้ หัวอกของหล่อนแน่นจุกกับคำถาถางด่าทอต่างๆ นาๆ ที่เขาสรรหามาพ่นพูด ชายหนุ่มจะรู้บ้างไหมว่าหล่อนก็ไม่ได้อยากเกิดมาเป็นแบบนี้ ถ้าเลือกได้หล่อนคงไม่อยากมีชีวิตอยู่เป็นภาระ เป็นตัวปัญหาของใครหรอก....
ผมไม่มีเหตุผลว่าทำไมถึงรักคุณ หัวใจสั่งให้รัก ผมก็รัก ...หรัญย์... ____________ ว่ากันว่า...หากหญิงสาวคนใดได้รับช่อดอกไม้เจ้าสาว หรือช่อบูเก้ในงานแต่งจะได้สละโสดเป็นคนต่อไป แต่ไม่เคยมีใครบอกหล่อนเลยว่า ผู้หญิงที่รับช่อบูเก้ของหล่อนได้ จะได้ว่าที่ผัวหล่อนไปด้วย!! ชีวิตต้องพลิกผันในชั่วข้ามคืน เมื่อเจ้าสาวหม้ายขันหมากอย่างณธิดาต้องหอบหิ้วหัวใจอันบอบช้ำอุ้มขวดเหล้าทั้งชุดเจ้าสาวซัดเซพเนจรหนีอดีตคนรักสุดโฉดที่ไม่โสดอย่างปากว่า เพราะมีทั้งเมียทั้งลูกมาเดินร่อนรื่นในงานแต่งที่หล่อนควรเด่นหรูที่สุด แต่กลับถูกแย่งซีนจนชุดแพงหมดแสงออร่า แล้วใครจะทน! ความเมาและบ้าบิ่นทำให้ณธิดาพบชายรูปงามท่ามกลางแสงดาวแสงเดือนและคลื่นทะเล หล่อนจึงบอกเขาว่าเมาจนความจำเสื่อมเพื่อให้เขาเอ็นดูอุปการะ ตั้งใจหันหลังให้รักครั้งเก่าที่น้ำเน่าจนเหม็นเขียว หลบลี้หนีหน้าผู้คนมาซบอกพ่อค้าผู้น่ากินกว่าลูกชิ้นปิ้งที่เขาขาย แต่กลายเป็นว่าหล่อนกลับถูกเขากิน! นัวๆ และตั้งชื่อใหม่ตามสินค้าหน้าร้านให้ว่า ‘ลูกชิ้น’ หรัญย์เป็นผู้ชายใจดี รักหมารักแมวและรักโลก ที่สำคัญ...เขาชอบกินลูกชิ้นเป็นชีวิตจิตใจ
เนื้อทองเป็นกำพร้าแม่ตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ พออายุได้สามขวบพ่อก็พาเข้ามาทำงานที่ไร่ของนายจ้างเก่าซึ่งผันตัวเองจากผู้รับเหมามาทำปลูกผลไม้ปลูกพืชเกตษรส่งออก เด็กสาวถูกเลี้ยงดูโดยผู้ชายตัวโตๆ ก็คือพ่อเพียงลำพัง ได้รับความเมตตาจาก 'นายใหญ่' และ 'นายผู้หญิง' เป็นอย่างดีเพราะเป็นเด็กฉลาด ช่างพูด พออายุได้หกขวบเจ้าของไร่ก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่ อัศเวทย์หรือนายแทนลูกชายคนเดียวจึงต้องกลับมาจากเมืองนอกกลางคันทั้งที่ยังเรียนไม่จบเพื่อสานต่อความตั้งใจของบิดามารดา ดูแลไร่แห่งนี้ในฐานะเจ้าของไร่คนใหม่อย่างเต็มตัว เนื้อทองเติบโตมาท่ามกลางสังคมของชาวไร่ชาวสวนที่เป็นผู้ชายเสียส่วนใหญ่ หล่อนจึงไม่ใคร่เรียบร้อยนัก กะโหลกแก่นแก้ว แต่ก็มีความอดทนสูงเหมือนพ่อ หล่อนเรียนรู้ทุกอย่างมาจากผู้ให้กำเนิด จนกระทั่งเมื่ออายุได้สิบสองปี พ่อก็พาหล่อนระหกระเหินไปยังถิ่นฐานอื่นอีกครั้ง เนื้อทองไม่อยากจากไร่ ไม่อยากจากทุกคนที่หล่อนรักไปเลย แต่ก็จำใจต้องตามบิดาที่มีเหตุผลส่วนตัวในการจากไปหนนั้น แต่แล้วหกปีต่อมา 'นายแทน' ก็ตามหาตัวหล่อนและพ่อให้กลับมาทำงานในตำแหน่งหัวหน้าคนงานอีกครั้ง ...พ่อก็ยอมเพื่ออนาคตของหล่อน กลับมาคราวนี้อะไรหลายๆ อย่างเปลี่ยนไป นายแทนแต่งงานกับอดีตพยาบาลสาวสวยชื่อพี่หม่อน พี่สาวใจดีที่นิสัยต่างจากนายราวฟ้ากับเหว พี่หม่อน...คือนางฟ้าแสนดีสำหรับเนื้อทอง แต่พี่หม่อนสุขภาพไม่ค่อยดีนายจึงหวงและเป็นห่วงมาก นายรักพี่หม่อน พี่หม่อนก็รักนาย ส่วนเนื้อทอง...เป็นเด็กที่สร้างแต่ความรำคาญหูรำคาญตาให้นายอยู่เสมอจนถูกดุอยู่ร่ำไป แต่ก็ได้พี่หม่อนคอยปกป้องเสมอ การมีพี่หม่อนเป็นช่วงชีวิตที่เนื้อทองรู้สึกมีความสุขที่สุด แต่ความสุขสำหรับหล่อนมันไม่เคยยั่งยืน วันหนึ่งพี่หม่อนก็จากไป...พร้อมๆ กับความเกลียดชังของนายแทนที่มีต่อหล่อนก็ได้ก่อตัวขึ้น เขาพร้อมที่จะทำลายหล่อนเพื่อบรรเทาความคับแค้นในใจอยู่ทุกเวลา... -------------- -------------- “ท้องไส้อยู่ไม่ใช่เหรอ ทำตัวเป็นลิงเป็นค่างให้ดีเถอะ ลูกฉันเป็นอะไรขึ้นมาเธอเดือดร้อนแน่เนื้อทอง” “...” หล่อนอ้าปากค้าง ใจเต้นระส่ำกับคำพูดของแทน เมื่อคืนหล่อนไม่ได้ถามหมอพงศ์ว่ามีใครบ้างที่รู้เรื่องการตั้งครรภ์ของหล่อนบ้าง แต่ตอนนี้คงไม่ต้องหาคำตอบแล้ว เพราะนอกจากแทน...ก็ไม่มีใครน่ากังวลอีก หรือจะมีก็คงเป็นพ่อของหล่อน ซึ่งเนื้อทองยังไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไรดีเมื่อพ่อกลับมา “ถ้ารอดจากกระท่อมร้างท้ายสวนนั้นมาได้...ก็คงไม่เป็นไรแล้วล่ะค่ะ” แม้จะเป็นประโยคสั้นๆ แต่มันก็แฝงไว้ด้วยความขมขื่นมากมาย ตลอดสามเดือนที่หล่อนต้องอดทนอยู่ที่นั่น มันเหมือนกับโลกอีกโลกหนึ่งที่ถูกตัดขาดจากทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนหล่อนไม่ใช่คน... “...” แทนมองด้วยสายตาไม่พอใจนัก แต่ไม่ได้ตอบโต้อะไร “อีกอย่างนะคะนาย ลูกเป็นของเนื้อทองคนเดียวค่ะ” พูดจบหล่อนหันหลังให้เขาแล้วเดินออกจากไป แต่แทนก็คว้าต้นแขนรั้งเอาไว้เสียก่อน “ถึงจะไม่ได้นอนกับเธอแบบนับไม่ถ้วน แต่ฉันก็มั่นใจว่าที่ลูกไปอยู่ในท้องเธอได้เพราะฉันทำ และฉันไม่ใช่คนไร้ความรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นอย่าแม้แต่คิดทำอะไรโง่ๆ เพราะฉันไม่ยอมแน่”
ตายด้วยเงื้อมมือของเพื่อนร่วมสาขา เนเน่ เนตรนภา จึงทะลุมิติมาอยู่ในร่างเด็กน้อยวัยสิบหนาวที่ป่วยตาย นามเซี่ยซูเหยา มีบิดา พี่สาว พี่ชายที่เป็นห่วงนางมากกว่าสิ่งใด
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
เสิ่นชิงชิว หลานสาวของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองไห้ คบหาอยู่กับลู่จั๋วมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ความจริงใจของเธอกลับสูญเปล่า ลู่จั๋วปฏิบัติกับเธอเพียงในฐานะหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง และทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน โดยไปหารักแรกของเขา หลังจากเลิกรากันอย่างเด็ดขาด เสิ่นชิงชิวก็กลับมามีสถานะเป็นสาวรวยอีกครั้ง ได้รับมรดกมูลค่าหลายร้อยพันล้าน และเริ่มต้นชีวิตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่แล้วมักจะมีคนโผล่มาทไให้กับเธอหงุดหงิดอยู่เสมอ! ขณะที่เธอกำลังจัดการกับผู้ร้าย คุณชายฟู่ผู้มีอำนาจนั้นก็ปรบมือและโห่ร้องว่า "ที่รักของฉันสุดยอดมากจริงๆ"
ในชีวิตชาติที่แล้ว เพื่อช่วยรักแรกของตัวเอง คนชั่วสามคนได้ทำลายพลังการต่อสู้ของนาง ตัดแขนขาของนางออก ตัดเส้นเลือดของนางและปล่อยเลือดของนางไหลออกมาทั้งอย่างนั้น และทรมานนางจนตาย เมื่อเกิดใหม่ครั้งนี้ นางวางแผนอย่างรอบคอบ โดยสาบานว่าจะให้พวกเขาได้สัมผัสกับความทุกข์ทรมานที่นางเคยประสบมา! รักแรกที่ไร้เดียงสาอะไรกัน ที่จริงก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ตีสองหน้าเก่ง อยากจะไต่ขึ้นไปสูงเหรอ งั้นก็จะให้เจ้าปีนขึ้นไป ยิ่งปีนขึ้นสูงมากเท่าไร ตอนตกลงมาก็จะยิ่งเจ็บมากเท่านั้น! พวกสวะสมควรได้รับบาปกรรมของพวกสวะ พวกมันทำชั่วกับนางไปชั่วชีวิตหนึ่ง นางจะทำให้พวกมันไม่ตายดี พวกคนที่เจ้าเล่ห์ ตีสองหน้าเก่ง นางจะจัดการกับทุกคน! แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าในการแก้แค้นของนาง นางจะไปมีเรื่องกับเสด็จอาที่เป็นเจ้าแผนการเข้า ที่วัน ๆ ต้องการให้นางจูบและกอดเขาตลอดทั้งวัน ในขณะที่นางแก้แค้นคนชั่วนั้นยังสามารถสนิทสนมกับเสด็จอาด้วย ในความจริงแล้ว การที่เป็นผู้หญิงชั่วๆ ก็มีความสุขมาทีเดียวกว่าที่คิดเลย!
ในวันครบรอบแต่งงาน เหวินซือถูกเมียน้อยของสามีวางยาและไปมีอะไรกับคนแปลกหน้า เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไป แต่เมียน้อยคนนั้นกลับตั้งท้องลูกของสามี ภายใต้ความกดดันต่างๆ เหวินซื่อสูญรู้สึกสิ้นหวังและตัดสินใจหย่า แต่สามีของเธอกลับไม่แยแสโดยคิดว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อยู่ หลังจากการหย่ากัน เหวินซือกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ตามจีบเธอ อดีตสามีไม่ยอมและขอคืนดีไปถึงที่ จากนั้นก็ว่า เธออยู่ในอ้อมแขนของคนใหญคนโตคนหนึ่ง และชายคนนั้นก็พูดอย่างสงบว่า "ดูให้ดี นี่คือพี่สะใภ้ของนาย"
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน