เมื่อทุกคนในครอบครัวถูกขู่เอาชีวิต หญิงสาวจำต้องฝืนความเจ็บสักลวดลายบนเรือนร่างและสวมชุดกี่เพ้าผ้าไหมจีนแสนสวย พาตัวเองไปยืนอยู่หน้าพญามังกรดำ หยางโจวหมิง มาเฟียใหญ่แห่งเกาะฮ่องกง ผู้ชายรูปงามที่มีดวงตาสีสนิมเหล็กวาววับและเย็นชา มีเรียวปากโค้งบางเฉียบสีเข้มที่คล้ายจะคอยเหยียดหยามทุกคนตลอดเวลา ผู้ชายที่มีอำนาจล้นฟ้าและบงการชีวิตของใครก็ตามที่เขาต้องการ โดยเฉพาะ...ชีวิตของเธอ สรัญรัตน์ อัคราบริรักษ์ “คุณมันไม่ใช่คน ร้ายกาจที่สุด” สรัญรัตน์กัดฟันบริภาษเขาออกไป อย่างน้อยก็ขอพูดว่าสักนิดเถอะ ไม่ใช่แต่ยอมให้เขาข่มเหงอยู่ข้างเดียว “ฉันไม่คิดเลยว่าจะมีคนแบบคุณอยู่บนโลกใบนี้” “ใครที่อยู่ข้างนอก ไปตามนายอรรถวัฒน์กลับมา!” “อย่า!!! ฉัน...จะทำ” พญามังกรดำหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้บุหนังสีน้ำตาลเข้ม เขามองมือสั่นๆ ที่ค่อยๆ เลื่อนไปตามขอบเสื้อ มองผิวกายขาวผ่องเปิดเปลือยออกทีละนิด จนกระทั่งชุดกี่เพ้าเลื่อนลงมาอยู่ใต้อก บราเซียสีขาวสะอาดไร้สายดูเหมือนจะเล็กกว่าสิ่งที่ต้องปิดบังไปมาก เนินอกอิ่มล้นทะลักออกมาเบียดชิดกันอยู่ด้านบน เห็นร่องเนื้อขาวผุดผาดให้ไพล่คิดไปถึงสิ่งที่อยากเข้าไปอยู่ในร่องอกนั้น ชุดกี่เพ้าเลื่อนลงไปเรื่อยๆ มันช้าแต่ก็ทำให้ลมหายใจของหยางโจวหมิงขาดๆ หายๆ แต่ลมหายใจของสรัญรัตน์แทบขาดรอน เสียงสะอื้นเบาๆ ดังออกมาเป็นระยะไม่ได้ทำให้พญามังกรดำบังเกิดความสงสาร ดวงตาคมเฉียงขึ้นที่ปลายหางอย่างคนที่มีเชื้อชาติจีนแผ่นดินใหญ่ จับจ้องนวลนางละเอียดลอออย่างไม่ละสายตา หรืออีกทีเขาก็ไม่สามารถเบือนสายตาไปจากความงามเป็นหนึ่งนั้นไม่ได้ ผ้าไหมสีแดงสดปักลายดอกสีดำตัดกัน ค่อยเลื่อนลงมาถึงสะโพกผาย สัดส่วนโค้งเว้าดุจนาฬิกาทรายเรียกเลือดในกายชายหนุ่มให้เดือดพล่าน เรียวปากบางเฉียบได้รูปสวยของชายกระตุกมุมโค้งขึ้นก่อนจะแยกแย้มผ่อนลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ มือใหญ่เริ่มเกร็งขึ้นเพราะความอยากจะแตะต้อง อยากจะตีตรา อยากจะลิ้มลองของใหม่สำหรับเขา แต่คงเก่าสำหรับคนอื่น นั่นเองที่ทำให้พญามังกรดำฝืนนั่งนิ่งอยู่กับที่ ทั้งที่ใจเต้นโครมครามอยู่ในอก สรัญรัตน์ชะงักมือที่เลื่อนชุดกี่เพ้าค้างไว้บนสะโพกสวย เธอสะอื้นฮักจนตัวโยนรู้สึกว่าตัวเองช่างไร้ค่าสิ้นดี ไม่คิดไม่ฝันว่าต้องมาแก้ผ้าต่อหน้าผู้ชายใจร้ายคนนี้ “ไม่ได้ยินที่ฉันพูด หรือฉันบอกไม่ชัดเจน ว่าให้เธอถอดเสื้อผ้าออกให้หมด หรือประโยคนั้นมันฟังดูดีจนเธอไม่เข้าใจ ฉันคงต้องบอกว่า ให้เธอแก้ผ้าจนล่อนจ้อนต่อหน้าฉัน...เดี๋ยวนี้”
บทนำ
ประเทศไทย พ.ศ.2528
ร่างสูงใหญ่ของประมุขแห่งตระกูลหยางกำลังประคับประคองร่างอวบอิ่มของคุณนายหยาง ซึ่งกำลังตั้งครรภ์ทายาทคนที่สองของตระกูล เด็กชายหยางโจวหมิงในวัย 4 ขวบ มองภาพการแสดงความรักของพ่อและแม่ด้วยตาเป็นประกาย เด็กน้อยไม่รู้เรื่องรู้ราวแต่งกายด้วยชุดหล่อเหลาสมกับความเป็นคุณชายของตระกูลใหญ่แห่งเกาะฮ่องกง วันนี้เป็นวันเกิดของมารดาหรือหยางเสี่ยวผิง คุณนายหยางผู้แสนงดงามซึ่งเกิดวันเดียวกับคุณทิพวรรณ อัคราบริรักษ์ ภรรยาของนักธุรกิจใหญ่ชั้นแนวหน้าของเมืองไทย
ตระกูลหยางและตระกูลอัคราบริรักษ์ถือเป็นตระกูลเพื่อนซี้กันมาแสนนาน ยิ่งได้ร่วมทำการค้าขายด้วยกันแล้วก็ยิ่งเพิ่มความสนิทสนมจนแทบจะกลายเป็นครอบครัวเดียวกัน หยางเฟ่ยหลงประมุขของตระกูลมักจะเดินทางไปมาหาสู่กับนายอรรถวัฒน์ อัคราบริรักษ์ แม้กระทั่งการไปเที่ยวรอบโลกก็ยังไปด้วยกัน ทั้งคู่ดื่มน้ำร่วมสาบานว่าจะเป็นพี่น้องกันตลอดไป โดยไม่คิดว่าจะมีอะไรมาเปลี่ยนแปลงความคิดนี้ในวันข้างหน้า
“ผมดีใจมากที่พี่เฟ่ยหลงอุตส่าห์บินมาจัดงานวันเกิดพร้อมกับเราที่นี่” นายอรรถวัฒน์โอบนางทิพวรรณ เดินเคียงข้างหยางเฟ่ยหลงที่กำลังโอบคุณนายหยางไปจนถึงโต๊ะที่ประดับประดาด้วยเทียนหลากสี กลางโต๊ะมีเค้กก้อนโตสว่างไสวเพราะถูกจุดเทียนเตรียมพร้อมแล้ว
“เกิดพร้อมกัน ก็ถือโอกาสเลี้ยงพร้อมกันไปเลย คนเยอะก็ยิ่งสนุกว่ามั้ย”
“เค้กพร้อมแล้ว” เสียงใครบางคนบอก ก่อนเสียงเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์พร้อมเสียงปรบมือจะดังขึ้น ทุกคนในที่นั้นมีรอยยิ้มแต้มอยู่บนใบหน้า มองไปทางไหนก็เห็นแต่เพียงความสุขเหมือนกับเสียงเพลงที่ช่วยกันขับร้องประสานเสียง
หยางเสี่ยวผิงจับมือทิพวรรณ เมื่อเสียงเพลงจบทั้งคู่ก็ก้มลงเป่าเค้ก
“ขอให้พี่เสี่ยวผิงมีความสุขสมหวังและมีรักที่ยั่งยืนนาน มีหลานที่น่ารักให้ทิพอีกคนนะคะ” ทิพวรรณอวยพรหยางเสี่ยวผิง พร้อมกับบีบมือนุ่มของคุณนายหยาง
“พี่ก็ขอให้น้องทิพมีความสุขสมหวังและมีหลานให้พี่ไวๆ นะจ๊ะ” คุณนายหยางอวยพรยิ้มๆ แล้วทั้งคู่ก็สวมกอดกัน
ในขณะที่กำลังดื่มด่ำกับความสุขกายสุขใจและบรรยากาศที่แสนจะงดงาม หยางเสี่ยวผิงก็รู้สึกถึงความผิดปกติเหนือหน้าท้องนูนใหญ่ของตน อาการเจ็บแปลบเกิดขึ้นเป็นระยะๆ และทวีความหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าเจ็บปวดของหยางเสี่ยวผิงทำให้ทิพวรรณและคนรอบข้างต้องมองอย่างเป็นห่วง
“พี่เสี่ยวผิงเป็นอะไรไปคะ” ทิพวรรณร้องถาม ในขณะที่หยางเฟ่ยหลงเข้ามาประคองร่างภรรยา
“นั่นสิ เสี่ยวผิงเป็นอะไรไป เจ็บท้องเหรอ”
“อูย...พี่เฟ่ยหลง ดูท่าว่าลูกเราอยากออกมาดูโลกแล้วค่ะ”
“จริงเหรอ งั้นไป พี่จะพาเสี่ยวผิงไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้”
“ให้เอกรัตน์ขับรถไปให้นะคะ เอ...หรือว่าเราจะไปพร้อมกันหมดแล้วให้คุณอรรถขับรถให้” ทิพวรรณออกความเห็นพลางซับเหงื่อบนใบหน้าของหยางเสี่ยวผิง
“ให้ผมขับรถให้ดีกว่านะครับ คุณอรรถกับคุณทิพค่อยขับรถตามมา จะได้ไม่เบียดกันเกินไป” เอกรัตน์รีบบอก
ความหวังดีของเขาไม่ถูกปฏิเสธ เพราะไม่มีใครอยากเสียเวลาต่อล้อต่อเถียงกันสักนาทีเดียว และหยางเฟ่ยหลงก็เป็นห่วงภรรยาจนไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติ สายตาของคนที่อาสาอยากเป็นสารถีมองคุณนายหยางและท้องโตๆ ของเธอยังไง สายตาลุกวาวแปลกประหลาดนั้นไม่มีใครได้เห็น
ในเวลาต่อมาในรถคันหรูของตระกูลอัคราบริรักษ์คันแรก จึงมีเอกรัตน์เป็นสารถีและมีประมุขกับคุณนายหยางอยู่บนเบาะหลัง
เสียงโอดครวญดังเป็นระยะพร้อมกับเหงื่อเม็ดโตที่พร้อมใจกันผุดขึ้นเต็มใบหน้า มือบางจิกบนหลังมือหนาของสามีแน่นราวกับต้องการถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ได้รู้ แต่หยางเฟ่ยหลงก็ยินดีที่จะรู้จักความเจ็บปวดก่อนความยินดีจังบังเกิด
“ทำใจดีๆ ไว้นะเสี่ยวผิง ไม่ต้องกังวล ลูกเราคนนี้จะต้องแข็งแรง”
“โอ๊ย! พี่เฟ่ยหลง” สิ้นคำถุงน้ำคร่ำก็แตกโพละ น้ำใสๆ ไหลอาบเรียวขาอวบ “ลูก...ลูก...”
“นี่นาย! ขับรถเร็วๆ กว่านี้ไม่ได้รึไง หรือจะให้ฉันขับเอง ห๊า!!” เพราะความเร็วรถที่ไม่ต่างจากเต่าคลานนักในความคิดของหยางเฟ่ยหลง ทำให้เขาเกือบกระชากคอเสื้อคนขับรถแล้วอัดให้ยับคาพวงมาลัย แต่เพราะมีร่างอิ่มในอ้อมแขนสิ่งที่ทำให้จึงเป็นเพียงตะคอกเสียงหลง
“จะช้าจะเร็ว เด็กก็ต้องออกอยู่วันยังค่ำ แต่...”
“แต่อะไร” ด้วยความเป็นมาเฟียทำให้ประมุขของตระกูลหยางเอะใจ หากแต่มือยังไม่ทันดึงปืนออกมาจากซอกแขน ปืนอีกกระบอกก็หันมาหาเมียรักเสียก่อน “นี่แก!!! จะทำอะไร”
“ตายไง ไปคลอดลูกในนรกพร้อมกัน 3 คน เลยดีกว่า”
สิ้นคำพูดคันเร่งก็ถูกเหยียบจนจม รถคันงามพุ่งทะยานไปข้างหน้าราวติดปีก หยางเฟ่ยหลงกอดภรรยาไว้แน่น ถ้าไม่ถูกจ่อด้วยกระบอกปืนล่ะก็ เขาสาบานว่าจะจบคำพูดของมันพร้อมชีวิตของตัวมันเอง แต่แบบนี้เขาไม่อยากเสี่ยง
“แกต้องการอะไร ทำแบบนี้เพื่ออะไร”
“ผมต้องการในสิ่งที่พวกคุณไม่มีทางให้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องถาม เตรียมตัวตายพร้อมกันดีกว่า ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ”
ภาพตรงหน้ารวดเร็วจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น เมื่อรถคันโก้เสียหลักพลิกหลายตลบ หยางเฟ่ยหลงมองเห็นภาพปัจจุบันทันด่วนเบลอ รับรู้ได้ถึงแรงเหวี่ยงไปมาจนเจ็บไปทั่วร่างและจากนั้นสติของเขาก็ดับวูบไม่รับรู้อะไรอีกต่อไป
“คุณอรรถดูนั่นสิคะ” ทิพวรรณตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็นจนแทบเป็นลม จู่ๆ รถของหยางเฟ่ยหลงและหยางเสี่ยวผิงก็เร่งความเร็วแล้วตีลังกาหลายตลบ
“คุณพ่อ คุณแม่!!!” เสียงเด็กชายหยางโจวหมิงร้องลั่นรถ ดวงตาคู่นั้นเบิกค้างก่อนน้ำตาจะค่อยๆ กลิ้งลงอาบสองแก้ม
กลางป่าเขาเขียวขจี ระหว่างการหลบหนีไล่ล่า กองเพลิงแห่งไฟสวาท นั้นเร่าร้อนแผดเผา สองร่างดื่มด่ำรสสวาท สองหัวใจผูกพันยึดมั่น เร่าร้อน...รุนแรง… หากแต่แม้นออกจากป่า เปลวไฟสวาทนั้นก็ยังไม่มอดไหม้
เขา...พ่อเลี้ยงดรัณ พัชรอมรินทร์ ผู้ชายที่เกิดมาบนกองเงินกองทองแต่มีอดีตสุดแสนจะเจ็บปวด บาดแผลที่ทิ่มแทงหัวใจมาตลอดระยะเวลาหลายปีมันกำลังจะกลัดหนอง ถ้าไม่ทำการรักษาให้หาย เธอ...พลับพลึง โรจนศุภเกียรติ สาวน้อยวัยใสผู้มีโลกส่วนตัวที่แสนจะงดงาม และหลงรักผู้ใหญ่ใจดีคนหนึ่งมาตลอด ‘ความรักคือการให้’ นี่คือนิยามความรักของเธอ เรื่องราวคงไม่วุ่นวายถ้าเธอไม่กลับมารับรู้ว่าเขาเป็น ‘หม้าย’ และเรื่องราวก็คงไม่วุ่นวายกว่า ถ้าเธอกับเขาไม่ต้องเปลี่ยนสถานะจาก ‘น้าเขยกับหลานเมีย’ มาเป็น ‘สามีกับภรรยา’ มันอาจจะเป็นความสมหวังถ้าเธอจะได้แต่งงานกับผู้ใหญ่ใจดีที่หลงรักมาตลอด แทนการแต่งงานกับผู้ใหญ่ใจร้ายที่ไม่รู้สาเหตุว่าอะไรถึงเปลี่ยนให้เขาเป็นคนละคน เถื่อนและไร้เหตุผลสิ้นดี “เมียของฉันต้องเก่งเรื่องบนเตียง ต้องทำกับข้าวอร่อย ต้องทำงานในไร่ได้ไม่ต่างจากคนงาน ที่จริงจะต้องทำงานบ้านเป็นทุกอย่าง ขยัน ไม่นิ่งดูดายปล่อยให้แม่บ้านทำเอง เธอก็ต้องเป็นแบบนั้น” “ก็ได้ พลับทำให้ได้” “เริ่มเลย” “ปล่อยสิคะ ไม่ปล่อยแล้วจะทำได้ไง” ถ้าเขายังกอดเธอแน่นแบบนี้ ยังหายใจรดใบหน้าเธอแบบนี้ แล้วจะออกไปทำทุกอย่างที่ต้องการได้ยังไง “หน้าที่แรกที่บอก จำได้ไหม”
“เจ้านายอย่าคิดว่า ความคิดความรู้สึกของเจ้านายนั้นถูกหมดทุกอย่างนะคะ” สาวน้อยเริ่มไม่พอใจ ที่เขาหาเรื่องรวนเธอ ชวนนท์ยืนขึ้น ก่อนจะเดินอ้อมโต๊ะทำงานมาหยุดอยู่หน้าหญิงสาว ห่างกันแค่มือเอื้อมถึง ความสูงใหญ่ของเขาทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองยิ่งเล็กลงไปอีก “เธออย่าปฏิเสธฉันเลยดลลดา ตั้งแต่วันแรกที่เธอเข้ามา ฉันก็รู้อยู่แล้วว่าเธอกลัวฉัน” “ดิฉันไม่มีเหตุผลอะไรต้องกลัวคุณ” หญิงสาวเชิดหน้าตอบ “แน่ใจเหรอ” “ค่ะ” แล้วลำแขนเรียวกลมกลึง ก็ถูกมือใหญ่กระชากเข้าหาตัวชายหนุ่ม จนทรวงอกนุ่มหยุ่นแนบชิดกับอกกว้างแข็งแรงของเขา ดลลดาขืนตัวเอาไว้เต็มกำลังที่มี แม้จะเหลืออยู่น้อยนิดก็ตาม ดวงตาคู่สวยมองสบดวงตาคมกริบด้วยความหวาดกลัว “นั่นไง เธอกลัวฉันจริงๆ” ชวนนท์เห็นความกลัวในดวงตาของหญิงสาว “เจ้านาย ปล่อยค่ะ” เสียงใสๆ นั้นสั่นระรัว
เนื้อตัวเต้นเร่าเตลิดเพลิดไปตามสัมผัสร้อนแรง เธอบังคับให้หยุดคิดถึงคนอื่นนอกจากคุณวายุ แต่เมื่อริมฝีปากของวายุแตะเข้ากับกลีบกาย พร้อมทั้งตวัดลิ้นเลียไปทั่วซอกหลืบ กลีบเนื้อบอบบางแต่อวบอูมของ 'หมูชมพู' จึงกระดิกแอ่นหยัดบั้นท้ายกระดกซอกหลืบสวนทางกับเรียวลิ้นของวายุ "คุณอุ่น และหอมมากหมูชมพู" พรรณชมพูส่ายวนโคกเนินที่เบียดบดไปกับริมฝีปากหนา ลิ้นของเขาปาดไปมาบนติ่งกระสันเหมือนกับปาดหน้าเค้ก เธอดิ้นพรวดพราดกัดริมฝีปากจนเบี้ยวไปข้างหนึ่ง ลิ้นสากๆ ห่อม้วนชำแรกเข้าไปในร่องสาวอันชุ่มฉ่ำ เมื่อนั้นริมฝีปากที่ถูกกัดจะห้อเลือดก็แยกอ้า พรรณชมพูเผลอกรีดร้องครวญครางถึงใครบางคน ที่จมอยู่ในห้วงความคิดไม่เคยเลือนหาย "อ๊า พี่เสือ" วายุผงกหัวขึ้นมองคนที่กำลังแอ่นลำคอและลำตัวทอดโค้ง แววตาของเขาไหววาบเป็นไฟ และเขาก็กัดกลีบกายบางๆ สีชมพูจนหมูชมพูของเขาสะดุ้งเฮือกสุดตัว "อ๊ะ เฮือก" เธอถูกกัด
สำหรับเขาผู้หญิงก็เป็นได้แค่ที่ระบายความใคร่ เขาไม่เคยมีความรักไม่เคยรักใคร แต่พอได้มาเจอเธอ เพื่อนของน้องสาวเขา ใจที่ด้านชากลับเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง…
ในสายตาของเขา เธอเป็นคนขี้โกหก ในสายตาของเธอ เขาเป็นคนไร้หัวใจ เดิมทีถังหว่านคิดว่าเธอคือคนพิเศษหลังจากอยู่กับเสิ่นติงหลานมาสองปี แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นที่สามารถทิ้งได้อย่างตามใจเมื่อไม่มีค่าอีกต่อไป จนกระทั่งถังหว่านเห็นว่าเสิ่นติงหลานพาคนรักของเขาไปตรวจครรภ์ เธอจึงยอมแพ้แล้ว เธอหยุดติดตามเขาอีก แต่จู่ๆ เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไป "ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไปล่ะ?" ชายผู้เคยหยิ่งยะโสขนาดนั้น ตอนนี้ก้มหัวลงและขอร้องว่า "หวานหว่าน ฉันผิดไปแล้ว โปรดอย่าทิ้งฉันไป"
หลังจากแต่งงานมาสามปี เสิ่นเนียนอันคิดว่าตนเองสามารถเอาชนะใจโฮ่วอวินโจวได้ แต่กลับพบว่าเขามีเพียงคนรักแรกอยู่ในใจ "ฉันจะปล่อยเธอไปหลังจากที่เธอคลอดลูก" ในวันที่เสิ่นเนียนอันมีปัญหาในการคลอดบุตร โฮ่วอวินโจวได้พาผู้หญิงอีกคนออกจากประเทศด้วยเครื่องบินส่วนตัว "ไม่ว่าคุณจะชอบใครก็แล้วไป สิ่งที่ฉันเป็นหนี้คุณ ฉันคืนให้หมดแล้ว" หลังจากที่เสิ่นเนียนอันจากไป โฮ่วอวินโจวก็เสียใจ "กลับมาหาฉันอีกครั้งได้ไหม"
เว่ยเว่ย นักศึกษาฝึกงานทะลุมิติ เว่ยเว่ยขับเวสป้าตกเหว แต่ดันทะลุมิติตกน้ำอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม ที่กำลังหาปลาอยู่ที่บึงน้ำ ลู่เหวินเยียนอาศัยกับมารดาอยู่ที่กระท่อมเชิงเขา บิดาเสียชีวิตในสนามรบ เขามักจะออกไปล่าสัตว์ป่ามาขาย วันนี้เขามาดูกับดักปลาและบังเอิญเห็นบางสิ่งตกลงมาจากฟ้าต่อหน้าต่อตาเขา คำเตือน นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นตามจินตนาการของผู้แต่ง บุคคล สถาน องค์กรและเนื้อเรื่องทั้งหมดในนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องสมมติ ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ทางปัญญาตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ.2537และเพิ่มเติมพ.ศ.2538 ห้ามทำการคัดลอก หรือดัดแปลงเนื้อหาของนิยายโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของที่เป็นผู้แต่งเป็นลายลักษณ์อักษร
เกิดใหม่ในชาตินี้ นางแค่ต้องการอยู่อย่างสงบสุขปกป้องครอบครัวจากเรื่องร้ายที่จะเกิดขึ้น นางไม่อยากตกอยู่ในบ่วงรักอันทำให้ครอบครัวต้องพบกับวิบัติอีกต่อไปแล้ว... คำเตือน นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักโรแมนติก ดราม่า มีฉากความรุนแรง ฉาก NC และมีฉากเศร้าสะเทือนใจ โปรดพิจารณาก่อนดาวโหลดนะคะ กราบขอบพระคุณค่ะ
นุชพินตา ควรเป็นเจ้าสาวที่น่าอิจฉาที่สุดที่ได้แต่งงานกับ ปุลวัชร เจ้าบ่าวที่ทั้งหล่อ รวย เนื้อหอม เป็นเจ้าชายในฝันของสาวๆ ทั้งเมือง แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าบ่าวในฝันนั้น...ทั้งไร้หัวใจ และไม่ได้รักเธอสักนิด! การแต่งงานที่ไร้รัก อยู่กันไปก็มีแต่เจ็บปวดเท่านั้น แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อเธอไม่อาจปฏิเสธ แม้จะต้องถูกเขาทำร้ายหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะทำอย่างไรหากใจที่ไม่คิดปรารถนารักกลับอยากได้ความรักจากเขา ------------------------------ “เธอเคยนอนกับผู้ชายหรือเปล่า” เขาถามออกมาจากปากร้าย ตอนที่เธอได้ยินถึงกับสะอึก ไม่คิดว่าเขาจะถามตรง ๆ และในนาทีต่อมา นุชพินตาก็รู้สึกโกรธมาก หญิงสาวโต้เขากลับ “ทำไมผู้ชายดี ๆ การศึกษาดี ๆ ถึงได้พูดจาแบบนี้คะ มาพูดดูถูกกัน เมื่อกี้ก็หาว่าพวกเราขายตัว และตอนนี้ยังมากล่าวหาฉันอีกว่าฉันสำส่อน คุณถามคำถามแบบนี้กับผู้หญิงทุกคน ที่คุณเคยนอนด้วยหรือยังไงคะ” ความเจ็บปวดระบายออกมาทางสายตา เขาเป็นบ้าอะไรกันนี่ คำพูดแบบนี้มาจากสันดานข้างในหรือเพราะว่าเขาเมา “แล้วเธอเคยมีอะไรกับผู้ชายหรือเปล่าล่ะ” เขาย้ำอีกครั้ง จ้องสบตาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ “ปากร้าย ประโยคนี้คุณไม่ควรถามออกมาด้วยซ้ำไป” จากที่เรียกเขาว่าพี่ปุ่น ชักขุ่นและมีอารมณ์โมโหขึ้นมาเปลี่ยนสรรพนามที่คนฟังก็รู้ว่าห่างเหิน “ผู้หญิงที่ดี ๆ ที่ไหน จะตอบตกลงแต่งงานกันชายแปลกหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่คิด เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น” “แล้วมันยังไงคะ” นุชพินตาก็ไม่ยอมเหมือนกัน “เธออาจจะเป็นมือสองก็ได้” ‘เมื่อคืนเขาไปนอนที่ไหน แล้วไปนอนกับใคร’ ‘อ้อ… ก็คงจะเป็นผู้หญิงคนนั้นสินะ’ ดวงตาเศร้าลง เธอลุกขึ้นไปเปิดม่านหน้าต่าง และมองออกไปยังท้องทะเล แสงอาทิตย์กระทบกับระลอกคลื่นที่ไล่เรียงกันกระทบเข้าฝั่ง นุชพินตาถึงกับถอนหายใจดังเฮือก ‘ฉันมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ มาให้เขาย่ำยีเล่นใช่หรือไม่’ เฝ้าถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ‘ยะหยาอย่าเสียใจไปเลยนะ เธอต้องทำตัวเองให้เข้มแข็ง แข็งแรงเถอะ ในเมื่อเธอก็ไม่ได้รักเขาเหมือนกัน’ คำพูดปลอบโยนตัวเอง ‘ใช่… ฉันไม่ได้รักเขา และจะเกลียดเขาให้มากกว่านี้’ เธอตอกย้ำคำนี้เข้าไปในหัวใจของตัวเองด้วยความมุ่งมั่นและสายตาที่แน่วแน่ แม้จะรู้สึกเจ็บแน่นในหัวอก ------------------------------ “ฉันจะหย่ากับเธอ” เขาเอ่ยอย่างใจดำ หญิงสาวถึงกับใจหล่นวูบ เธอเม้มขบริมฝีปาก กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว นุชพินตาพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว “นางผู้หญิงไร้ยางอาย แพศยาฉันเกลียดผู้หญิงหลายใจ ฉันเกลียดผู้หญิงที่นอกใจ ไปให้พ้นจากบ้านของฉัน ไปให้พ้นจากหน้าฉัน พรุ่งนี้จะให้ทนายทำใบหย่า” “พี่ปุ่นคะ” เธอยกมือขึ้นมาไหว้เขาปลก ๆ “เราสองคนเพิ่งแต่งงานกันเองนะคะ ยะหยาไม่อยากให้คุณลุงและคุณย่าเสียใจ” “แต่สิ่งที่เธอทำล่ะ มันน่าอาย แล้วเธอไม่ละอายบ้างเหรอ หน้าด้าน” เขามีอาการเสียใจ และหัวเสีย นุชพินตาเอง เธอไม่คิดว่าปุลวัชรจะปากร้ายด่าทอเธอได้ถึงเพียงนี้ “ฉันจะหย่ากับเธอแน่นอน เตรียมปากกาไว้เซ็นใบหย่าในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” พูดจบ เขาเดินเข้าไปใช้มือปัดแจกันที่อยู่ใกล้ และชกบานกระจกที่ใช้ตกแต่งอยู่ในห้องโถงด้วย จนกระจกแตกละเอียดทั้งบาน มือของปุลวัชรมีเลือดไหลซึม เขาจะเดินเข้าห้องทำงานและปิดประตูตามหลังดังโครม นุชพินตาตกใจ และหวาดกลัวกับสิ่งที่เธอได้เห็น ความดีใจที่สามีจะกลับมา เธอจะบอกข่าวดีเขา และกินข้าวด้วยกัน ได้มลายหายไปสิ้น มีเพียงความเศร้าเข้ามาทับถมอยู่ในจิตใจของนุชพินตา แล้วหญิงสาวยกมือขึ้นมาปิดหน้าปิดตาปล่อยโฮ