“เป็นอะไร หน้ามืดเหรอ” เขาตีหน้าเครียดถามไถ่ เก็บซ่อนอาการขำขันด้วยความเอ็นดูเอาไว้มิดชิด เธออายจนต้องยกมือปิดหน้า ซ้ำยังบิดตัวซุกหลบกับอกแกร่งเพราะกลัวจะตก “คุๆๆๆ คุณ..คุณไคปล่อยครีมลงเถอะค่ะ” “ไม่ปล่อย” “ทำไมล่ะคะ” “ก็ไม่อยากปล่อย ตั้งแต่แต่งงานกันมาเรายังไม่เคยทำตัวเป็นสามีภรรยากันเลย ผมก็อยากอุ้มภรรยาดูบ้างไม่ได้เหรอ” “ได้ค่ะ แต่ไม่ใช่เวลานี้ ตอนนี้คุณไคไม่สบายอยู่นะคะ ปล่อยครีมลงก่อนดีกว่าค่ะ อุ้มของหนักมากๆ เดี๋ยวยิ่งปวดหัวนะคะ” เธอแก้ตัวบ้าบออะไรของเธอเนี่ย ทำไมยิ่งฟังยิ่งน่ารักน่าฟัด พาให้หมั่นเขี้ยวนัก
บทที่ ๑ ความรักของฮาโตริ เคนชิน
ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2548
บุรุษชาวญี่ปุ่นวัย 55 ปี กำลังอยู่ในพิธีฌาปนกิจศพของสตรีที่เขาหลงรัก แต่ไม่อาจเอามาเป็นของตนได้อย่างอาลัยอาวรณ์ เพราะเธอผู้ล่วงลับไปแล้วนั้นมีเจ้าของอยู่แล้ว เจ้าของของเธอก็คือคู่ค้าทางธุรกิจคนสำคัญของเขานั่นเอง
เธอแต่งงานกับเจ้าของบริษัทเลิศอินเตอร์คอร์ปอเรชั่น ชีวิตของเธอดูน่าจะมีความสุขเพราะได้แต่งงานกับพ่อม่ายที่เพียบพร้อมอย่างประมาณ แต่ความจริงที่เขารู้และเห็นมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น เธออยู่กับเขาด้วยความอดทน ทำงานเยี่ยงคนงานโดยไม่ปริปากบ่น เพราะเธอเป็นแม่ม่ายมีลูกติด เธออยากให้ลูกได้เรียน ได้กินอิ่มนอนหลับ ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อเหมือนในอดีต จึงต้องทนและอยู่อย่างเจียมตัว ไม่ได้มีความสุขกับความรักที่สามีมอบให้เลย เพราะเขารักแต่เธอ แต่ไม่ได้รักลูกของเธอเหมือนอย่างที่เคยรับปากเอาไว้
วันนี้เป็นวันสุดท้าย เป็นวันที่จะเผาร่างที่ไร้วิญญาณของเธอแล้ว แต่สามีของเธอก็ยังใจดำกับลูกเลี้ยง ไม่ยอมให้ลูกของเธอมายืนรวมกลุ่มกับเจ้าภาพ ภาพของหญิงสาวที่ยืนซบสามีและกอดลูกสาวตัวเล็กร้องไห้สะอึกสะอื้นห่างออกไปจากกลุ่มเจ้าภาพ ช่างเป็นเรื่องที่น่าหดหู่ใจเหลือเกิน
หลังจากเผาศพเสร็จเรียบร้อย ฮาโตริ เคนชิน แห่งมามิยะกรุ๊ปก็เดินไปที่รถ เกือบจะถึงรถอยู่แล้วเขาก็หันไปเห็นลูกสาวของคนตายกำลังนั่งร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ จึงเดินไปหาเธอ เขาโค้งศีรษะรับไหว้จากสามีของเธอ และลูบศีรษะเด็กหญิงที่ทำตามบิดาอย่างเอ็นดู
“คุณหนู คุณฮาโตริมาหาครับ” สุภัคกระซิบบอกภรรยาที่เอาฝ่ามือปิดหน้าร้องไห้อยู่
ระพีเงยหน้าเปื้อนน้ำตาขึ้นมา “คุณลุง”
“ฉันเสียใจด้วยนะ”
“ขอบคุณนะคะคุณลุง ที่มาส่งแม่หนู” พร้อมยกมือไหว้อีกฝ่าย
“แม่เขาไปดีแล้ว ไม่ต้องเหนื่อยแล้ว อย่าร้องไห้เลยนะ”
“ค่ะ” คำปลอบโยนของบุรุษชาวญี่ปุ่นทำให้ระพีสะอื้นหนักยิ่งกว่าเดิม เธอรู้ว่าแม่เหนื่อยมากแค่ไหน เธอจึงอดทนมาตลอดเพราะไม่อยากให้ท่านเหนื่อยมากขึ้นอีก พ่อเลี้ยงไม่รักเธอ ไม่เคยให้ความอบอุ่นแม้แต่ทางคำพูดกับเธอ ส่วนน้องๆ ต่างพ่ออีกสองคนนั้นไม่ต้องพูดถึง น้องชายไม่เคยแม้แต่จะชายตามองเธอ ส่วนน้องสาวนั้น ยามลับหลังมารดาก็มักจะด่าทอเธออย่างไร้เหตุผล “หนูจะพยายามค่ะคุณลุง”
ฮาโตริหยิบนามบัตรส่งให้หญิงสาวด้วยความเศร้าใจ “ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรหาฉันได้ตลอดนะ ไม่ต้องเกรงใจ ถือซะว่าฉันเป็นพ่อของเธอนะ บอกฉันได้ทุกเรื่อง รับปากฉันสิระพี” เพราะสังหรณ์ใจไม่ดี เขาจึงสั่งกำชับเธออย่างหนักแน่น
ระพีรับนามบัตรของเขาไว้ ซาบซึ้งในน้ำใจที่เขาหยิบยื่นให้ น้ำใจที่เธอไม่เคยได้รับจากพ่อเลี้ยง ถึงแม้เขาจะไม่เคยตีไม่เคยด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย แต่ก็มักจะเหน็บแนมด้วยคำพูดลับหลังมารดาอยู่เสมอ
“รับปากฉันสิหนูระพี” ฮาโตริย้ำอีกครั้ง
“ค่ะคุณลุง”
ผ่านไปเจ็ดปีหลังจากครั้งนั้น ฮาโตริไม่ได้รับการติดต่อใดๆ จากลูกสาวของสตรีที่แอบรักเลย วันนี้เขาเดินทางมาที่ประเทศไทยอีกครั้ง จุดประสงค์หลักคือเพื่อพบเธอโดยเฉพาะ เพราะอยากรู้ว่าเธออยู่สุขสบายเพียงใด เมื่อได้รับโทรศัพท์เรียนเชิญจากประธานแห่งเลิศอินเตอร์คอร์ปอเรชั่น ที่ปัจจุบันยังมีหุ้นส่วนอยู่ในมามิยะประเทศไทยโดยตรง จึงรับปากทันทีอย่างไม่ลังเล
“คุณลุงไม่จำเป็นต้องมาก็ได้นี่ครับ แค่งานเลี้ยงครบรอบบริษัทของคุณประมาณ ให้ผมไปแทนก็ได้”
ฮาโตริ เคนชิน มองหน้าหลานชายแท้ ๆ เพียงคนเดียวของตนพร้อมกับคลี่ยิ้มอ่อนโยน
“ลุงไม่ได้อยากมาร่วมงานหรอกนะ แต่ลุงมีจุดประสงค์อื่นที่สำคัญกว่านั้นต่างหาก ลุงถึงได้ถ่อสังขารมานี่ไง”
“จุดประสงค์อะไรครับ บอกผมได้หรือเปล่า”
“ได้สิ ลุงไม่คิดจะปิดบังแกอยู่แล้ว ลุงแค่อยากมาเห็นหน้าลูกสาวของผู้หญิงที่ลุงเคยรักว่าเธออยู่สุขสบายดีไหม แค่นี้แหละ”
“แค่นี้เองเหรอครับเหตุผล” ไคมองผู้เป็นลุงอย่างไม่อยากเชื่อสักเท่าไหร่ ส่วนเรื่องราวของสตรีไทยที่ท่านเคยหลงรักก็พอได้ยินมาจากท่านบ้างแล้ว จึงไม่แปลกใจอะไร
“ก็เธอไม่ติดต่อมาหาลุงเลยนี่นา ลุงก็ต้องมาดูให้เห็นกับตาหน่อยสิ บอกตรงๆ ว่าลุงไม่มั่นใจเลยว่าคุณประมาณจะอุปการะเธอต่อไปอีก”
“คุณประมาณเขาคงไม่ใจดำกับลูกเลี้ยงขนาดนั้นหรอกครับคุณลุง”
“ถ้าเราไม่มีประโยชน์ร่วมกัน เขาคงไม่ดีกับเราแบบนี้หรอก” ถ้าหลานชายเคยเห็นแบบที่เขาเห็นคงจะไม่พูดแบบนี้
“เอาไว้ดูกันวันงานก็แล้วกันนะครับ ว่าลุงจะคิดถูกหรือผิด”
“อือ ว่าแต่วันนี้แกว่างนักเหรอ ทำไมถึงมารับลุงได้ล่ะ”
“ทำไมคุณลุงถามผมแบบนี้ล่ะครับ จะว่างหรือไม่ว่างยังไงผมก็ต้องมารับลุงของผมด้วยตัวเองสิครับ จะให้คนอื่นมาแทนได้ยังไง”
“แกช่างเป็นหลานที่กตัญญูรู้คุณเสียจริง”
คนถูกชมขมวดคิ้วนิดๆ มองหน้าลุงที่กำลังอมยิ้มด้วยสายตาสงสัย ไม่แน่ใจว่านั่นคือคำชมหรือคำพูดประชด
“ไค”
“ครับ”
“ถ้าสิ่งที่ลุงกังวลเป็นเรื่องจริง แกต้องช่วยลุงนะ”
“ช่วยอะไรครับ อย่าบอกนะว่าจะให้ผมตามหาพวกเขา... เฮ้อ! ผมไม่อยากจะทำหรอกนะครับ แต่เพื่อคุณลุงผมจะยอมก็แล้วกัน” ลุงก็เปรียบเสมือนพ่อของเขา เพราะเขาเสียพ่อไปตั้งแต่ยังอยู่ในท้องของแม่ ดังนั้นอะไรที่ทำให้ท่านสบายใจได้เขาก็อยากจะทำ
ก๊อก ๆ ๆ
“ขออนุญาตสักครู่นะคะครูเกตุ” คุณครูประจำห้องแนะแนวใช้ไม้เรียวที่ถือติดมือเคาะประตูห้องเรียนเพื่อให้สัญญาณครูที่กำลังสอน
“เชิญค่ะ”
“สุภัครพี เลิกเรียนแล้วไปหาครูที่ห้องแนะแนวด้วยนะ”
“ค่ะคุณครู”
“ขอบคุณค่ะครูเกตุ” ครูแนะแนวหันไปขอบคุณครูผู้สอนแล้วเดินจากไป
“คุณครูเรียกหนูทำไมเหรอคะ” หลังจากจบคาบเรียน เด็กสาววัยสิบเจ็ดก็มาพบครูที่ห้องแนะแนว
“นั่งสิ เธอยังอยากทำงานอยู่ไหมสุภัครพี”
“อยากค่ะคุณครู” เด็กสาวตอบรับทันที
“เธอจะไม่ถามหน่อยเหรอว่างานอะไร”
“ไม่ค่ะ ถ้าคุณครูหาให้ก็แสดงว่าเป็นงานที่เชื่อถือได้อยู่แล้ว”
นงนุชคลี่ยิ้ม พยักหน้าคล้อยตามคำพูดของลูกศิษย์คนโปรด เธอรู้จักเด็กคนนี้มานานก่อนที่จะเข้ามาเรียนที่นี่ และสนิทชิดเชื้อกับพ่อแม่ของอีกฝ่าย รู้เรื่องราวทุกอย่างพอประมาณ และยังกำความลับสำคัญเอาไว้อีกเรื่องหนึ่งด้วย
"ณัฐวรา" สถาปนิกสาวสวยแม่ม่ายลูกสอง ความน่ารักของเธอถูกตาต้องใจประธานคนใหม่อย่างแรง เขารุก ๆ และรุก แล้วเธอจะหนีทำไม ในเมื่อหัวใจก็เรียกร้องต้องการ ก็เขาตรงตามสเป็กซะขนาดนั้น สูงใหญ่ บึกบึน แถมเป็นลูกครึ่งด้วยสิ คงหนีไม่พ้นเขาแน่ ๆ "เควิน" ---------------- เหตุการณ์บางอย่างทำให้ "สินี" ต้องล้มเหลวกับชีวิตคู่ เธอเริ่มมองเขาที่เคยเป็นกำลังใจและให้ความช่วยเหลือเธออยู่ตลอดเวลา จนมันพัฒนามาเป็นความรักครั้งใหม่ในระยะเวลาสั้น ๆ "นภดล" ผู้ชายที่แอบเฝ้ามอง แอบหลงรักเธอมาตลอดเวลาห้าปี ------------------------------- หญิงสาวฟุบตัวลงกับอกแกร่งอย่างเหนื่อยหอบ เพราะงัดกลยุทธ์ออกมาพิชิตใจเขาจนหมดสิ้น “เควี่คะ” เรียกเขาเสียงหอบ “ว่าไงครับฮันนี่” เขาลูบศีรษะเธอแผ่วเบา “ถูกใจกับของขวัญมั้ยคะ” เธอถามเพราะอยากรู้ว่าตัวเองทำได้ดีพอมั้ยสำหรับครั้งแรก “ถ้าบอกว่าไม่ถูกใจจะขอแก้ตัวมั้ยครับ” แล้วหัวเราะเบา ๆ เมื่อถูกค้อนใส่ “ถูกใจที่สุดเลยครับ ให้ผมบ่อย ๆ นะ ผมรับได้ทุกโอกาส ทุกเทศกาลเลยนะครับ นะครับฮันนี่” เขาอ้อนวอนขอ “ค่ะ ถ้าคุณทำตัวน่ารักกับน้ำผึ้งนะคะ” “ผมจะทำตัวน่ารัก และเป็นสามีที่ดีของคุณภรรยานะครับ” “สามีภรรยาอะไรคะ พูดแบบนี้น้ำผึ้งเขินนะ” แล้วขยับตัวจะลงไปนอนบนที่นอน แต่เขารั้งไว้ไม่ยอมปล่อย “นอนกับอกผมนี้แหละ ไม่ต้องกลัวว่าผมจะหนัก เพราะตัวคุณเบาอย่างกับนุ่น” แล้วกอดเธอกระชับขึ้น “ไม่เอาค่ะ ขอน้ำผึ้งนอนบนเตียงแล้วซบอกคุณดีกว่า อุ่นดี”
ชติรสรีบพลิกตัวหันหลังให้ชายหนุ่มทันทีที่เขาผละจากเธอไปยืนอยู่ข้างเตียง ควานมือไปด้านหลังเพื่อหาผ้าห่มมาคลุมร่างที่เปลือยเปล่าของตนให้พ้นจากสายตาร้อนแรงสีน้ำตาลเฮเซลคู่นั้น แต่ให้ตายเถอะผ้าห่มมันหายไปไหนวะ! ชายหนุ่มกอดผ้าห่มไว้กับอก มองทรวดทรงอวบอัดที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งอย่างชัดเจน เธอคือผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติในสายตาของเขาจริงๆ คิดไปคิดมาความต้องการที่เพิ่งสงบลงไปก็เริ่มตื่นตัวอีกครั้ง เขารีบคลี่ผ้าห่มคลุมร่างให้เธอแล้วแต่งตัวเพราะกลัวอดใจไม่ไหว กลัวจะทำให้เธอเจ็บปวดทรมานจนเข็ดขยาด “ผมไปก่อนนะยอดรัก” เขาเกี่ยวร่างที่ตะแคงหันหลังให้ด้วยมือข้างเดียว แล้วโน้มหน้าไปกระหน่ำจูบที่เรียวปากอิ่มนั้นอย่างเสน่หา ก่อนจะออกไปจากห้องเขายังหยิบโทรศัพท์ของเธอมากดเข้าหาเบอร์ตัวเอง และอดไม่ได้ที่จะรั้งร่างบางมากอดแนบอกและดูดดื่มความหวานของเรียวปากอย่างอาลัยอาวรณ์ “อย่าลืมสัญญาของเราล่ะ” เธอเน้นย้ำเมื่อเขาจะจากไป เขามองร่างที่กอดกระชับผ้าห่มนวมเอาไว้ด้วยความรักใคร่อย่างเปิดเผย “ผมจะรักษาสัญญาอย่างเคร่งครัดถ้าคุณไม่ผิดคำสัญญา” “เราควรทำหนังสือสัญญาต่อกัน” “ไม่จำเป็น หน้าที่ของคุณคือเป็นตัวแทนของลิก้า หน้าที่ของผมคือห้ามยุ่งกับลิก้า ดังนั้นคุณและผมแค่ทำหน้าของตัวเองอย่างเคร่งครัดหนังสือสัญญาก็ไม่มีความหมาย” “ถ้าฉันรู้ว่าคุณยุ่งกับพี่สาวของฉันทั้งที่ฉันยอมคุณถึงขนาดนี้ เราได้เห็นดีกันแน่” เธอข่มขู่ “ผมไม่โง่เสียคุณไปหรอกยอดรัก คุณเด็ดกว่าเธอเป็นไหนๆ” “อย่ามาหยาบคายกับฉัน ไสหัวออกไปจากห้องฉันได้แล้ว” เธอหยิบหมอนปาใส่คนปากเปราะนัยน์ตาลามกด้วยความอับอายระคนโกรธแค้น
ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบทุกกระเบียดนิ้วอย่างเขา ทำไมต้องมาแต่งงานกับผู้หญิงที่เป็นง่อยอย่างเธอด้วยล่ะ.. ------------------ เขากอดเธอแน่น จูบหนักหน่วงขึ้น เรียกว่าแทบจะสูบเอาวิญญาณออกมา จูบจนเธอต้องเบือนหน้าหนีเพื่อสูดเอาอากาศเข้าปอด “หายใจไม่ทันเหรอ” ถามเสียงนิ่ง จ้องใบหน้านวลไม่กะพริบ “ตอบผมสิ” คะยั้นคะยอขอคำตอบเมื่อเธอเอาแต่อ้ำอึ้ง ไม่กล้าจะสบตาด้วย “..ค่ะ” ตอบอย่างขัดเขิน “มองหน้าผมให้เต็มตาแล้วค่อยตอบสิหนูเล็ก” ไม่พูดเปล่า แต่ยังเอื้อมมือไปจับปลายคาง รั้งใบหน้าเธอให้หันมามองตน.. แต่ใบหน้าเรียวแดงซ่านช่างน่ารักเหลือเกิน อดใจไม่ได้ต้องโน้มไปหาและจูบเสียอีกที หอมอีกสองฟอด “เด็กเลี้ยงแกะ!” แล้วตำหนิเสียงขรึม แววตาวาว คนถูกดุเหลือบสายตามองโต้ ทั้งเขินทั้งงง ไม่เข้าใจว่าตนกลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะได้อย่างไร
อดีตนักดนตรีรูปหล่อพ่อรวยที่ผันตัวเองมาเป็นนักธุรกิจเต็มตัวเพื่อสืบทอดกิจการของครอบครัว สามปีที่เขามัวแต่เรียนรู้เรื่องงานที่ไม่ถนัดจนต้องปล่อยวางเรื่องความรัก ตอนนี้เขาพร้อมแล้วที่จะรับมือกับมัน แต่ให้ตายเถอะ! ทำไมผู้หญิงแต่ละคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกถวิลหาได้เหมือนเธอคนนั้นเลยสักคน ตอนนี้เธออยู่ไหน ทำอะไรอยู่นะ เขาอยากเจอเธออีกสักครั้ง และครั้งนี้จะไม่ปล่อยให้เธอหลุดมือเด็ดขาด เชิญพบกับความรักของพี่โฉดผู้น่ารักกับน้องแนนผู้ใสซื่อ(จากบัญชารักจากหัวใจ)ได้ในเล่มนี้เลยค่ะ
เขาคือเจ้าของฟาร์มนกกระจอกเทศที่ใหญ่ติดอันดับต้นๆ ของโลก ส่วนเธอคือหญิงสาวที่เขารับมาทำงานด้วยเพราะถูกน้องชายขอร้อง อะไรจะเกิดขึ้น? เมื่อคนที่เขาคิดว่าขี้เหร่นักหนากลายเป็นนางฟ้าเดินดินที่อยากครอบครอง
เมื่อเธออายุยี่สิบ ชิงฉือได้รู้ว่าตนเองไม่ใช่ลูกโดยกำเนิดของตระกูลต้วน เธอถูกลูกสาวที่แท้จริงของตระกูลต้วนล้อมกรอบ จนถูกพ่อแม่บุญธรรมไล่ออกจากบ้านและกลายเป็นตัวตลกในเมือง เมื่อเธอกลับไปหาพ่อแม่ชาวนา จากนั้นก็พบว่าบิดาผู้ให้กำเนิดของเธอเป็นคนที่รวยที่สุดในเมืองเจียงเฉิงส่วนพี่ชายของตนเองเป็นอัจฉริยะในแวดวงต่างๆ ทุกคนมองดูเด็กสาวตัวเล็กคนนี้ด้วยความเห็นใจและถือว่าเธอเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ค่อยๆ พบว่า... ที่แท้ว่าน้องสาวเป็นคนมากความสามารถ? อดีตแฟนหนุ่มผู้น่ารังเกียจหัวเราะเยาะ "อย่ามาตามเซ้าซี้ไม่เลิก ฉันมีแต่เมียนเมียนอยู่ในใจ!" คนใหญ่แห่งเมืองหลวงปรากฏตัว "เมียฉันจะเห็นหัวนายเหรอ?"
องค์หญิงสิบสามนามหลินฮุ่ยหมินสตรีผู้ที่งดงามโดดเด่นไม่เป็นรองผู้ใดแต่กลับมีฐานะต่ำต้อยในวังหลวงด้วยพระมารดาเสียชีวิตตั้งแต่นางยังเด็ก ท่ามกลางความคับแค้นใจนางยังต้องคำสาปร้ายต้องกลายร่างเป็นสัตว์ทุกคืนวันพระจันทร์เต็มดวง เขาคือ หยางเอ้อหลาง แม่ทัพหนุ่มผู้มีความสามารถรูปโฉมสง่างามและเป็นวีรบุรุษคนสุดท้ายของสกุลหยาง ทั้งยังเป็นที่รักเคารพของชาวเมือง ทว่าด้วยความสามารถและตำแหน่งใหญ่โต ฮ่องเต้มิอาจวางใจจึงได้คิดกำจัดเขาให้พ้นตำแหน่งเสีย โดยมอบสมรสพระราชทานให้หยางเอ้อหลางกับพระธิดาของตน เดิมทีชีวิตของคนสองคนย่อมไม่บรรจบ เมื่อสตรีที่หมายหมั้นกับหยางเอ้อหลางคือองค์หญิงใหญ่ที่ปักใจรักเขาตั้งแต่เยาว์วัย ทว่าเรื่องไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อคนทั้งคู่เกิดอุบัติเหตุจนคนเข้าพิธีสมรสกลายเป็นองค์หญิงสิบสาม ท่ามกลางความหวาดกลัวขององค์หญิงสิบสามที่กลัวความลับจะเปิดเผย ท่ามกลางหยางเอ้อหลางที่พยายามพาสกุลหยางให้รอดพ้น ท่ามกลางการแตกหักของความสัมพันธ์พี่น้องที่แสนรักใคร่ระหว่างองค์หญิงใหญ่และองค์หญิงสิบสามเพราะบุรุษเพียงผู้เดียว หลินฮุ่ยหมินจะทำเช่นใด เพื่อจะยุติเรื่องราวน่าเวียนหัวนี้
นุชพินตา ควรเป็นเจ้าสาวที่น่าอิจฉาที่สุดที่ได้แต่งงานกับ ปุลวัชร เจ้าบ่าวที่ทั้งหล่อ รวย เนื้อหอม เป็นเจ้าชายในฝันของสาวๆ ทั้งเมือง แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าบ่าวในฝันนั้น...ทั้งไร้หัวใจ และไม่ได้รักเธอสักนิด! การแต่งงานที่ไร้รัก อยู่กันไปก็มีแต่เจ็บปวดเท่านั้น แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อเธอไม่อาจปฏิเสธ แม้จะต้องถูกเขาทำร้ายหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะทำอย่างไรหากใจที่ไม่คิดปรารถนารักกลับอยากได้ความรักจากเขา ------------------------------ “เธอเคยนอนกับผู้ชายหรือเปล่า” เขาถามออกมาจากปากร้าย ตอนที่เธอได้ยินถึงกับสะอึก ไม่คิดว่าเขาจะถามตรง ๆ และในนาทีต่อมา นุชพินตาก็รู้สึกโกรธมาก หญิงสาวโต้เขากลับ “ทำไมผู้ชายดี ๆ การศึกษาดี ๆ ถึงได้พูดจาแบบนี้คะ มาพูดดูถูกกัน เมื่อกี้ก็หาว่าพวกเราขายตัว และตอนนี้ยังมากล่าวหาฉันอีกว่าฉันสำส่อน คุณถามคำถามแบบนี้กับผู้หญิงทุกคน ที่คุณเคยนอนด้วยหรือยังไงคะ” ความเจ็บปวดระบายออกมาทางสายตา เขาเป็นบ้าอะไรกันนี่ คำพูดแบบนี้มาจากสันดานข้างในหรือเพราะว่าเขาเมา “แล้วเธอเคยมีอะไรกับผู้ชายหรือเปล่าล่ะ” เขาย้ำอีกครั้ง จ้องสบตาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ “ปากร้าย ประโยคนี้คุณไม่ควรถามออกมาด้วยซ้ำไป” จากที่เรียกเขาว่าพี่ปุ่น ชักขุ่นและมีอารมณ์โมโหขึ้นมาเปลี่ยนสรรพนามที่คนฟังก็รู้ว่าห่างเหิน “ผู้หญิงที่ดี ๆ ที่ไหน จะตอบตกลงแต่งงานกันชายแปลกหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่คิด เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น” “แล้วมันยังไงคะ” นุชพินตาก็ไม่ยอมเหมือนกัน “เธออาจจะเป็นมือสองก็ได้” ‘เมื่อคืนเขาไปนอนที่ไหน แล้วไปนอนกับใคร’ ‘อ้อ… ก็คงจะเป็นผู้หญิงคนนั้นสินะ’ ดวงตาเศร้าลง เธอลุกขึ้นไปเปิดม่านหน้าต่าง และมองออกไปยังท้องทะเล แสงอาทิตย์กระทบกับระลอกคลื่นที่ไล่เรียงกันกระทบเข้าฝั่ง นุชพินตาถึงกับถอนหายใจดังเฮือก ‘ฉันมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ มาให้เขาย่ำยีเล่นใช่หรือไม่’ เฝ้าถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ‘ยะหยาอย่าเสียใจไปเลยนะ เธอต้องทำตัวเองให้เข้มแข็ง แข็งแรงเถอะ ในเมื่อเธอก็ไม่ได้รักเขาเหมือนกัน’ คำพูดปลอบโยนตัวเอง ‘ใช่… ฉันไม่ได้รักเขา และจะเกลียดเขาให้มากกว่านี้’ เธอตอกย้ำคำนี้เข้าไปในหัวใจของตัวเองด้วยความมุ่งมั่นและสายตาที่แน่วแน่ แม้จะรู้สึกเจ็บแน่นในหัวอก ------------------------------ “ฉันจะหย่ากับเธอ” เขาเอ่ยอย่างใจดำ หญิงสาวถึงกับใจหล่นวูบ เธอเม้มขบริมฝีปาก กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว นุชพินตาพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว “นางผู้หญิงไร้ยางอาย แพศยาฉันเกลียดผู้หญิงหลายใจ ฉันเกลียดผู้หญิงที่นอกใจ ไปให้พ้นจากบ้านของฉัน ไปให้พ้นจากหน้าฉัน พรุ่งนี้จะให้ทนายทำใบหย่า” “พี่ปุ่นคะ” เธอยกมือขึ้นมาไหว้เขาปลก ๆ “เราสองคนเพิ่งแต่งงานกันเองนะคะ ยะหยาไม่อยากให้คุณลุงและคุณย่าเสียใจ” “แต่สิ่งที่เธอทำล่ะ มันน่าอาย แล้วเธอไม่ละอายบ้างเหรอ หน้าด้าน” เขามีอาการเสียใจ และหัวเสีย นุชพินตาเอง เธอไม่คิดว่าปุลวัชรจะปากร้ายด่าทอเธอได้ถึงเพียงนี้ “ฉันจะหย่ากับเธอแน่นอน เตรียมปากกาไว้เซ็นใบหย่าในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” พูดจบ เขาเดินเข้าไปใช้มือปัดแจกันที่อยู่ใกล้ และชกบานกระจกที่ใช้ตกแต่งอยู่ในห้องโถงด้วย จนกระจกแตกละเอียดทั้งบาน มือของปุลวัชรมีเลือดไหลซึม เขาจะเดินเข้าห้องทำงานและปิดประตูตามหลังดังโครม นุชพินตาตกใจ และหวาดกลัวกับสิ่งที่เธอได้เห็น ความดีใจที่สามีจะกลับมา เธอจะบอกข่าวดีเขา และกินข้าวด้วยกัน ได้มลายหายไปสิ้น มีเพียงความเศร้าเข้ามาทับถมอยู่ในจิตใจของนุชพินตา แล้วหญิงสาวยกมือขึ้นมาปิดหน้าปิดตาปล่อยโฮ
ซินหยาน นักฆ่าสาวที่ใช้นามแฝงว่า สืออี เธอถูกพาตัวมาจากสถานสงเคราะห์ตั้งแต่อายุเพียงเจ็ดปี เพื่อฝึกให้เป็นนักฆ่าขององค์การใต้ดิน เพราะความสามารถของเธอ รวมถึงความเฉลียวฉลาดจากการเอาตัวรอด ทำให้เธอได้รับภารกิจเสี่ยงอันตรายอยู่เสมอ จนวันหนึ่งที่องค์กรยื่นข้อเสมอสุดพิเศษให้ หากทำภารกิจครั้งนี้เสร็จสิ้นเธอจะสามารถไปใช้ชีวิตตามที่เธอต้องการได้ แต่เรื่องมันจะง่ายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร ซินหยาน แม้จะรู้ดีว่านี้เป็นภารกิจสุดท้ายก่อนที่เธอจะถูกสั่งเก็บแต่ก็รับงานมาอย่างเต็มใจ แต่ที่องค์การคิดไม่ถึงคือ ซินหยานเลือกที่จะจบชีวิตลงพร้อมกับภารกิจสุดท้ายที่สูญหายไปพร้อมกับเธอด้วย ซินหยานเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าเธออยู่ในร่างของเด็กสาววัยสิบสองหนาว จางซินหยาน ชื่อนี้ช่างคุ้นหูนัก และยิ่งคุ้นมากขึ้นเมื่อชื่อของบิดามารดาของซินหยานก็คือนิยายเรื่องหนึ่งที่เธอได้เคยอ่านเมื่ออยู่ภพที่แล้ว หลังจากที่จางซินหยานอายุได้สิบหกหนาว นางตกหลุมรักท่านแม่ทัพจ้าว ที่ได้รับบาดเจ็บและจางซินหยานเป็นผู้ช่วยไว้ ถ้าหากท่านแม่ทัพจ้าวมิได้มีสตรีที่ตบแต่งไปแล้วเรื่องนี้ก็คงจบอย่างสวยงาม แต่เพราะเขารับจางซินหยานไปเป็นได้เพียงอนุเท่านั้น จางซินหยานก็ยังคิดว่าถึงจะเป็นเพียงอนุนางก็ยังหวังว่าท่านแม่ทัพจะรักนางเช่นกัน แต่เปล่าเลย ในสายตาของท่านแม่ทัพมีเพียงฮูหยินเอกเท่านั้น จนตายจางซินหยานก็ไม่เคยได้ยินคำว่ารักจากปากของท่านแม่ทัพ ซินหยานเมื่อมาอยู่ในร่างของจางซินหยานแล้วนางจะยอมให้เกิดเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร แต่เหมือนโชคชะตาชอบเล่นตลก เพราะเรื่องที่นางไม่อยากยุ่งเกี่ยวดันเข้าไปยุ่งเต็มๆ
คิณ อัคนี สุริยวานิชกุล ทายาทคนโตของสุริยวานิชกุลกรุ๊ป อายุ 26 ปี นักธุรกิจหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตร เย็นชากับผู้หญิงทั้งโลกยกเว้นเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น เอย อรนลิน "เมื่อเขาดึงเธอเข้ามาในวังวนของไฟรักที่แผดเผาหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้ไหม้ไปทั้งดวง" "เธอแน่ใจนะว่าจะให้ฉันช่วยค่าตอบแทนมันสูงเธอจ่ายไหวเหรอ?" เอย อรนลิน พิศาลวรางกูล ดาวเด่นของวงการบันเทิงที่ผันตัวไปรับบทนางร้าย เธอสวย เซ็กซี่ ขี้ยั่วกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น "เขาคือดวงไฟที่จุดประกายขึ้นในหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้หลงเริงร่าอยู่ในวังวนแห่งไฟรัก" "อะ อึก จะ เจ็บ เอยเจ็บค่ะคุณคิณ"
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง