ทิพย์อัปสรนางฟ้าผู้งามละไม ได้เป็นที่รักแห่งเทพผู้ใหญ่อย่างพระเสาร์ เรื่องราวเกือบจะราบรื่นแล้ว ถ้านางจะไม่เป็นที่รักแห่งองค์พระอังคารเทพแห่งสงครามผู้แกร่งกร้าวด้วย ดังนั้นสงครามแห่งสวรรค์จึงบันเกิด!
ทิพย์อัปสรนางฟ้าผู้งามละไม ได้เป็นที่รักแห่งเทพผู้ใหญ่อย่างพระเสาร์ เรื่องราวเกือบจะราบรื่นแล้ว ถ้านางจะไม่เป็นที่รักแห่งองค์พระอังคารเทพแห่งสงครามผู้แกร่งกร้าวด้วย ดังนั้นสงครามแห่งสวรรค์จึงบันเกิด!
สูงขึ้นไป...ในห้วงจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล กล่าวกันว่า อีกฟากหนึ่งของทางช้างเผือกที่ดารดาษดวงดาวคือดาวดึงส์...อันเป็นดินแดนสวรรค์ซึ่งพรั่งพร้อมด้วยความสุขสนุกสนาน ความงดงามวิจิตรตระการตานั้น จะครึกครื้นเป็นพิเศษเมื่อถึงเทศกาลดอกอาสาวดีบาน ที่พันปีจึงบานเพียงครั้งเดียว และมีอยู่ในสวนจิตรลดาวันบนดาวดึงส์เท่านั้น
เนื่องจากยามที่พวงระย้าของดอกอาสาวดีประดับไปทั่ว อาณาบริเวณอุทยานสวรรค์จะแลดูอร่ามราว
พลิ้วม่านทองคำ ส่งกลิ่นหอมกรุ่นอบอวลกำจายไปทั่วทุกอณูอากาศ
องค์อมรินทร์จอมเทพแห่งดาวดึงส์จึงทรงเลือกบรรยากาศน่ารื่นรมยิ่งนี้ เป็นโอกาสจัดงานเฉลิมฉลองสวรรค์ขึ้นเป็นประจำในสวนจิตรลดาวันอย่างเอิกเกริก โดยทรงเชิญปวงเทพผู้ใหญ่มาร่วมงานรื่นเริงนี้ด้วย
เหล่าเทพบุตรเทพธิดาทั้งมวลก็พากันเตรียมต้อนรับงานฉลองสวรรค์อย่างคึกคัก มีการคัดเลือกเทพธิดาผู้ที่มีความงดงามที่สุดให้เป็น “นาฏนารี” เพื่อฟ้อนนำในระบำที่จัดถวายแด่ปวงเทพผู้ใหญ่
และในงานเฉลิมฉลองสวรรค์ครั้งนี้ ผู้ที่ได้รับเลือกว่ามีความงามเป็นเลิศคือ เทพธิดาสุลักษณา...ด้วยความงามหยาดเยิ้มและท่วงท่าอันแช่มช้อยของนาง ที่ร่ายรำอยู่ท่ามกลางเหล่านางฟ้าซึ่งกำลังจับระบำ ณ เบื้องหน้าปวงเทพทั้งหลาย ได้สะกดให้ผู้เห็นต่างเพลิดเพลินจนแทบจะไม่อาจละสายตาแม้แต่วินาทีเดียว
เว้นแต่องค์พระเสาร์ !
ด้วยทรงมีพระอัธยาศัยรักสงบสันโดษ จึงไม่ใส่พระทัยในงานรื่นเริงนัก ระบำยังไม่ทันจบชุดก็ดำริจะเสด็จออกจากงานฉลองไป
“อ้าว! ศนิท่านจะกลับแล้วหรือ”
พระราหูซึ่งประทับอยู่ใกล้ๆตรัสทัก เมื่อเหลือบเห็นร่างสูงสง่าของพระสหายสนิทลุกจากราชอาสน์
“อืม...” พระเสาร์รับคำอย่างคุ้นเคย
“มีกิจสำคัญใดเร่งเร้าท่าน...” สุรเสียงกังวานก้องซักถามต่อคิ้วรูปกนกบนพระพักตร์ดุร้ายอย่างพระยายักษ์ของพระราหูเลิกขึ้นด้วยความสงสัย พลางเหยียดขนดหางออกช้าๆราวเกียจคร้าน
“ไม่มี...เราเพียงแต่เบื่อที่พลุกพล่านเท่านั้น”
“ท่านนี่แปลก! นางฟ้าที่งามเลิศอยู่ตรงหน้ายังบอกว่าเบื่อได้...แล้วก็ไม่เคยเห็นท่านสนใจในสตรีนางใดเลย เฮ้อ...ดูท่าองค์กามเทพคงไม่โปรดท่านละมัง”
พระเสาร์เพียงแต่สรวลเบาๆ ต่อคำสันนิษฐานหยอกเย้าของพระสหายผู้มีรูปกายครึ่งยักษ์ครึ่งนาค แล้วเสด็จ
จากไปอย่างไม่ใส่พระทัยนัก...
ผ่านเทือกทิวเขาสลับซับซ้อนสูงชัดเสียดฟ้า ห้วงน้ำมหึมากว้างใหญ่...สู่ดินแดนหิมพานต์ที่กั้นกลางระหว่างสรวงสวรรค์กับถิ่นที่อยู่ของมนุษย์
หิมพานต์...ป่าอาถรรพณ์ที่อุดมไปด้วยมวลพฤกษา ภูผา สายธาร และเหล่าสัตว์แปลกตาหลากหลาย
แต่ในความงดงามแห่งธรรมชาติก็แฝงไว้ด้วยภยันตรายนานาทั้งจากสัตว์ป่าดุร้ายและยักษ์มารผู้สัญจรผ่าน
ดินแดนที่มนุษย์สามัญไม่สามารถอาศัยอยู่ได้นี้กลับเป็นที่ทรงสำราญแห่งองค์พระเสาร์
ร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีม่วงเข้มประดับด้วยรัตนมณีนิลจึงปรากฏเด่นอยู่กลางป่าอาถรรพณ์...ดุจดั่งเคย พระเสาร์ทรงปกปิดรัศมีเจิดจ้าที่แผ่ออกรอบพระวรกายไว้ ด้วยทรงไม่ต้องการจะทำให้เกิดความแตกตื่นตกใจแก่ผู้ที่บังเอิญพานพบพระองค์เข้า
หลังจากได้ชื่นชมดื่มด่ำกับความสุขสงบของป่าเขาและธรรมชาติเป็นที่เพียงพอแล้ว พระองค์ก็ทรงนั่งเล่นอยู่
ใต้ร่มไทรใหญ่ต้นหนึ่ง
ในเวลาเดียวกันนี้ ที่ขอบฟ้าทิศตะวันตกซึ่งดวงอาทิตย์สีส้มสดคล้อยต่ำจวนจรด ปรากฏร่างกินรีสามนางสวมอาภรณ์วาวระยับประดับอัญมณีอย่างธิดากษัตริย์ ต่างมีดอกไม้หลากชนิดอยู่ในอ้อมแขน บินเกาะกลุ่มหยอกล้อกัน
ใกล้เข้ามาทุกขณะ
“กุหลาบสีขาวของพี่หญิงงามมากเพคะ” กินรีน้องน้อยเอ่ยเสียงอ่อนหวาน
“น้องเกศกัลยาชอบหรือจ๊ะ เอ้า! พี่แบ่งให้ เกศสุดาซึ่งเป็นพี่หญิงใหญ่ยิ้ม พลางเลือกกุหลาบดอกโตส่งให้
“ขอบพระทัยเพคะ อุ๊ย!...” เกศกัลยาอุทาน เพราะขณะที่นางยื่นมือรับ ก้านกุหลาบได้เกี่ยวถูกสร้อยข้อมือของนางหลุดร่วงหล่นลงไปเบื้องล่าง
“น้องเกศประภารอก่อนจ๊ะ” เกศสุดาเรียกน้องหญิงคนรองซึ่งบินล้ำหน้าไปเล็กน้อยจึงไม่ได้เห็นเหตุการณ์ที่กิดขึ้น
“มีอะไรหรือเพคะ พี่หญิง” เกศประภาหันมาถาม พลางชะลอร่างไว้กลางเวหา
“สร้อยข้อมือของน้องเกศกัลยาตกลงไปข้างล่าง คงอยู่แถวๆต้นไทรนั่น” เกศสุดาตอบ พร้อมกับชี้ไปที่ต้นไทรซึ่งอยู่ต่ำลงไป
“อย่างนั้น...พวกเรารีบลงไปหากันเถิดเพคะ เดี๋ยวจะมืดเสียก่อน” เกศประภาออกความเห็น
กินรีทั้งสามจึงบินลงสู่พื้นดิน ในบริเวณต้นไทรนั้น...
...พระเสาร์ทรงหยิบสร้อยบุษราคัมเส้นเล็กๆ ซึ่งหล่นลอดใบดกหนาของต้นไทรลงมาบนพระเพลาของพระองค์อย่างบังเอิญขึ้นพิศดูพร้อมกับทรงลุกขึ้นยืน
แล้วครู่ต่อมา พระองค์ก็ได้เห็น...กินรีน้อยผู้งามพิลาสล้ำสามนางร่อนลงมาในบริเวณใกล้ๆ
ภาพที่ปรากฏแก่สายตานี้สะกดให้พระเสาร์ต้องชมดูอย่างตะลึงงัน ด้วยทรงตรึงใจว่านางหนึ่งในจำนวนนั้น งามซึ้งไร้ที่ติ...คิ้วโค้งเรียว นัยน์ตาคมหวาน จมูกน้อยโด่งเป็นสัน และริมฝีปากอิ่มสวย ทุกอย่างช่างรับกันเหมาะเจาะ
บนใบหน้ารูปไข่นวลเนียน ตลอดจนเรือนร่างที่อรชรสมส่วน
ขณะเดียวกัน นางกินรีทั้งสามชะงักยืนนิ่งไปเช่นกัน ที่เพิ่งถึงพื้นดินก็ต่าง เพราะไม่คาดคิดว่าจะมีผู้อื่นอยู่ในบริเวณนั้นด้วย...แม้เขาจะเป็นชายหนุ่มที่มีรูปลักษณ์งามนัก...ร่างสูงสง่า แข็งแรง ผิวคล้ำเนียน และดวงหน้างามราวกับบรรจงปั้นก็ตาม...
แต่ประกายที่คมกล้าจนดูดุดันของบุรุษแปลกหน้าผู้อยู่ในอาภรณ์สีม่วงและมีนิลเป็นเครื่องประดับกาย ก็ทำให้นางกินรีน้อยเกศประภาและเกศกัลยารู้สึกตระหนกกลัว
“โอ...” เสียงอุทานแผ่วเบาอย่างตกใจ แล้วเกศประภากับเกศกัลยาผู้เป็นน้องทั้งสอง ก็คว้ามือพี่หญิงใหญ่เกศสุดาซึ่งยังยืนนิ่งไว้มั่นคนละข้าง พาทะยานบินขึ้นสู่ท้องฟ้า...เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
พระเสาร์ทอดพระเนตรตามร่างน้อยๆที่กำลังบินลับไปทางทิศตะวันออก พลางดำริว่า..ที่แท้พวกนางเป็นเผ่าพันธุ์เทพกินนร ซึ่งมีถิ่นอาศัยอยู่ในเทือกเขาวินธัย ใจกลางหิมพานต์นี่เอง...พวกวิหคกึ่งเทพ มิน่าล่ะ! นางจึงมีรูปกายงดงามอย่างเทพธิดาทุกประการเว้นแต่ยามบินไปในเวหาเท่านั้นที่ปีกบางเบาใสราวแก้วผลึกจะงอกออกมาจากไหล่ทั้งสองข้าง และทันทีที่เท้าสัมผัสถูกพื้นดิน ปีกทิพย์ของพวกนี้ก็จะหดหายไป ไม่เหลือร่องรอยใดๆให้สังเกตบนผิวเนื้อบริเวณนั้น
“กินรีน้อยที่งามซึ้งนางนั้นคือใคร...นางมีคู่หมายหมั่นหรือยัง” นี่คือคำถามที่พระเสาร์ทรงต้องการจะรู้คำตอบ แต่ยังไม่ทันได้ไต่ถามเนื่องจากว่าพอพระองค์ทรงหายจากอาการตะลึง พวกนางก็พากันบินหนีไปแล้ว
พระเสาร์จึงดำริจะเสด็จกลับวิมานก่อน แล้วใช้อมรเทพผู้เป็นเทพบริวารของพระองค์มาสืบเรื่องราวนี้แทน เพราะหากพระองค์ไปติดตามสืบถามด้วยตัวเอง คงได้สร้างความตื่นตระหนกตกใจแก่ผู้อื่นอีกมากมาย เนื่องจากบารมีแห่งเทพผู้ใหญ่ของพระองค์
และเหตุผลอีกประการหนึ่งคือ พระเสาร์ไม่ต้องการจะใช้อำนาจหยั่งรู้ ด้วยทรงระลึกเสมอว่า ทุกชีวิตย่อมมีบางเรื่องที่อยากเก็บไว้เป็นการส่วนตัว ดังนั้นถ้าไม่มีความจำเป็นอย่างถึงที่สุดแล้ว พระองค์ก็ไม่ปรารถนาจะใช้อำนาจที่เหนือกว่านี้ก้าวก่ายในจิตสำนึกของผู้ใด
อาเฟย เป็นเด็กกำพร้าที่ไม่รู้ว่า พ่อแม่เป็นใคร เขาถูกทิ้งไว้ในพงหญ้าข้างทางตั้งแต่แรกเกิด และถูกชาวบ้านเก็บได้ ก่อนที่จะกลายเป็นเหยื่อของสัตว์ใหญ่น้อย ทว่าชาวบ้านที่เก็บเขาได้ก็ไม่มีปัญญาจะเลี้ยงดูเขา จึงนำเด็กน้อยไปขายให้แก่จวนชินอ๋อง ด้วยราคา 20 ตำลึงเงิน นับแต่นั้น...อาเฟยก็เติบโตขึ้นมาพร้อมกับปณิธานว่า จะเก็บเงินไถ่ตัวของตนเอง และสร้างเนื้อสร้างตัว เป็นอิสระและแข็งแกร่ง!!! แต่อนิจจา...ปณิธานของอาเฟยถูกอ๋องสี่ ผู้มีร่างสูงใหญ่แข็งแรง กล้ามเนื้อทรงพลัง คอยบั่นทอน ด้วยการจับอาเฟยหนีบรักแร้!!! อาเฟย เป็นนิยายเน้นฮา ไม่เน้นสาระ รี้ดทุกท่านถ้าพร้อมแล้ว เชิญอ่านกันเลยค่ะ
เพราะเป็นลูกอนุที่ไร้ค่า บิดาบังเกิดเกล้าจึงยกเขาให้เป็นชายบำเรอของมหาอำมาตย์ แต่มหาอำมาตย์เกิดหัวใจวายตายในคืนเข้าหอ ทำให้เขาถูกตราหน้าว่าร่านราคะ และจะจับเขาฝังทั้งเป็น!
จ้าวชิงเฟิงคือองค์ชายปลายแถวของแคว้นเป่ย ที่ถูกส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการชิ้นหนึ่งแก่แคว้นหนาน ถูกเหยียดหยามให้เป็นแค่อนุชายาของชินอ๋องผู้ทรงอำนาจ แม้จะเป็นชายก็ยังไม่วายถูกริษยา กลั้นแกล้งต่างๆนานา เคราะห์ซ้ำกรรมซัดยังถูกใส่ร้ายว่าคบชู้ ต้องโทษโบยยี่สิบไม้ และไม้ที่ยี่สิบนั้นผู้โบยจงใจฟาดใส่ศีรษะ ของเขา กะให้ถึงตาย!
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
พวกเขาไม่รู้ว่าฉันเป็นผู้หญิง พวกเขามองฉันและเห็นฉันเป็นเด็กผู้ชาย เป็นเจ้าชาย คนนหึ่ง พวกเขาซื้อมนุษย์อย่างฉันเพื่อตอบสนองความต้องการทางเพศ และเมื่อพวกเขาบุกเข้ามาในอาณาจักรของเราเพื่อซื้อพี่สาวของฉัน เพื่อปกป้องเธอ ฉันหมดหนทาง จึงต้องเข้าไปขอร้องให้พวกเขาพาฉันไปด้วย แผนของฉันคือหาโอกาส จะพาพี่สาวหนีไป แต่ฉันไม่คาดคิดว่าคุกของเราจะเป็นสถานที่ที่มีการป้องกันมากที่สุดในอาณาจักรของพวกเขา แต่เดิมฉันเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เป็นคนที่พวกเขาไม่ต้องการ พวกเขาไม่เคยคิดจะซื้อ เลย แต่แล้ว ราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่ไร้ความปรานี บุคคลที่มีอำนาจที่สุดในดินแดนป่าเถื่อนของพวกเขากลับสนใจใน "เจ้าชายน้อยผู้น่ารัก" เราจะเอาชีวิตรอดในอาณาจักรที่อันตรายนี้ได้อย่างไร และเผชิญหน้ากับผู้คนที่ไม่เป็นมิตรกับเรายังไง และคนที่มีความลับอย่างฉันจะกลายเป็นทาสแห่งความต้องการทางเพศได้อย่างไร . หมายเหตุของผู้เขียน นี่คือนิยายรักแนวดาร์ก เนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่ เรตติ้งสูง 18+ เตรียมพบกับเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์และเข้มข้นได้เลย หากคุณเป็นนักอ่านตัวยงของแนวนี้ที่กำลังมองหาอะไรที่แตกต่าง พร้อมที่จะอ่านแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวโดยไม่รู้ว่าจะเจออะไรใหม่ๆ บ้าง แต่ก็อยากรู้เพิ่มเติมอยู่ดีล่ะก็ รีบอ่านเลย! . จากผู้เขียนหนังสือขายดีระดับนานาชาติเรื่อง "ทาสผู้เกลียดชังของราชาอัลฟ่า"
หลังจากเมา เธอก็ได้รู้จักกับคนใหญ่คนโตคนหนึ่ง เธอต้องการความช่วยเหลือจากเขา ส่วนเขาหลงเสน่ห์รูปร่างที่ดีและความสวยงามของเธอ พอเวลาผ่านไป เธอก็ตระหนักได้ว่าเขามีคนอยู่ในใจแล้ว เมื่อรักแรกของเขากลับมา เขาก็ไม่ค่อยได้กลับบ้าน แต่ละคืนเหวินม่านอยู่ในห้องว่างเปล่าด้วยคนเดียว แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่เธอได้รับมาก็มีแต่เช็คใบหนึ่งและคำกล่าวลาเท่านั้น เดิมทีคิดว่าเธอจะร้องไห้โวยวาย แต่ไม่คาดคิดว่าเธอหยิบใบเช็คแล้วจากไปอย่างไม่ลังเล: "คุณฮั่ว ลาก่อน!"... พอพบกันอีกครั้ง เธอก็มีคนอยู่ข้างกายแล้ว เขาพูดด้วยตาแดงก่ำ: "เหวินม่าน ผมคบกับคุณมาก่อนนะ" เหวินม่านยิ้มเบา ๆ แล้วพูดว่า "ทนายฮั่ว คนที่บอกเลิก นั่นคือคุณเองนะ! ถ้าอยากจะเดทกับฉัน คุณต้องต่อคิว..." วันถัดมา เธอได้รับเงินโอนหนึ่งแสนล้านพร้อมแหวนเพชร ทนายฮั่วคุกเข่าข้างหนึ่ง: "คุณเหวิน ผมอยากจะแทรกคิว"
ตลอดระยะเวลาสามปีของการแต่งงาน เธอรู้สึกสิ้นหวัง ที่ถูกบังคับให้เซ็นใบหย่า ทั้งๆที่เธอกำลังท้อง เธอใจสลายกับความไร้มนุษยธรรมของเขา กระทั่งเธอออกไปจากชีวิตของเขา เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเธอคือรักแท้ของเขา ไม่มีวิธีใดที่จะเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของเธอให้หายขาดได้ เขาจึงมอบความรักทั้งหมดของเขาให้แก่เธอเพื่อชดเชย
"คุณต้องการเจ้าสาว ส่วนฉันก็ต้องการเจ้าบ่าว ทำไมเราไม่แต่งงานกันล่ะ?" ภายใต้เสียงเยาะเย้ยของทุกคน ถังเลี่ยน ซึ่งถูกคู่หมั้นของเธอทอดทิ้งในพิธีแต่งงาน กลับแต่งงานกับเจ้าบ่าวพิการข้างบ้านที่ถูกรังเกียจ ถังเลี่ยนคิดว่าอวิ๋นเซินเป็นชายหนุ่มที่น่าสงสาร และเธอสาบานว่าจะให้ความรักใคร่แก่เขาและตามใจเขาหลังแต่งงาน ใครจะรู้ว่าเขาแกล้งเป็นแบบนั้น... ก่อนแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "เธอต้องสนใจเงินของผมถึงยอมแต่งงานกับผม ผมจะหย่ากับเธอหลังจากที่ผมใช้ประโยชน์เธอเสร็จ" หลังแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "ภรรยาของผมต้องการหย่าทุกวัน แต่ผมไม่อยากหย่า ทำอย่างไรดีล่ะ"
กฤษฎิ์ พิสิฐกุลวัตรดิลก "อาหมอกฤษฎิ์" หนุ่มใหญ่วัย 34 ปี มาเฟียในคราบคุณหมอสูตินรีเวชแห่งโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของประเทศ โหด เหี้ยม รักใครไม่เป็น เปลี่ยนคู่นอนเป็นว่าเล่น สำหรับเขารักแท้ไม่เคยมีรักดีๆ ก็มีให้ใครไม่ได้ แต่สุดท้ายดันมาตกหลุมรักแม่ของลูกอย่างถอนตัวไม่ขึ้น❤️ "เฟียร์สตีนอยู่ดีๆรู้ตัวอีกทีก็มีลูกสาววัย4ขวบแล้วอ่ะครับ แถมแม่ของลูกทำเอาใจเต้นแรงไม่หยุดเลยนี่เรียกว่าตกหลุมรักใช่ไหมครับ" นลินนิภา อารีย์รักษ์ "ที่รัก" สาวน้อยวัยแรกแย้มบริสุทธิ์ผุดผ่อง ฐานะยากจนสู้ชีวิต เพราะความจำเป็นทำให้เธอต้องตกเป็นของเขา คนนั้นด้วยความเต็มใจ จนทำให้เธอต้องกลายมาเป็นคุณแม่ยังสาวด้วยวัยเพียง 18 ปี แต่แล้ววันหนึ่งโชคชะตาก็เล่นตลกเหวี่ยงให้เธอกลับมาพบกับเขาคนนั้นอีกครั้ง พ่อของลูกคนที่เธอถวิลหาไม่เคยลืม ❤️ "ตกหลุมรักตั้งแต่ครั้งแรก ห่างกันไกลแค่ไหนใจยังคงคิดถึงเธอเสมอ ❤️พ่อของลูก" หนูน้อยแก้มใส กมลชนก อารีย์รักษ์ สาวน้อยวัย 4 ขวบ สดใสร่าเริง ฉลาดมาก ซนมาก แสบมาก เซี้ยวมาก เฟียสมาก ใครเห็นเป็นต้องหลงรักในความช่างพูดและขี้อ้อนของน้อง "ลุงหมอเป็นพ่อขาของแก้มใสเหรอคะ" หนูเป็นลูกของคุณพ่อกฤษฎิ์กับคุณแม่ที่รักค่ะ หนูจะเป็นกามเทพตัวจิ๋วที่จะมาแผลงศรให้คุณพ่อกับคุณแม่รักกัน❤️มาเอาใจช่วยหนูกันด้วยนะคะ
© 2018-now MeghaBook
บนสุด