“รุ้ง...” เห็นสายตาวิงวอนของเขา สายรุ้งก็อดยอกย้อนไม่ได้...นับว่าเป็นครั้งแรกที่หล่อนใช้สุ้มเสียงประชดประชัน และเคียดขึ้งเช่นนี้ “ทำไมคะ? พี่กรไม่อยากหย่าเพราะยังกอบโกยไม่พองั้นเหรอคะ?!” “รุ้ง!” เขาอุทานเรียกหล่อนอย่างตกใจไม่น้อยกับถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากเรียวปากอิ่มเต็ม “พี่กรจะเอาอะไรจากรุ้งอีก! รุ้งไม่มีอะไรจะให้ ไม่อยากให้แล้ว!” สายรุ้งสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อสามีกระชากกระเป๋าจากมือของหล่อนแล้วโยนไปส่งๆ มันกระแทกกับผนังก่อนเสื้อผ้าบางชุดในกระเป๋าจะร่วงหล่นลงมากระจัดกระจาย
“หม่ามี้ขา” เสียงเล็กๆ นั้นเรียกให้คนที่กำลังตักต้มจืดตำลึงใส่จานเงยหน้าขึ้น รอยยิ้มประดับบนริมฝีปากอิ่มเต็มโดยอัตโนมัติ
รอยยิ้มนี้ เคยบริสุทธิ์สดใส หากบัดนี้กลับเจือความหม่นเศร้าอยู่จางๆ
“ขา” สายรุ้งลากเสียงยาวขานตอบ ทรุดนั่งยองๆ แล้วอ้าแขน รอให้เด็กน้อยร่างกลมป้อมวิ่งเข้ามาหา
อ้อมกอดอันอบอุ่น...พร้อมจะรับร่างเล็กนั้นมาซุกซบแนบอกอยู่เสมอ
“หนูพรีมอาบน้ำแล้วค่ะ ตัวห๊อมหอม”
เด็กหญิงถูไถใบหน้ากับบ่าเล็กบาง ก่อนจะยื่นแก้มให้ผู้เป็นมารดาดอมดม
“หม่ามี้หอมสิคะ”
สุ้มเสียงหวาน แววตาเป็นประกาย และรอยยิ้มกว้างขวางทำให้มารดายิ้มกว้างกว่าเดิม สายรุ้งแตะปลายนิ้วลงบนแก้มแดงปลั่งอย่างเบามือ ก่อนจะจรดปลายจมูกลงไป สูดลมหายใจฟอดใหญ่
“หอมไหมคะ”
เจ้าตัวเล็กถามเสียงใส พลางยกมือโอบรอบคอมารดา มองสบดวงตาหวานซึ้งที่มีรอยหม่นเศร้าแฝงลึกเร้นอย่างออดอ้อน
“หม่ามี้ตัวเปื้อนค่ะ”
“ฮื่อ...” เด็กหญิงพริมาภาสั่นศีรษะดิก จนผมเปียทั้งสองข้างกวัดแกว่งไปมา “ไม่เปื้อนค่ะ”
พูดพลางซบใบหน้าลงกับซอกคอของผู้เป็นมารดา
“หม่ามี้ของหนูพรีมตัวห๊อมหอม หอมม้ากมาก”
คนเป็นมารดาได้แต่หัวเราะเสียงแผ่ว ความใจอ่อนทำให้สายรุ้งต้องอุ้มเด็กตัวน้อยไว้ในอ้อมกอด ในขณะที่พริมาภาชะโงกหน้ามองสิ่งที่วางอยู่ยนโต๊ะ
“ตำลึงอีกแล้วเหรอค้า...” เสียงนั้นลากยาวเอื้อยอ่อยและเต็มไปด้วยความผิดหวัง “ขม...”
“ขมอะไรกัน หม่ามี้ว่าอร่อยจะตาย”
“หนูพรีมอยากกิน ‘คาหนม’ ”
“ไม่ได้ค่ะ ขนมกินเยอะๆ ฟันผุนะคะ” เอ่ยพลางจับปลายคางลูกสาว บีบเบาๆ อย่างหยอกล้อ “ฟันแท้หนูกำลังจะขึ้น ถ้าอยากให้สวยๆ ไม่มีรอยดำก็ต้องกินผักเยอะๆ นะคะ”
เสียงฝีเท้าที่ดังอยู่ตรงหน้าประตูหลังจากสายรุ้งพูดจบทำให้หล่อนต้องหันไปมอง พลางคลี่ยิ้ม
“เหนื่อยแย่เลยสิคะป้าพิศ”
คนถูกถามกลับยิ้มร่า และส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ ป้าเคยเลี้ยงหลานมาก่อน...รายนั้นน่ะดื้อกว่าคุณหรูพรีมเยอะค่ะ”
‘ป้าพิศ’ เป็นหญิงวัยกลางคน ร่างอวบท้วม หน้าตาใจดีเพราะมักมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าอยู่เสมอโดยเฉพาะเวลาอยู่กับพริมาภา
“กับข้าวเสร็จแล้วนะคะป้าพิศ ฝากดูหนูพรีมด้วย รุ้งขอไปอาบน้ำก่อน”
“มาค่ะ มากินข้าวกันค่ะคุณหนู”
ป้าพิศเอื้อมมือออกไปอุ้มคุณหนูของตน ในขณะที่เด็กหญิงก็ยอมคลายอ้อมกอดจากมารดาอย่างไม่เกี่ยงงอน
“อาบเร็วๆ นะคะหม่ามี้ หนูพรีมจะรอ”
“ถ้าหนูพรีมหิวก็กินก่อนเลยนะคะ”
เด็กตัวจ้อยส่ายหน้า ปฏิเสธเสียงแข็ง
“ไม่ค่ะ หนูพรีมไม่กินก่อน หนูพรีมจาไม่ให้หม่ามี้นั่งกินข้าวคนเดียว หนูพรีมจารอค่ะ”
น้ำตาของคนฟังรื้นขึ้นมา...นานเท่าไหร่แล้วที่เรามีกันสองคนแม่ลูก
เกือบเจ็ดปีแล้วสินะ...หล่อนและพริมาภากระเตงกันไปมาเช่นนี้เพียงลำพัง
ข้าวทุกมื้อ...นับตั้งแต่พริมาภาอายุหกเดือน สองแม่ลูกมักจะรับประทานด้วยกัน ผู้เป็นมารดาป้อนทีหนึ่ง ก็ตักข้าวจากจานของตนใส่ปากคำหนึ่ง เป็นเช่นนี้ตลอดมา กระทั่งพริมาภาเข้าอนุบาล จากที่เคยรับประทานด้วยกันทุกมื้อ จึงเหลือเพียงมื้อเดียวคือตอนเย็น
“หนูพรีมกลัวหม่ามี้เหงา”
สายรุ้งฟังด้วยความสะท้อนใจ น้ำตาที่รื้นขึ้นมายิ่งเอ่อคลอ
เหงา...ความเหงาในตัวหล่อนชัดเจนเสียจนพริมาภารับรู้ได้เลยหรือ
“ไม่ค่ะ หม่ามี้ไม่เหงา”
เจ้าหล่อนกะพริบตาถี่เร็ว ข่มเสียงอันสั่นเครือของตนเมื่อเอ่ย
“หม่ามี้มีหนูพรีมอยู่ทั้งคน หม่ามี้จะเหงาได้ยังไงคะ”
“แต่หม่ามี้ไม่มีปาปา”
น้ำตาเหือดแห้งแล้วก็จริง หากความปวดแปลบที่บีบรัดตรงกลางหว่างอกกลับไม่เคยบรรเทา สายรุ้งข่มความรวดร้าวไว้อย่างสุดความสามารถ
“หม่ามี้มีทั้งคุณลุงวิล คุณลุงวิธ คุณลุงณพนะคะ หม่ามี้ไม่เหงาหรอก”
“แต่คุณลุงวิล คุณลุงวิธกะคุณลุงณพไม่ใช่ปาปานี่คะ เพื่อนๆ ของหนูพรีมมีปาปาทู้กคน”
ราวกับมีบางอย่างมาจุกอยู่ในอก สายรุ้งไม่อาจเอื้อนเอ่ยอะไรได้ชั่วขณะหนึ่ง ต่อเมื่อสบสายตาเวทนาจากป้าพิศแล้ว เมื่อนั้นความอ่อนแอจึงถูกกลบฝังในก้นบึ้งของหัวใจอีกครา
“หนูพรีมมีแค่หม่ามี้ก็พอแล้วนี่คะ”
“พอค่ะ” เด็กหญิงพูดเสียงชัดถ้อยชัดคำ เปี่ยมด้วยความมั่นใจ “หนูพรีมไม่เป็นไร หนูพรีมแค่กลัวหม่ามี้เหงา”
“ตราบใดที่หม่ามี้มีหนูพรีมอยู่ข้างๆ หม่ามี้ไม่เหงาหรอกค่ะ”
“จริงเหรอคะ”
“จริงสิคะ”
พริมาภาเปรียบดั่งแสงสว่างในหัวใจหล่อน แค่มีพริมาภาเคียงข้าง...ทุกความมืดมิดในซอกหลืบของหัวใจก็สลายไปได้ในพริบตา
ไม่จำเป็นต้องมี ‘เขา’
ผู้ชายคนนั้นไม่สำคัญอีกต่อไป เขาไม่ใช่คนรัก ไม่ใช่สามีและไม่มีค่าพอที่จะเป็น 'ปาปา' ของพริมาภาอีกด้วย!
ก่อนผละจาก สายรุ้งจุ๊บแก้มลูกสาว แล้วกระซิบด้วยสุ้มเสียงสดใส
“หนูพรีมคือโลกทั้งใบของหม่ามี้ แค่มีหนูพรีมอยู่ด้วย หม่ามี้ก็มีความสุขที่สุดแล้ว”
ครั้งหนึ่ง...โลกของหล่อนเคยแตกสลายย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี
และครั้งหนึ่งอีกเช่นกัน โลกใบนั้นกลับมาหลอมรวมเป็นโลกใหม่
โลก...ที่มีแต่หล่อนกับลูก
...เป็นโลกใบใหม่ที่หล่อนจะไม่มีวันให้ใครคนนั้นมาทำร้าย ทำลายได้อีกเป็นครั้งที่สอง
แม้ว่า ‘เขา’ จะกลับมายืนต่อหน้าหล่อน
ทอดมองหล่อนด้วยแววตาโหยหาและเศร้าลึกเร้น
หรือแม้เขาจะประกาศอย่างหนักแน่นว่า
‘มาตามเมีย’
โลกของหล่อนจะไม่สั่นคลอน...จะไม่มีวันนั้นอีก
สายรุ้งที่หัวอ่อน ไร้เดียงสา แสนอ่อนแอ และหลงรักเขาอย่างหัวปักหัวปำได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว
ตายจาก...ตลอดกาล
อีกไม่กี่วันเธอก็จะบินไปเรียนต่อที่อังกฤษแล้ว ทว่าเหตุการณ์กลับพลิกผันในคืนเดียว นอกจากจะไม่ได้บินไปอังกฤษ ยังได้สามีมาหนึ่งคน เธอตั้งใจจะไปคลอดเสียที่อังกฤษ รอจนลูกโตสักหน่อยค่อยกลับมา ทว่าพ่อของลูกขัดขวางเธอตั้งแต่เธอยังไม่ทันก้าวพ้นประตูด้วยซ้ำ 'เรามาแต่งงานกัน' เขาใช้น้ำเสียงราวกับเจรจาตกลงเรื่องธุรกิจ นี่มิใช่การแต่งงานด้วยความรัก เขาเพียงต้องการลูก ส่วนเธอแต่งเพราะความจำเป็น ทว่าในใจส่วนลึกเธอรู้ดีว่าแท้จริงแล้วเธอยอมแต่งงานกับเขาเพราะเหตุผลเพียงอย่างเดียว
เขาคือตรีทศ ปัจจภาคย์...บุรุษผู้เกลียดชังเธอสุดขั้วหัวใจ แม้เมื่อยามต้องร่วมทางเดินเดียวกันในระยะเวลาหนึ่งปี เขาก็ไม่เคย ‘ใจดี’ กับเธอเลยสักครั้ง เขาก้าวเท้าพรวดเดียวมายืนตรงหน้า ใกล้มากพอที่ลมหายใจร้อนผ่าวจะรินรดบนหน้าผากเกลี้ยงเกลา สายตาของเข้าจับจ้องเธอแน่วนิ่ง ก่อนกวาดมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าราวกับต้องการสำรวจว่าเธอแต่งกายเหมาะสมคู่ควรกับการเป็นภรรยาของเขาหรือไม่ แต่ใครจะรู้...เจ้าสาวที่ใครๆ อิจฉา ยามนี้ต้องกล้ำกลืนฝืนทน และเก็บกดรอยน้ำตาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจอย่างสุดความสามารถเพียงใด! พรนภัสแตะปลายนิ้วบนแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วนางข้างซ้าย แหวนที่ไม่มีความสำคัญอันใด นอกเสียจากเป็นหลักประกันว่าเขาจะได้มรดกทั้งหมดจากผู้เป็นบิดา!
เขาฝากรอยมลทินไว้บนเรือนร่างของหล่อนด้วยความแค้น หล่อนยอมชดใช้ความผิดนั้นด้วยหัวใจแตกสลาย หล่อนคิดว่าชาตินี้คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ทว่าโชคชะตากลับกลั่นแกล้ง เมื่อหล่อนตั้งใจจะหลบไปอยู่เงียบๆ กับลูกน้อยเพียงสองคน ณ ที่แห่งหนึ่ง ณ ที่นั้นหล่อนได้พบกับเขา คนที่หล่อนทั้งรักและชิงชัง อะไรก็ไม่แย่เท่า เด็กน้อยที่เกาะกุมมือหล่อนอยู่ เป็นลูกของเขา! คนที่ชิงชังหล่อนหมดหัวใจ!
ในวันแต่งงาน เจ้าบ่าวของเฉียวซิงเฉินหนีไปกับผู้หญิงอีกคน เธอโกรธมาก จึงสุ่มหาชายคนหนึ่งมาแต่งงานด้วยทันที "ตราบใดที่คุณกล้าแต่งงานกับฉัน ฉันก็ยอมเป็นเมียคุณ" หลังจากแต่งงาน เธอได้ค้นพบว่าสามีของเธอคือลูกชายคนโตของตระกูลลู่ที่ขึ้นชื่อว่าไร้ประโยชน์ ชื่อลู่ถิงเซียว ทุกคนเยาะเย้ยว่า "เธอยนี่ช่วยไม่ได้จริงๆ" และผู้ชายที่ทรยศเธอก็มาเกลี้ยกล่อมว่า "ไม่เห็นต้องทำร้ายตัวเองเพราะฉันหรอก สักวันเธอต้องเสียใจแน่ๆ" เฉียวซิงเฉินหัวเราะเยาะและโต้ตอบว่า "ไปให้พ้น ฉันกับสามีรักกันมาก" ทุกคนต่าก็คิดว่าเธอเป็นบ้า ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อตัวตนที่แท้จริงของลู่ถิงเซียวถูกเปิดเผย ที่แท้เขาเป็นคนรวยอันดับต้นๆในโลก ในการถ่ายทอดสดทั่วโลก ชายคนนี้คุกเข่าข้างเดียว ถือแหวนเพชรมูลค่าหลักพันล้าน และพูดช้าๆ ว่า "คุณภรรยา ชีวิตที่เหลือนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ"
นุชพินตา ควรเป็นเจ้าสาวที่น่าอิจฉาที่สุดที่ได้แต่งงานกับ ปุลวัชร เจ้าบ่าวที่ทั้งหล่อ รวย เนื้อหอม เป็นเจ้าชายในฝันของสาวๆ ทั้งเมือง แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าบ่าวในฝันนั้น...ทั้งไร้หัวใจ และไม่ได้รักเธอสักนิด! การแต่งงานที่ไร้รัก อยู่กันไปก็มีแต่เจ็บปวดเท่านั้น แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อเธอไม่อาจปฏิเสธ แม้จะต้องถูกเขาทำร้ายหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะทำอย่างไรหากใจที่ไม่คิดปรารถนารักกลับอยากได้ความรักจากเขา ------------------------------ “เธอเคยนอนกับผู้ชายหรือเปล่า” เขาถามออกมาจากปากร้าย ตอนที่เธอได้ยินถึงกับสะอึก ไม่คิดว่าเขาจะถามตรง ๆ และในนาทีต่อมา นุชพินตาก็รู้สึกโกรธมาก หญิงสาวโต้เขากลับ “ทำไมผู้ชายดี ๆ การศึกษาดี ๆ ถึงได้พูดจาแบบนี้คะ มาพูดดูถูกกัน เมื่อกี้ก็หาว่าพวกเราขายตัว และตอนนี้ยังมากล่าวหาฉันอีกว่าฉันสำส่อน คุณถามคำถามแบบนี้กับผู้หญิงทุกคน ที่คุณเคยนอนด้วยหรือยังไงคะ” ความเจ็บปวดระบายออกมาทางสายตา เขาเป็นบ้าอะไรกันนี่ คำพูดแบบนี้มาจากสันดานข้างในหรือเพราะว่าเขาเมา “แล้วเธอเคยมีอะไรกับผู้ชายหรือเปล่าล่ะ” เขาย้ำอีกครั้ง จ้องสบตาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ “ปากร้าย ประโยคนี้คุณไม่ควรถามออกมาด้วยซ้ำไป” จากที่เรียกเขาว่าพี่ปุ่น ชักขุ่นและมีอารมณ์โมโหขึ้นมาเปลี่ยนสรรพนามที่คนฟังก็รู้ว่าห่างเหิน “ผู้หญิงที่ดี ๆ ที่ไหน จะตอบตกลงแต่งงานกันชายแปลกหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่คิด เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น” “แล้วมันยังไงคะ” นุชพินตาก็ไม่ยอมเหมือนกัน “เธออาจจะเป็นมือสองก็ได้” ‘เมื่อคืนเขาไปนอนที่ไหน แล้วไปนอนกับใคร’ ‘อ้อ… ก็คงจะเป็นผู้หญิงคนนั้นสินะ’ ดวงตาเศร้าลง เธอลุกขึ้นไปเปิดม่านหน้าต่าง และมองออกไปยังท้องทะเล แสงอาทิตย์กระทบกับระลอกคลื่นที่ไล่เรียงกันกระทบเข้าฝั่ง นุชพินตาถึงกับถอนหายใจดังเฮือก ‘ฉันมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ มาให้เขาย่ำยีเล่นใช่หรือไม่’ เฝ้าถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ‘ยะหยาอย่าเสียใจไปเลยนะ เธอต้องทำตัวเองให้เข้มแข็ง แข็งแรงเถอะ ในเมื่อเธอก็ไม่ได้รักเขาเหมือนกัน’ คำพูดปลอบโยนตัวเอง ‘ใช่… ฉันไม่ได้รักเขา และจะเกลียดเขาให้มากกว่านี้’ เธอตอกย้ำคำนี้เข้าไปในหัวใจของตัวเองด้วยความมุ่งมั่นและสายตาที่แน่วแน่ แม้จะรู้สึกเจ็บแน่นในหัวอก ------------------------------ “ฉันจะหย่ากับเธอ” เขาเอ่ยอย่างใจดำ หญิงสาวถึงกับใจหล่นวูบ เธอเม้มขบริมฝีปาก กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว นุชพินตาพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว “นางผู้หญิงไร้ยางอาย แพศยาฉันเกลียดผู้หญิงหลายใจ ฉันเกลียดผู้หญิงที่นอกใจ ไปให้พ้นจากบ้านของฉัน ไปให้พ้นจากหน้าฉัน พรุ่งนี้จะให้ทนายทำใบหย่า” “พี่ปุ่นคะ” เธอยกมือขึ้นมาไหว้เขาปลก ๆ “เราสองคนเพิ่งแต่งงานกันเองนะคะ ยะหยาไม่อยากให้คุณลุงและคุณย่าเสียใจ” “แต่สิ่งที่เธอทำล่ะ มันน่าอาย แล้วเธอไม่ละอายบ้างเหรอ หน้าด้าน” เขามีอาการเสียใจ และหัวเสีย นุชพินตาเอง เธอไม่คิดว่าปุลวัชรจะปากร้ายด่าทอเธอได้ถึงเพียงนี้ “ฉันจะหย่ากับเธอแน่นอน เตรียมปากกาไว้เซ็นใบหย่าในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” พูดจบ เขาเดินเข้าไปใช้มือปัดแจกันที่อยู่ใกล้ และชกบานกระจกที่ใช้ตกแต่งอยู่ในห้องโถงด้วย จนกระจกแตกละเอียดทั้งบาน มือของปุลวัชรมีเลือดไหลซึม เขาจะเดินเข้าห้องทำงานและปิดประตูตามหลังดังโครม นุชพินตาตกใจ และหวาดกลัวกับสิ่งที่เธอได้เห็น ความดีใจที่สามีจะกลับมา เธอจะบอกข่าวดีเขา และกินข้าวด้วยกัน ได้มลายหายไปสิ้น มีเพียงความเศร้าเข้ามาทับถมอยู่ในจิตใจของนุชพินตา แล้วหญิงสาวยกมือขึ้นมาปิดหน้าปิดตาปล่อยโฮ
เขาแอบชอบเธอตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแต่เธอกลับกลัวและพยายามอยู่ให้ห่างจากเขาแล้วเขาจะทำอย่างไรที่จะตามจีบเธอดีในเมื่อเธอเป็นน้องรหัสของเขา
รูรักอันบริสุทธิ์เมื่อถูกปลายลิ้นร้อนของชายหนุ่มเป็นครั้งแรกดูเหมือนว่าจะตอบสนองได้เป็นอย่างดี ร่องของนางขมิบรัว สะโพกของนางยกขึ้นยังเด้งเข้าไปหาปากร้อน ฝ่าบาทเก่งกาจยังสามารถแยงลิ้นเข้าไปในรู อันซูเซี่ยถูกทาขี้ผึ้งหอมรอบปากทาง ขี้ผึ้งนี้นอกจากจะมีรสชาติดีส่งเสริมรสน้ำรักของนางแล้วยังมีคุณสมบัติอันวิเศษ แม้จะเป็นหญิงพรหมจรรย์ก็จะไม่รู้สึกเจ็บปวด และเผลอทำร้ายฝ่าบาทจนบาดเจ็บ อี้หลงดูดแบะขาของนางให้กว้างขึ้นแล้วรวบขึ้นไปให้ขาชี้ฟ้า จากนั้นมุดใบหน้าลงมาอย่างหลงใหล “หอมอร่อยเหลือเกิน รู้สึกเหมือนดื่มสุราไม่เมามาย อ้า ข้าชอบยิ่ง หอยของฮองเฮาช่างใหญ่โต ดูโคกเนื้อโยนีแทบจะล้นริมฝีปากของข้า สีแดงเช่นนี้คงไม่เคยผ่านสิ่งใดมาก่อน บริสุทธิ์ยิ่งนัก ซี้ด” นางดิ้นเร่าอยู่ในปาก ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรนอกจากเชื่อฟังในคำของฝ่าบาท “อืม อร่อยยิ่งนัก อ้า ข้าไม่ไหวแล้วขอดูหน้าฮองเฮาของข้าหน่อยเถิด” ดูเหมือนว่าร่องรักของนางยังขมิบ นางไม่อยากให้เขาเงยหน้าขึ้นจากตรงนั้นด้วยซ้ำ อยากถูกปลายลิ้นเลียเช่นนั้นจนกว่านางจะได้รับการปลดปล่อย “อ้า ฝ่าบาทเพคะ อย่าหยุดเพคะ อื้อ” นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักสำหรับผู้ใหญ่ มี 2 เล่มจบ เป็นนิยายแบบพล็อตอ่อน เน้นฉากรักบนเตียงของตัวละครเป็นหลัก เหมาะสำหรับผู้มีอายุ 25 ปีขึ้นไป ไม่เหมาะสำหรับสายคลีนใส ๆ นะคะ หากใครไม่ชอบอ่าน NC เยอะ ๆ กรุณาเลื่อนผ่าน เพราะเรื่องนี้เน้น NC เป็นหลักค่ะ ซีไซต์ นักเขียน
เมื่อตอนเด็ก หลินอวี่เคยช่วยชีวิตเหยาซีเยว่ที่กำลังจะตาย ต่อมา หลินอวี่กลายเป็นพืชหลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอแต่งงานเข้าตระกูลหลินโดยไม่ลังเลใจและใช้ทักษะทางการแพทย์ของเธอเพื่อรักษาหลินอวี่ สองปีของการแต่งงานและการดูแลอย่างสุดหัวใจของเธอเพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณ และเพื่อที่เขาจะให้ความสำคัญกับตัวเองบ้าง แต่ความพยายามทั้งหมดของเธอกลับไร้ประโยชน์เมื่อคนในใจของหลินอวี่กลับมาประเทศ เมื่อหลินอวี่โยนข้อตกลงการหย่ามาใส่เธออย่างไร้ความปราณี เธอก็รีบเซ็นชื่อทันที ทุกคนหัวเราะเยาะเธอที่เป็นผู้หญิงที่ถูกครอบครัวใหญ่ทอดทิ้ง แต่ใครจะไปรู้ว่า เธอคือ Moon นักแข่งรถที่ไม่มีใครเทียบได้บนสนามแข่งรถ เป็นนักออกแบบแฟชั่นที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เป็นอัจฉริยะของแฮ็กเกอร์ และเธอยังเป็นหมอมหัศจรรย์ระดับโลก... อดีตสามีของเธอเสียใจมากจนคุกเข่าลงกับพื้นขอร้องให้เธอกลับมา ผู้เผด็จการคนหนึ่งอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า "ออกไป! นี่คือภรรยาของฉัน!" เหยาซีเยว่ "?"
“หยุดทำบ้าๆ นะพี่สิงห์...อ๊อย...” น้ำผึ้งขนลุกซู่ เขาจูบไซ้ซอกคอของหล่อน ขณะหญิงสาวกำลังยืนส่องกระจกอยู่หน้าอ่างล้างหน้า “พี่ขออีกนิด แค่ภายนอกเท่านั้นนะจ๊ะ ไม่เสียหายอะไรนี่นา...นะครับ” พี่เขยปะเหลาะปะแหละอย่างคนเอาแต่ได้ เสียงออดอ้อนอ่อนหวานเริ่มทำให้น้องเมียใจอ่อนหวามไหว ปล่อยให้มือของเขาเคล้นคลึงสะโพกของหล่อนอย่างนึกมันเขี้ยว สอดท่อนแขนเข้ามาระหว่างง่ามก้น หงายฝ่ามือลูบไล้เข้ามาถึงหนอกเนื้ออุ่นจัดอีกครั้ง ตะล่อมล้วงเข้ามาโอบเนินนูนเหมือนหลังเต่า บีบขยำเบาๆ เหมือนจะประมาณความอวบใหญ่ล้นอุ้งมือ “ของผึ้งใหญ่จัง” มือสัมผัสกลีบเนื้อเป็นพูแน่น โหนกนูนและใหญ่กว่าของเจนนี่มากมาย “อ๊าย...” น้ำผึ้งเสียว กระดกก้นขึ้นโดยอัตโนมัติ สิงหาบีบขยำความเป็นผู้หญิงของหล่อนเป็นจังหวะ หัวใจเต้นแรงกับความอวบใหญ่ที่อัดแน่นอยู่ในอุ้งมือของตน “อย่า...พี่สิงห์...หยุดเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวพี่เจนนี่มาเห็นผึ้งซวยแน่ๆ” น้องเมียร้องห้ามอย่างสับสนใจ ส่ายก้นทำท่าว่าจะดิ้นหนี แต่ช้ากว่ามือใหญ่ของสิงหาอีกข้างที่กดลงบนแผ่นหลังของหล่อนเหมือนจะล็อกกายไม่ให้ขยับหนี