“ฉันตั้งใจจะบอกเรื่องลูกในวันที่แกวิ่งหน้าตาตื่นมาบอกฉันว่าคุณป่านตอบตกลงจะแต่งงานกับแก!” ความจริงที่ได้รู้กลับกลายเป็นธเนศเสียเองที่พูดอะไรไม่ออก เขายังจำภาพของเอื้องทรายที่กอดเขาร้องไห้ปานจะขาดใจในวันนั้นที่ว่าได้ดี แต่เพราะมัวหลงดีใจมากไปเลยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเธอไม่ได้ร้องไห้เพราะดีใจที่เขาสมหวังกับอดีตคนรัก แต่มันคือความเสียใจ...ความเสียใจที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยจนกระทั่งวันนี้ที่ต้องมารับฟังมันจากปากของเธอเอง ความโกรธก่อนหน้าค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นความเสียใจในที่สุด
ปฐมบท
ภายในงานแต่งงานที่ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในไร่ทองตะวัน ไร่ทานตะวันขนาดใหญ่ที่พื้นที่รอบๆ ไร่นั้นกว้างใหญ่ไพศาลบ่งบอกถึงความมีอันจะกินของเจ้าของเป็นอย่างดี แขกนับร้อยชีวิตต่างถูกเชื้อเชิญมาร่วมแสดงความยินดีกับคู่บ่าวสาวที่ต่างก็มีสีหน้าเรียบเฉยไร้ซึ่งความสุขใดๆ ไม่ต่างกัน เพราะงานในวันนี้ไม่ได้เกิดมาจากความรักของทั้งคู่เลยสักนิด
“ยิ้มหน่อยสิคะคุณหนู วันนี้เป็นวันดีของคุณหนูนะคะ ยิ้มหน่อยเถอะค่ะ” นมบุษผู้ซึ่งรับหน้าที่เป็นญาติของฝั่งเจ้าสาวเอ่ยขึ้น แม้จะรู้ดีถึงต้นสายปลายเหตุ ถึงอย่างนั้นนี่ก็เป็นงานมงคล ทุกคนควรมีความสุขโดยเฉพาะเจ้าสาวที่ใครๆ ต่างพากันอิจฉาที่ได้แต่งงานกับทายาทพันล้านเพียงหนึ่งเดียวของไร่ แม้งานแต่งงานในครั้งนี้จะไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความรักก็ตามที ถึงอย่างไรนางก็ยังอยากให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปอย่างสมบูรณ์
“จะให้ยิ้มยังไงไหวคะนม! นมดูหน้าเจ้าบ่าวของทรายสิคะ หน้างออย่างกับไม้หักศอก!” เอื้องทรายตอบกลับแม่นมของตัวเองก่อนจะชี้ให้อีกฝ่ายหันมองเจ้าบ่าวของเธอ เขาเองยังยิ้มไม่ออก นับประสาอะไรกับเธอ
“เดี๋ยวเถอะไอ้ทราย! คิดว่าฉันอยากแต่งงานกับแกนักรึไง!” ธเนศอดไม่ได้ที่จะโต้ตอบเจ้าสาวของตัวเองกลับไปก่อนจะจ้องอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง ทุกๆ คนในงานล้วนเห็นภาพเหล่านี้จนเกิดเป็นความเคยชิน เพราะถึงทั้งสองคนจะทะเลาะกันรุนแรงสักแค่ไหน ก็เป็นแบบนั้นได้ไม่เคยข้ามวัน
เอื้องทรายคือเพื่อนรักเขา
คือผู้หญิงคนแรกและคนเดียวที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขามากที่สุด ย่าของเขากับเธอเป็นเพื่อนรักกัน เลยทำให้เขากับยัยนี่มีโอกาสได้เจอกันบ่อยๆ ที่บ้านสวนของย่าประไพที่ตอนนี้เสียชีวิตไปแล้ว จนกระทั่งเมื่อเติบโตขึ้นถึงได้รู้ว่าสองย่าที่ตอนนี้แอบหนีไปเที่ยวเล่นบนสวรรค์ทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งเอาไว้ให้ดูต่างหน้า โดยเนื้อความในนั้นระบุไว้อย่างชัดเจนถึงทุกๆ คำสั่งว่าให้เขากับยัยนี่แต่งงานกันทันทีที่เธออายุครบยี่สิบห้าปีเต็ม มันคือสิ่งที่ทำให้ตกใจเพราะพวกย่าๆ ไม่เคยพูดถึงมันเลยสักครั้ง
แน่นอนว่าที่ครอบครัวของเขามีกินมีใช้ถึงทุกวันนี้ได้ทั้งหมดก็เพราะย่า มันทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธคำขอร้องที่ดูยังไงก็ไม่ต่างจากคำสั่งของท่านได้ จำต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่เขามองเธอเป็นเพื่อนมาโดยตลอดคนนี้ ส่วนเรื่องอื่นคงต้องรอให้พ้นวันบ้าๆ นี่ไปก่อนแล้วค่อยคุยกันให้เข้าใจก็ยังไม่สาย เขาเชื่อว่าเอื้องทรายเองคงกำลังมองหาทางออกอยู่เหมือนกัน
เขาไม่รักเธอ ส่วนตัวของเธอเองก็คงไม่ได้รักเขาในแบบคนรัก คนสองคนที่ไม่ได้รักกันจะให้มาอยู่ด้วยกันได้ยังไง เขาคนหนึ่งล่ะทำไม่ได้แน่
“งั้นก็หย่ากัน! แต่งวันนี้พรุ่งนี้หย่าเลยเป็นไง!” เสียงตวาดกลับของเจ้าสาวที่วันนี้ดูสวยงามอ่อนหวานกว่าวันไหนๆ เรียกสติให้กลับคืนมา แต่ยังไม่ทันจะได้ตอบกลับเสียงห้ามทัพของมารดาฝ่ายชายก็ดังขึ้นขัดซะก่อน
“หยุดเลยทั้งคู่ ทะเลาะกันตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยเปลี่ยนเลยจริงๆ เราเองก็ด้วยตาวิน ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อยสิ อยากให้คุณย่าเสียใจรึไง หนูทรายก็ด้วยนะลูก วันนี้เป็นวันดีของหนู ควรยิ้มให้มากๆ คุณย่าประไพจะได้ตายตาหลับ นะจ๊ะ ถือว่าป้า…ไม่สิ ต้องถือว่าแม่ขอร้อง ได้ไหมลูก” คุณวันดีเอ่ยขึ้นห้ามทัพก่อนจะหันไปมองเพื่อนสนิทของบุตรชายที่บัดนี้ได้กลายมาเป็นสะใภ้ของนางเต็มตัว
แม้จะไม่ชินแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเอื้องทรายเป็นผู้หญิงที่น่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่ง และทุกคนที่นี่ก็รักเธอ แม้เด็กสาวจะเป็นคนโผงผาง ดื้อเงียบ คิดอะไรก็มักจะแสดงออกมาตรงๆ แต่ก็ถือว่าเป็นคนดีคนหนึ่งที่ใครๆ ต่างก็พากันบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเหมาะสมกับลูกชายของนางมากกว่าใคร “หนูจะพยายามค่ะ คุณแม่”
เอื้องทรายเอ่ยขึ้นอย่างยอมจำนน เธอหันไปค้อนใส่สามีชั่วครู่ก่อนจะหันกลับมาส่งยิ้มหวานให้แม่สามีตามคำขอ
งานเลี้ยงยังคงเดินหน้าต่อไปจนกระทั่งถึงเวลาเข้าหอซึ่งมีเพียงญาติฝั่งเจ้าบ่าว และฝั่งเจ้าสาวเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้ามาส่งตัวทั้งคู่ถึงห้องหอ
ฝ่ายเจ้าสาวเป็นนมบุษที่อวยพรให้ทั้งสองมีความสุขกับชีวิต ส่วนทางฝ่ายเจ้าบ่าวเป็นคุณวันดีที่เอ่ยอวยพรคล้ายๆ กันก่อนทั้งหมดจะพากันออกไปดูแลแขกภายในงานเลี้ยง ที่จะยังคงดำเนินกันต่อไปตลอดทั้งค่ำคืน
“โอ้ย! เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว จบซะทีนะ!”เป็นเอื้องทรายที่ร้องลั่นห้อง ก่อนทิ้งตัวบนเตียงขนาดใหญ่ที่ถูกโรยเอาไว้ด้วยกลีบกุหลาบหลากสี
“ฉันนี่ปวดขาจะแย่ ลุกขึ้นมานวดให้หน่อยสิครับคุณภรรยาคนสวย” ธเนศเอ่ยสมทบก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงเคียงข้างภรรยาป้ายแดง
“เรื่องอะไร ขาแกแกก็นวดเองสิ”
“แต่แกเป็นเมียฉันนะ ไม่รู้รึไงว่าหน้าที่ภรรยาที่ดีควรปรนนิบัติสามี มามะทูนหัว สุดที่รัก แม่ยอดดวงใจลุกขึ้นมาบีบขาให้ผัวเสียดีๆ” ธเนศแสร้งแหย่อีกคนเล่น ด้วยรู้ว่าการทำให้เธอหงุดหงิดคืองานถนัดของตัวเอง
“รู้แต่ไม่ทำโว้ยมีอะไรไหม! แกพูดเหมือนไม่รู้ว่าเราสองคนแต่งงานกันเพราะอะไร!” คำตอบที่ได้กลับมาทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน
ต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าหากไม่ใช่เพราะคำสั่งเสียของสองย่างานแต่งงานในวันนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น มันคือความจริงที่ไม่อาจหลบเลี่ยงหลีกหนี
“พี่นุยังรักลินอยู่ไหม...” คำถามที่ไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าเธอจะต้องเป็นคนถามมันกับเขาดังขึ้น มันคือคำถามที่เธอไม่เคยอยากได้คำตอบ เพราะกลัวว่าถ้ามันเกิดไม่ตรงใจขึ้นมาเธอคงเจ็บปวดเจียนตายน่าดู แต่เธอทนไม่ไหวอีกแล้ว ทนอยู่กับความรู้สึกบ้าๆ พวกนี้ไม่ไหวแล้ว “ลิน ใจเย็นๆ แล้วฟังพี่ก่อน…” ปรเมศวร์เองก็เริ่มได้สติหลังจากได้เห็นแววตาที่อัดแน่นไปด้วยความปวดร้าวของอีกคนเข้า มันทำให้เขาคิดได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต้นเหตุมันมาจากตรงไหน และก็เป็นเหมือนทุกครั้ง เขาเองที่ผิด ผิดที่พาช่อลดามาที่นี่
“เทียนไม่หวังสูงขนาดนั้นหรอกค่ะ ที่พูดเพราะเป็นห่วงเท่านั้น” พลอยบุหลันตอบเสียงแผ่วก่อนจะพาตัวเองเดินหนีกลับมาที่ห้อง เพราะไม่อยากอยู่ให้เกะกะสายตา หรือสร้างความรำคาญให้กับเขาอีก หญิงสาวนั่งลงบนเตียงก่อนจะเริ่มต้นสวดมนต์เหมือนทุกคืน ไม่นานก็ทิ้งตัวลงนอน และไม่ลืมที่จะยกมือขึ้นลูบหน้าท้องตัวเองเบาๆ “ฝันดีนะคะตัวเล็กของแม่…”
“ลูกศัตรูอย่างเธอที่โซฟานี่ก็พอมั้ง! เพราะว่าเตียงนั่นฉันเก็บเอาไว้ให้ เมีย ในอนาคตของฉัน!” เขาเน้นย้ำถึงคำว่า เมีย อย่างชัดถ้อยชัดคำ ก่อนจะโยนคนที่เอาแต่นิ่งเงียบลงโซฟาอย่างไม่ออมมือนัก “โอ้ย! บุญเจ็บค่ะ…”
“กล้าดียังไงเที่ยวไปให้ท่าไอ้สารวัตรนั่น!” ชรัสตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา สิ่งที่หล่อนทำลงไปในวันนี้มันหักหน้าเขาเป็นอย่างมาก เขาไม่ชอบให้เธอทำเรื่องพวกนี้ขณะที่ยังเป็นเมียเขาอยู่! “อินทำอย่างนั้นตอนไหนอย่างนั้นเหรอคะ”
“ทะ…ทำไมคุณไม่แต่งตัวให้เรียบร้อยล่ะคะ” คนได้ยินไม่ได้นึกตำหนิอะไรคนช่างถาม เขายิ้มก่อนจะเอ่ยตอบไปตามความจริง “จะต้องใส่ให้เสียเวลาทำไมล่ะครับ เพราะอีกเดี๋ยว…ก็ต้องถอดออกอยู่ดี” คำตอบที่มาพร้อมจูบหนักๆ ที่แก้มขวาทำเอาคนที่ยังเตรียมใจรับกับสิ่งเหล่านี้ไม่ไหว ย่นคอหลบหนีความซาบซ่านพัลวัน “คะ…คุณลูซคะ คะ…ว่าภัส…”
“ผมไม่หย่า! ต่อให้คุณจะเกลียดผมไปจนวันตายยังไงผมก็ไม่หย่า” “ทำไมล่ะคะ คุณจะเก็บฉันเอาไว้ทำไมในเมื่อคุณไม่สามารถทำให้ฉันมีความสุขได้เลยสักวันเดียว! เป็นฉันเองที่ต้องทนอยู่กับคนใจร้ายที่ไม่เคยมีฉันอยู่ในสายตา ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาคุณรู้บ้างไหมคะวาฉันต้องเจ็บปวดทรมานมากแค่ไหนที่ต้องฝืนทนอยู่กับคนไม่มีหัวใจอย่างคุณ อ๊ะ!!” คำต่อว่าที่รุนแรงทำให้ตรีภพเป็นฝ่ายที่ทนไม่ไหวอีกต่อไป มือทั้งสองกระชากใบหน้าหวานเข้ามาใกล้ก่อนจะกระแทกริมฝีปากเข้าหาอย่างรุนแรงแม้ว่าอีกฝ่ายจะดิ้นรนขัดขืนแต่ก็ทำเช่นนั้นได้ไม่นานเท่าไหร่ สุดท้ายเธอก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับเขาอยู่ดี รสสัมผัสที่รุนแรงหยาบกระด้างค่อยๆ แผ่วเบาลงตามลำดับแต่พอได้เห็นหยดน้ำตาใสที่ไหลรินออกมาจากแก้มเนียนทุกๆ สิ่งถึงได้หยุดลงพร้อมๆ กับใบหน้าคมคายที่ผละตัวออกห่าง... “ผมขอโทษ ขอโทษที่ใจร้ายกับคุณมาตลอด แต่ขอโอกาสให้ผมอีกสักครั้งได้ไหม ผมจะไม่มีวันทำให้คุณต้องเสียใจอีก”
ตลอดระยะเวลาสามปีที่หยุยเอินแต่งงานกับฝู้ถิงหย่วน เธอพยายามทำหน้าที่ภรรยาให้ดีที่สุด เธอคิดว่าความอ่อนโยนของตนจะสามารถละลายใจที่เย็นชาของฝู้ถิงหย่วนได้ แต่ต่อมาเธอก็รู้ตัวว่าไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน ผู้ชายคนนี้ก็ไม่มีวันจะตกหลุมรักเธอได้ ด้วยความสิ้นหวังของเธอ สุดท้ายเธอตัดสินใจที่จะยุติการแต่งงานครั้งนี้ ในสายตาของฝู้ถิงหย่วน หยุยเอิน ภรรยาของเขาเป็นผู้หญิงที่โง่ ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าภรรยาของเขาจะกล้าโยนใบหย่าใส่เขาต่อหน้าคนมากมายในงานเลี้ยงวันครบรอบฝู้ซื่อ กรุ๊ป หลังจากหย่าร้าง ทุกคนต่างคิดว่าพวกเขาจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป แต่เรื่องราวระหว่างทั้งสองคงไม่ได้จบลงอย่างง่าย ๆ แบบนี้ หยุยเอินได้รับรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และคนที่เป็นผู้มอบถ้วยรางวัลให้กับเธอก็คือฝู้ถิงหย่วน หยุยเอินคิดไม่ถึงว่าผู้ชายที่สูงส่งและแสนเย็นชาคนนี้จะลดตัวลงอ้อนวอนเธอต่อหน้าผู้ชมทั้งหมด"หยุยเอิน ก่อนหน้านี้คือผมผิดเอง ขอโอกาสให้ผมอีกครั้งได้ไหม"หยุยเอินยิ้มด้วยความมั่นใจ"ขอโทษนะคุณฝู้ ตอนนี้ฉันสนใจแต่เรื่องงาน"ชายหนุ่มคว้ามือเธอไว้ ดวยตานั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง หยุยเอินสบัดมือเขาและเดินจากไปโดยปราศจากความลังเลใด ๆ
เขาแอบชอบเธอตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแต่เธอกลับกลัวและพยายามอยู่ให้ห่างจากเขาแล้วเขาจะทำอย่างไรที่จะตามจีบเธอดีในเมื่อเธอเป็นน้องรหัสของเขา
ถึงจะโกรธ เกลียด เคียดแค้นแค่ไหน แต่หัวใจไม่อาจต้านรักได้ ----------------------------------------- ไรยาค่อยๆ คลานไป ทันทีที่เจ้าบ่าวหันหน้ามา เพื่อจะยื่นมือให้เธอจับ จะได้ไม่ล้มนั้น ยิ่งจะทำให้เธอเกือบล้มไปเพราะเขาแล้ว ในหัวสมองก็ประมวลผลออกมาได้คำตอบทันที ว่าคนที่เธอเฝ้าครุ่นคิดว่าเป็นใครมาตลอดสองอาทิตย์นั้น แท้จริงก็คือใครกันแน่ในที่สุด ‘Mr. H. Hhemmhawattana ก็คือหรัญญ์ เหมวัฒน์’ ‘หรือพี่ฮั้นท์ของสาวๆ ที่เธอมักจะได้ยินเรียกขานกันนี่เอง’ ‘เขากลายมาเป็นเจ้าบ่าวเธอได้ยังไง’ ‘เขาจะมาแต่งงานกับเธอทำไม’ เท่าที่รู้มา เขาไม่ได้ร่ำรวยระดับร้อยล้านพันล้านแน่ๆ แล้วเขาไปทำอะไรมา ถึงได้มีเงินมากมายขนาดเอามาทุ่มซื้อหุ้นบริษัทของพ่อเธอได้ ไหนจะไถ่บ้านคืนให้ และอีกหลายต่อหลายอย่างที่เขาจ่ายไป รวมทั้งแหวนเพชรน้ำงามและไม่น่าจะต่ำกว่าห้ากระรัตบนพานดอกไม้ตรงหน้าเธออีก ---------------------------------------------------------------------------------------- ฮั้นท์ (หรัญญ์ เหมวัฒน์) นักธุรกิจหนุ่ม ผู้มีชีวิตที่พลิกผันจากเลวร้ายกลับกลายเป็นดี ซึ่งเขาเองก็ตั้งตัวไม่ทัน แต่ทั้งหมดนั้น มาจากความดี ความขยันหมั่นเพียรของเขา บวกกับโชคช่วย ถึงเวลาที่เขากลับมายืนอยู่จุดเดิม ในฐานะใหม่ ที่ใครต่อใครต่างงุนงง โดยเฉพาะเพื่อนๆ หรือแม้แต่กับผู้หญิงที่เคยเมนเขามาแล้ว และเขาก็จะทำให้ผู้หญิงพวกนั้นได้รู้ ว่าไม่ควรเมินเขาจริงๆ ---------------------- ย้า (ไรยา เจริญรัตชตะ) ทายาทนักธุรกิจหลายร้อยล้าน ที่ชีวิตพลิกผัน จากดีกลายเป็นเลวร้ายในไม่กี่ปี จนเธอกับครอบครัวก็ตั้งตัวไม่ติด รับภาวะย่ำแย่แทบไม่ทัน และถึงเวลาที่เธอจะต้องเลือก ระหว่างช่วยกู้ทุกอย่างของครอบครัวคืน กับทิ้งทุกอย่างไปแบบไม่เหลียวหลัง เพื่อไปเลียแผลหัวใจจากชายที่เธอรักแทบตาย สุดท้ายเธอจะเลือกทางเดินยังไง จะไปต่อหรือพอแค่นี้ ---------------------------------------------------------------------------------------- เมียแต่งท่านประธาน Chairman's Wife ตอนแรกคิดว่าจะให้นิยายที่เรื่องนี้มีแค่ชื่อภาษาอังกฤษเท่านั้นค่ะ ที่เหลือให้รี้ดไปตีความเอาเอง ว่าควรจะใช้ภาษาไทยว่าอะไรดี ระหว่าง แรงรัก - รั้งรัก - รังรัก และใช้นามปากกาพิมรภัค แต่สุดท้ายก็คิดชื่อใหม่ได้แล้วค่ะ และตัดสินใจใช้นามปากกาหลัก นั่นคือ กันเกราค่ะ เพราะแว้ปไปเขียนอวตารหลายเรื่องแล้ว และไม่ได้ออกนามปากกานี้นานแล้ว ส่วนแนวก็จะเพิ่มดราม่าเข้าไปอีก ซึ่งจะเป็น Signature ของกันเกราอยู่แล้ว รี้ดอยากได้มาม่าเจ้มจ้นแค่ไหน บอกกันได้เด้อ ----------------------------------------------------------------------------------------
หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า "ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?" เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า "ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว..." ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา "เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?"
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน