***...ถ้าพ่อของลูกขอโทษคุณด้วยการแต่งงานและดอกกุหลาบวิกเตอร์ฮิวโก้ที่แสนสวยคุณจะใจอ่อนอภัยให้เข้าไหม...นิยายรักโรแมนติกที่ยิ่งอ่านยิ่งซาบซึ้งต่อความรักของพระเอกรูปหล่อชาวอิตาเลียน...*** ************************************ เมื่ออาลอนโซ่นักธุรกิจพันล้านผู้หวงแหนความเป็นส่วนตัวอย่างบิดาของอาร์มานโด้ต้องมาจบชีวิตกะทันหันโดยหาคนรับผิดชอบการตายของเขาไม่ได้ อาร์มานโด้จึงพุ่งเป้าไปที่อีหนูคนล่าสุดที่บิดาเลี้ยงดู เขาโกรธ เขาแค้น เขาชิงชังผู้หญิงทุกคนที่มีเชื้อสายเดียวกับหล่อน เขารอเวลาจะได้แก้แค้นเอาคืนกับพวกหล่อน แล้วหญิงสาวสวยคนหนึ่งก็มาตกหลุมพรางที่เขาวางไว้ เขาทำให้ชีวิตของเธอต้องพลิกผันเพียงไม่กี่วันที่มาเยือนประเทศอิตาลี แต่ความสุขสมที่ไม่เคยได้รับจากหญิงสาวคนใดทำให้ความแค้นของเขากลายเป็นความลุ่มหลง เขาหลงใหลในรสสวาทของสาวบริสุทธิ์อย่างเธอและเขาไม่อาจใช้ชีวิตหนุ่มเจ้าสำราญได้เหมือนเก่า เขาออกตามหาเธอจนเจอแต่ต้องหน้าแตกเมื่อรู้ว่าเธอเป็นแม่ของเด็กชายคนหนึ่ง แต่เขาจะปล่อยเธอไปได้หรือ? *********************************************
บิดาของอาร์มานโด้
เมืองฟลอเรนซ์-อิตาลี
ฟลอเรนซ์ (Florance) หรือ ฟิเรนเซ่ (Firanze) เมืองแห่งศิลปะและสถาปัตยกรรมงดงามของประเทศอิตาลี เป็นเมืองหลวงในแคว้นทอสคาน่า มีแม่น้ำอาร์โน(Arno River)ไหลผ่าน อันเป็นที่ตั้งของคฤหาสน์ตระกูลออสซินี่ของนักธุรกิจผู้หวงความเป็นส่วนตัวชื่อดัง อาลอนโซ่ เดอ ออสซินี่ โดยต้นตระกูลของเขาเป็นเครือญาติกับตระกูลที่มีบทบาทสำคัญในการปกครองเมืองฟลอเรนซ์ คือ ตระกูล เมดิซี(Medici)ในยุคสถาปัตยกรรมเรอเนสซองส์รุ่งเรือง
ต้นตระกูล ออสซินี่ มีธุรกิจเกี่ยวกับการออกแบบสิ่งปลูกสร้าง และธุรกิจจัดสรรก่อสร้างที่อยู่อาศัยที่เรียกว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบเรอเนสซองส์(Renaissance)สืบทอดมาถึงลูกหลานในยุคปัจจุบันอาลอนโซ่ก็เป็นคนหนึ่งที่ดำเนินรอยตามบรรพบุรุษและรับช่วงต่อมาจากบิดาทำให้เขาได้รับความนับถือจากนักธุรกิจวงการเดียวกันเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งการอยู่ในสังคมชนชั้นสูงของนักธุกิจมีชื่อระดับเมืองหลวงหรือมณฑลของแคว้นย่อมเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนและคนทั่วไป แต่สิ่งที่คนในตระกูลออสซินี่ถือปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างเคร่งครัด คือ ความเป็นส่วนตัว
อาลอนโซ่เป็นคนรักครอบครัวและรักภรรยามากที่สุดเท่าที่ชายคนหนึ่งจะรักผู้หญิงคนหนึ่งได้ เขาพบรักกับฟิลิเป้สาวงามชาติฝรั่งเศสที่เขาหลงรักทันทีในวันเกิดอายุครบยี่สิบเจ็ดปีและแต่งงานกันในปีถัดมา หลังจากคลอดลูกชายได้ปีเศษภรรยาของอาลอนโซ่ก็ตั้งครรภ์อีกครั้ง แต่สามเดือนถัดมาฟิลิเป้ได้แท้งลูกคนที่สองและการแท้งลูกในครั้งนั้นทำให้สุขภาพร่างกายอ่อนแอลงทุกวันและจากไปในปีที่อาร์มานโด้ลูกชายคนเดียวของเขาอายุครบสิบเอ็ดปี
การสูญเสียภรรยาทำให้อาลอนโซ่เสียใจมาก จากที่เคยรักครอบครัวเขากลับทำตัวเหินห่างกับลูกชายคนเดียว ปล่อยหน้าที่การเลี้ยงดูทุกอย่างอยู่กับเบลิน่าคุณแม่บ้านที่รับใช้ใกล้ชิดภรรยา ส่วนเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานและแทบจะไม่ได้กลับบ้าน
อาลอนโซ่แทบไม่ได้เจอหน้าลูกชายคนเดียวจนอาร์มานโด้เรียนจบมหาวิทยาลัยสองพ่อลูกจึงได้พบเจอกันบ่อยครั้งมากขึ้น เพราะอาร์มานโด้ต้องเรียนรู้งานทุกอย่างจากผู้เป็นบิดา แต่ทั้งสองก็ยังรักษาระยะห่างด้วยการไม่เข้าไปก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของอีกฝ่าย
หลังจากฟิลิเป้ภรรยาตายอาลอนโซ่ก็มีผู้หญิงมากมายเข้ามาในชีวิต แต่เป็นเพียงที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เพราะเขาไม่ได้สนใจพวกหล่อนอย่างจริงจัง ความสัมพันธ์ของเขากับผู้หญิงเหล่านั้นดำเนินไปอย่างไม่มีพันธะใดๆผูกพันนอกจากเงินทองสิ่งของที่พวกหล่อนต้องการ
วันหนึ่งอาลอนโซ่เดินทางจากเกาะซาดิเนียร์มาตรวจดูงานในโรงแรมย่านกลางเมืองฟลอเรนซ์ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอาร์โนที่ตระกูลออสซินี่เป็นเจ้าของผู้เดียวมาตั้งแต่สมัยพ่อของปู่ของเขา และได้พบหญิงสาวชาวเอเชียผิวสีน้ำผึ้งที่เขาถูกตาต้องใจแต่แรกเห็น
หญิงสาวเป็นล่ามกึ่งมัคคุเทศก์นำนักท่องเที่ยวมีฐานะกลุ่มหนึ่งมาประเทศอิตาลี เข้ามาพักในโรงแรมสวยงามที่สร้าง ขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมเรอเนสซองส์อันเก่าแก่หายากของเขาสองวันกับหนึ่งคืนเพื่อเที่ยวเมืองฟลอเรนซ์ก่อนจะเดินทางกลับ เขาหาโอกาสทักทายทำความรู้จักกับหล่อนโดยการแนะนำสถานท่องเที่ยวยอดนิยมหกแห่งในฟลอเรนซ์แก่ลูกทัวร์ของหล่อนและอาสาพาทุกคนท่องเที่ยวด้วยตัวเอง
โดยที่แห่งแรกที่อาลอนโซ่พาคณะทัวร์เที่ยวชม คือ เดอะ อาร์คาเดเมีย แกลอรี่(Arcademia Gallery)ที่ด้านหน้ามีสัญลักษณ์รูปปั้นหินอ่อนเดวิด(Devid)ของไมเคิลแองเจโล(Michelangelo Buonarroti)ตั้งอยู่เด่นชัด ต่อด้วยจัสตุรัสเปียสซาเดล ซินญอเรีย ที่มีผู้คนเดินกันขวักไขว่ และไปที่หอศิลป์อุฟฟิซิ(Galleria degli Uffizi)พิพิธภัณฑ์ที่เก่าที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดในโลกของเมืองฟลอเรนซ์
สะพานเวคคิโอ้ เป็นสถานท่องเที่ยวที่ผู้คนสนใจมากอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งผู้เข้าเที่ยวชมหอศิลป์อุฟฟิซิสามารถเดินทะลุมายังริมฝั่งแม่น้ำอาร์โนอันเป็นที่ตั้งสะพานรูปโค้งสามหยักทอดยาวคร่อมแม่น้ำ สะพานนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1345 จึงมีอายุยาวนานมากกว่าสี่ศตวรรษ ความแปลกคือสองฝั่งในสะพานเป็นบ้านพ่อค้าอัญมณีที่ทุกบ้านทาสีเหลืองสดใสและหน้าต่างทรงจัสตุรัสบานเล็กๆ ติดกระจกหลากสีสวยงามน่ามอง
มหาวิหารซานตามาเรีย เดลฟิโอเร(Basilica di Santa Maria del Fiore ) หรือ มหาวิหารฟิเรนเซ่(Duomo di Firenze)เป็นแห่งที่ห้าของการท่องเที่ยว มหาวิหารสร้างขึ้นในช่วงปลายคริสตศตวรรษที่13 ตกแต่งด้านหน้ามหาวิหารด้วยหินสีขาว เขียว และ ชมพู มีความยาว 153 และ กว้าง 90 เมตร โดยอาลอนโซได้เก็บโบสถ์ซานลอเรนโซ (Basilica di San Lorenzo)ไว้เป็น แห่งสุดท้ายของการท่องเที่ยว เพราะเป็นสถานที่สำคัญอันเป็นที่พำนักชั่วนิรันดร์ของสมาชิกในตระกูลเมดิซีผู้ครองฟลอเรนซ์และเจ้าของแหล่งเงินทุนในการสนับสนุนการสร้างอาคารยุคเรอเนสซองส์ของฟลอเรนซ์หลายแห่ง
การพูดคุยสนุกสนานและการวางตัวเป็นกันเองกับทุกคนของอาลอนโซ่สร้างความประทับใจให้แก่คณะลูกทัวร์ไฮโซไทยและมัลลิกาเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะมัลลิกานั้นปลาบปลื้ม ว่าเจ้าของโรงแรมสนใจในตัวหล่อนมากถึงขนาดยอมลดตัวลงมา พาคณะทัวร์ของหล่อนเที่ยวชมเมือง หลังจากกินอาหารค่ำก่อนคืนจากลาเมื่ออาลอนโซ่บอกความรู้สึกที่มีต่อหล่อนว่าเขาต้องการหล่อนเป็นคู่รัก มัลลิกาจึงไม่ปฏิเสธสิ่งที่เขาเสนอ และได้เข้าพักในอะพาร์ตเม้นต์กลางเมืองฟลอเรนซ์กับเขามาเกือบสามเดือนแล้ว
มัลลี่หรือมัลลิกาเป็นหญิงสาวเอเชียวัยยี่สิบแปดปี หล่อนเป็นหญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งออกคล้ำเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจจากความช่างเอาอกเอาใจทำให้อาลอนโซ่ชอบหล่อนมากขึ้น เขาชื่นชมในตัวหล่อนมากกว่าหญิงสาวคนใดๆที่เคยพบพานมาเพราะหล่อนทำให้ชีวิตเขามีความสุขทำให้เขารู้สึกเบิกบานใจยามพูดคุยได้ทุกวัน และการอยู่ร่วมกันอย่างคู่รักหล่อนก็เป็นคู่ พิศวาสที่แสนจะน่ารักน่าใคร่จนชายวัยห้าสิบสี่อย่างเขาติดอกติดใจแทบจะคลั่งตาย
การปลอมตัวเป็นญาติผู้พี่ ทำให้เธอต้องตกกระไดพลอยโจน รับงานกับเงื่อนไขพิเศษที่ไม่รู้มาก่อน ความจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากเร่งด่วน เธอจึงไม่ปฏิเสธและขอเพิ่ม จากความสาวบริสุทธิ์ของตัวเอง แต่ความเผอเรอทำให้เธอตั้งครรภ์ ที่มารู้ภายหลังการถูกจ้างออกจากงาน โดยหญิงสาวที่แต่งงานเป็นภรรยาเขา เธอตั้งใจจะเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง แต่เขากลับตามมาจะพาเธอกลับไป เธอไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนมีภรรยาแล้ว จึงขู่จะฟ้องร้องโดยไม่รู้ว่าเขาเป็นอิสระ จากพันธะการแต่งงานครั้งนั้นแล้ว
เธอเดินทางกลับจากเยี่ยมน้องชายกระทันหันจากการถูกเรียกตัวมาเข้าร่วมสัมมนาที่วิชาการพิเศษจากต่างประเทศมาให้ความรู้ แต่เข้านอนยังไม่ทันหลับดีก็มีวัตถุหนักอืึ้งล้มทับลงกลางตัว และจากที่นอนปิดไฟมืดเธอต้องตกใจสุดขีดเมื่อรู้ว่ามีผู้บุกรุกและคว้าปืนขึ้นมาป้องกันตัว แต่กลายกลับว่า...บุรุษผู้นั้นเป็นแขกพิเศษของโรงแรม...และจากวันนี้ชีวิตเธอเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง **************************************** เขาคือผู้บุกรุก ที่เธอคิดว่าเป็นโจรย่ามใจเข้ามาปล้นสวาท เธอคือสาวงาม ที่เขาคิดว่าเป็นของแถมเข้ามานอนรออยู่ในห้อง เขาคือจอมโอหัง ที่บังอาจกอดจูบเธอโดยไม่ไถ่ถามความสมัครใจ เธอคือสาวสวย ที่สามารถปลุกความรู้สึกด้านชาของหัวใจให้เต้นระทึก เขาวางแผน พาเธอมายังบ้านเมืองเพื่อพิสูจน์รักแท้ในหัวใจ เธอถูกลักพาตัว เพื่อฆ่าทิ้งกลางทะเลทราย มาลุ้นกันว่า...เจ้าชายคริสตินกับมินทราภา จะผ่านพ้นภัยร้ายน่าระทึกใจได้ครองรักกันหรือไม่... **************************
เขาจำยอมจดทะเบียนกับเด็กกะโปโลตามใจบิดาที่กำลังจะสิ้นลม และทิ้งร้างจากเธอไปนานนับปี แต่เมื่อกลับมาเจอเธออีกครั้ง เขาถึงรู้ว่า...เธอสวยและน่าพิศวาสนักหนา...แต่ที่คิดว่าจะได้เธอมาครอบครองเธอตามสิทธิ์สามีถูกต้องตามกฎหมายกลับมีเรื่องเข้าใจผิดคิดว่าเธอทำให้มารดาเขาตายก่อนเวลาอันควร ฯลฯ นิยายรักแนวโรมานซ์(18+)อีกเรื่องหนึ่งที่ขอแนะนำให้เพื่อนมาอ่านด้วยกัน
เขาไม่สนใจว่าที่คู่หมั้นที่หนีตามหนุ่มต่างชาติไปก่อนวันหมั้นหมายเพียงวันเดียว แต่พอมาเจอสาวสวยเชื้อสายไทยที่มีหน้าตาละม้ายเหมือนว่าที่คู่หมั้น เขาพึงพอใจในตัวเธอและสืบประวัติจนรู้ว่า...เธอเป็นน้องสาวคู่แฝดของว่าที่คู่หมั้น...และลักพาตัวมาไว้ในพระตำหนักสวนกุหลาบของพระมารดาที่ไม่เคยมีหญิงสาวคนใดได้เยี่ยมกรายเข้ามาและครอบครองเธอด้วยความรักพิศวาส แต่เกิดปัญหาเมื่อบิดามารดาของเธอมาตามบุตรสาวและพี่สาวคู่แฝดมาอดีตว่าที่คู่หมั้นปรากฏตัวก่อนวันอภิเษกสมรส
นิยายแนวทะเลทรายเรื่องนี้ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เชิญชวนให้อ่าน เพราะเป็นนิยายที่มีหลากหลายอารมณ์ในเรื่องเดียวกัน นักเขียนได้พาผู้อ่านไปสัมผัสกับชีวิตนางเอกที่ต้องเผชิญภัยจากผู้ปองร้ายโดยมีพระสวามีคอยปกป้องด้วยความรักห่วงใยต่างจากนิยายแนวทะเลทรายอื่นๆที่ให้ความสุขใจกับผู้อ่านอีกรูปแบบหนึ่ง *****...มกุฎราชกุมารีพระธิดาสุลต่านองค์ประมุขแห่งสหราชอาณาจักรต้องเข้าพิธีอภิเษกโดยไม่รู้ตัวและเดินทางสู่พระราชวังของพระสวามีเพื่อลี้ภัยจากผู้ปองร้าย แต่กลับต้องมาเจอศึกรักจากความริษยาของเหล่านางห้ามในพระราชวังและแผนร้ายของพระญาติฝ่ายพระสวามีกับผู้ปองร้ายหมายชิงบัลลังก์ร่วมมือกันวางแผนปลิดชีวิต...ชีวิตรักของพระ-นางคู่นี้จะเป็นอย่างไรไปติดตามด้วยกัน ...**** **********************
นิยายแนว...ทะเลทรายสวีต...ที่ยิ่งอ่านยิ่งสนุกของนักเขียนเล่มนี้ ได้พานางเอกไปผจญภัยร้ายท่ามกลางทะเลทรายร้อนระอุจากโจรทะเลทรายตัวปลอมและโจรทะเลทรายตัวจริงที่กักขฬะด้วยการเอาคืนของพระเอกที่ถูกนางเอกใส่ร้ายให้เสื่อมเสียชื่อเสียงและทำให้รู้ความจริงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำด้วยความเข้าใจผิด แต่การเดินทางที่ใกล้ชิดทำให้ความรู้สึกของทั้งสองเปลี่ยนจากคู่กัดเป็นคู่ที่ถูกตาต้องใจกัน เกล็ดทรายอันร้อนระอุจากแสงแดดแผดเผาจึงกลายเป็นเกล็ดน้ำตาล ...***...“นายก็พูดได้สิ ลองมาเป็นฉันดูบ้าง จะได้รู้ว่าต้องกระตือรือร้นไปทำไม" เธอย้อนอย่างโมโห “เลิกอยากรู้อยากเห็นเสียที แล้วฟังฉัน ระหว่างพักอยู่ที่นี่ทุกคนต้องมีหน้าที่ หล่อนก็ต้องทำงานเหมือนกัน" เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติที่เธอไม่ค่อยจะได้ยินนัก “นี่นายโจร ฉันไม่ใช่ลูกน้องหรือคนรับใช้ของนายนะ นายเป็นคนจับตัวฉันมา ก็ต้องเลี้ยงดูให้ฉันอยู่สุขสบาย จะมาใช้งานกินแรงกันไม่ได้นะ" เธอโวยลั่น “ฉันไม่สน ถ้าไม่ทำก็ไม่ต้องกิน อาหารมีไว้ให้คนที่ต้องออกแรงทำงานเท่านั้น" เขาข่มขวัญ คงคิดว่าเธอกลัวอดตายแล้วจะยอมทำตามทุกอย่างละสิ...ฝันไปเถอะ...เธอเชิดหน้าใส่ “แต่ไม่ใช่ฉัน ดูปากฉันนะ..." เธอชี้ที่ปากตัวเองอย่างที่น้องณัชชาลูกสาวพี่บ๊อบชอบทำ “ฉัน...ไม่...ทำงาน...อะไร...ทั้งนั้น..." เธอเน้นทุกถ้อยคำให้เขาฟังก่อนจะหันหลังเดินจากมาพร้อมไฟโกรธลุกท่วมตัว ...ตาบ๊องเอ๊ย...จิตสำนึกเข่นเขี้ยวเหมือนอยากจะเคี้ยวเขาให้แหลกคาปาก เธอไม่ได้เป็นฝ่ายร้องตามเขามาถึงจะต้องยอมทำทุกอย่างที่เขา...สั่ง...สั่ง...สั่ง... โดยเฉพาะการทำงานแลกข้าวน้ำประทังชีวิต...เขาสิต้องรับผิดชอบหาข้าวหาปลามาเลี้ยงดูให้อิ่มหนำสำราญ หากเขาต้องการใช้ประโยชน์จาก ตัวเธอ... “งานแรก..." เขาพูดต่ออย่างไม่สนใจ “หล่อนต้องซักเสื้อผ้าให้ฉัน งานอย่างที่สอง-ต้องทำความสะอาดกระโจมที่เราพักด้วยกันทุกเช้ากลางวันเย็น เก็บที่นอน ปูที่นอน กวาดพื้น ถูพื้น และปัดฝุ่นทำความสะอาดตากเครื่องนอนทุกชิ้นทุกวัน อย่างที่ สาม-ต้องนำอาหารมาเสิร์ฟให้ฉันทุกมื้อ เสร็จงานแล้วหล่อนจึงจะได้อาหารกิน ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้กิน เข้าใจไหม” มิลินยืนอ้าปากค้าง อยากจะกรี๊ดให้ลั่น เขามันจอมบงการสิ้นดี แล้วถือดีอย่างไรมาใช้งานเธอเยี่ยงนางทาสีประจำตัวแบบนี้ เธอยืนกำหมัดแน่น อยากจะแล่นเข้าข่วนหน้ารกเคราของเขาให้สาสมกับความโกรธที่ถูกโยนตำแหน่งทาสรับใช้ใส่แล้วเดินหนีไปซึ่งๆหน้า ...ตาบ้า...ตาบ๊อง...ตาบื้อ...ตา...ขี้เก๊ก...เธอก่นว่าเป็นชุด สุดจะทนพฤติการณ์แบบเจ้าใหญ่นายโต...สั่ง...สั่ง...สั่ง...โดยไม่ฟังเสียงใคร คิดว่าตัวเองเป็นใหญ่มาจากไหนกัน...ฮึ...***... **************************************************** นิยายเรื่องนี้เป็นความคิดสร้างสรรค์ของนักเขียนอย่างแท้จริง สงวนลิขสิทธิ์โดย : ศิรารัย-ศิรารัยนิยายรัก ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์คอมพิวเตอร์และสิ่งพิมพ์ ห้ามลอกเลียนทุกส่วนของหนังสือเล่มนี้ ห้ามเผยแพร่-จำหน่าย-ดัดแปลง-ทำซ้ำ-จัดพิมพ์ หรือห้ามกระทำการใดๆทุกประการกับนิยายเรื่องนี้ ก่อนได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้เขียน **************************************************
เขาแอบชอบเธอตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแต่เธอกลับกลัวและพยายามอยู่ให้ห่างจากเขาแล้วเขาจะทำอย่างไรที่จะตามจีบเธอดีในเมื่อเธอเป็นน้องรหัสของเขา
ในสายตาของเขา เธอเป็นคนขี้โกหก ในสายตาของเธอ เขาเป็นคนไร้หัวใจ เดิมทีถังหว่านคิดว่าเธอคือคนพิเศษหลังจากอยู่กับเสิ่นติงหลานมาสองปี แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นที่สามารถทิ้งได้อย่างตามใจเมื่อไม่มีค่าอีกต่อไป จนกระทั่งถังหว่านเห็นว่าเสิ่นติงหลานพาคนรักของเขาไปตรวจครรภ์ เธอจึงยอมแพ้แล้ว เธอหยุดติดตามเขาอีก แต่จู่ๆ เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไป "ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไปล่ะ?" ชายผู้เคยหยิ่งยะโสขนาดนั้น ตอนนี้ก้มหัวลงและขอร้องว่า "หวานหว่าน ฉันผิดไปแล้ว โปรดอย่าทิ้งฉันไป"
ในวันแต่งงาน เสิ่นเยวียนถูกคู่หมั้นและน้องสาวของเธอทำร้าย และถูกจำคุกเป็นเวลาสามปีด้วยความทุกข์ทรมาน หลังจากได้รับการปล่อยตัวจากคุก น้องสาวผู้ชั่วร้ายได้คุกคามด้วยชีวิตแม่และพยายามให้เธอมอบตัวกับชายชรา อย่างไรก็ตาม เธอได้พบกับเซียวเป่ยหาน ซึ่งเป็นผู้ทรงอิธิพลที่หล่อเหลาและเย็นชาแห่งแห่งสังคมด้านมืด อย่างไม่คาดคิด และชะตากรรมของเธอก็เปลี่ยนไปตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้ว่าเซียวเป่ยหานจะเย็นชา แต่เขากลับปฏิบัติต่อเสิ่นเยวียนดั่งเป็นสมบัติล้ำค่า นับแต่นั้นมา เธอจัดการคนเสแสร้ง เอาคืนแม่เลี้ยงและไม่ถูกกลั่นแกล้งอีกต่อไป
นางเจ็บปวดปางตายเมื่อเขาโยนร่างบอบช้ำทิ้งไว้หลังจวนโดยไม่แยแส เมิ่งลี่เฟยน้ำตาไหลพรากทว่ากลับไม่ทำให้คนที่เพิ่งเหยียบย่ำร่างกายเล็กเห็นใจแต่ประการใด"เฝ้านางเอาไว้ให้ดีอย่าให้ออกมาทำเรื่องชั่วอีก"
เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่เคยสนใจ แต่ก็ยังดึงดันอยากจะอยู่ใกล้ ต่อให้เธอเป็นเมียแต่งเขาก็คงไม่มีวันเปลี่ยนใจ เพราะเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจจากไปในคืนแต่งงาน "จากนี้ไปเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก" 🥀
ถึงจะโกรธ เกลียด เคียดแค้นแค่ไหน แต่หัวใจไม่อาจต้านรักได้ ----------------------------------------- ไรยาค่อยๆ คลานไป ทันทีที่เจ้าบ่าวหันหน้ามา เพื่อจะยื่นมือให้เธอจับ จะได้ไม่ล้มนั้น ยิ่งจะทำให้เธอเกือบล้มไปเพราะเขาแล้ว ในหัวสมองก็ประมวลผลออกมาได้คำตอบทันที ว่าคนที่เธอเฝ้าครุ่นคิดว่าเป็นใครมาตลอดสองอาทิตย์นั้น แท้จริงก็คือใครกันแน่ในที่สุด ‘Mr. H. Hhemmhawattana ก็คือหรัญญ์ เหมวัฒน์’ ‘หรือพี่ฮั้นท์ของสาวๆ ที่เธอมักจะได้ยินเรียกขานกันนี่เอง’ ‘เขากลายมาเป็นเจ้าบ่าวเธอได้ยังไง’ ‘เขาจะมาแต่งงานกับเธอทำไม’ เท่าที่รู้มา เขาไม่ได้ร่ำรวยระดับร้อยล้านพันล้านแน่ๆ แล้วเขาไปทำอะไรมา ถึงได้มีเงินมากมายขนาดเอามาทุ่มซื้อหุ้นบริษัทของพ่อเธอได้ ไหนจะไถ่บ้านคืนให้ และอีกหลายต่อหลายอย่างที่เขาจ่ายไป รวมทั้งแหวนเพชรน้ำงามและไม่น่าจะต่ำกว่าห้ากระรัตบนพานดอกไม้ตรงหน้าเธออีก ---------------------------------------------------------------------------------------- ฮั้นท์ (หรัญญ์ เหมวัฒน์) นักธุรกิจหนุ่ม ผู้มีชีวิตที่พลิกผันจากเลวร้ายกลับกลายเป็นดี ซึ่งเขาเองก็ตั้งตัวไม่ทัน แต่ทั้งหมดนั้น มาจากความดี ความขยันหมั่นเพียรของเขา บวกกับโชคช่วย ถึงเวลาที่เขากลับมายืนอยู่จุดเดิม ในฐานะใหม่ ที่ใครต่อใครต่างงุนงง โดยเฉพาะเพื่อนๆ หรือแม้แต่กับผู้หญิงที่เคยเมนเขามาแล้ว และเขาก็จะทำให้ผู้หญิงพวกนั้นได้รู้ ว่าไม่ควรเมินเขาจริงๆ ---------------------- ย้า (ไรยา เจริญรัตชตะ) ทายาทนักธุรกิจหลายร้อยล้าน ที่ชีวิตพลิกผัน จากดีกลายเป็นเลวร้ายในไม่กี่ปี จนเธอกับครอบครัวก็ตั้งตัวไม่ติด รับภาวะย่ำแย่แทบไม่ทัน และถึงเวลาที่เธอจะต้องเลือก ระหว่างช่วยกู้ทุกอย่างของครอบครัวคืน กับทิ้งทุกอย่างไปแบบไม่เหลียวหลัง เพื่อไปเลียแผลหัวใจจากชายที่เธอรักแทบตาย สุดท้ายเธอจะเลือกทางเดินยังไง จะไปต่อหรือพอแค่นี้ ---------------------------------------------------------------------------------------- เมียแต่งท่านประธาน Chairman's Wife ตอนแรกคิดว่าจะให้นิยายที่เรื่องนี้มีแค่ชื่อภาษาอังกฤษเท่านั้นค่ะ ที่เหลือให้รี้ดไปตีความเอาเอง ว่าควรจะใช้ภาษาไทยว่าอะไรดี ระหว่าง แรงรัก - รั้งรัก - รังรัก และใช้นามปากกาพิมรภัค แต่สุดท้ายก็คิดชื่อใหม่ได้แล้วค่ะ และตัดสินใจใช้นามปากกาหลัก นั่นคือ กันเกราค่ะ เพราะแว้ปไปเขียนอวตารหลายเรื่องแล้ว และไม่ได้ออกนามปากกานี้นานแล้ว ส่วนแนวก็จะเพิ่มดราม่าเข้าไปอีก ซึ่งจะเป็น Signature ของกันเกราอยู่แล้ว รี้ดอยากได้มาม่าเจ้มจ้นแค่ไหน บอกกันได้เด้อ ----------------------------------------------------------------------------------------