/0/4380/coverbig.jpg?v=e89f01d1ec56af20d2ec39c362f8f0ff)
1 พ่ายปรารถนาเจ้ารัตติกาล 2 กระหายรักใต้เงาจันทร์ 3 พิศวาสหวามข้ามกาลเวลา(ภาคจบ) ร่างสูงเคลื่อนเข้ามาใกล้ชิดรวดเร็ว จับบ่าบอบบางสองข้างเอาไว้แน่น จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่ทั้งกล้าหาญและหวาดหวั่น “คุณเลือกทางของคุณเองนะ ณิชา เกิดอะไรขึ้นอย่ามาโทษผม” “ฉะ...ฉันไม่กลัว” “คุณกำลังกลัวมากที่สุดต่างหากล่ะณิชา” ร่างเล็กถูกกระชากเข้ามาบดจูบด้วยความกระหาย ‘ณิชา ยอดรักของข้า’ เขาไม่พูดคำว่ารักออกมาให้เธอได้ยิน แต่ส่งผ่านความรู้สึกนั้นด้วยเซ็กส์ที่ทรงพลัง... เขาทะยานไปข้างหน้ารุนแรง ตอกย้ำกายใหญ่เข้าหาราวกับจะแทงทะลุให้ถึงจิตวิญญาณ ราตรีนี้ความต้องการทางกายของแวมไพร์หนุ่มจะทวีความรุนแรงขึ้นอีกหลายเท่า เขาหลอกล่อเธอด้วยไฟพิศวาสร้อนแรง เพื่อจะดับไฟแค้นในหัวใจ ส่วนเธอทั้งรักทั้งหลงเขา ไม่อาจห้ามใจสักครั้งเมื่อได้ชิดใกล้ แต่เมื่อรู้ความจริงว่าเขาคือใคร ดวงตะวันจะเลือนหายไปจากเธอและเขาหรือเปล่า วันเวลาหมุนเวียน ทุกสิ่งรอบกายเปลี่ยนผัน มีเพียงดวงจิตที่ผูกพัน ร้อยปีผันผ่านยังเฝ้าคอย ‘เชอร์ลีน ยอดรักของข้า “ไม่ใช่ ฉันไม่ใช่เชอร์ลีน ฉันชื่อกิรณา และฉันไม่เคยไปทำความเดือดร้อนให้ใคร ไม่เคยรู้จักคุณ แล้วคุณจับฉันมาทำไม”
ดวงตากลมโตสีน้ำผึ้งที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม กำลังกวาดมองไปรอบตัวด้วยความอยากรู้ว่าที่ที่เธออยู่มันคือที่ไหน บนที่นอนหนานุ่มสีหวาน รอบด้านมีผ้าม่านบางเบาสีครีมปลิวไสว รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์ที่แกะสลักงดงามด้วยลวดลายวิจิตรตระการตาที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้สาวน้อยมองด้วยความรู้สึกหลงใหลชื่นชมไปชั่วขณะ ตกอยู่ในภวังค์ที่เหมือนมีมนต์ขลังอยู่ชั่วครู่ ทว่าเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู ใบหน้าอ่อนเยาว์แสนหวานก็หันขวับไปมองทางต้นเสียงด้วยความตระหนกตกใจ
“คะ...คุณเป็นใคร!”
ผู้ชายในชุดหนังสีดำ สีผมดำสนิทแต่มีใบหน้าที่ซีดขาวราวกับกระดาษช่างตัดกับริมฝีปากสีแดงสดที่เม้มสนิทจนเป็นเส้นตรงมากเหลือเกิน แต่นั่นไม่ใช่จุดสำคัญที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกตื่นกลัว ดวงตาสีเทาเข้มที่ยากจะหยั่งลึกนั่นต่างหากที่เธอกำลังนึกหวั่นไหว หวาดหวั่น มันช่างดูลึกลับและดูเหมือนจะมีพลังบางอย่างแฝงอยู่ พลังนั้นตรึงสายตาของเธอให้มองเขาอย่างมิอาจหลบเลี่ยง
เขาช่างดูอันตรายด้วยรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาเกินมนุษย์มนา กระตุกหัวใจดวงน้อยให้สั่นไหวรัวแรงอยู่ในอก ยิ่งเขาเดินเข้ามาใกล้การหายใจของณิชานันท์ก็ยิ่งติดขัด พลางค่อยๆกระถดถอยห่างขึ้นไปทางหัวเตียงเรื่อยๆ มองชายหนุ่มด้วยแววตาตื่นๆ ดั่งกวางสาวระแวงภัย
แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ใส่ใจคำถามของเธอเลย เพราะริมฝีปากสีแดงสดยังคงเม้มสนิท ความเงียบงันเริ่มเข้ามาครอบคลุม ลมหนาวจากทางหน้าต่างที่พัดเข้ามาทำให้กายสาวเริ่มสัมผัสกับความหนาวเย็นจนตัวสั่น
“อย่าเข้ามานะ”
เมื่อเอ่ยประโยคนี้ออกไป หญิงสาวก็สังเกตเห็นว่าแววตาเย็นชาของเขาดูเปล่งประกายน่ากลัวมากยิ่งขึ้น ริมฝีปากยกสูงนิดๆคล้ายจะยิ้ม แต่ทว่าณิชานันท์ไม่ชอบรอยยิ้มแบบนี้เลย และเพียงชั่วพริบตาเดียวเขาก็มานั่งชิดติดกับเธอเสียแล้ว
ดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง ริมฝีปากเล็กเผยอออกด้วยความตกใจเมื่อปลายนิ้วเย็นเฉียบเชยคางเรียวขึ้นมา ขณะที่ใบหน้าชวนฝันโน้มลงมาใกล้ ใกล้จนริมฝีปากแทบจะชนกัน
ร่างเล็กในชุดนอนบางเบานั่งนิ่งเป็นหุ่น เหมือนถูกสาปให้เป็นอัมพาตไปชั่วขณะ ขยับเขยื้อนไม่ได้ ไม่มีแม้เสียงที่จะหลุดลอดออกมาจากริมฝีปากจิ้มลิ้มสีชมพู จะมีก็แค่เพียงหัวใจดวงน้อยที่เต้นระทึกรัวแรงเมื่อปากสีสดของเขาประกบลงมาครอบครองด้วยความเสน่หาล้ำลึก พาเธอดื่มด่ำกับมนต์เสน่หาแสนหวานที่ไม่เคยพานพบมาก่อนในชีวิตสาว
ยากที่จะปฏิเสธ ยากที่จะต่อต้าน พลังบางอย่างดึงดูดให้สาวน้อยเอนกายเข้าหาอกแกร่งราวกับคุ้นเคยกับอ้อมกอดแข็งแรงของเขามานานแสนนาน ความตื่นกลัวกำลังถูกแทนที่ด้วยความประหม่าหวั่นไหวภายในหัวใจอย่างประหลาด ทั้งที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกแค่ไม่กี่นาที
อ้อมกอดเริ่มรัดแน่น ‘เธอกำลังจะขาดอากาศหายใจ’ ณิชานันท์คิด ร่างเล็กเริ่มดิ้น เกือบจะขาดใจอยู่แล้วเขาจึงได้ถอนริมฝีปากออก
“เจ้าเป็นของเรา เป็นของเราตลอดกาล”
เสียงนั้นแทรกเข้ามาในโสตประสาทของหญิงสาว เธอได้ยินประโยคนี้ดังก้องอยู่ในหู มันช่างนุ่มนวลทว่าช่างแสดงถึงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของยิ่งนัก ‘แล้วเธอเป็นของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน’ ยังไม่ทันได้คิดอะไร เขาก็โน้มใบหน้าลงมาจุมพิตเธออีกครั้ง
อาการต่อต้านเริ่มน้อยลงเมื่อความรู้สึกวาบหวามบางอย่างที่แผ่ซ่านเข้าไปถึงจิตวิญญาณเริ่มเข้ามาแทนที่ ใยสมองอื้ออึง คิดอะไรไม่ออก กายเล็กสั่นสะท้านทั้งที่อ้อมแขนนั้นแสนจะอบอุ่น เผลอจูบตอบเขาอย่างหลงลืมตน
...เขาเป็นใคร?...
ใจส่วนลึกยังอยากรู้
...เราคือชายที่เจ้ารัก...
เสียงนั้นตอบกลับมา เธอแน่ใจว่าได้ยินเขาตอบกลับอย่างชัดเจน ภายในใจเริ่มหวั่นไหว เธอน่ะหรือรักเขา รักตั้งแต่ตอนไหนกัน
...เมื่อนานมาแล้ว...
เสียงนุ่มทุ้มตอบกลับมาอีก ทั้งที่ริมฝีปากของเขายังส่งมอบความหวานล้ำ วาบหวามซาบซ่านใจให้กับเธออยู่
...รู้ไหมว่าเราคิดถึงเจ้ามากแค่ไหน...
หัวใจสาวน้อยรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด เมื่อได้ยินเขาบอกว่าคิดถึงเธอ สองแขนเล็กโอบกอดร่างใหญ่ ไม่รู้ว่าตนเองรู้สึกอย่างไร รู้แค่เพียงว่าอยากทำแบบนี้ เหมือนต้องมนตรา รู้สึกปรารถนา อยากแนบชิดมากกว่านี้ ทั้งๆที่ยังกลัว ประหม่า สั่นไหว หัวใจเต้นโครมครามแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่อาจควบคุม
เมื่อลืมตามองชายหนุ่มอีกครั้ง เขาก็เปลือยท่อนบนเรียบร้อยแล้ว เปิดเผยกล้ามเนื้อหนุ่มแน่นน่าสัมผัส มือใหญ่ยกขึ้นมาปลดเปลื้องอาภรณ์ของเธอออกอย่างนุมนวล ค่อยๆเปิดเปลือยหัวไหล่บางขาวผ่อง ร่นผ้านุ่มลงมาถึงเนินทรวงอวบอิ่ม แค่เพียงปลายยอดถันโผล่พ้นชุดนอนสีหวานเท่านั้น ริมฝีปากที่จูบเธอเมื่อครู่ก็ลดต่ำลงเป่าลมหายใจรินรดดอกบัวคู่งามทั้งสองข้างพาให้ใจสั่นหวิว
เขาหยอกเย้าเธอด้วยปลายลิ้นแผ่วพลิ้วราวปีกผีเสื้อบินผ่านบริเวณป้านสีหวานรอบยอดสีชมพู พลางเงยหน้าหล่อเหลาขึ้นมาโปรยรอยยิ้มหวานลึกซึ้งตรึงใจให้กับเธอแว้บหนึ่งก่อนจะก้มลงครอบครองยอดดอกบัวด้วยปากที่เริ่มอุ่นจัดของเขา
“อย่าค่ะ อย่าทำแบบนั้น อย่าทำ...” เสียงหวานขาดๆหายๆ เมื่อความวาบหวามรัญจวนใจก่อตัวขึ้นที่ปลายยอด แทรกซึมแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กายจนสั่นระริกราวกับเหน็บหนาว ใบหน้างดงามสะบัดไปมา เริ่มหอบหายใจกระชั้น เมื่อความรู้สึกพิเศษนั้นเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ถึงกับเปล่งเสียงร้องครางออกมาเบาๆ
“เราปรารถนาเจ้ายิ่งนัก หวานเหลือเกิน”เขาเอ่ยชิดยอดทรวง แทรกจมูกโด่งคมสันดื่มด่ำกับเนินเนื้อนุ่มแสนหวานนั้นอย่างหลงใหล และคลั่งไคล้เสน่หา
ณิชานันท์ยังคงใจเต้นระรัว กลัวสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น กลัวว่าเขาจะรุกรานเธอมากกว่านี้ ระหว่างที่คิดในห้วงคำนึง กายหนาก็เลื่อนต่ำลงไปเรื่อยๆ ปาดเรียวลิ้นชิ้นไปบนพื้นผิวนุ่ม ละเลงเลียไล้วนจากฐานทรวงเต็มตึงลงไปยังหน้าท้องเรียบเนียนก่อนจะวนไล้ที่รอบสะดือสวย กายสาวบิดเร่าเสียวซ่านทรมาน พยายามถอยหนีสัมผัสวาบหวามนั้นแต่ก็ไร้ผล เมื่อเขาตามติดชิดใกล้ไม่ยอมห่าง ยิ่งหนียิ่งรุกราน ยิ่งถอยห่างยิ่งลุกล้ำด่ำดิ่งสู่หุบเหวลึก
“อ๊ะ...อย่า ได้โปรด” เสียงหวานห้ามสั่นๆ เมื่อบางอย่างที่ร้อนนุ่มฉ่ำชื้นกำลังปาดไล้จุ่มจ้วงชำแรกแทรกเข้ามาในจุดที่หวงแหนและอ่อนไหวที่ของเธอ สาวน้อยห้ามทั้งๆที่ยังหลับตา ห้ามทั้งๆที่ไม่อาจปฏิเสธการกระทำที่อาจหาญนั้น
“ยอดหญิงของอาเทอร์”
เสียงนั้นพึมพำอยู่ไกลๆ แต่ณิชานันท์ก็ได้ยิน ‘เขาชื่ออาเทอร์อย่างนั้นหรือ’ เธอถามในใจ ก่อนจะปรือตาดูว่าเขากำลังทำอะไรกับเธอ แต่แค่เพียงลืมตาขึ้นมา ก็เห็นเขาเปลือยทั้งร่างแล้ว
“คะ...คุณจะทำอะไรฉัน อย่าค่ะ” สติกลับคืนมาเมื่อเห็นร่างเปลือยน่าหวาดหวั่นนั่น สาบานได้ว่าเธอเห็นบางอย่างที่น่ากลัวที่เด่นผงาดต่ำลงไปใต้สะดือของเขา พยายามจะถอยหนี แต่...
“อย่ากลัวเราเลยยอดรัก” บอกเสียงนุ่ม พร้อมกลับก้มลงจุมพิตอีกครั้ง เร่าร้อนกว่าเดิม
สาวน้อยเริ่มสั่นระริก ทั้งกลัวทั้งตื่นเต้น วาบหวาม ความรู้สึกหลายอย่างคละเคล้าจนสับสน ทว่าเพียงไม่นานความรู้สึกทั้งหลายนั้นก็กลายเป็นความปราถนาอย่างเดียว เมื่อความเสียวซ่านบังเกิดขึ้น โอบล้อมรอบกาย รู้สึกว่าเขากำลังประสานร่าง ลึกล้ำ คับแน่น จนแทบหายใจไม่ออก ทว่ากระสันซ่าน สะท้าน สุขลึกเกินที่จะบรรยายว่ามากแค่ไหน
“อา...อื้อ” ริมฝีปากถูกครอบครองอย่างเร่าร้อน สิ่งที่หวงแหนก็ถูกตอกตรึงฝังแน่นก่อนจะขยับขับเคลื่อนอย่างแสนหวาน มันเสียวซ่านไปจนถึงจิตวิญญาณ กายสั่นสะท้านสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกรุนแรงถึงเพียงนี้
“โอ...ยอดหญิงของอาเทอร์” เสียงทุ้มแหบพร่า ส่งแรงกำลังเบียดกายใหญ่เข้าหาลึกขึ้น โจนจ้วงร้อนแรง มันทิ่มแทงเสียดลึกจนสาวน้อยแทบแดดิ้นสิ้นใจด้วยความทรมานแสนหวานซาบซ่านเกินบรรยาย
...อยากไปให้ถึง...
‘ทั้งๆ ที่รักแต่ไม่อาจครอบครอง ของของเขา เธอจะแย่งมาได้อย่างไร’ “เลิกคิดเถอะ คุณไม่เหมาะสมกับผมสักนิด และสเปคผู้หญิงของผมก็คงไม่ใช่เด็กสาวกะโปโลอย่างคุณ กลับไปเรียนหนังสือให้จบแล้วมีคนอื่นไปซะ ไม่ต้องมายั่วผมอีก เข้าใจที่ผมพูดมั้ย” เธอเข้าใจ... จึงเดินวกกลับมาจูบเขาอย่างยั่วยวนอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มหวาน “ถ้าเรียนจบแล้ว แพรจะกลับมา อย่าเพิ่งแต่งงานนะคะ...” ทว่าเมื่อเรียนจบกลับมาหาเขาอีกครั้ง ได้ใกล้ชิดชายหนุ่มอีกหน ครานี้เธอ ‘ยั่ว’ เขาหนักขึ้น แต่... เธอก็ต้องมาพบกับความร้ายกาจของผู้หญิงของเขา ที่ต้องการจะ ‘เอาเธอให้ถึงตาย!’ ลูกแพรจึงต้อง ‘ร้าย’ กลับบ้าง ‘ร้ายเพราะรัก มันต้องร้ายให้ลึกที่สุด!’
“ผมจะยอมแต่งงานกับคุณก็ได้ แต่ผมมีข้อแลกเปลี่ยนสามข้อ คุณจะยอมรับได้ไหมแต่คุณต้องผ่านการทดสอบของผมในคืนนี้ให้ได้ก่อนนะ แล้วเราค่อยมาตกลงกัน” ความเป็นชายของเขาก็กำลังร้อนเป็นไฟ เธอมองเขาด้วยสายตาวิงวอน เธอกำลังกลัว กลัวมากที่สุด! “อย่ากลัวผมเลยนะ คุณรู้มั้ยว่าคุณน่ารักไปทั้งตัว คุณสวยจนผมอดใจไม่ไหว แล้วก็หอมหวานจนผมแทบจะคลั่งตายอยู่แล้ว” กฤตภพเก่งกาจเกินกว่าที่เธอจะต้านทานไหว เขาใช้ประสบการณ์อันช่ำชองพาให้เธอเคลิบเคลิ้ม และคล้อยตามเขาไปทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าเขาจะดึงขึ้นสวรรค์หรือดิ่งลงนรก เธอก็โบยบินตามเขาไปทุกที่ ตามที่เขาปรารถนา อาภรณ์ชิ้นสุดท้ายหลุดออกจากเรียวขาเมื่อไหร่ไม่ทันได้รู้สึกตัว แต่รู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อเห็นร่างกายกำยำของเขายืนตรงปลายเตียง
ฟรานซิส ฟาร์นองเดซ เจ้าพ่อธุรกิจไวน์รายใหญ่ที่สุดแห่งอัลซาส ประเทศฝรั่งเศส เขาไม่ต่างกับอสูรร้ายที่ร้ายกาจ ป่าเถื่อน เพียงเพื่อจะกำจัด ‘ผู้หญิงที่หวังรวยทางลัด’ อัญญาลิน ทายาทสาวเพียงคนเดียวของเจ้าของบริษัทไวน์เนอรี่ชั้นแนวหน้าของไทย เธอตั้งใจไปเที่ยวฝรั่งเศส เพียงเพื่อจะหาความรู้เรื่องการผลิตไวน์มาบริหารงานช่วยผู้เป็นพ่อเท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอ ‘น้องชายของเขา’ “คุณกำลังเข้าใจผิด” “เปล่า ผมกำลังเข้าใจถูกต่างหาก และผมก็รู้ว่าจริงๆ แล้วคุณเองก็คงแอบมีใจให้ผมไม่น้อย ไม่อย่างนั้นคุณจะยั่วผมท้าทายผม ด้วยการขัดคำสั่งผมเหรอ เพราะคุณก็รู้ดีอยู่แล้วนี่ ว่าเวลาที่คุณขัดคำสั่งผมแล้ว ผมจะลงโทษคุณอย่างไรบ้าง ต้องการแบบนี้ใช่มั้ย ได้...ผมจะจัดให้” ศีรษะดกดำโน้มต่ำลงมาทันที อัญญาลินคิดเสมอว่าฟรานซิสรังเกียจเธอ หญิงสาวอยากจะรู้จังว่า ในสมองของเขาเคยคิดถึงเธอในแง่ดีบ้างหรือเปล่า หรือคิดแต่จะหาเรื่องทำให้เธอเป็นคนผิดที่คิดขัดคำสั่งเขาแล้วหาทางลงโทษเธอตามอำเภอใจ ‘ผู้ชายไม่มีหัวใจ’ อัญญาลินคิดได้แค่นี้ แล้วสติสัมปชัญญะของเธอก็ดับวูบลงทันที “ก็ได้! ในเมื่อคุณไม่เคยเห็นผมเป็นคนดีในสายตา ผมก็จะขอเป็นคนเลวอย่างที่คุณประณามก็แล้วกัน” ฟรานซิสสะกดเสียงต่ำลอดไรฟัน มองหน้าคนดื้อรั้นไม่ยอมฟังเหตุผลด้วยประกายตาแข็งกร้าววาววับ ด้วยอารมรณ์คุกรุ่นผสมผสานกับอารมณ์ปรารถนาของร่างกายที่อัดแน่นมานานแล้ว เขาผลักร่างบอบบางที่มีเพียงผ้าแพรปกปิดร่างกายให้นอนราบลงไปกับที่นอน ก่อนที่จะคร่อมทับร่างของเธอเอาไว้ สวมบทอสูรร้ายบ้ากามทันทีโดยไม่ฟังเสียงร้องอ้อนวอนใดๆ จากหญิงสาวอีกต่อไป
ด้วยอำนาจแห่งมนตรา หรือเพราะพรหมลิขิต ชักนำเธอเข้าสู่อ้อมกอดแห่งรัตติกาล ที่ทั้ง ‘เร่าร้อน’ และ ‘เหน็บหนาว’ ในคราวเดียวกัน ครั้งแรกที่สบตากับเขา ‘รุ้งราตรี’ ไม่รู้ตัวเลยว่าเธอกำลังเผชิญอยู่กับอะไร ทันทีที่ได้ใกล้ชิด โลกทั้งใบก็ดูเหมือนจะหยุดหมุน และแค่เพียงปลายนิ้วสัมผัส เธอก็รับรู้ได้ถึงความน่ากลัวบางอย่าง แต่ทำไมถึงได้หวั่นไหวนัก แค่เพียงจุมพิตแรก หัวใจที่เหมือนถูกแช่แข็งมานานของ ‘แดเนียล’ ก็เริ่มสั่นคลอน แค่จูบเดียวก็เหมาเอาว่า เธอเป็น ‘เนื้อคู่’ ของเขา แล้วใครจะเชื่อ เธอไม่อยากเข้าใกล้เขานัก แต่ความจำเป็นบางอย่าง เธอจึงพาตัวองเข้าสู่ ‘คฤหาสน์ที่น่าสะพรึงกลัว’ เป็นหนที่สอง
“คุณพลประภัทร คุณมันเป็นเจ้าหนี้ที่เผด็จการมากที่สุด ทำไมจะต้องให้ฉันไปถ่ายโฆษณากับหมอนั่นด้วย” ...นายอลัน...นายเป็นญาติฝ่ายไหนของคุณพลประภัทร... แล้วเธอจะรู้หรือเปล่า...ว่าความจริงแล้วสองคนนี้เป็นคนๆ เดียวกัน “คงถึงเวลาที่ฉันจะเริ่มคิดดอกเบี้ยเธอแล้วนะสาวน้อย” “ฉันเกลียดคุณ เกลียดที่สุด คุณมันไม่เป็นสุภาพบุรุษ ออกไปจากตัวฉันเดี๋ยวนี้นะ!” อลันรู้สึกเจ็บแสบขึ้นมาทันที และรู้สึกโมโหคนใต้ร่างมากขึ้น จึงใช้กำลังข่มเหงรุกรานหญิงสาวอีกครั้ง เขาบดขยี้เรียวปากอิ่มสีกุลาบอย่างไม่ปรานี... แล้วเมื่อความจริงปรากฏ สมองของดุจดาวก็พร่าเลือนไปหมด แต่ไฟปรารถนาที่กำลังลุกโชนท่วมร่างแกร่งกำยำของเขา มันกำลังพร้อมที่จะแผดเผาร่างของเธอให้หลอมละลาย อะไรก็หยุดเขาไม่ได้! “คุณพลประภัทร อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ฉันกลัว” “ผมกำลังจะมอบความสุขให้กับคุณ จะกลัวทำไม” แต่คุณกำลังจะข่มขืนฉันอยู่นะ” คนไม่มีทางสู้เริ่มขึ้นเสียง “ผมไม่ได้ข่มขืนคุณสักหน่อย เขาเรียกว่าเรียกร้องสิทธิ์ต่างหาก อย่าลืมสิว่าคุณเป็นลูกหนี้ผม และคุณทำผิดสัญญา คุณก็ต้องชดใช้”
ทุกสัมผัสของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเรียกร้องต้องการ ทั้งอ่อนหวานนุ่มนวลแต่บางครั้งก็หนักหน่วงดุดัน ร่างนุ่มสะท้านแล้วสะท้านอีก ชายหนุ่มมอมเมาเธอจนแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง ทั้งวาบหวามทั้งตื่นตระหนก เพราะจุมพิตครั้งนี้แตกต่างจากครั้งที่แล้วมากเหลือเกิน เสียงครางกระหึ่มในลำคอทำให้สาวน้อยหวาดหวั่นมากที่สุดเพราะมันเหมือนเสียงคำรามของเจ้าป่าที่กำลงจะขย้ำเหยื่อไม่มีผิด แต่แม้จะรู้สึกหวาดหวั่นมากเพียงใด ร่างกายของเธอก็ตอบสนองเขาแล้ว ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ควร ทั้งที่รู้ว่ามันอาจจะเกิดปัญหาตามมา โอ...พระเจ้า ทำไมเธอถึงได้รู้สึกต้องการเขามากมายแบบนี้ ร่างกายทุกอณูของเธอกำลังสั่นระริกไปด้วยความเสียวซ่านรัญจวนใจ นาทีนี้ความเหน็บหนาวเปล่าเปลี่ยวของหญิงสาว กำลังถูกความเร่าร้อนลามเลียไปทั่วร่างและแทรกผ่านซึมลึกเข้าสู่หัวใจ ทว่าเมื่อลมหนาวกำลังจะผ่านพ้น ความเหน็บหนาวอ้างว้าง กลับเดินทางมาเยือนหัวใจของเขา พู่กันทองถูกนำมาเก็บไว้ที่เดิม เมื่อเจ้าของภาพวาดภาพเสร็จเรียบร้อยแล้ว ห้วงเวลาเหมันต์ใกล้จะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ความรักที่เขามีต่อเธอยังคงอยู่ที่เดิม เขาจะรอ...จนกว่า...
เมื่อเซิ่งหนิงเตรียมจะบอกฮั่วหลิ่นเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของเธอ ทว่ากลับพบเขาช่วยพยุงผู้หญิงอีกคนลงจากรถอย่างเอาใจใส่... เคยคิดว่าตนเองอยู่เคียงข้างฮั่วหลิ่นคอยดูแลเขามาสามปี สักวันหนึ่งเขาจะมาสามารถสร้างความประทับใจให้กับเขา แต่สุดท้ายเป็นตนเองที่คิดเองเออเองไปฝ่ายเดียว เซิ่งหนิงตายใจแล้วจากไป สามปีต่อมา ข้างกายของเธมีผู้ชายอีกคนหนึ่ง และฮั่วหลิ่นเสียใจมาก เจาพูดด้วยความโศกเศร้า "เซิ่งหนิง เรามาแต่งงานกันเถอะ" เซิ่งหนิงยิ้มอย่างเฉยเมย "ขออภัยนะคุณฮั่ว ฉันมีคู่หมั้นแล้ว"
เจียงซุ่ยแต่งงานกับยู่จินเฉินมาเป็นเวลาสามปี เธอยอมทำงานบ้านทุกอย่างเพื่อเขา ทั้งซักผ้า ทำอาหาร และถูพื้น แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำให้หัวใจของเขาสลายลงได้ เธอเริ่มตระหนักและตัดสินใจหย่ากับผู้ชายที่เธอรักสุดหัวใจมาเป็นเวลาสามปี เพื่อให้เขาได้ไปอยู่กับผู้หญิงที่เขารักจริง หลังจากที่เธอหย่าแล้ว คนในแวดวงไฮโซล้วนรอดูเรื่องตลกของเธอและล้อเล่นกับเธอว่า"เจียงซุ่ย ทำไมถึงหย่ากับคุณยู่น่ะ" เจียงซุ่ยยิ้ม"เพราะฉันจะกลับบ้านไปสืบทอดมรดกพันล้านของตระกูลไง ผู้ชายอย่างเขาไม่คู่ควรกับฉันหรอก" อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครเชื่อคำพูดของเธอ วันรุ่งขึ้น ผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดในโลกปรากฏตัวในข่าวและกลายเป็นว่าเป็นภรรยาเก่าขอยู่จินเฉินด้วย ทุกคนล้วนตกตะลึงไปหมด เมื่อพวกเขาพบกันอีกครั้งหลังจากการหย่าร้าง ยู่จินเฉินมองไปที่ผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดคนนั้นซึ่งกำลังถูกรายล้อมไปด้วยหนุ่มหล่อไฮโซมากมาย ใบหน้าของเขาก็มืดมนลงทันที "คุณเจียง คุณรวยขนาดนี้ ควรหาแฟนที่มีฐานะเสมอกันสิ อย่างผมนี่ ผมยอมให้ทุกอย่างที่ผมมีให้คุณนะ"
หลี่เมิ่งเหยาย้อนเวลามาอยู่ในร่าง ของเด็กสาววัยสิบสองปี ในวันที่มารดาอนุผู้โง่เขลา ถูกขับไล่ออกจากจวน โชคยังดีที่ตอนตาย นางสวมกำไลหยกโลกันตร์เอาไว้ มันจึงติดตามนางมาที่นี่ด้วย +++ 1 : มารดาโง่ จนถูกไล่ออกจากตระกูล จวนตระกูลหลี่เจ้าเมืองถัง สตรีสองนางถูกสาวใช้จับคุกเข่าลง ตรงหน้าของหลี่หงซวนเจ้าเมืองถัง ทั้งยังเป็นพ่อสามีของทั้งคู่อีกด้วย ท่านกำลังสอบสวนเรื่องของสะใภ้ใหญ่ของบ้านสาม ถูกฮูหยินรองกับอนุรวมหัวกันลอบทำร้าย ด้วยการวางยาขับเลือดในถ้วยน้ำแกงบำรุงครรภ์ ทำให้นางต้องสูญเสียทารกในครรภ์ไป “ท่านพ่อข้าไม่รู้จริง ๆ ว่านั่นเป็นยาขับเลือด ฮูหยินรองบอกว่าเป็นน้ำแกงบำรุงครรภ์ ให้ข้าเป็นคนนำไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ เป็นนางนั่นเอง นางหลอกข้า !” เฉาซูหลิ่งชี้นิ้วไปทางสตรีด้านข้าง ร้อนรนเอ่ยออกมาเหมือนคนไม่ได้รับความเป็นธรรม “อนุเฉาเจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้านะ เจ้าทำคนเดียวทั้งนั้นไม่เกี่ยวกับข้าเลย” ฮูหยินรอง ถูซวงอี้ ชี้นิ้วใส่หน้าเฉาซูหลิ่งกลับคืน ต่างคนต่างโยนความผิดให้กัน ฮูหยินผู้เฒ่าหลิวเยี่ยนหนานโบกมือให้คนเข้ามา “ข้าให้โอกาสพวกเจ้าสองคนพูดความจริง แต่กลับไม่มีใครยอมรับความผิดแม้แต่คนเดียว มันน่าจับส่งทางการให้รู้แล้วรู้รอด” พ่อบ้านหลัวให้คนลากสาวใช้คนหนึ่งเข้ามา สภาพของนางถูกทรมานจนเนื้อตัวบวมช้ำไปหมด “เรียนนายท่านข้าให้คนไปค้นห้องสาวใช้ทุกคนในจวน พบเทียบยาซ่อนไว้ใต้หมอน จากห้องของสาวใช้คนนี้ขอรับ” ถูซวงอี้ถึงกับคุกเข่าต่อไปไม่ไหว ทิ้งตัวลงไปนั่งอยู่บนพื้น สาวใช้ที่ถูกทรมานจนสภาพน่าเวทนานั่น เป็นเสี่ยวอิงสาวใช้สินเดิมของนางเอง “ฮูหยินรอง ข้าขอโทษ ข้าทนต่อไปไม่ไหวจริง ๆ ข้าขอโทษ !” เสี่ยวอิงโขกศีรษะลงตรงหน้าของถูซวงอี้แรง ๆ น้ำตาไหลนองหน้าจน แทบไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่แล้ว พ่อบ้านหลัวเอ่ย “ข้าให้คนไปถามที่หอโอสถแล้วขอรับนายท่าน เป็นเทียบยาขับเลือดจริง ๆ” หลี่หงซวนมองไปทางบุตรชายคนที่สามของตน พบว่าเขามีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก สตรีที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าคือฮูหยินรอง กับอนุภรรยาที่เขารักใคร่ไม่ต่างกัน เหตุใดถึงได้คิดร้ายต่อฮูหยินใหญ่ของเขาได้ เป็นเหตุให้เขาต้องสูญเสียลูกที่อยู่ในท้องของนางไป เดิมทีฮูหยินใหญ่ของเขาก็ตั้งท้องยากอยู่แล้ว เขารอมาตั้งนานกว่าจะมีวันนี้ได้ ไม่คิดมาก่อนว่าจะต้องสูญเสียไปเช่นนี้ “หย่วนเจ๋อนี่เป็นเรื่องในเรือนของเจ้า เจ้าอยากตัดสินเรื่องนี้ด้วยตัวเองหรือไม่” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามบุตรชาย “ไม่ ข้าไม่อยากเห็นหน้าพวกนางอีกต่อไป แล้วแต่ท่านพ่อเถอะขอรับ ข้าขอตัวไปดูฮูหยินใหญ่ก่อน” หลี่หย่วนเจ๋อคำนับบิดา สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปในทันที หางตายังไม่แม้แต่จะมองสตรีทั้งสองนาง เฉาซูหลิ่งลนลานตามเขาไป “ท่านพี่ช่วยข้าด้วย ข้าไม่ผิดนะเจ้าคะ ท่านพี่ !” แต่ถูกบ่าวรับใช้ขวางทางเอาไว้ หลี่หงซวน “หยุดโวยวายได้แล้วอนุเฉา เจ้าเป็นคนถือถ้วยน้ำแกงใส่ยาขับเลือด ไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ด้วยตัวเอง ยังคิดจะหนีความผิดนี้ไปได้อีกรึ” “ท่านพ่อขะข้าข้า...ไม่ผิด” เฉาซูหลิ่งทิ้งตัวไปด้านหลังอย่างหมดเรี่ยวแรง เดิมทีนางก็ไม่เป็นที่โปรดปรานของพ่อแม่สามีอยู่แล้ว เพราะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายได้ ครั้นได้บุตรสาวก็นิสัยขี้ขลาดขี้กลัว ไหนเลยจะเชิดหน้าชูตาให้ตระกูลหลี่ได้ เฉาซูหลิ่งนั่งเหม่อลอย คล้ายคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขณะที่หลี่หงซวนกำลังประกาศโทษทัณฑ์ของพวกนาง ถูซวงอี้กับคนของนาง ถูกขายออกจากจวน ไปอยู่หอนางโลมอย่างเงียบ ๆ ชาตินี้อย่าได้ก้าวเท้า กลับมาเหยียบที่จวนตระกูลหลี่อีก ส่วนเฉาซูหลิ่งถูกขับไล่ออกจากจวน ไปพร้อมกับบุตรสาว ให้ไปอยู่เรือนร้างของตระกูลหลี่ที่เมืองฉาง ห้ามกลับมาที่ตระกูลหลี่อีกชั่วชีวิต “ท่านพ่อท่านขับไล่ข้าไป ข้ายังพอรับได้ เหตุใดต้องขับไล่เหยาเอ๋อร์ไปด้วย นางเพิ่งจะสิบสองปีเองนะเจ้าคะ” เฉาซูหลิ่งนึกถึงบุตรสาวร่างกายผ่ายผอม นอนซมเพราะพิษไข้อยู่ เกิดนึกสงสารนางขึ้นมาจับใจ ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปมองสามีเล็กน้อย นางเห็นเด็กสาวคนนั้นมาตั้งแต่เกิด แม้ไม่ได้เอ็นดูแต่ก็นับว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน “ฮูหยินเรื่องนี้ข้าตัดสินใจไปแล้ว ไม่อาจคืนคำได้” คำพูดของประมุขของตระกูล มีหรือใครจะกล้าขัด เฉาซูหลิ่งปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาดัง ๆ นางโง่งมจนทำให้บุตรสาว ต้องมารับเคราะห์กรรมตามไปด้วย “ลากตัวอนุเฉาออกไป หารถม้าสักคันให้คนส่งนาง ไปที่เรือนร้างเมืองฉาง” คำสั่งของหลี่หงซวนเป็นคำขาด บ่าวไพร่รีบทำตามในทันที ครั้นได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังกับฮูหยินผู้เฒ่า หลี่หงซวนถึงได้บอกเหตุผล ที่ต้องตัดสินใจทำเช่นนี้ นั่นเพราะตระกูลจี้ได้ยื่นคำขาดมา ให้ขับไล่พวกเขาออกไปให้หมด อย่าให้เหลืออยู่แม้แต่ตนเดียว ไม่ต้องการให้คนที่ทำร้ายบุตรสาวของพวกเขา อยู่ระคายสายตาของจี้ชิวหรงอีกต่อไป ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นออกมาหนึ่งคำ “อ้างเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ความจริงแล้วต้องการกำจัดอนุในเรือนบุตรสาวทิ้งให้หมด นี่กระทั่งเด็กคนหนึ่งก็ไม่เว้น แต่ก็เอาเถอะ เหยาเอ๋อร์อยู่ที่นี่ ก็ใช่จะมีประโยชน์อันใด นางไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกเราด้วยซ้ำ ให้นางไปกับแม่ของนางนั่นแหละดีแล้ว” หลี่หงซวนนั้นเป็นเพียงเจ้าเมืองเล็ก ๆ มีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นที่ห้า ฝั่งตระกูลจี้บ้านเดิมของจี้ชิวหรงนั้น อยู่ในเมืองหลวงมีตำแหน่งใหญ่โตกว่าหนึ่งขั้น เรื่องนี้เขาจึงต้องขบคิด ถึงผลได้ผลเสียในอนาคตอีกด้วย การเสียสละอนุกับหลานสาวคนหนึ่ง เพื่อชดเชยให้แก่คนตระกูลจี้ นับว่าเป็นเรื่องสมควรทำแล้ว “ข้าก็คิดเช่นฮูหยินนั่นแหละ เพียงแต่สะใภ้สามแท้งคราวนี้ ไม่รู้จะยังสามารถตั้งท้องได้อีกหรือไม่ พวกเรารอดูไปก่อนดีกว่า หากนางไม่สามารถตั้งท้องได้จริง ๆ เราค่อยหาอนุมาให้หย่วนเจ๋อภายหลังก็ยังได้ ยามนั้นคนตระกูลจี้จะเอาอะไรมาง้างกับเราได้อีก” “จริงดังท่านว่าเจ้าค่ะ” ฝ่ายเฉาซูหลิ่งที่ถูกคนใช้ ลากตัวออกมาให้เก็บของในเรือน นางส่งเสียงเอะอะโวยวายตลอดทาง พร่ำบอกต้องการพบหลี่หย่วนเจ๋อให้ได้ แต่ถูกสาวใช้ขวางไว้ไม่ให้ไป นางจำใจกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง รีบเก็บของสำคัญใส่ห่อผ้าเพื่อออกเดินทาง
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
วิญญาณแพทย์นิติเวชที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 21 ได้เข้ามาอยู่ในร่างคุณหนูของจวนเสนาบดีอย่างบังเอิญ ผู้คนกล่าวหาว่านางไม่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และทำให้บุตรชายของแม่ทัพตาย ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้ต้องการฆ่านางเพื่อให้คำอธิบายกับแม่ทัพ! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนหยิ่งยโสและเจ้ากี้เจ้าการ ทุกคนเกลียดนาง และครอบครัวของนางต้องการไล่นางออก! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนเลวทรามและไร้ความปรานี วางยาน้องสาว และพ่อของนางต้องการโบยนางจนตาย! ในความเป็นจริงหากอยากจะกล่าวหาผู้ใดสักคน มันก็หาข้ออ้างได้ทั่ว แต่นางเป็นคนไม่ยอมใคร นางผอมบางนางหนึ่งปลุกปั่นโลกด้วยความสามารถอันทรงพลังตนเอง ท่านอ๋องกล่าวว่า หากได้เจ้ามาครอบครอง ข้ายอมทรยศทุกคนในโลก นางกล่าวว่า เพื่อท่าน ต่อให้ทุกคนในโลกเกลียดข้า ข้าก็ยอม
เดิมทีนางเป็นทายาทของตระกูลแพทย์เทพ แต่จู่ๆ นางก็กลายเป็นบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีที่พ่อไม่สนใจใยดีและแม่ก็เสียชีวิตตั้งแต่ยังนางยังเด็ก ในวันที่นางย้อนยุค นางถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้ร้ายตัวจริงที่สังหารฮูหยินจวนโหว นางพยายามพลิกผัน พลิกสถานการณ์ และพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง นางคิดว่าภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นจบลงแล้ว แต่นางไม่รู้ว่าสิ่งที่นางจะต้องเผชิญคือเหวอันไม่มีที่สิ้นสุด เป็นถึงบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีกลับมีอันตรายอยู้รอบตัวมากมาย ทุกคนก็รังแกนางได้ พ่อไม่สนใจนางจะเป็นหรือจะตาย แม่เลี้ยงและน้องสาวต่างแม่สนุกกับการทรมานนาง คู่หมั้นชั่วร้ายของนางอยากจะใช้นางเป็นประโยชน์เพื่อขึ้นไปที่สูง และแม้แต่น้องชายแท้ๆ ของนางยังทรยศนาง นางจึงเริ่มต่อสู้กับคนเจ้าเล่ห์ ข่มเหงแม่เลี้ยงของนาง และดูแลน้องชายและน้องสาวของนาง ดังนั้นนางวางแผนที่จะเล่นงานผู้ชายชั่ว เอาคืนแม่เลี้ยง และแก้แค้นน้องๆ ระหว่างที่นางแก้แค้นนั้น นางมีชีวิตที่มีความสุข แต่กลับไม่รู้ว่าไปยั่วยุคนใหญคนหนึ่งเข้าเมื่อไร เมื่อนางจะทำเรื่องไม่ดีหรือฆ่าคน เขาก็ช่วยนางหมด ในที่สุดนางก็อดไม่ได้ที่ถามออกมาว่า "ท่าน แม้ว่าข้าจะทำลายโลกที่ไม่มความยุติธรรมนี้ ท่านก็จะช่วยข้าเช่นกันหรือ" เขาทำหน้าใจเย็น "ตราบใดที่เจ้าอยู่เคียงข้างข้า แม้ว่าจะเป็นโลกใบนี้ ข้าก็สามารถให้เจ้าได้"