ลี่มี่มี่นางงิ้วชื่อดังและบิวตี้บล็อกเกอร์ชื่อก้องถูกย้อนเวลากลับไปเมื่อ 600กว่าปีก่อน ณ.จวนสกุลหลินซึ่งถูกพระราชโองการสั่งประหาร 9 ชั่วโคตร จนหมดสิ้นตระกูล และเธอคือคุณหนูสิบหกนามว่าาหลินลี่ชา ซึ่งถูกไฟคลอกตายภายในบ่อน้ำร้าง ท่ามกลางสายตาคู่หนึ่งขององครักษ์เสื้อแพรซึ่งเป็นว่าที่คู่หมั้นของเธอในชาติอดีต "ข้าจะกลับมาหาเจ้าอย่างแน่นอน...ซือหม่าเยี่ยคัง ข้าจะต้องได้กลับมาแน่!!! ครั้นเธอถูกนำกลับมาอีกครั้งในฐานะลี่มี่มี่ นางงิ้วชื่อดังแห่งหอเลี่ยงเฟิ่ง และวางแผนที่จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาของท่านโหวจอมโหด เพื่อเข้ามาอยู่ในจวนตงฉ่างโหวให้ได้ ลี่มี่มี่ต้องการคิดบัญชีแค้นกับทุกคนที่ทำให้ตระกูลหลินต้องสูญสิ้นโดยเฉพาะตงฉ่างโหวหรือซือหม่าเยี่ยคัง ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรคนปัจจุบัน ท่านโหวจอมโหด ตาหนวดหน้าเหี้ยมที่ลี่มี่มี่ใช้เรียก แต่แล้วกลับถูกซ้อนแผนอย่างย่อยยับจากที่จะต้องเข้ามาเป็นอนุภรรยา ดันกลับกลายมาเป็นฮูหยินของท่านโหวจอมโหดแทน
รัชศกเจี้ยนเหวิน ปีที่ 4
รัชสมัยจักรพรรดิหมิงฮุ่ยตี้(ฮ่องเต้เจี้ยนเหวิน)
จักรพรรดิหมิงฮุ่ยตี้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิงหลังจากจักรพรรดิหงหวู่ พระราชอัยกาเสด็จสวรรคต พระองค์ได้ทรงใช้พระนามว่าฮุ่ยตี้ และใช้ศักราชประจำพระองค์ว่าเจี้ยนเหวิน ทรงดำเนินนโยบายลดทอนอำนาจของบรรดาหวางต่างๆ อย่างเข้มงวด อ๋อง 5 พระองค์ถูกย้ายออกจากเมืองที่ประทับ บางพระองค์ถูกปลด บางพระองค์ต้องฆ่าตัวตาย และเยี่ยนอ๋องจูตี้เองก็ถูกแพ่งเล็งเนื่องจากเป็นผู้ที่มีบทบาทมากในการศึกคราวก่อนๆ
และก่อนที่จักรพรรดิหงหวู่จะเสด็จสวรรคตนั้น จักรพรรดิเจี้ยนเหวินทรงมีพระราชโองการห้ามให้อ๋องต่างๆ เข้ามาถวายบังคมพระบรมศพ ด้วยเหตุที่ว่าเกรงจะมีการก่อรัฐประหาร แต่มีอ๋องพระองค์หนึ่งคือเยี่ยนอ๋องไม่ยอมทำตามราชโองการนั้น พร้อมกับนำทหารราชองครักษ์เดินทางมายังเมืองหลวงนานกิง
แต่ด้วยมีราชโองการของจักรพรรดิส่งมาห้าม พระองค์จึงจำเป็นต้องกลับไปที่เมืองเป่ยจิง หลังจากสะสมอาวุธและฝึกซ้อมทหารจนใช้ชำนาญแล้ว เยี่ยนอ๋องจึงตัดสินพระทัยชิงลงมือยกทัพจากเป่ยจิงลงใต้เผชิญหน้ากับหลานชาย โดยอ้างว่าเพื่อกำจัดเหล่าขุนนางกังฉินสอพลอที่อยู่รอบข้างองค์จักรพรรดิ
มีบันทึกว่าก่อนที่พระองค์จะนำกองทัพยกออกจากเมืองนั้น ได้เกิดพายุพัดแรงจนกระทั่งหลังคาวังหักพังเสียหายซึ่งพระองค์กล่าวว่าเป็นเพราะได้เวลาที่พระองค์จะได้เสด็จเข้าไปประทับที่พระราชวังหลังคาเหลืองแล้ว
การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 1942 (ค.ศ. 1399) เป็นเวลานานถึง 3 ปี ในระยะแรกฝ่ายเยี่ยนอ๋องเป็นฝ่ายเสียเปรียบเนื่องจากฝ่ายจักรพรรดิมีกองทหารปืนไฟ ซึ่งมีอานุภาพสูงทำให้ต้องทรงถอยทัพกลับไปทางเหนือแต่ทหารทางใต้ไม่คุ้นเคยกับอากาศหนาวทางภาคเหนือจึงล้มป่วยเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก
จนกระทั่ง พ.ศ. 1945 (ค.ศ. 1402) กองทัพของพระองค์ก็ได้ยกมาถึงชานกรุงหนานจิง ซึ่งกองทัพฝ่ายวังหลวงไม่สามารถต้านทานได้อีกเนื่องจากไม่มีแม่ทัพที่ชำนาญศึกเพราะถูกประหารไปตั้งแต่ปลายรัชกาลของจักรพรรดิหงหวู่ เหล่าขุนนางต่างพากันมาสวามิภักดิ์มากขึ้น และเมื่อถึงวันที่สาม เยี่ยนอ๋องก็สามารถบุกเข้าสู่ภายในเมืองได้ ปรากฏว่าเกิดเพลิงไหม้ภายในวังหลวง และมีผู้พบพระศพของฮองเฮากับพระราชโอรสของหมิงฮุ่ยตี้ถูกเพลิงครอกภายในวังชั้นในแต่ไม่มีใครพบพระศพของหมิงฮุ่ยตี้แม้แต่น้อย
และนั่นจึงทำให้มีผู้สันนิษฐานว่าพระองค์ลอบหนีออกไปจากวังหลวงได้โดยการอารักขาจากกองทหารองครักษส่วนพระองค์ซึ่งกลุ่มขุนนางที่มีความจงรักภักดีนำเสด็จหนีออกมาจากวังหลวงได้เป็นผลสำเร็จและทรงผนวชก่อนที่จะเสียเมือง
ภายหลังต่อมาอีก 39 ปี ในรัชศกจ้งถ่ง มีผู้พบพระภิกษุชรารูปหนึ่งที่มีคนจำได้ว่าคือจักรพรรดิฮุ่ยตี้ หมิงอิงจงจึงมีราชโองการให้เชิญพระองค์มาประทับที่กรุงปักกิ่ง ที่ประทับของพระองค์ถูกปิดเงียบและสวรรคตอย่างสงบในกรุงปักกิ่งในเวลาต่อมา
เยี่ยนอ๋องซึ่งมีชัยชนะเหนือกองกำลังของอดีตองค์จักรพรรดิเจี้ยนเหวินสถาปนาตนเองขึ้นปกครองเป็นจักรพรรดิพระองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์หมิง เฉลิมพระนามว่าหมิงเฉิงจู่ ใช้ศักราชว่าหย่งเล่อ หลังจากที่ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิง
พระองค์ทรงมีราชโองการให้ประหารขุนนาง เนื่องจากทรงระแวงว่าขุนนางเหล่านั้นจงรักภักดีต่อพระนัดดาของพระองค์ซึ่งมีจำนวนกว่า 870 คน นอกจากนี้ยังดำเนินนโยบายลดทอนอำนาจเจ้าองค์อื่น ๆ อย่างเข้มงวด เช่น ห้ามมีกองทหารประจำเมืองให้มีได้แต่ทหารรักษาพระองค์จำนวนหนึ่ง ห้ามเจ้าแต่ละเมืองติดต่อกันเองโดยไม่ได้รับพระราชานุญาติ
ภารกิจแรกที่พระองค์ทรงทำคือดำริย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เป่ยจิงอันเป็นฐานที่มั่นของพระองค์ด้วยเหตุผลว่าเพื่อป้องกันการรุกรานของชนกลุ่มน้อยทางเหนือ ทรงมีพระราชโองการให้อพยพคนมากมายหลายแสนคนจากเมืองหนานจิง มณฑลซานซีและมณฑลเจ้อเจียง
โดยแบ่งเป็น 5 สายเข้ามายังเมืองเป่ยจิงหรือเมืองปักกิ่งในยุคปัจจุบัน พร้อมกับเป็นการหาแรงงานเพื่อสร้างพระราชวังที่ประทับของจักรพรรดิในเมืองหลวงซึ่งก็คือ พระราชวังกู้กง หรือเป็นที่รู้จักกันดีนั่นก็คือ "พระราชวังต้องห้าม"
ในการนี้พระองค์ต้องเกณฑ์คนหนึ่งแสนพร้อมกับช่างฝีมืออีกหลายพันคน การก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามนี้กินระยะเวลานานถึง 15 ปี พระองค์ให้ความสำคัญกับการก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้เป็นอย่างมาก และจะเสด็จมาตรวจตราการก่อสร้างด้วยพระองค์เอง หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 1956 (ค.ศ. 1413) พระองค์จึงทรงย้ายเมืองหลวงจากกรุงหนานจิงมาประทับที่กรุงปักกิ่ง เป็นการถาวร
และในช่วงของเหตุการณ์จลาจลดังกล่าว บรรดาขุนนางที่จงรักภักดีในรัชสมัยของจักรพรรดิเจี้ยนเหวิน ซึ่งถูกคำสั่งให้ประหารชีวิต จำนวนกว่า 870 คนนั้น หาใช่ประหารเพียงตัวขุนนางแต่เป็นการประหารทั้งตระกูล สายเลือดเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ถูกกำจัดและฆ่าล้างโคตรล้มตายนับหลายพันชีวิต
และในการสำเร็จโทษประหารครั้งใหญ่กองกำลังองครักษ์เสื้อแพร ซึ่งเป็นหน่วยอารักขาขององค์จักรพรรดิที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความโหดเหี้ยมและอำมหิตอย่างยิ่งยวด องครักษ์เสื้อแพรถวายความซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อจักรพรรดิเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นและเป็นหน่วยงานรับหน้าที่สนองพระราชโองการ จัดการกวาดล้างเหล่าขุนนางที่เป็นปรปักษ์ต่อองค์จักรพรรดิหย่งเล่อ ทั้งสอบสวน จับกุม กักขัง ทรมานตลอดจนสำเร็จโทษ
สาเหตุที่จักรพรรดิหยงเล่อทรงกระทำเช่นนี้นั้นก็เพราะเมื่อครั้งเข้ายึดครองเมืองหนานจิงได้แล้ว จั่วเชียนโตวยวี้ซื่อ ซึ่งเป็นเจ้ากรมสืบสวนฝ่ายซ้าย ส่งจิ่งชิงพยายามที่จะลอบสังหารพระองค์ จักรพรรดิหย่งเล่อจึงสั่งประหารเก้าชั่วโคตร พร้อมทั้งทำลายหลุมฝังศพบรรพบุรุษทั้งหมด รวมทั้งสมาชิกคนอื่นๆ ในหมู่บ้านถูกถ่ายโอนออกนอกหมู่บ้านจนหมด หมู่บ้านนี้ถูกทำลายทิ้ง
ภายหลังได้กลายเป็นการกล่าวอ้างถึงจักรพรรดิหย่งเล่อว่าทรงจัดการกับขุนนางซึ่งจงรักภักดีต่อจักรพรรดิเจี้ยนเหวินอย่างโหดเหี้ยม ดั่งเช่นฟางเสี้ยวหรู ถูกประหารชีวิตสิบชั่วโคตร ครอบครัว 873 คนถูกเนรเทศ ผู้มีสายเลือดเกี่ยวดองเป็นญาติห่างๆถูกประหารมากกว่าพันคน
ฟางเสี้ยวหรู ซึ่งเป็นยอดมหาบัณฑิตแห่งต้าหมิง เคยเป็นพระอาจารย์สอนหนังสือให้แก่รัชทายาทจูอวิ่นเหวิน ภายหลังคือจักรพรรดิเจี้ยนเหวินแห่งราชวงศ์หมิง เป็นขุนนางที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้เจี้ยนเหวินเป็นที่สุด และยังเป็นกำลังสำคัญในการต่อต้านแผนชิงบัลลังก์ของเยี่ยนอ๋องจูตี้
แต่สุดท้ายเมื่อจักรพรรดิเจี้ยนเหวินได้ตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เยี่ยนอ๋องได้ครองบัลลังก์แทน สถาปนาขึ้นเป็นจักรพรรดิหย่งเล่อ พระองค์ได้บีบให้ฟางเสี่ยวหรูเขียนหนังสือขอขมา ทว่าฟางเสี้ยวหรูยอมตายแต่ไม่ยอมจำนน
ฮ่องเต้หย่งเล่อจึงทรงมีพระราชโองการรับให้สั่งประหารชีวิตเก้าชั่วโคตร แต่ฟางเสี้ยวหรูยังกล่าวออกมาจนกลายเป็นวาทะอันโด่งดังที่สุดในชีวิตของเขาคือ "เก้าไม่พอ ต้องสิบต่างหาก" ชั่วโคตรที่สิบหมายถึงลูกศิษย์ของเขา ก่อนตายเขายังกัดเลือดจากนิ้วตัวเองเขียนอักษร (ช่วน) หมายถึง การแย่งชิง เพื่อประณามการกระทำของฮ่องเต้หย่งเล่อที่ได้อำนาจมาโดยไม่ชอบธรรม
การตายของเหลี่ยนจีหนิง ทำให้ทั้งเมืองกลายเป็นเมืองร้างล้มตายไป1051คน ครอบครัวและญาติพี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกันถูกประหารเก้าชั่วโคตร รวมทั้งเนรเทศคนเป็นหลักร้อยเช่นเดียวกัน การตายของเฉินตี๋ เนรเทศคนไปถึง180 คนโดยประมาณ ในบรรดาคนที่ถูกประหารเป็นครอบครัวที่ถูกประหาร 80 กว่าคน
การตายของหูหรุ่นครอบครัวทั้งหมด270 คนถูกประหารทั้งหมดการตายของต่งย้งครอบครัวทั้งหมดโดนประหาร 230 คน จั้วจิ้น ฮวงกวน ฉีไท่ ฮวงจีเฉิง หวางตู้ ลู๋หยวนจื่อ
และขุนนางคนอื่นๆ ที่ถวายความจงรักภักดีต่อจักรพรรดิเจี้ยนเหวินล้วนถูกประหารทั้งสิ้น นับได้ว่าเป็นการสั่งประหารครั้งใหญ่ที่ถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ของราชวงศ์หมิง
ชีวิตของขุนนางที่ถวายความภักดีให้แก่อดีตองค์จักรพรรดิผู้สาบสูญและครอบครัวของผู้คนเหล่านั้นต้องถูกปลิดชีพด้วยคมดาบจนมิเหลือสิ้น เพื่อตัดรากถอนโคนไม่ให้เหลือผู้สืบทอดที่จะกลับมาเป็นผู้ก่อการกบฏและล้างแค้นต่อจักรพรรดิหย่งเล่อในภายหลัง
ยามเมื่อลมพัดหวนมิอาจคืนกลับมาได้ดั่งเช่นกาลก่อนอีกต่อไป เมื่อรัชสมัยของจักรพรรดิเจี้ยนเหวินล่มสลายผลัดเปลี่ยนไปสู่แผ่นดินใหม่ของจักรพรรดิหย่งเล่อ
หน่วยตงฉ่างองครักษ์เสื้อแพรรับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิ และจำต้องปฏิบัติตามพระบรมราชโองการอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง สังหารขุนนางที่เป็นปรปักษ์และไม่ถวายจงรักภักดี ฆ่าอย่าให้เหลือทั้งตระกูล!!!
ตำหนักไร้รัก สถานที่พำนักของอุปราชหนุ่มแห่งเทียนจิน เจ้าของตำหนักนี้ หัวใจเต็มไปด้วยความด้านชามาแทบทุกพระองค์ แต่แล้ววันหนึ่ง คุณหมอสาวแสนสวย นามว่าจ้าวย่าเจินได้รับของขวัญ ย้ายเข้าบ้านใหม่เป็นภาพวาดตำหนักโบราณ มีชื่อว่าตำหนักเย่วเชียง ในภาพนั้นมีผู้ชายยืนเอามือไพล่หลังไม่เห็นหน้า เฝ้ามองตำหนักฝั่งตรงกันข้าม และที่น่าประหลาดผู้ชายในภาพวาดจะโตขึ้นทุกวัน จวบจนกระทั่ง คุณหมอคนสวยถูกดึงเข้าไปในภาพวาดตำหนักโบราณดังกล่าวและได้พบกับ เจ้าของตำหนักไร้รัก ซึ่งเขาก็คืออุปราชแห่งเทียนจินและเป็นผู้ชายคนเดียวกัน ที่อยู่ในภาพวาดที่หญิงสาวเห็นเขาอยู่ทุกค่ำคืน ตำหนักไร้รักเมื่อไร้หัวใจ ตำหนักไร้กังวลเมื่อหัวใจกลับมามีรักอีกครั้ง
คำโปรย การกลับมาแก้ไขเหตุการณ์ในอดีตครั้งนี้ ทำให้นางมารใจโฉดกลับกลายเป็นคนดี แต่กลับมีเหตุการณ์ที่ทำให้ ถานหยี่เหยียนซึ่งผสานจิตใจกับร่างในปัจจุุบัน จนสงบกลับปะทุขึ้นมาอีกครั้ง และกลับมาทำลายล้างทุกอย่างจนวอดวาย เอลิซาเบธ ลีหรือหยางลี่จู บินกลับประเทศจีนเป็นครั้งแรกในชีวิตและถูกดวงตาสวรรค์ที่มีวาสนาผูกพันกันนำนางหวนคืนกลับตระกูลถาน ซึ่งเป็นชาติอดีตของตัวเองเพื่อกลับมาแก้ไขเหตุการณ์ในอดีตตามที่เคยอ้อนวอนต่อสวรรค์เบื้องบน ดวงตาสวรรค์นำนางกลับมาในชาติที่เกิดเป็นสตรีที่แสนจะร้ายกาจที่สุดในตระกูลถาน และนางก็คือนางมารชื่อกระฉ่อน ถานหยี่เหยียน คุณหนูใจโฉดที่เต็มไปด้วยความอำมหิต สนใจแต่ตัวเองไม่เคยใส่ใจผู้ใดและต้องได้ทุกอย่างที่นางต้องการ จนเป็นต้นเหตุทำให้ตระกูลถานถูกประหารล้างตระกูล และการคัดเลือกพระชายาของอดีตฉู่อ๋องเพื่อเลือกเฟ้นให้กับพระอนุชา เป็นที่มาของการประหารล้างตระกูลถานในอดีต แต่การกลับมาอีกครั้งของถานหยี่เหยียน ซึ่งเป็นร่างในยุคปัจจุบันทำให้ร่างในอดีตและปัจจุบันหลอมรวมเป็นร่างเดียวกันและนางก็คือนางในฝันของบุรุษหน้าหยกผู้เลื่องลือ สตรีใจโฉดผู้เคยเป็นอนุชายาของชินอ๋องรูปงามก่อนที่จะกลับมาแก้ไขเปลี่ยนแปลง
อุปราชปีศาจ สมญานามนี้เลื่องลือไปทั่วหล้า อุปราชเฟิงหลง ผู้ก่อตั้งแผ่นดินเป่ยถังจนเป็นปึกแผ่นเป็นหนึ่งเดียว วิชาอมตะทำให้มีชีวิตเป็นนิรันดร์ และมีญาณหยั่งรู้ล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าและหูทิพย์ หากแม้นผู้ใดเข้ามาใกล้พระวรกายน้อยกว่ารัศมีสิบฉื่อ ร่างจะต้องสลายกลายเป็นเถ้าธุลีขาวไปทันที อุปราชในตำนานประทับอยู่ในพระตำหนักลืมเลือนมานานกว่า 329 ปีนับตั้งแต่สถาปนาแคว้น จวบจนกระทั่งองค์หญิงเย่วเพ่ยเพ่ย จากแคว้นเย่วปรากฎกาย นางเป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถเข้าใกล้และสัมผัสพระองค์ได้ และนางคือสตรีที่ผูกพันกับพระองค์นับตั้งแต่พานพบกันตั้งแต่ครั้งแรก แรงรักแรงพิศวาสเริ่มก่อตัวขึ้นภายในตำหนักลืมเลือน ก่อนจะถึกปิดตายหายไปอย่างไร้ร่องรอยเพื่อรอคอยนางหวนคืนกลับมาอีกครั้ง กลับมาเพื่อครองรักกับอุปราชปีศาจอีกครั้งตามสัญญาที่มีไว้ให้ต่อกัน ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานนับพันปีก็ตาม
เพราะการพบกันครั้งแรกระหว่าง จอมอำมหิตแห่งกู้กงและหวางเย่หลิง ทำให้รองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ต้องการนางเก็บไว่้ใกล้ตัวเพื่อ เหตุผลบางอย่าง และเพื่อสืบเสาะหามารดาผู้ให้กำเนิดจากนาง ครั้นเกิดเหตุการณ์เงินห้าหมื่นตำลึงทองสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย ภายในสำนักคุ่้มกันหวางซื่อของตระกูลหวาง จึงทำให้จอมอำมหิตสบโอกาส หวางเย่หลิง บุตรีเพียงคนเดียวของหวางเจี้ยนเฉิง จะต้องถูกนำส่งเข้าจวน ในฐานะสตรีของอิ๋งชวนโหว เพื่อช่วยทุกชีวิตของตระกูลหวางให้รอดพ้นจาก การถูกประหารชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว
ตงฟางลี่หยาง แม่ทัพหนุ่มแห่งแคว้นเทียนหยวน หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความด้านชาและเต็มไปด้วยความแค้น ที่ฝังแน่นอยู่ภายในใจที่รอวันชำระแค้นกับอดีตสหายเก่า หากแต่หัวใจที่เต็มไปด้วยความด้านชา กลับปรากฏหมอหญิงจากสกุลหลิง ผู้มาจากยุคปัจจุบัน ผุดขึ้นอยู่ภายในหัวใจ หยกบุบผานำเธอให้มาพบกับแม่ทัพจอมโหด และหลิงลี่ย่านางคือสตรีที่แม่ทัพหนุ่มต้องตามจับเธอ !!!
หวังฉิงชวน สาวสวยจากศตวรรษที่ 21 นักศึกษาคณะศิลปะการแสดงและการละคร ซึ่งจะต้องเขียนบทละครแนวพีเรียดย้อนยุคเพื่อผลิตซีรีย์เรื่องยาว 40 ตอนจบ และยังเป็นผลงานภาคบังคับที่นักศึกษาทุกคนจะต้องทำบทละครเพื่อขออนุมัติจบการศึกษา หญิงสาวจึงนำเกร็ดประวัติของท่านหญิงธิดาลูกเจ้าเมือง จากยุคจ้านกว๋อ มาเขียนบทละคร ทว่าประวัติของท่านหญิงผู้นั้นเป็นของปลอมที่ถูกทำขึ้นในยุคนั้น เป็นเหตุให้หวังฉิงชวนเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นกับชีวิต เมื่อเธอเกิดหัวใจวายกะทันหัน ครั้นฟื้นขึ้นมาอีกครั้งดวงวิญญาณของเธอกลับอยู่ในร่างของท่านหญิงหยางเฉียนเฉียน ธิดาเจ้าเมืองอูเจี๋ยนผู้วายชนม์ เธอถูกกลับมาในเหตุการณ์ของท่านหญิงที่นำประวัติของนางมาทำเป็นบทละคร เพื่อล่วงรู้เหตุการณ์จริงในอดีตที่เกิดขึ้น และเธอกลับมาเพื่อผูกวาสนากับจอมโจรเยี่ยคัง ซึ่งมีอดีตเป็นถึงองค์ชายเฉินคัง องค์ชายห้าแคว้นหมิ่นเย่ว วาสนาผูกพันลึกซึ้งเกิดขึ้นกับคนทั้งสอง และสัญญารักมั่นจากหัวใจที่พี่คังมีต่อเฉียนเฉียน นำหวังฉิงชวนให้หวนกลับคืนสู่อ้อมกอด องค์ชายเฉินคังแห่งแคว้นหมิ่นเย่วอีกครั้งเพื่อครองคู่ไปชั่วนิจนิรันดร์
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
เพียงดื่มน้ำชาจอกแรกที่ผู้เป็นมารดาเลี้ยงมอบให้ซุนฮวาก็กลายเป็นสตรีร้ายกาจ ปีนขึ้นเตียงท่านอ๋องผู้เป็นคู่หมายของน้องสาวจำใจกล้ำกลืนสถานะพระชายาตัวแทนเป็นเพียงเงาของผู้อื่นในสายตาของสวามี
ในการแต่งงานที่ทำข้อตกลงไว้ เจียงหว่านเป็นฝ่ายที่มีใจให้อีกฝ่ายก่อน แต่ตอนที่เธอต้องการเผยเสี้ยนมากที่สุด เขากลับอยู่เคียงข้างคนรักในใจของเขา ในท้ายที่สุด เจียงหว่านก็ตัดสินใจหย่า และเริ่มต้นชีวิตใหม่ เมื่อเผยเสี้ยนรู้สึกตัวขึ้นมา เธอก็จากไปแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่เข้าคิวเพื่อรับป้ายหมายเลข เผยเสี้ยนหยิบเงินร้อยล้านออกมาและพูดว่า "หว่านหว่าน คู่รักก็ต้องเป็นคู่เดิมเราแต่งงานใหม่อีกครั้งได้ไหม"
เมื่อเธออายุยี่สิบ ชิงฉือได้รู้ว่าตนเองไม่ใช่ลูกโดยกำเนิดของตระกูลต้วน เธอถูกลูกสาวที่แท้จริงของตระกูลต้วนล้อมกรอบ จนถูกพ่อแม่บุญธรรมไล่ออกจากบ้านและกลายเป็นตัวตลกในเมือง เมื่อเธอกลับไปหาพ่อแม่ชาวนา จากนั้นก็พบว่าบิดาผู้ให้กำเนิดของเธอเป็นคนที่รวยที่สุดในเมืองเจียงเฉิงส่วนพี่ชายของตนเองเป็นอัจฉริยะในแวดวงต่างๆ ทุกคนมองดูเด็กสาวตัวเล็กคนนี้ด้วยความเห็นใจและถือว่าเธอเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ค่อยๆ พบว่า... ที่แท้ว่าน้องสาวเป็นคนมากความสามารถ? อดีตแฟนหนุ่มผู้น่ารังเกียจหัวเราะเยาะ "อย่ามาตามเซ้าซี้ไม่เลิก ฉันมีแต่เมียนเมียนอยู่ในใจ!" คนใหญ่แห่งเมืองหลวงปรากฏตัว "เมียฉันจะเห็นหัวนายเหรอ?"
รูรักอันบริสุทธิ์เมื่อถูกปลายลิ้นร้อนของชายหนุ่มเป็นครั้งแรกดูเหมือนว่าจะตอบสนองได้เป็นอย่างดี ร่องของนางขมิบรัว สะโพกของนางยกขึ้นยังเด้งเข้าไปหาปากร้อน ฝ่าบาทเก่งกาจยังสามารถแยงลิ้นเข้าไปในรู อันซูเซี่ยถูกทาขี้ผึ้งหอมรอบปากทาง ขี้ผึ้งนี้นอกจากจะมีรสชาติดีส่งเสริมรสน้ำรักของนางแล้วยังมีคุณสมบัติอันวิเศษ แม้จะเป็นหญิงพรหมจรรย์ก็จะไม่รู้สึกเจ็บปวด และเผลอทำร้ายฝ่าบาทจนบาดเจ็บ อี้หลงดูดแบะขาของนางให้กว้างขึ้นแล้วรวบขึ้นไปให้ขาชี้ฟ้า จากนั้นมุดใบหน้าลงมาอย่างหลงใหล “หอมอร่อยเหลือเกิน รู้สึกเหมือนดื่มสุราไม่เมามาย อ้า ข้าชอบยิ่ง หอยของฮองเฮาช่างใหญ่โต ดูโคกเนื้อโยนีแทบจะล้นริมฝีปากของข้า สีแดงเช่นนี้คงไม่เคยผ่านสิ่งใดมาก่อน บริสุทธิ์ยิ่งนัก ซี้ด” นางดิ้นเร่าอยู่ในปาก ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรนอกจากเชื่อฟังในคำของฝ่าบาท “อืม อร่อยยิ่งนัก อ้า ข้าไม่ไหวแล้วขอดูหน้าฮองเฮาของข้าหน่อยเถิด” ดูเหมือนว่าร่องรักของนางยังขมิบ นางไม่อยากให้เขาเงยหน้าขึ้นจากตรงนั้นด้วยซ้ำ อยากถูกปลายลิ้นเลียเช่นนั้นจนกว่านางจะได้รับการปลดปล่อย “อ้า ฝ่าบาทเพคะ อย่าหยุดเพคะ อื้อ” นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักสำหรับผู้ใหญ่ มี 2 เล่มจบ เป็นนิยายแบบพล็อตอ่อน เน้นฉากรักบนเตียงของตัวละครเป็นหลัก เหมาะสำหรับผู้มีอายุ 25 ปีขึ้นไป ไม่เหมาะสำหรับสายคลีนใส ๆ นะคะ หากใครไม่ชอบอ่าน NC เยอะ ๆ กรุณาเลื่อนผ่าน เพราะเรื่องนี้เน้น NC เป็นหลักค่ะ ซีไซต์ นักเขียน
หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า "ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?" เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า "ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว..." ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา "เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?"