อกหักไม่ตาย แต่ช้ำใจจนต้องหอบร่างมาพักใจถึงประเทศลาวเป็นเดือนๆ และจะดีกว่านี้มากถ้าหากเอเจนซี่ทัวร์ที่ผมขอให้หาไกด์ให้ไม่ส่งไอ้เด็กกุ๊ยนั่นมา "เป็นเกย์บ่นิ อย่ายุ่งกับดากข้อยเด้อ" ...มารดาเอ็งเถอะ!
 อกหักไม่ตาย แต่ช้ำใจจนต้องหอบร่างมาพักใจถึงประเทศลาวเป็นเดือนๆ และจะดีกว่านี้มากถ้าหากเอเจนซี่ทัวร์ที่ผมขอให้หาไกด์ให้ไม่ส่งไอ้เด็กกุ๊ยนั่นมา "เป็นเกย์บ่นิ อย่ายุ่งกับดากข้อยเด้อ" ...มารดาเอ็งเถอะ!
บทที่ 1
มีใครเคยบอกว่า ‘ถ้าอกหักก็ต้องไปพักใจ’
เพราะวลีนี้ ผมเลยมาโผล่ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองหนองคาย ชายแดนระหว่างประเทศไทย-ลาวในช่วงบ่ายของวันใหม่หลังจากที่ใช้เวลาอยู่บนรถบัสจากทางภาคเหนือมายังภาคอีสานตลอดทั้งคืน การกระทำของผมค่อนข้างจะวู่วามและดูงี่เง่าไปสักหน่อย เพราะจู่ๆ ผมก็ออกจากบ้านมาแบบไม่บอกกล่าวใคร ไม่บอกทั้งไอ้จอมแสบ ผู้ซึ่งเป็นพี่ชายอายุมากกว่ากันสามปี และไอ้จอมแก่น น้องชายอายุน้อยกว่ากันเจ็ดปี ซ้ำยังทิ้งร้านนมซึ่งเป็นธุรกิจส่วนตัวของตัวเองในจังหวัดพิษณุโลกมาโดยไม่สนใจอะไรอีกด้วย
ความสิ้นคิดของผมในการกระทำนี้มีแค่เหตุผลเดียวเท่านั้น...
ผมอกหัก... อกหักจากผู้ชายคนนึงที่ผมเคยตามจีบอยู่
ใช่ครับ... ผู้ชาย ยืดอกยอมรับแมนๆ เลยว่าผมเป็นเกย์ และคนที่ผมจีบก็เป็นเกย์เช่นกัน แต่บังเอิญว่าการเป็นเกย์กันทั้งคู่ไม่ใช่เหตุผลที่ผมจะจีบเขาติด ในเมื่อเขาคบหาอยู่กับคนอื่น ผมก็ไม่อยากจะเป็นพวกขี้แพ้ชวนตี เขาไม่รักก็ตื๊อไม่เลิกอะไรเทือกนั้นเลยต้องกลับมาดูแลตัวเอง
ช่วงแรกๆ ที่ผมพยายามตัดใจ ผมก็คิดนะว่ามันคงจะไม่ใช่เรื่องยากเพราะผมเพิ่งจะรู้จักเขาไม่นานเท่าไหร่ ทว่าเอาเข้าจริง ความรู้สึกของผมที่มีให้เขาคนนั้นมันมากเกินกว่าการจีบเล่นๆ กว่าจะรู้ตัวว่าผมชอบเขาจริงๆ ก็เจ็บปวดรวดร้าวจนทนเห็นหน้ากันไม่ไหวแล้ว
ก็นะ เวลาเห็นคนที่ผมชอบอยู่กับคนที่เขารักมันปวดใจนี่ ถึงเราจะยังมีมิตรภาพดีๆ ให้แก่กัน แต่มันก็ทนดูไม่ได้ มาอยู่ห่างๆ น่ะดีแล้ว ห่างกันให้มากที่สุด...
ห่างแค่ในจังหวัดคงไม่พอ เลยต้องห่างกันข้ามประเทศ ทว่าจะให้ไปไหนไกลๆ ผมก็ไม่มีอารมณ์เท่าไหร่นัก สุดท้ายเลยมาจบที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว เดินทางง่าย ค่าเงินไม่ต่างกันมาก แถมภาษาก็ใกล้เคียง มาคนเดียว ยังไงคนไม่เก่งภาษาอังกฤษอย่างผมก็เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว
ผมลงจากรถทัวร์ที่มาส่งยังท่ารถซึ่งจะต้องขึ้นต่อเพื่อข้ามไปยังลาวในตอนบ่าย จัดการซื้อตั๋วอะไรเสร็จก็เปิดเครื่องโทรศัพท์มือถือที่ปิดเอาไว้ตั้งแต่ออกจากบ้านขึ้นมาเช็กว่ามีใครติดต่อมาไหม พอหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นเท่านั้น ข้อความแจ้งเตือนมิสคอลมากมายก็ปรากฏให้เห็น คนที่โทรเข้ามาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ไอ้แสบกับไอ้แก่น พี่กับน้องของผมนั่นเอง โทรมากันเป็นร้อยๆ สาย มีสายของพ่อกับแม่ที่ทำสวนผลไม้อยู่ที่เชียงใหม่โทรเข้ามาด้วย ดูท่าพวกมันคงจะโทรบอกพ่อกับแม่ว่าผมหายตัวออกจากบ้านโดยไม่รู้สาเหตุเป็นที่เรียบร้อย ผมเลยโทรกลับหาพวกมันด้วยกลัวว่ามันจะเป็นห่วงจนถึงขั้นไปแจ้งความคนหาย
ผมเลือกที่จะโทรหาไอ้แสบ เพราะถ้าโทรหาไอ้แก่น รับรองเลยว่าไอ้เด็กนั่นมันจะต้องโวยวายที่ผมหายหัวไปแน่ ก็ผมทิ้งงานไว้ให้มันขนาดนั้นน่ะ ไอ้แสบมันมีร้านเหล้าที่ต้องดูแล มันอาจจะไม่ได้มาดูแลประจำสักเท่าไหร่โดยเฉพาะช่วงกลางคืน ดังนั้นหน้าที่ที่เหลือจึงตกเป็นของไอ้แก่นแทน
รอสายได้ไม่นานก็มีเสียงตอบรับ ก่อนผมต้องรีบดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหูเมื่ออีกฝ่ายแผดเสียงใส่ลั่น
[อยู่ไหนของมึงเนี่ยไอ้ดื้อ! กูกับไอ้แก่นโทรหามึงจนมือจะหงิกแล้ว มึงหายหัวไปอยู่ไหนมา!]
ดูเหมือนจะคิดผิดเหมือนกันที่โทรหาไอ้แสบเพราะคิดว่ามันจะไม่โวยวาย ความจริงแล้วมันก็โวยวายไม่แพ้กับไอ้แก่นเลย
“มึงใจเย็นๆ กูก็แค่ออกมาเที่ยว”
ผมรีบบอกพี่ชาย ทว่าไอ้แสบไม่ได้คิดว่า ‘ก็แค่’ เหมือนกับผมแม้แต่น้อย พอมันได้ยินเหตุผลของผม มันก็สบถหยาบคายออกมาทันที
[ก็แค่เที่ยวบ้านมึงเถอะ กูนึกว่ามึงโดนใครดักทุบหัวไปฆ่าหมกพงหญ้าตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ไอ้เวรเอ๊ย ไปไหนมาไหนทำไมไม่บอกก่อน]
คำบ่นด่าของมันทำเอาผมหัวเราะออก ก่อนมันจะถามขึ้นมาใหม่
[แล้วนี่ตกลงมึงอยู่ไหน]
“กูอยู่หนองคาย” ผมว่า
ไอ้แสบร้องดังหืมขึ้นมาให้ได้ยินนิดนึงประหนึ่งสงสัย
[ไปหนองคายทำไมวะ]
“กูกำลังจะข้ามฝั่งไปลาว”
[อะไรนะ นี่มึงผีบ้าอะไรเข้าสิงเนี่ย ไปลาวทำบ้าอะไร!]
โวยวายมาอีกแล้ว คราวนี้ไม่ใช่แค่ไอ้แสบด้วยที่โวยวาย เหมือนจะได้ยินเสียงไอ้แก่นดังมาให้ได้ยินแว่วๆ ว่าถามไอ้แสบว่า ‘นั่นพี่ดื้อเหรอ’ ก่อนจะตามมาด้วยการโวยวายด้วยอีกคนเมื่อได้ยินไอ้แสบบอกว่าผมกำลังจะข้ามฝั่งไปลาว ผมเลยต้องรีบตอบคำถามพี่ชายก่อน ไม่งั้นล่ะก็ไอ้แก่นต้องเข้ามาแย่งโทรศัพท์แล้วเป็นตัวแทนแม่ บ่นผมยาวแน่
น้องชายคนเล็กของผมน่ะมันบ่นเก่งจะตาย ปกติเห็นมันเงียบๆ ไม่ค่อยหือค่อยอือกับใคร แต่เวลามันเอ่ยปากอะไรขึ้นมาทีนี่ บอกเลยว่าหูชา ไม่ใช่ว่าผมกลัวมันหรอกนะ แต่รำคาญมากกว่า เป็นน้องเล็กสุดแต่ดันขี้บ่นกว่าใครเพื่อนเพราะดันมีหน้าที่จัดการงานบ้านงานช่องให้พวกพี่ชายที่เป็นหนุ่มโสดทั้งคู่ พอเห็นมันเป็นแบบนี้ ผมก็ไม่ค่อยอยากคุยกับมันเท่าไหร่ด้วยไม่ต้องการมีแม่คนที่สอง
และเพราะได้ยินพวกมันโวยวายโหวกเหวกมาอย่างนั้น ผมเลยรีบว่าเร็วๆ
“กูก็จะไปเที่ยวน่ะสิ อกหัก ขอไปพักใจหน่อย”
ไอ้แสบที่โวยวายค้างอยู่ก็หันไปบอกไอ้แก่นให้เงียบก่อน จากนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่ง ดูท่าจะปลีกตัวมาคุยกับผมอีกที่ พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงมันดังขึ้นมา
[เอาจริงดิ มึงช้ำใจขนาดนั้นเลยเหรอวะ]
“อืม”
[มึงนี่น้า แล้วจะไปกี่วัน]
“น่าจะสักเดือนนึง” ผมว่า
ไอ้แสบบ่นนิดหน่อยที่เห็นว่าผมไปนานกว่าที่มันคาดคิด แต่ก็ไม่ได้อะไรมาก ด้วยมันรู้ดีว่าผมต้องการเวลาส่วนตัวในเวลาที่เจอความผิดหวัง
ก็ทุกครั้งที่ผมอกหักหรือเลิกกับแฟน ผมก็ทำแบบนี้ทุกที หนีไปที่อื่นโดยไม่บอกใครอะไรแบบนี้ พอเริ่มรู้สึกดีขึ้นก็กลับไปใช้ชีวิตปกติตามเดิม เพียงแต่ครั้งนี้มาไกลกว่าเดิมหน่อยก็เท่านั้น
[เออ พักใจก็พักใจ ไว้สบายใจก่อนแล้วค่อยกลับ ว่าแต่ร้านนมมึงนี่เอาไง ให้ปิดไปก่อนไหม]
“ปิดแล้วกูจะเอาที่ไหนกินวะ ฝากดูหน่อย”
[ภาระกูอีกละ กลับมาแล้วแบ่งกำไรให้กูด้วย]
ทำเป็นว่าผมไปอย่างนั้นแหละ แต่ก็รับปากว่าจะดูแลให้เพราะครั้งก่อนๆ มันก็เป็นแบบนี้
ผมหัวเราะนิดหน่อยก่อนจะบอก
“เออ ไม่ต้องห่วง ไว้กูกลับไปจะแบ่งกำไรให้”
[ดูแลตัวเองด้วยแล้วกัน อย่าไปโดนหนุ่มลาวหลอกแล้วช้ำใจกลับมาไทยล่ะ]
ไอ้แสบทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ที่เหลือก็เป็นคราวผมที่กำชับพี่ชายให้บอกพ่อกับแม่ว่าผมปลอดภัยดีและกำลังจะไปที่ไหน เหตุผลที่ผมไม่โทรบอกเองเป็นเพราะกลัวว่าจะโดนบ่นยาวโทษฐานทำให้เป็นห่วงน่ะ
พูดคุยตกลงกันเสร็จ ผมก็ตัดสายทิ้ง เตรียมตัวไปขึ้นรถข้ามฝั่งไปลาวเพราะใกล้เวลาที่รถจะออกแล้ว ทว่าในจังหวะที่ผมยกกระเป๋าเป้ใบเขื่องขึ้นสะพายหลัง จู่ๆ ก็มีใครบางคนเดินมาด้านหลังผมพอดี ทำให้กระเป๋าเป้ที่ผมเหวี่ยงขึ้นสะพายไปฟาดโดนคนคนนั้นอย่างจังจนเซถลา ผมไม่เห็นแต่รู้สึกได้เลยรีบวางเป้ลง หันไปหาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพบว่าใครคนนั้นกระเด็นไปชนกับเก้าอี้ที่ตั้งไว้สำหรับนั่งรอรถบัสเข้าอย่างจัง
“ขอโทษครับ”
ผมรีบร้องบอกไปโดยเร็ว แล้วก็ต้องชะงักเมื่อสายตาปะทะเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่มีความสูงในระดับสายตาผม ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าหากไม่เห็นว่าไอ้หมอนี่ใส่แจ็คเก็ตหนังตัวหนาทับเสื้อยืด กางเกงยีนส์ขาดๆ มีสายโซ่ห้อยระโยงระยาง อารมณ์เหมือนชาวร็อกอะไรเทือกนั้น ใบหน้าก็สวมแว่นตาดำ ซ้ำยังมีหมวกแก๊ปสวมที่หัว แต่พอดูผมเผ้าที่ยาวปรกบ่าและหนวดเคราเฟิ้มบนใบหน้าแล้ว ผมว่าไม่น่าจะใช่ร็อก คล้ายพวกเพื่อชีวิตมากกว่า ทว่ามีสิ่งที่ไม่เข้าพวกปรากฏให้เห็นอยู่อย่างนึง นั่นก็คือกระเป๋าที่หมอนี่ถือ...
กระเป๋าพลาสติกสายรุ้ง...
หรือที่เรียกว่าถุงกระสอบนั่นแหละ หิ้วมาด้วยซะใบเบ้อเริ่ม ดูท่าจะเอาใส่เสื้อผ้ามา
ผมเผลอย่นคิ้วใส่อย่างเสียมารยาทด้วยไม่เข้าใจกับการแต่งตัวของอีกฝ่าย
ไม่ร้อนหรือไงวะ แล้วกระเป๋าที่หาความแมตช์กับเสื้อผ้าที่ใส่ไม่เจอมันคืออะไร
อีกฝ่ายเองก็ย่นคิ้วใส่ผม บอกให้รู้ชัดเจนว่าไม่พอใจที่ผมเหวี่ยงกระเป๋าไปโดนเข้า ผมได้สติก็เลยขอโทษไปอีกทีด้วยไม่อยากมีปัญหา
“ขอโทษด้วยนะครับ พอดีเมื่อกี้ผมไม่ทันเห็นเลยไม่ทันระวัง”
อีกฝ่ายไม่พูดอะไร ยังทำหน้าไม่พอใจอยู่ ยืนจังก้าจ้องผมอยู่นั่นแหละ ผมเลยคิดเอาเองว่าอาจจะไม่ใช่คนไทย แล้วคงไม่ใช่คนลาวด้วย ก็แถวนี้นอกจากคนไทยกับคนลาวแล้ว ยังมีคนต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ อยู่อีกเพียบ ผมเลยพูดเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงไทยออกไปแทน
“แอมโซซอรี่ (ขอโทษครับ)”
คราวนี้เหมือนฝั่งนั้นจะเข้าใจ พ่นลมหายใจออกมาเต็มแรงครั้งหนึ่ง ก่อนจะพึมพำ
“Asshole (ไอ้งี่เง่า)”
แล้วก็เดินจากไป ทิ้งให้ผมมองอย่างงุนงงด้วยฟังไม่ทันว่าคนเมื่อครู่พูดว่าอะไร
ก็ผมเก่งภาษาอังกฤษเสียที่ไหน แล้วดูมันพูดอย่างไว ฟังได้คร่าวๆ ว่าอะไรโฮลๆ สักอย่าง
ยืนคิดทบทวนไปครู่ ก่อนจะค่อยๆ แปลคำศัพท์เมื่อกี้ทีละคำ
แอส... แปลว่าก้น
โฮล... แปลว่ารู
รวมกันเป็นรู...
เดี๋ยว! แม่งด่ากูนี่หว่า!
จากที่ไม่อยากมีปัญหา ตอนนี้มองหาไอ้เวรนั่นโดยไว จะเข้าไปถามมันสักหน่อยว่ามาด่าเรื่องอะไร ทั้งที่ผมก็ขอโทษไปแล้ว ทว่าก็ไม่เห็นมันแม้แต่เงา เดินหายหัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ผมเลยได้แต่สบถหัวเสียอยู่คนเดียว ก่อนจะสะพายกระเป๋าเป้ขึ้นอีกครั้ง แล้วตรงไปขึ้นรถด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีเท่าไหร่
หงุดหงิดชะมัด ทำไมต้องมาเจอคนบ้าด่าเอาฤกษ์เอายามตั้งแต่ยังไม่ข้ามฝั่งไปลาวด้วยวะ
 เมื่อมนุษย์เพศชายเกิดการวิวัฒนาการทางร่างกาย ผู้ชายกลุ่มหนึ่งจึงสามารถตั้งท้องได้ และเพราะความเมาชนิดหลุดโลกในคืนวันนั้น ‘นภัทร’ เดือนคณะสุดหล่อจึงตื่นขึ้นมาพร้อมกับความจริงว่าตัวเองจัดการรวบหัวรวบหางลากหลืบคณะอย่าง ‘สิงหา’ ไปมี one night stand เป็นที่เรียบร้อย เรื่องควรจะจบลงแค่นั้น แต่ไม่จบเมื่อชีวิตน้อยๆ ถือกำเนิดขึ้น นภัทรหายตัวไป กลับมาอีกครั้งพร้อมกับข่าวลือประหลาดๆ ก่อนสิงหาจะพบว่าต้นเหตุของข่าวลือคือเด็กหญิงตัวน้อยอย่าง ‘น้องณดา’ ที่สิงหาสงสัยเหลือเกินว่าจะเป็นลูกของเขา “ให้เรียกนายว่าพ่อไม่ได้หรอก น้องณดาไม่ได้ลูกของนาย” “งั้นเรียกป๊ะป๋าก็ได้” “ไม่ได้” “แด๊ดดี้” “นี่...พอเลย” “ดาดา” คำเรียกที่หลุดจากปากของเด็กหญิงตัวน้อยทำเอาคุณพ่อกำมะลอยิ้มหน้าบาน ปฏิบัติการทวงคืนความเป็นพ่อต้องมา ต่อให้นภัทรไม่ยอมรับ งั้นสิงหาก็ขอเข้าทางลูกสาวตัวจิ๋วก็แล้วกัน! รับผมเป็นพ่อของลูกเถอะนะครับ!
 เพราะไปตีกับเกรียนคีย์บอร์ดที่บังอาจเอานิยายเธอมาวิจารณ์หยาบๆ คายๆ ว่างานเธอเชิดชูระบอบปิตาธิปไตย ตามมาด้วยการดูแคลนเหยียดหยามทางเพศสภาพอีกหลายอย่าง ทำเอา ‘อาคิรา’ นักเขียนนิยายประโลมโลกถึงกับเลือดเฟมินิสต์ในกายเดือดพล่าน กล้าดียังไงมากล่าวหาเธออย่างนี้ งานเธอถึงจะเป็นงานประโลมโลก แต่ใช่ว่าจะเชิดชูระบอบชายเป็นใหญ่สักหน่อย! ต้องตามไปตบตีจนกว่าจะชนะ เถียงแพ้รอบนั้น แต่คนไม่แพ้ ตามหาแอคเคาทน์ของคนที่ใช้นามแฝงว่า ‘เวนไตย’ ไปจนเจอเข้ากับตอจังเบ้อเร่อ โดยหารู้ไม่ว่าเวนไตยคนนี้ หาใช่ไอ้เวรตะไลที่ประนามหยามเหยียดแต่อย่างใดไม่ ทว่าเป็นบรรณาธิการหนุ่มผู้คว่ำหวอดในวงการวรรณกรรมสร้างสรรค์สังคมต่างหาก “ฉันจะทำให้ดูว่างานเขียนฉันมันไม่ได้เชิดชูระบอบชายเป็นใหญ่!” “งั้นก็ลองเขียนมาดู ผมอยากอ่านเหมือนกัน อยากรู้ว่านักเขียนอย่างคุณจะทำได้ดีสักกี่น้ำ” โดนท้าทายมาถึงกับปรี๊ด คอยดูเถอะ เธอจะเอารางวัลมาฟาดหน้าไอ้เวรตะไลนี่ให้ได้เลย!
 “ฉันจะเป็นเมียของนายดินค่ะ” ไม่รู้ว่าส้มหล่นหรือโชคร้ายกันแน่ที่จู่ๆ คุณหนู ‘หยาดฟ้า’ ของตระกูลเศรษฐีเมืองกรุงก็มาถวายตัวยอมเป็นเมียของ ‘ไอ้ดิน’ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเสียอย่างนั้น ไอ้ดินค่อนข้างจะงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็จะไม่ให้งงได้อย่างไร เขาไม่รู้จักมัดจี่กับเจ้าหล่อนนี่ จู่ๆ ก็มาบอกว่าจะเป็นเมียเขา เป็นใครก็งงทั้งนั้นแหละ! ก่อนที่เขาจะได้รับรู้ว่าเหตุนี้เกิดขึ้นเพราะหยาดฟ้าถูกบิดาบังคับให้แต่งงาน เธอจึงหนีมาอยู่ที่บ้านพักตากอากาศในต่างจังหวัด และได้เจอกับกุลีหนุ่มที่นี่ ประจวบเหมาะกับที่บิดาของเธอโทรมาคาดคั้นให้เธอกลับไปแต่งงานพอดี เธอถึงได้ลั่นวาจานี้ออกมาให้บิดารู้ว่าเธอมีผู้ชายคนใหม่ที่ยินยอมพร้อมใจจะเป็น ‘เมีย’ ของเขาแล้ว หาใช่ผู้ชายที่บิดาจัดเตรียมมาให้ สำหรับไอ้ดิน นี่คงไม่ใช่ส้มหล่นหรอก เป็นคราวเคราะห์เสียมากกว่า เขาจึงรีบบอกปัดหัวขวิด “ไม่ล่ะครับคุณหนู ผมคงไม่อาจเอื้อมไปเด็ดดอกฟ้าหรอก ผมก็แค่กุลีใช้แรงงานไปวันๆ จะเอาเงินที่ไหนไปเลี้ยงให้คุณหนูอยู่ดีกินดีได้” “ไม่ต้องกินดีอยู่ดีก็ได้ แค่ให้ฉันอยู่ด้วยก็พอ” “ให้อยู่ด้วยก็ไม่ได้ครับ ก็คุณหนูน่ะเป็น...” “เป็นเมียนายดินไงล่ะ” เป็นที่ไหนกัน เขายังไม่ได้ซั่มเธอเลยสักกะยก! ไอ้ดินปวดขมับตุบๆ ขณะที่หยาดฟ้าเชื้อเชิญเขาเป็นการใหญ่ “แล้วนี่มัวรออะไรอยู่ รีบพาฉันเข้าบ้านสิ จะได้ทำอะไรอย่างที่ผัวเมียเขาทำกัน” เธอรู้หรือเปล่าว่าพูดถึงเรื่องอะไรอยู่น่ะ!? ไอ้ดินไม่แน่ใจนัก แต่แวบเดียวก็แน่ใจแล้ว เพราะจู่ๆ หญิงสาวก็ดึงคอเสื้อให้หน้าอกอิ่มล้นทะลักออกมา ไอ้ดินมองจ้องตาไม่กะพริบ ได้สติมาอีกครั้งก็ตอนที่สาวเจ้าเอ่ยปาก “มาสิพี่ดิน มาเอากัน ฟ้าพร้อมจะเป็นเมียพี่แล้ว” ดูพูดจาเข้า เรียกแทนตัวด้วยชื่อ แทนเขาว่าพี่ชวนให้เอ็นดูอีก! โอ๊ย! ไอ้ดินจะบ้าตาย! เห็นทีเขาคงหนีไม่พ้นการถูกยัดเยียดความเป็น ‘ผัว’ ด้วยฝีมือหยาดฟ้าแล้วล่ะ
 เพราะอกหักจากคนที่แอบชอบมานาน ทำให้ ‘ภีม’ พาตัวเองไปในที่อโคจรเพื่อที่จะระบายความเศร้าเสียใจออกไปบ้าง หากทว่าในคืนนั้น เขากลับได้พบกับชายแปลกหน้าอย่าง ‘สุดเขต’ ที่บังเอิญเข้ามาพูดคุยด้วย ทั้งสองเกือบจะลงเอยกันด้วยความสัมพันธ์ข้ามคืน หรือที่เรียกกันว่า One night stand หากทว่าก็เกิดเรื่องวุ่นๆ เสียก่อน ก่อนที่ภีมจะพบว่าผู้ชายที่เขาได้เจอในคืนนั้น เป็นคนคนเดียวกับคนที่เขาแอบชอบตกหลุมรัก ให้ตาย! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! ขณะเดียวกัน ปฏิบัติการ ‘ลัก’ ความรักของภีมก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อสุดเขตไม่สามารถลืมความน่ารักของภีมลงได้เลย เขาต้องเอามาให้ได้ ทั้งตัวภีม และความรักของภีม จะเอามาให้ได้ทั้งหมดเลยคอยดู!
 แม้ขึ้นชื่อว่าเป็นปีศาจ ทว่าปีศาจกวางอย่าง ‘ลู่ลู่’ กลับหาได้พิสมัยการระรานมนุษย์สักเท่าไรนัก สะอาดบริสุทธิ์เสียจนแทบจะลุแก่ตบะแล้ว ทว่า... ชีวิตของเขาก็หาได้สงบสุขอีกต่อไปเมื่อนักพรตปราบปีศาจอย่าง ‘เยี่ยนเฉิน’ หนีตายจากการถูกล่าเพราะดันไปต้มตุ๋นชาวบ้านวิ่งทะเล่อทะล่ามาสลบอยู่หน้าถ้ำ ถึงจะเป็นปีศาจแต่ก็หาได้ไร้น้ำใจนัก มอบไมตรีช่วยเหลืออย่างไม่เกี่ยงงอน หากแต่เยี่ยนเฉินกลับตอบแทนบุญคุณด้วยการทำให้ชีวิตของลู่ลู่แปดเปื้อนด้วยมลทิน บีบบังคับให้ปีศาจกวางน้อยรวมหัวในแผนต้มตุ๋นชาวบ้านเพื่อเอาคืน! นักพรตจอมกะล่อนผงาด ใช้ชีวิตอย่างสำราญ ขณะที่ปีศาจน้อยถูกจิกหัวใช้ให้ไประรานชาวบ้านไม่เว้นวัน อะไรไม่ว่า เยี่ยนฉินยังขยันลูบหางเล็กๆ ของเขาเสียเหลือเกิน ไม่รู้หรือไงว่าตรงนั้นน่ะ...มะ...มัน... ...ทำให้ตัวร้อนผะผ่าวนะ! ต้องมีสักวันที่พลั้งเผลอไปมากกว่านี้แน่ สวรรค์! ลู่ลู่ผู้นี้จะหลั่งน้ำตาเป็นสายโลหิตแล้ว!
 หากผู้ใดเชื่อว่าทะเลทรายผืนนี้โหดร้าย ผู้นั้นย่อมเชื่อในสิ่งที่ผิด เพราะสิ่งที่โหดร้ายกว่าผืนทะเลทรายแห้งแล้ง คือกองกำลังโจรทะเลทรายของ 'อัลมิราน' ผู้นี้ต่างหาก โหดร้าย...ชั่วช้า...เลวสามานย์ ดูเหมือนจะเป็นคำสร้อยที่พ่วงท้ายชื่อของโจรหนุ่มนามเลื่องลือไปเสียแล้ว แต่เขาจะสนใจสิ่งใดกัน ในเมื่อเขาถูกตราหน้าว่าชั่ว เขาก็จะเป็นคนชั่วให้สมดั่งที่ถูกบีบคั้น เพียงเพื่อให้ได้อัญมณีแห่งสุลต่านมาครอบครอง เขาก็ไม่เกรงกลัวสิ่งใดแล้ว หากแต่หารู้ไม่ว่าสวรรค์จะนำพาให้เขาพบกับอัญมณีมีชีวิตแห่งทะเลทราย...'จามิล' นักระบำร่อนเร่ผู้มีเสน่ห์เย้ายวน เพียงได้ชมระบำทะเลทรายของจามิลแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หัวใจของอัลมิรานก็ถูกครอบครองไปสิ้น โดยหารู้ไม่ว่าตนกำลังก้าวเข้าสู่หุบเหวอเวจีแสนหวานที่จะฉุดคร่าชีวิตเขาไปเสียแล้ว...
 ในช่วงสามปีที่หลูเฉียนหนิงอยู่ข้างๆ เขา โจวเป่ยจิ้งคิดอยู่เสมอว่าเธอเป็นเพียงผู้ช่วยพิเศษ เธอต้องการเงินเพื่อรักษาอาการป่วยของแม่ และจะไม่มีวันจากตนเองไป ครั้งแล้วครั้งเล่า ให้เงินแลกกับความต้องการอย่างชัดเจน ในที่สุด เมื่อเขาเกือบจะหลงใหลนั้น หลูเฉียนหนิงก็ไม่อดทนอีกต่อไป "มีคนรักในใจแล้ว ยังนอนกับฉันทุกวัน คุณชั่วชัดๆ" เมื่อข้อตกลงการหย่าถูกโยนต่อหน้าต่อตา โจวเป่ยจิ้งก็ตระหนักว่าภรรยาลึกลับที่เขาแต่งงานเมื่อหกปีที่แล้วกลับคือเธอ? จากนั้นเป็นต้นมา เขาก็ขึ้นชื่อเป็นชายเจ้าชู้อละตามจีบภรรยาทั้งยังเอาเปรียบเธอ! เขาอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนด้วยทัศนคติที่เผด็จการและเอาใจเธออย่างเต็มที่ เมื่อทุกคนรังเกียจที่เธอมีภูมิหลังที่ต่ำต้อย เขาก็มอบทรัพย์สินและหุ้นของตระกูลทั้งหมดอย่างตรงๆ และเข้าไปอยู่บ้านของตระกูลหลู จู่ๆ เธอก็กลายเป็นประธานหลู ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินนับไม่ถ้วน และทุกคนอิจฉา แต่โจวเป่ยจิ้งกลับตกลงไปในวังวนที่ใหญ่กว่านั้น...
 ซูหลีพยายามทำทุกอย่างเพื่อเอาใจตระกูลซูมาตลอดห้าปี แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อคำใส่ร้ายของน้องสาวเพียงคำเดียว เรื่องที่ซูหลีเป็นคุณหนูปลอมก็ถูกเปิดเผย ทำให้คู่หมั้นทิ้งเธอ เพื่อนๆ ก็ห่างเหิน และพี่ชายขับไล่เธอออกจากบ้าน บอกให้เธอกลับไปหาพ่อแม่ชาวนาของเธอ ในที่สุดซูหลีก็สิ้นหวังและตัดสินใจตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลซู ยึดความช่วยเหลือทุกอย่างคืนและไม่อดทนอีกต่อไป แต่เธอไม่คาดคิดเลยว่าชาวนาที่พี่ชายพูดถึงนั้นกลับกลายเป็นตระกูลลั่วผู้มั่งคั่งที่สุดในประเทศ ในคืนเดียวเธอเปลี่ยนจากคุณหนูตัวปลอมที่ถูกทุกคนรังเกียจเป็นลูกสาวของมหาเศรษฐีที่มีพี่ชายสามคนที่รักเธอ พี่ชายคนโตที่เป็นผู้บริหารใหญ่“เลิกประชุม จองตั๋วเครื่องบินกลับประเทศ ฉันอยากดูสิว่าใครกล้าแกล้งน้องสาวฉัน” พี่ชายคนที่สองที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ยอดเยี่ยมระดับโลก“หยุดการวิจัย ฉันจะไปรับน้องสาวกลับบ้านเดี๋ยวนี้ ” พี่ชายคนที่สามที่เป็นนักดนตรีระดับโลก “เลื่อนคอนเสิร์ต ไม่มีอะไรสำคัญเท่าน้องสาวของฉัน” จู่ๆ คนทั้งเมืองจิงก็ต้องตกใจช็อก ตระกูลซูเสียใจจนสุดขีด คู่หมั้นก็กลับมาขอคืนดี ผู้คนที่มาขอจีบเธอก็แห่กันมาถึงหน้าบ้าน ไม่ทันที่ซูหลีจะตอบสนอง ตระกูลชือซึ่งเป็นตระกูลสูงสุดในเมืองจิงและมีตำแหน่งสูงสุดในกองทัพเรือ ก็เสนอใบสมรสให้เธอ ทำให้เธอกลายเป็นคนดังในสังคมชั้นสูง!
 ทุกคนต่างรู้ดีว่าเจียงว่านหนิงรักเย่เชินมานานหลายปี เธอที่มักจะว่านอนสอนง่ายและน่ารักเสมอ ได้สักลายเพื่อเขาและยอมทนอยู่ใต้อำนาจผู้อื่น เมื่อเธอถูกทุกคนใส่ร้ายจนโดนตำหนิ เขากลับนิ่งเฉยและยังถึงขั้นให้เธอคุกเข่าให้แฟนเก่าของเขาอีกด้วย เธอที่รู้สึกอับอาย ในที่สุดก็หมดหวัง หลังจากยกเลิกการหมั้น เธอก็หันไปแต่งงานกับทายาทพันล้านทันที คืนนั้นเอง ใบทะเบียนสมรสของทั้งคู่ก็กลายเป็นข่าวฮิตบนโลกออนไลน์ เย่เชินที่เคยคิดว่าตัวเองเก่งกาจที่สุดก็เริ่มวิตกและพูดออกมาด้วยความโกรธว่า "อย่าเพ้อฝันไปเลย นายคิดว่าเธอรักนายจริงๆ งั้นเหรอ เธอแค่ต้องการใช้พลังอำนาจของตระกูลฟู่เพื่อแก้แค้นฉันเท่านั้นเอง" ฟู่จิงเซินจูบหญิงสาวในอ้อมกอดและตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจว่า "แล้วจะเป็นไรไปล่ะ ก็พอดีว่าฉันมีทั้งเงินและอำนาจนี่"
 เสิ่นชิงชิว หลานสาวของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองไห้ คบหาอยู่กับลู่จั๋วมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ความจริงใจของเธอกลับสูญเปล่า ลู่จั๋วปฏิบัติกับเธอเพียงในฐานะหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง และทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน โดยไปหารักแรกของเขา หลังจากเลิกรากันอย่างเด็ดขาด เสิ่นชิงชิวก็กลับมามีสถานะเป็นสาวรวยอีกครั้ง ได้รับมรดกมูลค่าหลายร้อยพันล้าน และเริ่มต้นชีวิตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่แล้วมักจะมีคนโผล่มาทไให้กับเธอหงุดหงิดอยู่เสมอ! ขณะที่เธอกำลังจัดการกับผู้ร้าย คุณชายฟู่ผู้มีอำนาจนั้นก็ปรบมือและโห่ร้องว่า "ที่รักของฉันสุดยอดมากจริงๆ"
 หลังจากที่แต่งงานเข้ามาในตระกูลมู่ หลินซีได้ทำหน้าที่เป็นคุณนายมู่ที่ยอมอดทนกับทุกอย่างโดยไม่ปริปากเป็นเวลาสามปี เธอรักมู่จิ่วเซียว จึงยอมอดทนดูแลเขาอย่างเต็มใจ แม้ว่าเขาจะมีคนอื่นอยู่ข้างนอกก็ตามแต่เขากลับไม่เคยเห็นค่าของเธอ เหยียบย่ำความรักของเธอให้แหลกสลาย และถึงขั้นปล่อยให้น้องสาวของเขามอมเหล้าเธอแล้วส่งไปยังเตียงของลูกค้า หลินซีนั้นถึงเพิ่งจะตาสว่างเมื่อรู้ว่าความรักที่มีมานานนั้นช่างน่าขันและน่าเศร้าในใจของเขา เธอไม่ต่างอะไรกับผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เข้ามาเกาะเขา เธอจึงทิ้งข้อตกลงการหย่าไว้แล้วจากไปโดยไม่ลังเล มู่จิ่วเซียวมองดูเธอประสบความสำเร็จ กลายเป็นดวงดาวที่ส่องแสงในสายตาของผู้คนเมื่อได้เจอกันอีกครั้ง เธอเต็มไปด้วยความมั่นใจและสงบเสงี่ยม โดยมีผู้ชายที่มีฐานะสูงส่งอยู่เคียงข้าง มู่จิ่วเซียวมองดูใบหน้าของคู่แข่งหัวใจที่ดูคล้ายกับของเขามาก จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าในสายตาเธอ เขาเป็นเพียงตัวแทนของคนอื่นในมุมแห่งหนึ่ง เขาขวางทางเธอไว้ “หลินซี คุณเล่นตลกกับผมใช่ไหม”
 เซียวหลิ่นตาบอดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ลูกสาวคนรวยทุกคนต่างหลีกเลี่ยงเขา มีแต่สวี่โยวหรานยอมแต่งงานกับเขาโดยไม่ลังเล สามปีต่อมา เซียวหลิ่นกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง จากนั้รเขา็ยื่นข้อตกลงการหย่าเพื่อยุติการแต่งงานนี้ เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า "ฉันพลาดกับชิงชิงมานนานมากพอแล้ว ฉันไม่อยากให้เธอต้องรอนานกว่านี้!" สวี่โยวหรานลงนามในข้อตกลงการหย่าโดยไม่ลังเล ทุกคนต่างก็หัวเราะเยาะเธอตลอด - หัวเราะเยาะว่าที่เธอแต่งเข้าตระกูลเซียวถือว่าเกาะผู้มีอิทธิพลเข้า จากนั้นก็มาหัวเราะเยาะเธอที่ถูกทอดทิ้ง เป็นหญิงที่ไร้ค่า แต่ทุกคนกลับไม่รู้ว่า เธอคือหมออัศจรรย์ที่รักษาดวงตาของเซียวหลิ่นให้หายดี เป็นผู้ออกแบบเครื่องประดับมูลค่าหลักร้อยล้าน ผู้เป็นมือหนึ่งแห่งหุ้นที่ครองตลาดหุ้น และแม้แต่แฮกเกอร์ระดับแนวหน้าและลูกสาวแท้ๆ ของผู้มีอิทธิพล อดีตสามีมาขอร้องขอคืนดี ซีอีโอผู้เผด็จการก็โยนเซียวหลิ่นออกไปนอกประตูอย่างเย็นชา "ดูดีๆ นี่ภรรยาของผม"
  © 2018-now MeghaBook
บนสุด
 GOOGLE PLAY