เมื่อพี่ชายของ ปิ่นปัก พา เชคอิลยาส ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทมาเที่ยวที่บ้าน ความรักต่างฐานันดรจึงเริ่มขึ้น เชคอินยาสมอบแหวนไว้ให้ปิ่นปักพร้อมบอกว่าเมื่อพร้อมจะเป็นชายาเขาให้สวมแหวนวงนี้แล้วเดินทางไปหาเขาที่ฮิลยะฮ์ ทว่าเหตุการณ์กลับพลิกผันเมื่อหญิงสาวถูกกลุ่มคนปริศนาลักพาตัวไปจากสนามบิน ชาฮีน เป็นบุคคลลึกลับที่ทำให้ปิ่นปักทั้งรังเกียจและหวั่นไหวได้อย่างน่าประหลาด เขาลักพาตัวเธอมาด้วยจุดประสงค์ที่ไม่อาจคาดเดาได้และเฝ้าจับตาดูความเคลื่อนไหวของเชคอิลยาสอย่างเงียบๆ เมื่อผู้คนกระหายอำนาจจิตใจคนไม่อาจหยั่งรู้ได้จากรูปลักษณ์ภายนอก ความจริงกับความลวงจึงห่างเพียงเส้นบางๆ ขวางกั้น ปิ่นปักเริ่มสับสนว่าควรเชื่อสิ่งใดระหว่างความรู้สึกตัวเองกับคำพูดของคนรอบข้าง เธอรู้ชัดเพียงอย่างเดียวว่าเมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างสิ้นสุด ชีวิตของเธอจะไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิม...อีกต่อไป “คุณรู้ไหมปิ่นเคยเห็นหน้าคุณมาก่อน” “เห็นที่ไหน” ถามอย่างสงสัย นิ้วเรียวสัมผัสนวลแก้มเรื่อแดงด้วยความร้อนของแสงแดดแล้วก้มลงไปใช้ปลายจมูกโด่งสวยของตนสัมผัสคลอเคล้าสูดดมกลิ่นเจือจางของแก้มสาว “ในฝันค่ะ ปิ่นฝันเห็นคุณ ในฝันปิ่นไม่ทราบว่าคุณเป็นใคร แต่รู้ว่าทั้งรักทั้งกลัวตอนที่คุณกอดปิ่น แล้วทราบไหมคะวันนี้ทำไมปิ่นถึงเลือกชุดสีเขียวนี้มาสวม” หล่อนเอียงหน้าเพื่อให้มองสบตาเขาถนัด ชาฮีนส่ายหน้าช้าๆ ปิ่นปักยิ้มเอียงอายก่อนตอบ “ในฝันปิ่นใส่ชุดสีเขียวแบบนี้ แล้วก็เดินมากอดคุณด้านหลังแบบนี้” หล่อนหมุนร่างใหญ่ให้หันหลังมา แล้วกอดซบใบหน้าลงไปสูดกลิ่นกายชายหนุ่มลึกๆ รับรู้ถึงความอบอุ่น ปลอดภัยอย่างประหลาด “ปิ่นปักรักคุณนะคะ คุณอาจจะไม่ใช่รักแรก แต่จะเป็นรักเดียวตลอดไป ฮาบีบีสามีของปิ่นปัก” “โอ ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณผืนทราย ขอบคุณฮาบิบตี้ เมียรักของชาฮีน”
บทนำ
ทะเลทรายอันเวิ้งว้างว่างเปล่ามองไปจนสุดสายตาพบแต่เส้นขอบฟ้า เม็ดทรายสีทองร้อนผ่าวดุจถูกคั่วในเตาไฟ ทอดยาวอยู่ภายใต้เวิ้งฟ้าโปร่งปราศจากหมู่เมฆ ดวงอาทิตย์ยามเที่ยงแผดแสงร้อนแรงจนดวงตาพร่ามัว ไร้ต้นไม้ใบเขียวพอเป็นที่พักสายตา ไม่มีแม้หย่อมหญ้าเล็กๆ สมกับเป็นทะเลทรายอันกันดารและแร้นแค้น นานครั้งจะมีพายุหอบเอาฝุ่นทรายลอยฟุ้งในอากาศพัดหอบเอาเม็ดทรายนับแสนนับล้านไปตามกระแส แปรสภาพเนินทรายให้เปลี่ยนรูปร่างไปจากเดิมจนยากแก่การจดจำ พื้นทรายราบเรียบไร้เนินลูกเล็กลูกน้อยในเวลานี้บ่งชัดว่าพายุเพิ่งพัดผ่านไปไม่นาน
ม้าอาหรับรูปร่างใหญ่โตทะยานอย่างสง่านำพาบุรุษชุดดำฝ่าเปลวแดดอันร้อนระอุมุ่งลึกไปในทะเลทรายอันแสนเวิ้งว้าง มองไปสุดสายตาเห็นเพียงเส้นขอบฟ้าไร้เงาทุกสรรพสิ่ง ทว่าเมื่อม้าควบไปเรื่อยๆ ในทิศทาง ด้านหน้าก็ปรากฏฝูงม้าขนาดย่อมกำลังควบสวนมา คนบนหลังม้าล้วนสวมใส่ชุดสีขาวปกปิดศีรษะและใบหน้า สองคนชักม้าขึ้นนำอย่างระแวดระวังเมื่อระยะห่างนั้นกระชั้นเข้ามา ก่อนที่ม้าทั้งหมดจะถูกสั่งให้ชะลอและหยุดนิ่งเมื่อมาเผชิญหน้าในระยะไม่ถึงสิบหลา
บุรุษชุดดำบนหลังม้ากระโดดลงอย่างคล่องแคล่ว เช่นเดียวกับชายชุดขาวหนึ่งในกลุ่มคนบนหลังม้าที่เหวี่ยงตัวลงมาแล้วสาวเท้าเข้ามาใกล้ ส่วนคนอื่นๆ ยังหยุดม้ายืนนิ่งเหมือนมองระวังภัย ชายชุดดำเป็นฝ่ายยื่นมือไปสัมผัสมืออีกฝ่ายที่ส่งมารับ ก่อนจะนำมาแตะใบหน้าตนเองอันเป็นการทักทายที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ มีการโอภาปราศรัยกันเล็กน้อยแล้วชายชุดขาวก็ส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้ ก่อนเดินกลับไปเหวี่ยงตัวขึ้นหลังม้า ต่างชักม้าให้หันกลับแล้วควบไปในทิศทางที่มาทันที ไม่นานทะเลทรายอันเวิ้งว้างก็เหลือเพียงชายชุดดำและม้าคู่ใจเพียงลำพัง
กระดาษแผ่นเล็กที่สหายผู้จากไปส่งให้ถูกพลิกขึ้นมอง ดวงตาสีดำขลับพรายแววสังเวชยามพิศใบหน้าที่ปรากฏก่อนสอดมันไว้ในอกเสื้อ แล้วกลับไปเหวี่ยงตัวขึ้นหลังม้าทะยานไปจากจุดนัดพบ หลงเหลือไว้เพียงรอยย่ำเท้าของม้า และไม่นานจะถูกลบไปจากผืนทรายเมื่อสายลมพัดผ่านมาอีกครั้ง
แม้ไม่มีแผ่นดิน หากแต่เรายังไม่สิ้นลมหายใจ ถึงสิ้นชาติหากแต่รักของเรามิได้สิ้นลง บราลี เป็นบอดี้การ์ดมือใหม่ ที่ทำงานพลาดจนถูกไล่ออกจากงาน ในวันเดียวกันนั้น บ้านของเธอก็ถูกไฟไหม้ แม่ถูกไฟคลอกบาดเจ็บ พ่อตกใจจนโรคหัวใจกำเริบ ต้องใช้เงินรักษาจำนวนมาก เมื่อเธอจะหันไปพึ่งแฟนหนุ่มที่รักกันมาหลายปี กลับพบเขากำลังคลุกวงในกับผู้ชายอีกคน!! เมื่อชีวิตมันบัดซบขนาดนี้ เธอจึงคิดฆ่าตัวตาย ... และทำจริง!! แต่ไม่ตาย มีคนมาช่วยไว้ ... พอรอดตายก็มีคนยื่นข้อเสนอแปลกประหลาด ... ให้เธอไปเป็นบอดี้การ์ดให้เจ้านาย แลกกับเงินมหาศาล และกว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร บราลีกับเพื่อนร่วมงานอีกสองคน ก็ได้ข้ามเวลาย้อนอดีตไปซะแล้ว
เมื่อความรักที่มีมากเหลือล้น ไวกูณฐ์นั้นอยากแต่งงานเสียทันทีที่เดินทางกลับมาจากเรียนต่อ หากแต่ จิรัฐิติกาลกลับกลัวการใช้ชีวิตคู่จึงปฏิเสธไป แต่เพราะอุบัติเหตุที่บังเกิดขึ้นทำให้ไวกูณฐ์ตาบอด จิรัฐิติกาลจึงตัดสินใจแต่งงานกับเขาในทันทีเพื่อเป็นการรับผิดชอบ เพราะการแต่งงานที่ไม่พร้อมทำให้อุปสรรคแห่งรักนั้นมีมาให้พิสูจน์หัวใจกันเนืองๆ
เจ้าฟ้าหญิงจิรัฐิติกาลในคราบชายหนุ่มดูจะเกษมสำราญเป็นอันมากเมื่อได้ออกมาท่องโลกกว้าง แม้จะไม่ค่อยสบอารมณ์อยู่บ้างที่มี 'ผู้คุม' เป็นไวกูณฐ์ ชายหนุ่มอ่อนแอ เจ้าหนอนหนังสือใส่แว่นลูกชายองครักษ์คนสนิทของพระบิดา แต่ถ้าไม่ยินยอมร่วมทางไปกับเขา เจ้าพ่อก็คงไม่ปล่อยออกจากกรงทอง เธอจำใจร่วมทางและสร้างความยุ่งยากเป็นภาระใหญ่หลวงให้เขา แต่ในคราเดียวกันความใกล้ชิด ความใกล้ชิดทำให้ความรู้สึกพิเศษเกิดขึ้นในใจ แต่จะทำอย่างไร เมื่อเธอฝังใจว่าเขาไม่ใช่ "ชายจริง" นิยายภาคต่อของ ลิขิตรักบัลลังก์หัวใจ
เมื่อต้องเสียแผ่นดินจากการช่วงชิงของพระเจ้าอา ทรรศินากัลยามาส เจ้าฟ้าหญิงรัชทายาทแห่งมธุรรัฐจำต้องเสด็จหนีจากแผ่นดินเกิด แฝงกายเข้าไปในสิงขรรัฐ จากที่คิดจะปลอมตัวเป็นนางกำนัล กลับตกกระไดพลอยโจนถวายตัวเป็นสนมของเจ้าหลวงรัฐสิงห์สีหนาทในนามลูกของศัตรู!? รอจนถึงวันทวงบัลลังก์คืน กล้วยไม้ป่าแรกแย้มเพิ่งผลิรับฤดูฝน เจ้าหลวงเอื้อมไปหมายจะเด็ด ก็ถูกพระหัตถ์เล็กๆ ตีเผียะลงบนหลังมือ "ดอกไม้จะสวยงามที่สุดเมื่ออยู่กับต้นเพคะ" ดำรัสขึงขัง "แต่พี่จะเก็บให้เธอ" รับสั่งกลับอ่อนโยน "ท่าจะเด็ดดอกไม้แรกแย้มเสียจนเคย" เจ้าฟ้าหญิงประชดตรงๆ เจ้าหลวงยกพระหัตถ์ในท่าสาบาน "สาบาน ต่อไปพี่จะไม่เด็ดดอกไม้ ไม่ว่าดอกไหน จะรอดอกฟ้าตรงหน้านี้ดอกเดียวเท่านั้น"
เมื่อซากีน่าน้องสาวอันเป็นที่รักถูกฆ่าข่มขืน หลักฐานในมือคือแผ่นเงินฉลุลวดลายสวยงาม ซาห์ราจำได้ทันทีว่าใครเป็นเจ้าของของสิ่งนี้ การตามล้างแค้นจึงเกิดขึ้น ชีคฮาซัน บินญาบิร อัล บุสตานีย์ กลายเป็นเหยื่อความแค้นที่เขาไม่ได้ก่อ ถูกหล่อนทรมานต่างๆ นานาและต้องสูญเสียเมียสาวในคืนวันแต่งงานจากน้ำมือซาห์รา แต่เมื่อความจริงปรากฏว่าใครเป็นฆาตกรที่แท้จริง ซาห์ราจะชดใช้สิ่งที่ทำลงไปให้แก่เขาด้วยชีวิต ตามกฏชีวิตแลกชีวิต แต่ชีคฮาซันกลับต้องการให้หลอนชดใช้ด้วย หัวใจ
เมื่อธิดาองค์น้อยเริ่มเติบโต ชีคกาเบรียนที่อยากให้ลูกรู้จักภาษาของแม่บังเกิดเกล้า จึงมองหาครูสอนภาษาชาวไทย แต่กลับได้ทโมนไพรไปแทน นางสาวกฤติกา หรือแม่ดาวลูกไก่ นอกจากสอนภาษาไทยให้ธิดาองค์น้อยของชีคแล้ว ยังสอนปีนต้นไม้กลายเป็นลิงเป็นค่าง จนพระนมของชีคเอือมระอา ทว่าท่าทางแก่นกะโหลกของดาวลูกไก่กลับจับใจต้องตาชีคกาเบรียนจนกลายเป็นความรัก แต่ปัญหาสงครามแบ่งแยกดินแดนในประเทศยังไม่สงบ เมื่อดาวลูกไก่ถูกจับตัวไปเพื่อต่อรอง แม้พระองค์ไม่อาจยกแผ่นดินเพื่อแลกกับผู้หญิงที่รักได้ แต่ไม่ได้นิ่งนอนใจเหมือนครั้งที่เสียสนมคนอื่นไป ทรงลอบออกจากวังเพื่อไปช่วยหญิงอันเป็นที่รักด้วยตนเอง
มังกร หนุ่มหล่อหน้าใสลูกชาวไร่ชาวนา อายุ 22 ปี ที่ได้รับทุนเรียนดีจนจบมหาวิทยาลัย ได้แบกร่างกายพาหัวใจอันแตกสลายกลับบ้านเกิดทันทีในวันที่จบการศึกษา เพราะบิดามารดาได้เสียชีวิตกระทันหันทั้งคู่หลังจากกลับจากการนำข้าวไปขายและโดนสิบล้อที่เบรคแตกเสียหลักพุ่งชนรถของพ่อแม่ของมังกร เมื่อสูญเสียพ่อและแม่ไปอย่างกระทันหันเขาจึงกลับบ้านเกิดเพื่อไปทำไร่ทำนาสานฝันของพ่อแม่และนำความรู้ที่ได้เรียนมากลับมาพัฒนาที่ดินมรดกในบ้านเกิด หากแต่ว่ามังกรยังไม่ทันได้ทำอะไรเขากลับตายลงอย่างไม่ทันตั้งตัว ตายแบบไม่ตั้งใจและไม่เต็มใจที่สุด เขาจำได้เพียงแค่ว่าหลังจากเดินทางกลับมาถึงบ้านเกิดเขาได้ไปไหว้พ่อกับแม่ที่วัดในหมู่บ้าน แล้วก็กลับมานอนแต่พอเขากลับตื่นขึ้นมาในร่างของเด็กชาย อายุ 8ขวบ กับบ้านพุๆพังๆ เขาตื่นมาในร่างของคนอื่นไม่พอ แล้วเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่มันที่ไหน และใครพาเขามา แล้วมังกรจะทำยังไงต่อไปกับชีวิตที่อยู่ในร่างเด็กชายยากจนคนนี้ มาติดตามชีวิตใหม่ของมังกรกันต่อไปค่ะ
เล่อซานเป็นคนใบ้ เธอถูกสามีละเลยมาเป็นเวลาห้าปี ม้แต่เธอตั้งท้องยังถูกแม่สามาีทำร้ายจนแท้งลูก หลังจากการหย่าร้าง สามีของเธอก็ประกาศหมั้นกับคนรักในใจของเขาทันที เธอกุมท้องที่นูนเล็กน้อยไว้ ในที่สุดก็ได้สติและเข้าใจว่าเขาไม่เคยจริงจังกับเธอมาก่อน... เธอหันหลังจากไปอย่างเด็ดขาด และทั้งสองก็กลายเป็นคนแปลกหน้า หลังจากที่เธอจากไป ชายคนนั้นก็ตามหาเธอไปทั่วโลก เมื่อพวกเขาได้พบกันอีกครั้ง เธอก็รักคนอื่นไปแล้ว เป็นครั้งแรกที่เขาถามอย่างถ่อมตัวว่า "ได้โปรดอย่าไป..." ทว่าคำแรกที่เธอพูดก็คือให้เขาไปให้พ้น!
เมื่อสามีของธิดาเป็นถึงทายาทตระกูลพันล้านแต่ดันเป็นหมัน เขาเลยให้เมียรักหลับนอนกับเหล่าหลานชายในบ้านเพราะหวังจะให้เธอท้อง เรื่องผิดเพี้ยนนี้เกิดขึ้นเพราะแม่ผัวเคยประกาศไว้ว่าถ้าธิดากับสามีไม่มีลูกสาวหล่อนก็จะไม่ยอมยกมรดกให้ หน้าที่ทำลูกจึงตกเป็นของหลานชายสุดหล่อทั้งสี่คน...
"นางเป็นบุตรีผู้สูงศักดิ์ของฮูหยินเอกของจวนเสนาบดี นางมีหน้าตาโดดเด่น ทั้งอ่อนโอนและมีน้ำใจไมตรีต่อผู้อื่น แต่... นางทำดีต่อป้าของนาง นางกลับฆ่าแม่ของนางตาย นางรักเอ็นดูน้องสาวของนาง แต่น้องสาวกลับแย่งสามีของนางไป นางคอยสนับสนุนและดูแลสามีของนางอย่างสุดหัวใจ แต่สามีกลับทำให้นางตายทั้งกลม...ตระกูลฝ่ายมารดาของนางก็ถูกประหารชีวิตทั้งตระกูลด้วย นางตายตาไม่หลับและสาบานว่าหากมีชาติหน้า นางจะไม่เมตาตาต่อใครอีก ใครก็ตาม กล้ามาทำร้ายข้า ข้าจะล้างแค้นด้วยชีวิตทั้งตระกูลของพวกเจ้า เมื่อเกิดใหม่อีกครั้ง นางอายุได้สิบสี่ปี นางสาบานว่าจะต้องเปลี่ยนชะตากรรมและแก้แค้นชาติก่อน ป้านางใจ้ร้าย นางจะใจร้ายกลับยิ่งกว่านาง นางคิดจะได้ครองตำแหน่งฮูหยินงั้นเหรอ บอกเลยไม่มีทาง! ส่วนน้องสาวชอบผู้ชายชั่ว ๆ นักไม่ใช่หรือ ได้!ข้าจะยกให้เลย ส่วนชายชั่วนั่น ข้าจะทำให้เจ้าไม่สามารถมีทายาทได้อีกตลอดทั้งชาติ!แต่ข้าจะแก้แค้น เหตุใดเจ้าต้องมาช่วยข้าด้วย?"
ถ้าไม่มีปัญญาใช้หนี้ก็เอาลูกสาวแกมาขัดดอกไปก่อนแล้วกัน พอดีฉันทำธุรกิจไม่ได้ทำการกุศล...
เมื่อเพื่อนรักที่ไว้ใจแอบทรยศคบกับชายที่ตนรัก และชายที่ตนรักกลับรังเกียจตนจนไม่แม้แต่จะแตะต้องเนื้อตัวเธอ สิ่งที่เธอทำได้คือต่างคนต่างอยู่ แต่ในวังหลังแห่งนี้เธอจะทำอย่างนั้นได้จริงหรือ? ตัวอย่างเนื้อเรื่อง “เจ้ามีอันใดจะกล่าวหรือไม่... สนมหลี่กุ้ยเฟย” น้ำเสียงราบเรียบก่อนจะเน้นที่ละคำในประโยคท้ายอย่างหนักแน่น “ฮองเฮาแน่ใจแล้วหรือเพคะ ว่าจะให้หม่อมฉันทูลทุกอย่างต่อหน้าข้าราชบริพารเหล่านี้ หากมีข่าวแพร่ออกไปอีก ฮองเฮาทรงทนฟังคำนินทาเหล่านั้นได้หรือไม่” หลี่ฟางซินกล่าวพร้อมยิ้มอ่อนๆ หลี่ฟางซินย่อมรู้ดีว่าเย่วลี่อิงคงได้ยินคำนินทาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้วจึงได้พูดเน้นย้ำ หวังจะกระตุ้นให้นางลงมือทำร้ายตน “คำนินทาเรื่องใดกัน เรื่องที่เจ้าเป็นนางอสรพิษนะหรือ เหตุใดเราจะทนฟังไม่ได้เล่า” เย่วลี่อิงตรัสพร้อมยักไหล่อย่าไม่แยแส มีหรือเย่วลี่อิงจะดูไม่ออกว่า ข่าวลือที่แพร่ออกไปนั้นมาจากผู้ใด หากเป็นแต่ก่อนนางย่อมไม่คิดว่าเป็นสหายคนสนิทของนางเป็นแน่ แต่บัดนี้นางรู้แล้วว่าหญิงที่ยืนตรงหน้านางหาใช่สตรีอ่อนหวานแสนดีอย่างที่นางรู้จักไม่ “หม่อมฉันเป็นนางอสรพิษตั้งแต่เมื่อใดกันเพคะ หม่อมฉันและฝ่าบาทมีใจรักใคร่กันมาเนิ่นนาน หากไม่ใช่เพราะฮองเฮาใช้ความดีของท่านแม่ทัพทูลขอให้ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานงานแต่ง วันนี้ตำแหน่งฮองเฮาก็ไม่แน่ว่าจะเป็นของใคร” “เจ้านางแพศยา หากเจ้ามีใจให้ฝ่าบาท แล้วทำไมไม่บอกข้า ยังแสดงแกล้งเป็นแม่สื่อนำของที่ข้ามอบให้ฝ่าบาท ฝากผ่านพี่ชายเจ้าช่วยมอบของให้ฝ่าบาทแทนข้า” เย่วลี่อิงเริ่มพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง “ของอันใดกันเพคะ หม่อมฉันไม่เคยนำของ ของพระองค์มอบให้ฝ่าบาทเลยนะเพคะ ยิ่งให้พี่ชายช่วยส่งแทนให้ยิ่งมิเคย” น้ำเสียงเยาะเย้ยบวกกับรอยยิ้มยียวนของหลี่ฟางซินทำให้เย่วลี่อิงหัวเสียมากขึ้น “นี้เจ้าเอาของของเราไปทิ้งอย่างนั้นหรือ” “ฮองเฮาพูดถึงเรื่องอะไรเพคะ หม่อมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย พระองค์อย่าได้ใส่ความหม่อมฉันสิเพคะ” “นี้เจ้า”