“ท่านแพทริก” ไม่นานทั้งสองก็ปรากฎตัว
“เจ้ารู้ใช่มั้ย การมีอยู่ของเจ้าบ่งบอกว่าอาเธอร์หาได้สูญสิ้นไม่”
“พวกเราทราบเจ้าค่ะ” มาลี มาลา เอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน “เศษเสี้ยววิญญาณของนายท่านอยู่ในตัวท่านแพทริก”
“ใช่แล้ว ข้ารับพลังของท่านพี่อาเธอร์มาพร้อมกับเศษเสี้ยววิญญาณส่วนน้อย วิชานี้ก็มีแต่ท่านพี่เท่านั้นที่ทำได้”
“เจ้าค่ะ” แพทริกมองเข้าไปในคฤหาสน์
“พลังของข้าถูกกักกั้นไว้ที่นั่น ข้าไม่อาจเข้าไปได้” มาลี มาลา มองตากัน “แน่นอนว่าเจ้าทั้งสองก็ไม่อาจเข้าไปได้เช่นกัน”
“พวกข้ารู้สึกถึงพลังของเทพผู้พิทักษ์”
“มีเกราะขุมพลังปกป้องคฤหาสน์หลังนี้ คราวนี้ข้าคงเจอศึกหนัก เทพผู้พิทักษ์ตนนี้ไม่อ่อนแอเหมือนเจ้าหลินเลยสักนิด”
“ข้านึกออกแล้ว พลังปกป้องมาร แต่ไม่ทำร้ายเทพด้วยกัน” แพทริกจ้องมาลีและเขาก็นึกถึงใครคนหนึ่งได้ ‘เทพธิดาราตรี’
“พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้ารู้แล้วว่าจะต้องทำอย่างไร”
“เทพธิดาราตรี รักสันโดษยิ่งนัก พวกข้าทั้งสองเคยได้เข้าพบกับนางครั้งหนึ่ง นางมีโฉมที่งดงาม” แพทริกยกยิ้ม เรื่องนั้นทำไมเขาจะไม่รู้
“มาลี มาลา พวกเจ้าไปเถอะ ไม่มีอะไรที่ต้องห่วงทั้งนั้น”
พรึ่บ! ควับ ควับ ควับ แพทริกเดินไปเดินมาอยู่ที่ทุ่งลานกว้าง เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่สว่างจ้าในยามกลางวัน เวลาค่อยๆผ่านไปจนตะวันลับฟ้า ประตูที่ไม่เคยมองเห็นในยามตะวันส่องสว่างตอนนี้ได้ปรากฎตรงหน้าแพทริก แอ๊ดดดด ประตูเปิดออกให้กับแขกที่ไม่รับเชิญ
“ข้าไม่คิดว่าจะได้เห็นหน้าท่านอีก” แพทริกมองเข้าไปผ่านม่านบังตา แม้จะทะลุม่านแต่หญิงสาวหลังม่านกลับยืนหันหลังให้เขา
“เจ้าเคยไปเยี่ยมข้ามั้ย”
“ข้าเป็นเทพธิดาจากสรวงวรรค์ ท่านเป็นแค่มนุษย์ที่บำเพ็ญฝึกวิชาจนมีปราณ หาใช่ลูกหลานเทพไม่”
“เจ้าไม่เคยเปลี่ยน ข้ามอบหัวใจให้กับเจ้า แต่เจ้าเฉยชากับข้า เพราะข้าต่ำต้อยในความคิดของเจ้า” ฮาฮา เสียงใสกังวาล
“เพราะอย่างงี้สินะ ท่านถึงได้เข้าสู่วัฎจักรจอมเวทย์ ไปภักดีต่ออาเธอร์ และตอนนี้ท่านยังเก็บรักษาเศษวิญญาณของอาเธอร์ไว้อีกด้วย”
“ราตรี เจ้าไม่รู้สึกว่าเป็นหนี้ข้าบ้างเหรอ”
เสียงหัวเราะกังวาลใสดังขึ้นอีกครั้ง “ได้...ข้าจะคืนนี้แต่กาลก่อนให้ท่าน บอกมาสิว่าท่านต้องการอะไร” แพทริกยกยิ้ม เมื่อเขาเข้าไปเอาตัวเดซี่ออกมาไม่ได้ ก็ต้องให้เธอออกมาด้วยตัวเธอเอง
เสียงการเดินย่ำบนเส้นทางเบรลล์บล็อก ปรากฎร่างระหงเธอมีดวงตากลมโตขนตาหนางอนเป็นแพนรำพัน สะกดคนที่มองเข้าไปในดวงตานั้นได้อย่างง่ายดายแต่ช่างน่าเสียดายที่เจ้าของดวงตานั้นหาได้รับรู้ความอ่อนไหวของผู้ที่มองเธอแม้สักนิด
“พี่ไมค์” เดซี่นั่งลงที่เก้าอี้ประจำของเธอ
เฮ้ยยย “นี่พี่ไม่ได้ขยับ รวมถึงกลั้นหายใจเลยนะเนี่ย” เดซี่ไม่สนใจคำพี่ชาย เธอลงมือกินอาหารตรงหน้า ไมค์ก้มหน้าสนใจไอแพดในมือต่อ
“พี่ไมค์” จู่ๆเดซี่ก็เรียกพี่ชาย ไมค์แค่ขานรับในคอ แต่สายตายังคงอ่านข่าวจากไอแพด
“ป๊ารู้เรื่องพี่กับนางแบบคนนั้นแล้วนะ” !! คราวนี้ไมค์เบิกตากว้างมองเดซี่ แต่ก็นั้นแหละท่าทางของเขาเดซี่ไม่อาจเห็น แต่เธอยิ้มขบขัน ทุกอย่างเกิดจากความรู้สึกที่เธอคาดเดาได้
ผลุ๊บ เสียงร่างสูงลุกจากเก้าอี้ “พี่ไปก่อนนะ” ไมค์พูดจบก็เดินออกจากห้องอาหารไปอย่างรวดเร็ว นั่นก็เพราะเขาไม่ต้องการเจอหน้ากับป๊า จำต้องฉิ่งหนีเพื่อเลี่ยงคำถามกับคำต่อว่าที่จะตามมา
“อ้าวนั่น...ไมค์ทำไมถึงดูรีบร้อนแบบนั้น” เสียงของป๊านั่นเอง เดซี่ทำแค่ยิ้มอย่างขบขัน “ลูกพ่อเช้าวันนี้เป็นไงบ้าง”
“หนูไม่เป็นไรค่ะ” เดซี่ตอบกลับผู้เป็นบิดาอย่างสดใส เส้นผมนุ่มสลวยถูกฝ่ามืออุ่นค่อยๆลูบไล้อย่างอ่อนโยน สองพ่อลูกนั่งกินไปคุยไปจนเดซี่เตือนให้บิดาไปทำงาน
“เดซี่ ป๊าไม่อยากให้ลูกอยู่เพียงลำพัง”
“บ้านหลังนี้หนูอยู่มาตั้งแต่จำความได้นะคะ แม้หนูจะมองไม่เห็น แต่หนูก็จะไม่ได้รับอันตรายอะไรจากบ้านหลังนี้แน่นอนค่ะ”
“อ๊ะอ๊ะ ไม่เคยชนะเจ้าได้เลย” เสียงหัวเราะของสองพ่อลูกดังออกมาอย่างมีความสุข เดซี่เมื่อส่งบิดาไปทำงานเธอก็เดินตามทางเบรลล์บล็อกเพื่อขึ้นชั้นสอง