หน้าตาก็หล่อเหลา เท่าที่ปั้นหยาอยู่ด้วยก็คิดว่าคงจะดูไม่ผิด ฐานะคุณไม่ใช่ธรรมดา แต่ปั้นหยาก็ยังไม่รู้หรอกนะว่าถึงขั้นไหน จะหาผู้หญิงมานอนด้วยเมื่อไหร่ก็ได้ แต่จะบอกอะไรให้นะคะคุณฮัมดีนขา...” ปัณฑารีย์เขย่งเท้าขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้ริมฝีปากแนบชิดกับใบหูฮัมดีน “ถึงปั้นหยาจะไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีนัก แต่ก็รักตัวเองเป็น แล้วผู้ชายอย่างคุณ ปั้นหยาไม่เลือกมาดูแลชีวิตปั้นหยาหรอกค่ะ คุณแก่และน่าเบื่อเกินไป” ปึก!! เข่าเล็กกระทุ้งขึ้นไปเตะกึ่งกลางกายใหญ่ ถึงจะไม่รุนแรงอะไรมากนัก แต่ก็ทำให้ฮัมดีนเจ็บได้ไม่น้อย “ช่วยไม่ได้นะคะคุณฮัมดีน คุณเป็นคนสอนให้ปั้นหยาทำแบบนี้เอง”
ตอนที่ 1
ก๊อก ก๊อก
ปัง!!
เสียงเคาะประตูดังสองครั้ง ก่อนที่จะเปิดออกโดยไม่รอคำอนุญาตจากเจ้าของบ้านซึ่งนอนยาวอยู่บนพื้น ตรงหน้ามีกองหนังสือหางานกองใหญ่
หญิงสาวเจ้าของบ้านลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เธอตระหนกและตกใจเมื่อเห็นใครก็ไม่รู้บุกเข้ามาในบ้าน
“พวก...พวกคุณ...เป็นใคร”
ใบหน้านวลซีดเผือดเปลี่ยนเป็นแดงก่ำอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นแรงและเร็ว ในดวงตากลมโตเป็นสีเขียวเข้มจนถึงเป็นแดงเป็นประกาย มองผู้ที่บุกรุกอย่างโกรธเกรี้ยวและไม่ชอบใจ
ความรู้สึกเย็นวาบแล้วแปลเปลี่ยนเป็นความร้อนแผ่มาจากชายหนุ่มร่างใหญ่และสายตาที่ตวัดมองมา ทำเอาปัณฑารีย์ร้อนวูบวาบและกระดากอาย เพราะอยู่บ้านเพียงลำพัง เลยใส่เสื้อยืดคอย้วยและมีรอยขาดหลายแห่ง ใส่กางเกงขาสั้นที่ยาวกึ่งกลางขาอ่อน
“เข้ามาในบ้านฉันทำไม ต้องการอะไร พวกคุณรีบออกไปดีกว่า ก่อนที่ฉันจะเรียกตำรวจมาจับ” ปัณฑารีย์พูดอย่างที่นึกได้เสียงสั่นด้วยภาษาไทย แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีอาการตอบสนองจากกลุ่มคนที่ยืนอยู่ก็รีบพูดเป็นภาษาอังกฤษโดยเร็ว
เธอชี้ไปที่ประตูบอกให้ชายหนุ่มทั้งสามคนที่กำลังเดินเข้ามาในบ้านหลังเล็กของเธอราวกับราชสีห์ ไม่เกรงกลัวสิ่งใดรีบออกไปจากบ้านเธอ ทว่า...
ใบหน้าที่เรียบเฉยจนเป็นเย็นชา ดวงตาที่คมดุและแข็งกร้าวกลับยิ่งทำให้ปัณฑารีย์ตื่นตระหนกและหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น แต่หญิงสาวก็พยายามข่มความรู้สึกทุกอย่างเอาไว้ภายใน รีบปรับให้เข้มแข็ง เพื่อไม่ให้ผู้บุกรุกเห็นและรู้ว่าเธอกลัวจนเข่าอ่อนแล้ว
ฮัมดีน อิลลา ซยานีนมองสาวน้อยร่างเล็กบางที่อยู่เบื้องหน้า เขาสะดุดใจกับดวงตากลมโตที่ใสแจ๋วราวกับดวงแก้ว ที่เมื่อมาอยู่บนใบหน้านวลเนียนที่มีเลือดฝาด ปากนิดจมูกหน่อย ยิ่งทำให้ชวนมอง...ทำให้เขาร้อนรุ่ม ปรารถนาอยากที่จะสัมผัสกับปากอิ่มสีสด โอบกอดกายอรชรแนบชิด ปรารถนาทำให้หญิงสาวร้อนด้วยเพลิงไฟพิศวาสจนต้องร้องครวญครางแนบอกเขาทั้งวันและทั้งคืน
มุมปากหนาแต้มรอยยิ้มแวบหนึ่งก่อนจะจางหายไป เขามองหญิงตรงหน้าอย่างชัดเจนอีกครั้ง
ใบหน้ารูปไข่ขาวนวลเนียน ดวงตากลมโตแวววาวใสเป็นประกายเหมือนลูกแก้วที่มองเขาด้วยความโกรธเกรี้ยวหวาดกลัว ที่ผสมกับความอยากรู้อยากเห็นและหวั่นไหวกับสายตาของเขาเช่นกันที่ทำให้ฮัมดีน อิลลา ซยานีนเหยียดยิ้ม ก่อนจะนึกขึ้นมาได้...
การเดินทางในทะเลทรายคราวนี้ดูท่าจะมีปัญหาเสียแล้ว เพราะหญิงสาวตรงหน้าเขานี่แหละ รูปร่างเธอเล็กบางเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นแขนหรือขาก็เล็กไปหมด จนน่ากลัวว่าจะทนกับการเดินทางที่สมบุกสมบันไม่ได้
“มองอะไร ที่ฉันถามทำไมถึงไม่ตอบ” ปัณฑารีย์ตวาดออกไปเสียงเข้ม ด้วยหวังจะใช้เสียงลดความกลัวของตัวเองและข่มชายตรงหน้าให้ได้...สักเล็กน้อยก็ยังดี
ถ้าจะวัดกันที่ร่างกายเธอคงจะสู้ไม่ได้ เลยต้องใช้เสียงนี่แหละข่มชายหนุ่มไปก่อน เพราะเธอไม่ใช่หญิงสาวไร้เดียงสาที่จะมองความหมายจากนัยน์ตาคู่นั้นไม่ออก
รัศมีแห่งอำนาจของชายหนุ่มแผ่กระจายมา บวกกับรัศมีแห่งความป่าเถื่อนดุร้ายแกมเรียกร้อง ทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหวระคนหวาดผวา แต่ต้องพยายามซุกซ่อนมันเอาไว้ให้ลึกที่สุด แต่เมื่อเห็นชายตรงหน้ายกมือ แล้วชายสองคนที่มาด้วยก็เดินลับหายไปด้านในซึ่งเป็นห้องนอน
บ้านหลังนี้มีสามส่วน ส่วนแรกก็คือห้องโถงที่เธอนั่งเล่นนอนเล่นอยู่ตอนนี้ ส่วนที่สองเป็นห้องนอนที่เมื่อก่อนมีเธอกับแม่เป็นเจ้าของ แต่หลายปีมานี้มีเพียงเธอที่เป็นเจ้าของ และส่วนสุดท้ายคือด้านหลังที่เป็นห้องครัว
“หยุดนะ” ปัณฑารีย์รีบห้ามเสียงสั่น “ออกไปจากบ้านฉันนะ” แต่ไม่มีใครฟังเลยสักคน แล้วชายหน้าดุที่สั่งก็เดินไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวยาวที่เธอใช้เอนตัวนอนดูทีวี หรือไม่ก็ใช้เป็นที่พักผ่อนนอนหลับยามที่ไม่อยากเข้าไปนอนในห้องเพียงลำพัง
เมื่อก่อนเธออาศัยอยู่กับแม่ แต่ท่านเสียชีวิตไปแล้ว บ้านที่มีเพียงแค่เธอ...มันเลยอ้างว้างและเหงามิใช่น้อย บางคืนถึงกับนอนร้องไห้เพราะคิดถึงมารดา
ความจริงแล้วเธอยังมีบิดา เคยคิดเหมือนกันว่าจะออกไปตามหาท่านที่อยู่แดนไกล แต่เมื่อคิดอีกครั้ง...ไม่ดีกว่า ถ้าพ่อต้องการพวกเธอ ก็คงจะเดินทางมารับไปอยู่ด้วยกันนานแล้ว อีกอย่างเธอไม่ได้มีเงินใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยด้วย ตอนที่แม่เสีย เธอก็ยังเรียนหนังสืออยู่ ค่าใช้จ่ายช่วงนั้นเยอะมาก ทำให้เธอเลิกคิดเรื่องจะไปหาบิดา ปล่อยให้เรื่องทุกอย่างมันผ่านไปเหมือนกับสายลมที่พัดมาแล้วก็พัดไป
“พวกคุณกำลังบุกรุกบ้านฉันอยู่นะ ถ้ายังไม่ยอมออกไปอีก ฉันจะ...ฉันจะเรียกตำรวจ” ปัณฑารีย์คิดว่าบุคคลที่เธออ้างถึงน่าจะมีอำนาจพอให้กลุ่มผู้บุกรุกหวาดกลัวจนต้องรีบออกไปจากบ้านของเธอโดยเร็ว ทว่า...น้ำเสียงที่เธอเปล่งออกมานั้น นอกจากจะไม่น่ากลัวแล้วมันยังสั่นเทาจนจับคำแทบไม่ได้
รอ...ผ่านไปสำหรับเธอคิดว่านานมาก แต่ชายในชุดสูทสีดำ ใบหน้ามีทั้งไรหนวดและไรเคราดำเป็นปื้นจนมองไม่เห็นผิวเนื้อ สวมแว่นตาสีดำสนิททับลงไปอีกครั้งก็ยังคงทำเฉย
ปัณฑารีย์โกรธจนตัวสั่น ยิ่งรู้สึกได้ว่าสายตาที่อยู่ใต้แว่นคู่นั้นทั้งเหยียดหยามและดูถูกดูแคลน...เหมือนประเมินสินค้าอะไรสักอย่าง เธออยากจะหาอะไรมาฟาดหัวอีกฝ่ายให้แตก แต่กลับทำได้เพียงแค่ข่มอารมณ์ เพราะรู้ว่าสู้อีกฝ่ายไม่ได้
ปัณฑารีย์หันไปหาอีกสองคนที่เข้าไปรื้อค้นข้าวของในห้องเธออย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง
“ฉันเตือนพวกคุณแล้วนะ” ในเมื่อไม่สนใจคำพูดของเธอ ก็เตรียมตัวไปอยู่ในห้องขังก็แล้วกัน
ปัณฑารีย์รีบถลาไปหาโทรศัพท์ที่เธอชาร์จแบตเอาไว้บนโต๊ะวางทีวี แต่เพียงแค่เธอขยับตัวเท่านั้น คนที่นั่งเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ก็ลุกมาจับแขนเรียว จับไพล่ไปด้านหลัง อีกมือก็ยกขึ้นปิดปากอิ่มไม่ให้หญิงสาวส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือออกมา
“อื้อ...อื้อ...” (ปล่อยฉันนะ ปล่อย!!) ปัณฑารีย์พยายามสะบัดตัวหนี แต่กลับถูกเหมือนถูกรัดมากขึ้น
“อยู่นิ่งๆ นะแม่สาวน้อย ถ้าไม่อยากถูกมัดเหมือนกับพวกสัตว์ที่ถูกจับไปฆ่าทิ้งนะ”
ปัณฑารีย์ถึงกับขนลุกชันกับน้ำเสียงดุร้ายและแข็งกร้าวที่พูดชิดใบหู ลมหายใจที่เป่ารดและกลิ่นโคโลนจางๆ และอ้อมกอดแข็งแกร่งที่รัดกาย ทำให้เธอหวั่นไหวจนเกือบจะเข่าอ่อน
ฮัมดีนยิ้มหยัน เพียงแค่เขาแตะต้องแค่นิดหน่อย คนในอ้อมกอดก็ดูจะร้อนเป็นไฟแล้ว แบบนี้แผนการที่เขาวางไว้ดูจะสำเร็จได้ง่ายขึ้น การเดินทางก็คงจะไม่น่าเบื่อ เพราะมีอะไรสนุกๆ ให้ทำ
ชายหนุ่มรัดร่างบางจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากผิวกายสาวและแป้งเด็ก กระตุ้นความต้องการจนเขาแทบจะทนไม่ไหว อยากทำอะไรให้มันเสร็จสิ้นโดยเร็วไว แต่ต้องข่มใจเอาไว้ก่อน เพราะบางอย่าง เร่งร้อนไปไม่ใช่เรื่องดี
“เก็บของเสร็จหรือยังยูซาร็อบ” ฮัมดีนตะโกนถามเพื่อน ขณะเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมที่นั่งเมื่อครู่โดยพาร่างเล็กบางไปนั่งบนตักด้วย
เมื่อเพื่อนถามถึงสถานะ... "พวกแก...เชี่ย! แล้วไหมล่ะ อย่าบอกกูนะไอ้ลูกเต่า ที่มึงพูดไปวันนั้นเป็นเรื่องจริง มึงด้วยไอ้ยอด...มีผัวเป็นตัวเป็นตนกับเขาด้วยใช่ไหม" "ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยชี้แจงเรื่องของมึงสองตัวกับพี่สองคนให้กูฟังหน่อย...เร็ว ๆ อย่าชักช้าร่ำไร" "คนที่นั่งข้าง ๆ กูชื่อพี่คาย...กูอาศัยอยู่กับพี่เขาแล้วก็คอยดูแลซีโร่ให้" ศรวัณบอกสั้น ๆ เพราะยังไม่ค่อยกล้าบอกสถานะของตัวเอง เขากลัวเพื่อนจะรับไม่ได้ "ช่วยบอกสถานะให้กูรู้ด้วย...แค่แฟนหรือเป็นผัวมึง!"
ก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าวันหนึ่งจะพบเจอกับเรื่องแปลก ๆ แต่เมื่ออยู่แล้วไร้ความหมายไม่มีคนที่รักและรักเรา เขาจึงเลือกที่จะแลกทั้งที่ไม่ได้มั่นใจเลยว่าจะได้พบกับคนที่รักจริงหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจเลือกไปแล้ว... “อาซวงเป็นของข้าใช่หรือไม่” ก็มิค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่และคิดว่ามิน่าจะมีอะไรมากมาย เก้าเทียนรุ่ยจึงพยักหน้ารับ “ขอรับ” “ถึงเราจะมิได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเช่นที่ท่านมีกับสหายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ นอนกลางดินกินกลางทรายมาด้วยกันมาอย่างชิงชวนหรือคนอื่น ๆ หากนับตั้งแต่ที่เราได้พบรวมถึงอยู่ด้วยกัน ข้าก็คิดว่าเราผ่านอะไรมามากมายพอที่จะทำให้ข้ารู้ถึงความรู้สึกที่ตนเองมีต่อท่าน” เก้าเทียนรุ่ยมองสบสายตาเสวียนลิ่วหลางที่มองเขาด้วยความงุนงง ในดวงตามีความสับสนระคนมิแน่ใจ คล้ายจะมีคำถามตามติดมาด้วย ทำให้เขาเผลอยิ้มหวานออกไป เสวียนลิ่วหลางได้แต่ยิ้มด้วยความเขินอาย “ข้าก็มิรู้ว่าจะวางตัวเช่นไรดี พึงพอใจอยากให้เจ้าอยู่ชิดใกล้...หากก็มิอยากบังคับหากเจ้ามิเต็มใจ” “แต่ก็มิอาจทำใจได้หากจะต้องปล่อยมือ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยอย่างเข้าใจ “เมื่อยังต้องรอให้อาซวงรู้สึกเช่นเดียวกัน นอกจากข้าจะทำให้ผู้อื่นรับรู้แล้วว่าคนนี้...” เสวียนลิ่วหลางจับมือเก้าเทียนรุ่ยมาจูบขณะมองสบเข้าไปในดวงตากลมใสก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มหากเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ข้าจอง” “ตะเกียบยังต้องอยู่เป็นคู่ถึงจะใช้กินอาหารได้ หยินก็ยังคู่หยางถึงจะสมดุล เมื่อข้าพบคนที่ใช่ เหตุใดถึงต้องปล่อยมือเล่า”
ความรักไม่ผิด...เรารักเขา เขาไม่รักเรา ก็ไม่ผิด แต่การรอคอยมันย่อมมีระยะเวลาสิ้นสุดลงเมื่อ...ใจเราไม่อาจรอรักจากเขาได้อีกแล้ว มันก็ถึงเวลา...สิ้นสุดยุติการรอคอที่เลื่อนลอยไร้จุดหมาย “นั่นสิคะ หนูดาวก็งงอยู่ ทำไมถึงหนีพี่เหนือไม่พ้นสักที ตั้งแต่หนูดาวตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป พี่เหนือทำให้หนูดาวแปลกใจจนงงและสับสนไปหมด” “หือ” “ปกติพี่เหนือจะผลักไสให้หนูดาวไปไกล ๆ ชอบใช้สายตาแบบว่า...ฉันรำคาญเธอนะ เห็นหน้าเธอแล้วมันหงุดหงิดใจมาก จะไปเองดี ๆ หรือจะให้ฉันเตะโด่งเธอไป...ประมาณนี้นะคะ แต่พอหนูดาวเอาแหวนหมั้นไปคืน กลับต้องเจอกับพี่เหนือทุกวัน...และยังอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดทั้งวันเลยด้วย ขนาดคิดหนีมาทำงานที่นี่ สุดท้ายยังหนีพี่เหนือไม่พ้นเลยด้วย” “เราคงเป็นคู่เวรคู่กรรมกันละมั้ง ทำยังไงก็หนีกันไม่พ้น เสร็จงานที่นี่ เห็นทีพี่คงจะต้องจับมัดเราให้หนักกว่าเดิม” พันดาวมองแดนเหนืออย่างตื่นตะลึง เรียวปากสีชมพูอ้าค้าง “นี่พี่เหนือ...”
เพื่อน้องสาว เขาจึงหลอกลวงนำตัวเธอมา “คุณโกรธอะไรใครก็ไปเอาคืนกับคนนั้นสิ มายุ่งกับฉันทำไม ปล่อยฉันนะไอ้วายร้าย!” “เผอิญว่าฉันดันอยากได้เธอด้วยผิง ก็เธอมันขาวอวบยั่วยวนราคะใช่ย่อยนิ แค่จับลูบไล้หน่อยเดียวก็พร้อมจะร้อนเป็นไฟแล้ว” ชายหนุ่มลูบไล้ฝ่ามืออุ่นร้อนบนลำตัวกลมกลึง สะกิดเอากระดุมหลุดออกจากรางทีละเม็ดจนหมด จูบอุ่นร้อนทาบทับซุกไซ้ซอกคอขาวผ่อง “ฉันขอร้องนะคุณใหญ่...ถ้าฉันผิดจริง ฉันยอมให้คุณลงโทษได้ทุกอย่าง คุณจะย่ำยีลงทัณฑ์ฉันยังไงก็ได้ ฉันจะไม่ร้องขอความปราณีแม้แต่นิดเดียว จะไม่หนีอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน จะไม่คิดไม่เคียดแค้นคุณเลย แต่ถ้าฉันไม่ผิด คุณปล่อยฉันไปนะ...ได้โปรด” “รู้อะไรไหมผิง...ไม่มีผู้ชายคนไหนโง่ยอมปล่อยให้ผู้หญิงสวย ๆ เซ็กซี่ แล้วก็ปลุกเร้าอารมณ์ได้อย่างกับน้ำมันราดลงไปกองไฟให้หลุดรอดมือไปหรอกนะ” แต่ใครจะรู้ล่ะ...ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น จะนำสิ่งใดมาสู่เขาบ้าง เรื่องหัวใจก็ยังต้องจัดการ เรื่องการงานก็ต้องตรวจสอบหาความจริง
กฎของหมู่บ้าน ทำให้สองศรีพี่น้องต้องเร่งหา...ผัว! ให้ได้ “ตัวสั่นเชียว กลัวหรือจ๊ะฟองจ๋า” “โถ...น่าสงสารจริง เมียของผัว” มือหนาลูบไล้ผิวเนื้อนวลนุ่มลื่นขณะเดียวกันก็เกี่ยวเอาชายเสื้อของหญิงสาวดึงมันออกไปจากกายสาวก่อนจะแนบฝ่ามือลงบนทรวงอกอวบใหญ่ เสียงหวานแหบพร่าดังออกมาจากกลีบปากเล็ก “ร้องได้เลยจ้ะฟองจ๋า ผัวอยากได้ยินเสียงหวาน ๆ ของฟองที่สุด” “โถ่...จะปิดทำไมละจ๊ะสร้อยจ๋า” แม่เจ้าโว้ย! ใหญ่ฉิบหายเลย ใหญ่จนเขาอยากเห็นใกล้ ๆ อยากได้ลิ้มลองรสชาติในตอนนี้เลย “เดี๋ยวเราสองคนจะไม่เพียงแค่ได้เห็นทุกซอก...ทุกมุมของสร้อยแล้ว เราสองคนจะทั้งจับ...ทั้งเลีย แล้วก็อัดกระแทกให้ร่องสวาทของสร้อยแทบพังไปเลยจ๊ะ” ตรวนสวาทนางไพร : ใครกันแน่ที่เป็นผู้ล่า ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ แน่ใจหรือว่าแพรพลอยคือเหยื่อให้ห้าหนุ่มอย่างพวกเขาเสพสวาทอย่างเร่าร้อน “ไม่เอาอย่างนี้นะโรม...อย่าทำแพรเลยนะ” แพรพลอยร้องห้ามเสียงสั่นพร่าเมื่อรู้ว่าโรมรันจะทำอะไร ไหนจะหนุ่ม ๆ ทั้งสี่ที่ไร้อาภรณ์ปกปิด ทำให้เธอได้เห็นอาวุธของแต่ละคนที่มันช่าง...ใหญ่! ไหนจะคำพูดที่บอกก่อนหน้านี้ที่บอกว่า...จะอัดกระแทกเธอให้ยับ! ทำเอาเธอถึงกับกับหวาดหวั่นไม่ใช่น้อย ยิ่งตอนนี้ทุกคนได้มายืนล้อมรอบเธอแล้วด้วย “พี่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหมจ๊ะ...ที่น้องแพรบอกว่าอย่าช้า ให้พวกเรารีบเอาน้องแพรเร็ว ๆ นะ”
เพียงแค่เห็นหน้า เขาก็ถูกใจแล้ว แม้เธอจะมีลูกติดมา เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อย ยังคงตามเอาใจลูกสาวตัวน้อยและจีบเธออย่างไม่ลดละ “เย้ เย้ แม่เอาอีกหนุก หนุก เอาอีก เอาอีก” โซดาเริ่มลุยน้ำลงไปกอบทรายที่เปียกน้ำใส่ศีรษะอันนิโต้เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด สิมิลันหัวเราะจนท้องแข็ง อันโตนิโอ้เอาคืนคนอารมณ์ดีด้วยการกอบทรายเปียกใส่ร่างบางบ้าง “ว้าย! เล่นอะไรนะคุณสกปรกจะตาย” “อ้าวที่คุณกับลูกทำผมล่ะ นี่แนะ” มือใหญ่ขยี้ผมบนศีรษะสิมิลัน โซดาเริ่มเอาอย่างสองมืออวบขยี้ผมบนศีรษะมารดาและศีรษะตัวเองจนยุ่งเหยิงและเปียกชื่น แล้วยืนหัวเราะเสียงใสแจ๋ว ดวงตาเป็นประกายสดใส ยิ้มจนเห็นฟันในปากแทบทุกซี่ “ไม่เลิกใช่ไหมคุณเอ โซดารุมพ่อเอเลยลูก” สองมือเล็กเรียวผลักร่างใหญ่ลงนอนบนพื้นทราย พร้อมกอบทรายเปียกชื้นละเลงบนกายแข็งแกร่ง สองแรงแข็งขันสองมือรุมกอบทรายละเลงบนกายหนาใหญ่จนเปียกชื้น ยังไม่พอสองนิ้วเล็กๆ จี้ไปเอวหนาจนชายหนุ่มหัวเราะท้องแข็ง โซดาเองก็เอาอย่างคนเป็นแม่ มือใหญ่ทั้งห้านิ้วจี้เอวแข็งแกร่ง อันโตนิโอ้ก็ไม่ยอมแพ้ มือใหญ่จี้เอวสองแม่ลูกกลับบ้าง เสียงหัวเราะของสองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กดังลั่นหาดทรายสีขาว
ซูมู่หยูคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลที่พลัดพรากจากกันไปนาน หลังจากกลับมาสู่ครอบครัว เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาใจญาติๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวตน เกียรติศักดิ์ หรือผลงานการออกแบบ เธอก็ถูกบังคับให้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับลูกสาวบุญธรรม อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้รับความรักและการดูแลจากครอบครัวแต่อย่างใด แต่กลับโดนเอาเปรียบตลอด นับแต่นั้นเป็นต้นมา มู่หยูไม่ยอมให้ใครอีกเลย และตัดความรู้สึกและความรักทั้งหมดออกไป ปัจจุบันเธอเป็นสายดำระดับเก้า เชี่ยวชาญภาษาถึงแปดภาษา เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และนักออกแบบระดับโลก ซูมู่หยูกล่าวว่า "จากนี้ไป ฉันเป็นหนึ่งของตระกูลซู"
นุชพินตา ควรเป็นเจ้าสาวที่น่าอิจฉาที่สุดที่ได้แต่งงานกับ ปุลวัชร เจ้าบ่าวที่ทั้งหล่อ รวย เนื้อหอม เป็นเจ้าชายในฝันของสาวๆ ทั้งเมือง แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าบ่าวในฝันนั้น...ทั้งไร้หัวใจ และไม่ได้รักเธอสักนิด! การแต่งงานที่ไร้รัก อยู่กันไปก็มีแต่เจ็บปวดเท่านั้น แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อเธอไม่อาจปฏิเสธ แม้จะต้องถูกเขาทำร้ายหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะทำอย่างไรหากใจที่ไม่คิดปรารถนารักกลับอยากได้ความรักจากเขา ------------------------------ “เธอเคยนอนกับผู้ชายหรือเปล่า” เขาถามออกมาจากปากร้าย ตอนที่เธอได้ยินถึงกับสะอึก ไม่คิดว่าเขาจะถามตรง ๆ และในนาทีต่อมา นุชพินตาก็รู้สึกโกรธมาก หญิงสาวโต้เขากลับ “ทำไมผู้ชายดี ๆ การศึกษาดี ๆ ถึงได้พูดจาแบบนี้คะ มาพูดดูถูกกัน เมื่อกี้ก็หาว่าพวกเราขายตัว และตอนนี้ยังมากล่าวหาฉันอีกว่าฉันสำส่อน คุณถามคำถามแบบนี้กับผู้หญิงทุกคน ที่คุณเคยนอนด้วยหรือยังไงคะ” ความเจ็บปวดระบายออกมาทางสายตา เขาเป็นบ้าอะไรกันนี่ คำพูดแบบนี้มาจากสันดานข้างในหรือเพราะว่าเขาเมา “แล้วเธอเคยมีอะไรกับผู้ชายหรือเปล่าล่ะ” เขาย้ำอีกครั้ง จ้องสบตาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ “ปากร้าย ประโยคนี้คุณไม่ควรถามออกมาด้วยซ้ำไป” จากที่เรียกเขาว่าพี่ปุ่น ชักขุ่นและมีอารมณ์โมโหขึ้นมาเปลี่ยนสรรพนามที่คนฟังก็รู้ว่าห่างเหิน “ผู้หญิงที่ดี ๆ ที่ไหน จะตอบตกลงแต่งงานกันชายแปลกหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่คิด เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น” “แล้วมันยังไงคะ” นุชพินตาก็ไม่ยอมเหมือนกัน “เธออาจจะเป็นมือสองก็ได้” ‘เมื่อคืนเขาไปนอนที่ไหน แล้วไปนอนกับใคร’ ‘อ้อ… ก็คงจะเป็นผู้หญิงคนนั้นสินะ’ ดวงตาเศร้าลง เธอลุกขึ้นไปเปิดม่านหน้าต่าง และมองออกไปยังท้องทะเล แสงอาทิตย์กระทบกับระลอกคลื่นที่ไล่เรียงกันกระทบเข้าฝั่ง นุชพินตาถึงกับถอนหายใจดังเฮือก ‘ฉันมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ มาให้เขาย่ำยีเล่นใช่หรือไม่’ เฝ้าถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ‘ยะหยาอย่าเสียใจไปเลยนะ เธอต้องทำตัวเองให้เข้มแข็ง แข็งแรงเถอะ ในเมื่อเธอก็ไม่ได้รักเขาเหมือนกัน’ คำพูดปลอบโยนตัวเอง ‘ใช่… ฉันไม่ได้รักเขา และจะเกลียดเขาให้มากกว่านี้’ เธอตอกย้ำคำนี้เข้าไปในหัวใจของตัวเองด้วยความมุ่งมั่นและสายตาที่แน่วแน่ แม้จะรู้สึกเจ็บแน่นในหัวอก ------------------------------ “ฉันจะหย่ากับเธอ” เขาเอ่ยอย่างใจดำ หญิงสาวถึงกับใจหล่นวูบ เธอเม้มขบริมฝีปาก กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว นุชพินตาพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว “นางผู้หญิงไร้ยางอาย แพศยาฉันเกลียดผู้หญิงหลายใจ ฉันเกลียดผู้หญิงที่นอกใจ ไปให้พ้นจากบ้านของฉัน ไปให้พ้นจากหน้าฉัน พรุ่งนี้จะให้ทนายทำใบหย่า” “พี่ปุ่นคะ” เธอยกมือขึ้นมาไหว้เขาปลก ๆ “เราสองคนเพิ่งแต่งงานกันเองนะคะ ยะหยาไม่อยากให้คุณลุงและคุณย่าเสียใจ” “แต่สิ่งที่เธอทำล่ะ มันน่าอาย แล้วเธอไม่ละอายบ้างเหรอ หน้าด้าน” เขามีอาการเสียใจ และหัวเสีย นุชพินตาเอง เธอไม่คิดว่าปุลวัชรจะปากร้ายด่าทอเธอได้ถึงเพียงนี้ “ฉันจะหย่ากับเธอแน่นอน เตรียมปากกาไว้เซ็นใบหย่าในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” พูดจบ เขาเดินเข้าไปใช้มือปัดแจกันที่อยู่ใกล้ และชกบานกระจกที่ใช้ตกแต่งอยู่ในห้องโถงด้วย จนกระจกแตกละเอียดทั้งบาน มือของปุลวัชรมีเลือดไหลซึม เขาจะเดินเข้าห้องทำงานและปิดประตูตามหลังดังโครม นุชพินตาตกใจ และหวาดกลัวกับสิ่งที่เธอได้เห็น ความดีใจที่สามีจะกลับมา เธอจะบอกข่าวดีเขา และกินข้าวด้วยกัน ได้มลายหายไปสิ้น มีเพียงความเศร้าเข้ามาทับถมอยู่ในจิตใจของนุชพินตา แล้วหญิงสาวยกมือขึ้นมาปิดหน้าปิดตาปล่อยโฮ
เกิดใหม่ในชาตินี้ นางแค่ต้องการอยู่อย่างสงบสุขปกป้องครอบครัวจากเรื่องร้ายที่จะเกิดขึ้น นางไม่อยากตกอยู่ในบ่วงรักอันทำให้ครอบครัวต้องพบกับวิบัติอีกต่อไปแล้ว... คำเตือน นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักโรแมนติก ดราม่า มีฉากความรุนแรง ฉาก NC และมีฉากเศร้าสะเทือนใจ โปรดพิจารณาก่อนดาวโหลดนะคะ กราบขอบพระคุณค่ะ
"ความรักทำให้คนตาบอด" เซิงเกอละทิ้งชีวิตที่สงบสุขเพื่อแต่งงานกับชายคนนั้น ยินยอมทำตัวเหมือนคนรับใช้ที่ไร้ตัวตนมาสามปีเต็ม แต่ในที่สุดเธอก็ตระหนักว่าความพยายามของเธอ มันไร้ประโยชน์สิ้นดี เพราะในใจของสามีตัวเองมีแต่รักแรกของเขา เซิงเกอรู้สึกผิดหวังอย่างมาก และขอหย่าอย่างเด็ดขาด "ถึงเวลาแล้ว ฉันไม่ปกปิดอีกแล้ว จะบอกความจริงให้" ทันใดนั้น โลกออนไลน์ก็ระเบิดขึ้นทันที มีข่าวลือว่าสาวรวยพันล้านคนหนึ่งหย่าร้างแล้ว ดังนั้น ซีอีโอนับไม่ถ้วนและชายหนุ่มรูปงามต่างรีบเข้าหาเธอเพื่อเอาชนะใจเธอ เฝิงอวี้เหนียนเห็นดังนั้นจึงทนไม่ไหวอีกต่อไปเลยจัดงานแถลงข่าวในวันถัดไป โดยขอร้องอย่างจริงจังว่า: ผมรักเซิงเกอ ขอร้องคุณภรรยากลับบ้านนะ
หวังฉีหลิน อายุ 25 ปีสาวเจ้าหน้าที่การเกษตรและพ่วงมาด้วยเจ้าของสวนสมุนไพรรายใหญ่ เสียชีวิตกระทันหันหลังจากกลับมาจากท่องเที่ยวพักผ่อนและเธอได้เก็บเอาก้อนหินสีรุ้งมาจากพระราชวังโปตาลามาได้เพียงสามเดือน ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ หากตายไปแล้วก็ไม่เป็นไรเพราะเธอเองเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยวในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจนกระทั่งมีอายุได้ 18ปี ถึงได้ออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองตอนนี้เธอ ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงแล้ว เพียงแต่เสียดายที่เธอยังไม่ได้ทำตามความฝันของตัวเองเลย เฮ้อ ชีวิตคนเรานั้นมันแสนสั้น อายุ25 แฟนไม่เคยมี สามียังอยากได้ ไหนจะลูกๆที่ฝันอยากจะมีอีก คงต้องหยุดความหวังและความฝันเอาไว้เท่านี้ เหนือสิ่งอื่นใด ตายแล้วตายเลยจะไม่ว่า แต่ดันตื่นขึ้นมาในร่างหญิงชาวนายากจน ชื่อหวังฉีหลินเช่นเดียวกับเธอพ่วงมาด้วยภาระชิ้นใหญ่ อย่างสามีที่ป่วยติดเตียงและลูกชายฝาแฝดทั้งสอง แถมยังมีภาระชิ้นใหญ่ม๊ากกกมาก กอไกล่ล้านตัวอย่างพ่อแม่สามีและน้องๆของสามี ที่โดนบ้านสายหลักกดขี่ข่มเหงรังแก เอารัดเอาเปรียบและบังคับแยกบ้านหลังจากที่สามีของนางได้รับบาดเจ็บสาหัส สาเหตุที่หวังฉีหลินต้องมาตายไปนั้นเพราะโดนลูกสะใภ้บ้านสายหลักผลักตกเขาระหว่างที่กำลังยื้อแย่งโสมคนที่หวังฉีหลินขุดมาได้